Responsive Web Design ออกแบบเว็บไซต์ ให้รองรับได้ทุกช่องทาง
เคยเข้าเว็บไซต์บางเว็บผ่านอุปกรณ์ที่แตกต่างกันหรือไม่ แล้วเคยสงสัยไหมว่า ทำไมหน้าตาเว็บไซต์ถึงมีความแตกต่างกันด้านการจัดวาง แต่ลิงค์ที่เข้าใช้งาน และข้อมูลภายในยังคงเหมือนเดิม นั่นก็เพราะเว็บไซต์นั้นได้มีการทำ Reponsive ให้หน้าต่างเว็บไซต์เข้ากันได้กับอุปกรณ์ที่เข้าถึงนั่นเอง
การทำ Responsive Web Design คือการออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับหน้าจออุปกรณ์ต่างๆได้ ในสมัยก่อน เว็บไซต์จะมีการจัดองค์ประกอบหน้าต่างที่ตายตัว การมาถึงของอุปกรณ์อย่างสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อื่นๆ การตั้งค่าการแสดงความกว้างและความยาวที่ตายตัว จะทำให้อุปกรณ์อื่นที่เข้าใช้งานมีปัญหา จึงมีการใช้ CSS เข้ามาช่วยในเรื่องการเขียนโค้ดให้สามารถจัดวางหน้าต่างให้เข้ากันกับอุปกรณ์อื่นได้
ในแง่ของการตลาด การสร้างเว็บไซต์ที่รองรับอุปกรณ์ได้หลากหลายมีความจำเป็นมาก การทำ Responsive Web Design จึงเป็นสิ่งที่ทุกเว็บไซต์ในปัจจุบันนิยมทำกัน โดยเฉพาะ Sale page ที่มีลิงค์เดียว ขายของในหน้าเดียว ต้องใช้แนวทางสร้างเว็บแบบ Responsive คือการใช้ลิงค์เดียว แต่ขายได้ทุกอุปกรณ์ รองรับการเข้าถึงตั้งแต่ Computer, Smart Phone ไปจนถึง Chromecast ที่ต้องใช้งานได้ง่ายที่สุด เพื่อปิดการขาย
Responsive Web Design คืออะไร
Responsive Web Design คือการออกแบบเว็บไซต์ บนโค้ด HTML โดยมี CSS เป็นหัวใจในการกำหนดรูปแบบเว็บไซต์ โดย CSS จะเป็นตัวกำหนดขนาด Font สี หรือรูปแบบให้เป็นไปตามที่กำหนดทั่วเว็บไซต์ อธิบายง่ายๆ ก็คล้ายกับการมี Template ของหน้าเว็บ และ CSS ยังสามารถกำหนดค่าหน้าต่างของอุปกรณ์ให้เข้ากันกับขนาดหน้าจอ อีกทั้งยังมีการตัดเนื้อหาที่ไม่จำเป็น หรือโยกย้าย และจัดวางให้การใช้เว็บไซต์ในอุปกรณ์อ่านง่าย
ผลของการทำ Responsive Web Design จะทำให้เว็บไซต์มีความน่าใช้งานมากขึ้น ประกอบกับเนื้อหาข้างใน สามารถอ่านง่าย รวมไปถึงช่องไฟ หรือตาราง ให้มีการจัดวางให้เข้ารูปกับหน้าจอ โดยการเขียนโค้ด CSS ในแบบที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ คือการใส่โค้ดให้ปรับหน้าจอจนมีขนาดเท่ากับอุปกรณ์ต่างๆ หากมีอุปกรณ์ออกใหม่ ก็ต้องอัปเดตโค้ดให้รองรับการเข้าใช้งานหน้าจอของอุปกรณ์ แต่ไม่ใช่เลย
CSS จะทำงานโดยที่กำหนดจากความกว้างความยาวของอุปกรณ์ที่เข้าถึง เช่น อุปกรณ์ที่มีสัดส่วน 19:9 หน้าจอแสดงผล หรือ Interface ก็จะปรับไปตามสัดส่วนให้มีรูปทรงยาวแทน ไม่เกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ แต่เกี่ยวกับขนาดหน้าจออุปกรณ์ อีกทั้ง Font ก็จะมีการปรับขนาดให้เล็กใหญ่ตามสัดส่วน ดังนั้น Responsive Web Design จึงเป็นตัวเลือกที่จำเป็นต่อการสร้างเว็บไซต์ในปัจจุบัน
สิ่งที่ควรระวังสำหรับ Responsive Web Design
หากเราคิดว่าการจะออกแบบ Responsive Web Design ด้วยตัวเอง อย่างแรกที่ต้องคำนึงถึงเลย คือการจัดการหน้าเว็บไซต์ให้มีระเบียบก่อนนำไปทำ Responsive โดยเราต้องใช้ความเข้าใจในการออกแบบโค้ด CSS ให้มาก เพื่อกำหนดรูปแบบ และขนาดให้เข้ากันกับทุกสัดส่วน และอย่าลืมว่า โค้ดเหล่านี้ หากเขียนมาไ่ม่ดี ก็มีสิทธิทำให้หน้าเว็บ มีประสิทธิภาพที่ลดลงได้
ความลำบากในการออกแบบสำหรับทุกอุปกรณ์
อย่างที่บอกไปว่า การออกแบบ Responsive Web Design ไม่ได้เกี่ยวกับอุปกรณ์ แต่เกี่ยวกับสัดส่วนของหน้าจอ แต่สำหรับอุปกรณ์บางชนิด มีสัดส่วนที่เฉพาะตัวเกินไป ก็อาจจะทำให้รูปแบบผิดเพี้ยนได้ ดังนั้นการออกแบบ Responsive จึงเลือกออกแบบสัดส่วนให้เข้ากันกับอุปกรณ์ทั่วไปมากกว่า เช่น หน้าจอสัดส่วนแนวนอน 16:9 หรือสัดส่วนของ Smart Phone และ Tablet
เวลาและต้นทุนที่ใช้สร้าง
นอกจากสัดส่วนหน้าจอที่ต่างกันของแต่ละอุปกรณ์ ก็ต้องใช้เวลาในการทำงานแล้ว และถ้าหากอยากให้ได้สัดส่วนในเว็บไซต์ที่เข้ากันกับทุกอุปกรณ์ ก็ยิ่งต้องใช้เวลา เพราะนอกจากต้องดูความละเอียดใน Interface หน้านำเสนอแล้ว เนื้อหาจำพวกปุ่ม หรือ pop up ต่างๆ ก็ต้องมีการจัดระเบียบให้เข้ากันกับอุปกรณ์เช่นกันในการทำ Responsive Web Design
ประสิทธิภาพของ เว็บไซต์ อาจเกิดปัญหา
Performance บนเว็บไซต์อาจมีการ Down ได้เนื่องจากการทำ Responsive Web Design โดยปัญหานี้เกิดจาก Server ที่รับภาระหนักในการที่มีผู้เข้าใช้งาน ดังนั้น การทำ Responsive Web ต้องอาศัยความละเอียดและความเข้าใจในด้าน Coding สูง
โดยสืบเนื่องมาจาก User Experience มีความจำเป็นต่อการใช้งานเว็บไซต์มาก หากเว็บไซต์ทำงานช้า ก็มีโอกาสที่ผู้ใช้เลือกที่จะออกจากเว็บไซต์แทน การทำ Responsive Web Design จะมอบประสบการณ์ที่ดีได้ แต่ต้องมากับ Performance ของเว็บที่รวดเร็วด้วย
Responsive Web Design มีแนวคิดการทำอย่างไร
แนวคิดหลักของการทำ Responsive Web Design คือการทำเว็บไซต์ออกมาให้สะดวกต่อการใช้งานให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางรูปแบบให้มีองค์ประกอบที่ดี ตัดการแสดงผลเนื้อหาบางอย่างที่ใช้งานกับหน้าจอขนาดเล็ก ให้ไม่รกหูรกตาเกินไป และป้องกันการถูก Google พิจารณาว่าเป็นเว็บสแปม รวมถึงการใช้งานในอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน ก็ต้องให้ประสบการณ์ที่เหมือนกันได้ โดยแยกเป็นหัวข้อดังนี้
การจัดวางรูปแบบให้ดี
การจัดสัดส่วน Layout คือหลักการของการทำ Responsive Web Design เพราะการทำการจัดวาง Content หน้าเว็บให้มีองค์ประกอบที่เข้ากันกับขนาดจอ ใช้งานง่าย อ่านง่าย คือหัวใจของการหลักเลย โดยเราสามารถตรวจเช็กรูปแบบการจัดวางได้จากการเปลี่ยนอุปกรณ์ หรือ ลองปรับขนาดหน้าต่างของ เว็บไซต์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ดู
การแสดงผลแค่บางเนื้อหา
การลบ Content หรือ Pop up บางอย่างจากหน้าเว็บไซต์ ก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นในการจัดองค์ประกอบให้กับ Responsive Web Design เพื่อที่การใช้งานหน้าจอที่เล็กลง จะช่วยให้แสดงแต่เนื้อหาหรือปุ่มที่มีความจำเป็นเท่านั้น ยกตัวอย่างหน้าสินค้า ที่มีรูปสินค้า มีรายละเอียดยาวเหยียด มีปุ่มตะกร้าสินค้าให้กดสั่งซื้อ เมื่อปรับเป็นหน้าจอขนาดที่เล็กลงอย่าง Smart Phone ก็อาจมีการลบเนื้อหาเกี่ยวกับรายละเอียดสินค้าลง โดยแต่งเป็นรูปแบบให้กด ‘อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม’แทน เพื่อให้การจัดองค์ประกอบหน้าดูใช้งานง่าย สะดวก สะอาดตา
มีความยืดหยุ่น
ความ Flexible ในแง่ของการทำ Responsive Web Design คือการทำให้หน้าเว็บไซต์ตอบโจทย์การใช้งานหลายรูปแบบให้มากที่สุด เพราะผู้เข้าใช้งานในยุคนี้ ไม่มีทางที่จะเลือกเข้าเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์เพียงอุปกรณ์เดียว เช่นการสั่งสินค้าลงตะกร้าผ่านเว็บไซต์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่เมื่อจะชำระเงิน กลับเลือกการชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟน ดังนั้น Responsive Web จึงจำเป็นต่อการสร้างความสะดวกในทารทำธุรกรรมด้วย
มีการออกแบบในแต่ละอุปกรณ์ให้แตกต่างกัน
อย่างที่กล่าวไว้ว่า Responsive Web Design จะใช้ CSS ในการออกแบบเป็นหลัก หรือเรียกกันว่า Style Sheet ที่มีการอัปเดตโค้ดให้สามารถปรับแต่งสัดส่วน ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ได้มากขึ้น โดยหัวใจหลักของโค้ด CSS คือฟังก์ชัน Media Query ที่มีการปรับแต่งให้หน้าจอ และสัดส่วน มีความยืดหยุ่น Fit เข้ากับจอแสดงผลของอุปกรณ์ต่างๆได้นั่นเอง
สรุป Responsive Web Design จำเป็นต่อการสร้างธุรกิจ
แน่นอนว่าการสร้างเว็บไซต์ที่รองรับการเข้าถึงหลายอุปกรณ์ ย่อมมีจุดประสงค์หลักคือการนำไปต่อยอดธุรกิจ และในยุคที่ Digital Marketing กำลังบูม การสร้าง Responsive Web Design บนหน้า Sale Page ก็เป็นตัวเลือกที่หลายคนเลือกทำ ซึ่งแน่นอน การทำเว็บไซต์ที่มี Responsive ต้องอาศัยความชำนาญ เพราะมีความเสี่ยงต่อการทำให้หน้าเว็บไซต์มีประสิทธิภาพ หรือ Performance ที่ดรอปลง
เราจึงเสนอตัวเลือกบริการทำเว็บไซต์ผ่าน Fastcommerz ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดดิจิทัล เรามีทั้งนักออกแบบเว็บไซต์ Responsive Web Design ที่ปลอดภัย ไร้ปัญหาด้าน Performance ออกแบบให้รองรับได้ทุกอุปกรณ์ตามที่ลูกค้าต้องการ รวมไปถึงการดีไซน์หน้าตาเว็บไซต์ให้เข้ากับแบรนด์ หรือธุรกิจ ช่วยคิด ช่วยจัดองค์ประกอบให้อย่างมืออาชีพ
สามารถติดต่อสอบถามได้ที่
ที่ตั้ง: 573/104 รามคำแหง 39 แขวง พลับพลา เขต วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310
ติดต่อสอบถาม: 084-509-5545 / 061-924-7449
อีเมล: fastcommerz@gmail.com
Arounda is a graphic design firm https://arounda.agency/blog/top-20-software-developer-smart-goals-examples that focuses on developing distinctive logos and brand identities for companies and non-profits. To help you establish a strong, consistent brand that stands out from the crowd, we provide a full range of unique services, from logo design to website development. With a shared love of design and a dedication to customer satisfaction, our staff of seasoned experts strives to exceed all expectations with every project. We can help you with everything from logos and websites to brand identities and product packaging. Our strategy is centered on delivering innovative, practical answers that accurately reflect your company's values.
The Salesforce Sales-Cloud-Consultant Practice Test is a preparation tool for the Certified Salesforce Sales Cloud Consultant (SU24) exam. This test helps candidates familiarize themselves with the format, question types, and topics covered in the certification exam, including Salesforce Cloud Consultant, architecture best practices, and solutions for common use cases. With a focus on real-world scenarios, the practice test aids in assessing knowledge and identifying areas for further study, enhancing readiness for the Official Salesforce Exam.
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้