PRP ผม นวัตกรรมฟื้นฟูจากภายใน แก้ปัญหาผมร่วง ผมบางได้อย่างไร?
ในแต่ละวันเส้นผมของคนเราจะหลุดร่วงและจะงอกใหม่อยู่เสมอ ซึ่งตามปกติแล้วเส้นผมจะร่วงวันหนึ่งประมาณ 50 -100 เส้น แต่ถ้าใครที่ร่วงมากกว่านั้น มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ผมบางหรือเข้าภาวะผมร่วง อาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ จนทำให้ผมร่วง ผมบางมาก ส่งผลให้เกิดความกังวล ความเครียด และขาดความมั่นใจในที่สุด วันนี้เรามีเรื่องดี ๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยีการรักษาผมแบบใหม่ที่มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน คือ การทำ PRP ผม เพื่อลดปัญหาผมร่วง ผมบาง สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองอีกครั้ง
PRP ผม คือ
การทำ PRP ผม หรือ PRP Hair Therapy คือ การปลูกผมในรูปแบบหนึ่ง โดยแพทย์จะฉีด PRP (Platelet Rich Plasma) หรือพลาสมาที่อุดมด้วยเกล็ดเลือดของผู้เข้ารับการรักษาเอง ฉีดเข้าไปบริเวณหนังศีรษะที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง และศีรษะล้าน เพื่อให้สารใน PRP เข้าไปฟื้นฟูและกระตุ้นการทำงานของเซลล์รากผม ทำให้ผมที่งอกออกมาใหม่ มีความแข็งแรงและเส้นหนาขึ้น
ข้อดีและข้อจำกัดของ PRP ผม
การทํา PRP ผม เองก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดเช่นกัน ดังนั้น หากใครที่คิดจะปลูกผม PRP ก็ควรจะศึกษาและเข้าใจให้ดีเสียก่อน
ข้อดีของ PRP ผม
การรักษาผมร่วง ผมบางด้วยการฉีด PRP ผม มีข้อดีดังนี้
- เป็นวิธีการปลูกผมที่ปลอดภัย และความเสี่ยงต่ำมาก จะมีแค่แผลจากการฉีด PRP ผมเท่านั้น ซึ่งมีขนาดเล็กมาก เมื่อหายไม่ทิ้งรอยแผล อีกทั้ง PRP ที่นำมาฉีดเป็นสิ่งที่มาจากร่างการเราเอง ดังนั้นโอกาสที่จะแพ้ หรือร่างกายปฏิเสธจะเกิดขึ้นได้น้อยมาก
- ทำง่าย ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาทำไม่นาน และขั้นตอนการรักษาก็ไม่เจ็บเลย
- เป็นวิธีการปลูกผมที่มีประสิทธิภาพสูง ให้ผลในระยะยาว สามารถเห็นผลได้จริง เกิดการเปลี่ยนแปลงชัดเจน
- ใช้การทำ PRP ผมร่วมกับการรักษาอื่นๆ ได้ เช่น การทำเลเซอร์ผม หรือยาใช้รักษาผมร่วง ผมบาง
- ป้องกันผมบางจากกรรมพันธุ์และการขาดวิตามิน
- กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ของรากผม ทำให้ผมเส้นใหญ่ แข็งแรง และหนามากขึ้น
- ทำให้รากผมแข็งแรง ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมลดปัญหาผมบาง
ข้อจำกัดของ PRP ผม
วิธีรักษาอาการผมร่วง ผมบางด้วยการทำ PRP ผม ไม่ใช่การปลูกผมถาวร PRP จะใช้ได้กับคนที่ยังมีเซลล์รากผมหลงเหลืออยู่เท่านั้น และบางคนอาจจะไม่สามารถทำ PRP ผมได้ เนื่องจากมีโรคประจำตัว หรือ อยู่ในระหว่างรับประทานยาบางชนิด ในหัวข้อนี้เราจะมากล่าวถึงกลุ่มบุคคลที่ไม่สามารถทำ PRP ผมได้ ได้แก่
- ผู้ที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำอยู่ในระหว่างการรับประทานยาต้านเกล็ดเลือด หรือ ละลายลิ่มเลือด
- โรคผิวหนังที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อบริเวณศีรษะ เช่น เป็นเชื้อรา
- ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เชื้อเอชไอวี
- ผู้ที่กำลังมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
- ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์มาก ๆ
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์
- ผู้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคตับ โรคมะเร็งเม็ดเลือดทุกชนิด
- ผู้เคยมีประวัติ มีผื่น หรือมีอาการแพ้ หลังฉีด PRP ผม
ก่อน PRP ผม เตรียมตัวอย่างไร
ผู้ที่ต้องการทำ PRP ผมควรรู้วิธีการเตรียมตัวก่อนการปลูกผม และควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะ PRP ที่นำมาฉีด เป็นเลือดที่สกัดมาจากผู้เข้ารับการรักษาเอง หากเตรียมตัวไม่ดี ร่างกายไม่พร้อม จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของ PRP ทำให้การปลูกผมเห็นผลน้อยลงได้
การเตรียมตัวก่อนเข้าการรักษาอาการผมร่วง ผมบาง ด้วยการฉีด PRP ผม สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- ควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์ก่อนทำ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 6 - 8 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำประมาณ 1.5 - 2 ลิตรต่อวัน ก่อนเข้าทำการรักษา
- สระผมทำความสะอาดหนังศีรษะให้เรียบร้อยก่อนเข้ารับบริการ
- งดการใช้ครีมนวด นวดผมและหนังศีรษะ รวมถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผมทุกประเภทก่อนทำ PRP ผม
- งดการใช้สารเคมีกับเส้นผม หรือการใช้ความร้อนบริเวณหนังศีรษะ อย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ เพราะสารเคมีและใช้ความร้อนอาจส่งผลให้หนังศีรษะหลุดลอกเป็นสะเก็ด และทำให้หนังศีรษะแห้งเป็นขุยได้
- ห้ามรับประทานยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิด 1 สัปดาห์ก่อนทำ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนค พอนสแตน วิตามินอี น้ำมันปลา ใบแปะก๊วย โสม น้ำมันกระเทียม เพราะมีผลต่อยาต้านการแข็งตัวของเลือด (ควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาก่อนหยุดยา)
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 - 3 วัน เพราะสิ่งเหล่านี้ส่งผลกับเลือดทั้งหมด
วิธี PRP ผม
สำหรับผู้ที่สนใจรักษาผมร่วงผมบางด้วยการทำ PRP ผม มีขั้นตอน ดังนี้
- ขั้นตอนแรกแพทย์จะเจาะเลือดออกมาประมาณ 10-20 มิลลิลิตร
- แพทย์จะนำเลือดที่เจาะไปปั่นแยกในเครื่องเหวี่ยงสาร โดยจะทำการเติมสารป้องกันการแข็งตัวของเลือดก่อน
- ดึงเอาเฉพาะเกล็ดเลือดเข้มข้น เพื่อเตรียมการฉีด
- ทำความสะอาดบริเวณหนังศีรษะ
- ฉีดยาชาบริเวณที่ต้องการปลูกผม PRP
- หลังจากที่ครบเวลาตามกำหนดหรือยาชาออกฤทธิ์แล้ว แพทย์จะฉีด Derma Pen (Micro System) เพื่อกระตุ้นหนังศีรษะ
- แพทย์ทำการฉีด PRP ผมที่เตรียมไว้เข้าไปในร่างกาย
ผลลัพธ์ PRP ผม เป็นอย่างไร
ผู้ที่เข้ารับการรักษาอาการผมร่วง ผมบาง และศีรษะล้าน ด้วยการทำ PRP ผมมักจะเห็นผลลัพธ์ภายในระยะเวลา 3 - 6 เดือน โดยผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ PRP ผม มีดังนี้
- หนังศีรษะมีสภาพที่ดีขึ้น มีหลอดเลือดฝอยมากขึ้น ช่วยทำให้เลือดมาเลี้ยงเซลล์รากผมได้มากขึ้น เหมาะกับการเจริญเติบโตของเส้นผม ช่วยเซลล์รากผมที่เสื่อมสภาพกลับมาทำงานอีกครั้ง
- เซลล์รากผมถูกกระตุ้น และถูกฟื้นฟูให้แข็งแรงขึ้น ทำให้มีการสร้างเส้นผมมากขึ้น ผมที่ได้ออกมาเส้นใหญ่ขึ้น แข็งแรงกว่าเดิม ผมหนาขึ้น ช่วยลดปัญหาผมขาดร่วงลง
- การทำ PRP ผมแก้ปัญหาผมร่วง ผมบางที่ต้นเหตุ ทำให้ได้ผมใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม ไม่ขาดร่วงซ้ำอีก สามารถรักษาร่วมกับเลเซอร์ผม และยารักษาผมร่วง ผมบางเพื่อเห็นผลที่มากขึ้น
ทั้งนี้ผลลัพธ์จากการรักษาด้วยการทำ PRP ผมจะได้ผลมากน้อย หรือเห็นผลชัดขนาดไหนขึ้นอยู่กับเฉพาะตัวบุคคล และสภาพหนังศีรษะของผู้เข้ารับการรักษา การทำ PRP ผม ไม่ใช่การปลูกผมถาวร จึงขอแนะนำจำเป็นต้องกลับมาฉีด PRP ผมซ้ำในระยะเวลา 2-3 เดือน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
การดูแลตนเองหลังทำ PRP ผม
การดูแลตนเองหลังการฉีด PRP ผม อาจไม่ต้องระวังมากเท่ากับการปลูกผมแบบวิธีอื่น เนื่องจากไม่มีแผลจากการผ่าตัด ดูแลได้ง่าย แต่หลังทำ PRP ผมหนังศีรษะจะบอบบาง บางรายอาจมีอาการช้ำได้ ดังนั้นผู้เข้ารับการรักษาควรดูแลตนเองด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- หลังทำ PRP ผม ห้ามสระผม หรือให้ผมโดนน้ำ รวมทั้งไม่ควรใช้เจล สเปรย์ หรือน้ำมันจัดแต่งทรงผม ห้ามออกกำลังกาย เป็นเวลา 24 ชั่วโมง เนื่องจากอาจทำให้ส่วนที่ฉีด PRP ผมกระทบกระเทือน และช้ำได้ ในกรณีที่ทำการเพันท์หนังศีรษะร่วมด้วย ควรงดโดนน้ำอย่างน้อย 4 วัน
- ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ หลังทำ 24 ชั่วโมง เนื่องจากมีผลต่อการทำงานของสารต่าง ๆ ใน PRP
- ห้ามทานยาจำพวกไอบูโพรเฟ่นและแอสไพรินหลังทำ 2 – 3 วัน
- ในช่วงสัปดาห์แรกไม่ควรใช้ยาสระผมปกติ ให้ใช้ยาสระผมสูตรอ่อนโยนหรือยาสระผมที่แพทย์แนะนำ สระผมเบาๆ ห้ามเกาหรือขยี้รุนแรง ควรใช้ผ้าเช็ดผมเบา ๆ เมื่อครบเวลาจึงสามารถกลับมาสระผมได้ตามปกติ
- ห้ามนวดบริเวณใบหน้าและศีรษะ เพราะจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
- ห้ามโดนสารเคมี เนื่องจากมีผลต่อการเกิดขึ้นใหม่ของเส้นผม อีกทั้งเส้นผมที่เกิดใหม่ยังเป็นเส้นขนที่อ่อนแอ การโดนสารเคมีอาจจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นผมในระยะแรกได้
- หลังการผ่าตัดอาจเกิดอาการบวมช้ำบริเวณศีรษะและใบหน้าได้ หากต้องการให้ยุบเร็ว สามารถประคบเย็นได้ หรือหากปล่อยไว้ก็สามารถหายได้เองเช่นกัน โดยอาการบวมจะหายใน 2 – 3 วัน ส่วนการฟกช้ำจะหายไปใน 1 สัปดาห์
สรุป PRP ผม
การทำ PRP ผมเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีมาก สำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง และศีรษะล้าน เหมาะสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องอาการแทรกซ้อน การแพ้หลังผ่าตัด ไม่อยากมีแผลเป็น และไม่มีเวลาพักฟื้น เพราะการทำ PRP ผม โอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนและแพ้น้อยมาก เพราะเป็นการใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นจากเลือดของผู้รับการรักษาเองและยังเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง ในระยะยาว ผู้สนใจควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกวิธีปลูกผมที่เหมาะกับตนเองก่อนการตัดสินใจ
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้