วิธีเลือกยาแก้ไอสำหรับเด็กและยาแก้ไอเด็กยี่ห้อไหนดี เรามีคำตอบ
ยาแก้ไอเด็กเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรมีติดบ้านไว้เสมอ เนื่องจากสภาพอากาศช่วงนี้ค่อนข้างแปรปรวน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน รวมไปถึงภูมิต้านทานในวัยเด็กยังไม่แข็งแรงพอ ทำให้สภาพร่างกายของเด็กปรับตัวไม่ทัน อาจเกิดอาการป่วย มีไข้ มีเสมหะ ปวดหัว ตัวร้อนลามไปถึงมีอาการคันคอและไอตามมา
หากพ่อแม่มั่นใจว่าได้คอยระวังและดูแลสุขภาพร่างกายของลูกอย่างดีแล้ว แต่บางครั้งอาการเจ็บป่วยก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดเมื่อใด ดังนั้นพ่อแม่ควรเตรียมการรับมือกับอาการป่วยของลูกอยู่เสมอ โดยการเตรียมยาแก้ไอสำหรับเด็ก ยาลดไข้ ยาลดนํ้ามูก ยาแก้ปวดหัวและเจลลดไข้ติดบ้านไว้เสมอ
อาการไอในเด็ก
อาการไอเป็นหนึ่งในกลไกทางธรรมชาติที่ร่างกายแสดงออกมาเมื่อเกิดอาการผิดปกติหรือพบสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย สิ่งที่พ่อแม่ควรทำควบคู่ไปกับการป้อนยาแก้ไอสำหรับเด็กคือ คอยสังเกตอาการไอของลูกเพื่อหาต้นตอของการเกิดอาการไอเพื่อที่จะได้เลือกยาแก้ไอเด็กถูกประเภท ดังนี้
อาการไอในเด็กเล็ก
อาการไอในเด็กเล็กอาจเกิดได้จาก 3 ปัจจัยหลัก
- การติดเชื้อ เช่น เชื้อไวรัส เชื้อไอกรน(Whooping Cough) และเชื้อแบคทีเรีย
- การเป็นโรค เช่น โรคหวัด โรคปอด และโรคหลอดลม
- การมีสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในหลอดลมหรือช่องคอ
อาการไอในเด็กโต
อาการไอในเด็กโตอาจเกิดได้จาก 5 ปัจจัยหลัก
- โรคภูมิแพ้
- การระคายเคืองจากควันต่าง ๆ
- การเป็นโรค เช่น โรคหวัด โรคปอด และโรคหลอดลม
- การติดเชื้อ เช่น เชื้อไวรัส เชื้อไอกรน(Whooping Cough) และเชื้อแบคทีเรีย
- การมีสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในหลอดลมหรือช่องคอ
ยาแก้ไอสำหรับเด็ก
พ่อแม่ควรให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อยาแก้ไอสำหรับเด็กอย่างมาก เนื่องจากยาแก้ไอในเด็กแต่ละประเภทจะมีข้อจำกัดด้านอายุ เช่น ยาแก้ไอ ทารก ยาแก้ไอเด็กเล็ก และยาแก้ไอ เด็กโต วัยเด็กจะมีสภาวะร่างกายที่ไม่แข็งแรงเท่ากับผู้ใหญ่
หากลูกได้รับยาแก้ไอเด็กผิดประเภทหรือมีส่วนผสมของยาบางตัวที่ลูกคุณแพ้ อาจจะก่อให้เกิดอันตรายแก่เด็กได้มากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากผู้ใหญ่สามารถอ่านฉลากยา รู้ว่าร่างกายรับส่วนผสมของยาตัวไหนได้บ้างและยาแก้ไอ ละลายเสมหะ ผู้ใหญ่มีให้เลือกมากกว่ายาแก้ไอเด็ก
สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้ก่อนเลือกซื้อยาแก้ไอเด็ก
1. สังเกตลักษณะอาการไอของลูกน้อย
การสังเกตอาการไอของลูกเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากอาการไอในไวเด็กสามารถบอกโรคหรืออาการที่จะตามมาหลังจากการไอได้ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคปอด โรคหลอดลม เชื้อไวรัส เชื้อไอกรน(Whooping Cough) เชื้อแบคทีเรีย การระคายเคืองจากควันต่าง ๆ และการมีสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในหลอดลมหรือช่องคอ ซึ่งบางโรคอาจจะทำให้เกิดอาการไอแห้งและบางโรคอาจทำให้เกิดอาการไอเปียก ดังนั้นควรพบแพทย์เพื่อเช็กต้นตอของอาการไอร่วมด้วย
2. ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ
วัยเด็กร่างกายยังเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านร่างกายได้ไม่เต็มที่ การเลือกซื้อยาแก้ไอเด็กจึงเป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างมาก เนื่องจากส่วนผสมในตัวยาบางชนิดอาจทำให้เด็กเกิดอาการแพ้ หรือร่างกายรับผลค้างเคียงของสารต่าง ๆ ไม่ไหวอาจจะทำให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายตามมา ทางออกที่ดีที่สุดควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาตัวยาแก้ไอเด็ก
3. ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวยารวมถึงผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของยาแก้ไอเด็กหลัก ๆ จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- ยาละลายเสมหะ (Mucolytics) หรือ ยาขับเสมหะ (Expectorants) ผลค้างเคียงคือ อ่อนเพลีย สับสน มึนงง ต่อมผลิตนํ้าลายออกมาเยอะกว่าปกติ และมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
- ยากดอาการไอ (Antitussive/Cough suppressant) ผลค้างเคียงคือ อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ และคลื่นไส้อาเจียน
4. ใช้อุปกรณ์ป้อนยาที่มีความเหมาะสม
อุปกรณ์ป้อนยาหลัก ๆ ที่นิยมใช้กันมี 2 ประเภท ดังนี้
- ไซรินจ์ (Syringe) มีหน่วยวัดเป็นมิลลิลิตรและออนซ์ ซึ่งแม่นยำต่อการวัดสัดส่วนปริมาณยาที่ควรบริโภคในแต่ละครั้งตามฉลากข้างขวดยา
- ช้อน ควรใช้ช้อนที่แถมมากับตัวยาเท่านั้น เนื่องจากช้อนยาดังกล่าวมีการวัดปริมาณยาที่ควรบริโภคในแต่ละครั้งไว้ให้แล้ว เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาต่อร่างกาย
5. หากอาการไม่ดีขึ้น ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
หากลูกของคุณทานยาแก้ไอสำหรับเด็กแล้วอาการไม่ดีขึ้น ยังคงไอติดต่อกันเกิน 3 เดือน และมีอาการไอที่รุนแรงขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กร่างกายหาสาเหตุของอาการไอเพิ่มเติม
ยาแก้ไอเด็กแบบไหนดี
1. เลือกยาให้ตรงกับลักษณะอาการไอ
พ่อแม่ควรสังเกตอาการไอของลูกเพื่อที่จะได้เลือกซื้อยาแก้ไอสำหรับเด็กรักษาได้ตรงตามอาการและให้การรักษามีประสิทธิภาพที่สุด คุณสมบัติของยาแก้ไอเด็กหลัก ๆ จะมีอยู่ 3 ประเภท ดังนี้
- ยาแก้ไอละลายเสมหะ ช่วยละลายความหนืดของเสมหะที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดลม
- ยาแก้ไอขับเสมหะ ช่วยกระตุ้นการผลิตของนํ้าบริเวณช่องคอ เพื่อให้สามารถขับเสมหะออกมาได้ลื่นขึ้น
- ยาแก้ไอแบบไม่มีเสมหะ ออกฤทธิ์กับระบบประสาท ช่วยในการกดอาการไอได้
2. เลือกรูปแบบยาแก้ไอที่เหมาะสมสำหรับเด็ก
ยาแก้ไอสำหรับเด็กส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบนํ้า เนื่องจากกลไกการกลืนของวัยเด็กยังไม่พัฒนาได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นการเลือกยาน้ำแก้ไอ เด็กจึงทานง่ายและเหมาะสมสำหรับเด็กมากกว่า
3. เลือกยาแก้ไอรสชาติผลไม้เพื่อให้ทานง่าย
เด็กส่วนใหญ่จะต่อต้านเมื่อรู้ว่าต้องทานยา เพราะเด็กจะคิดอยู่เสมอว่ายาต้องมีรสชาติขมเท่านั้น ดังนั้นยาแก้ไอเด็กควรทำให้มีรสชาติผลไม้เพื่อง่ายต่อการทาน
4. เลือกยาแก้ไอที่ปราศจากน้ำตาลและแอลกอฮอล์
ควรเลือกยาแก้ไอเด็กที่ไม่มีนํ้าตาล เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับปริมาณนํ้าตาลเยอะเกินไป และป้องกันฟันผุสำหรับเด็ก ๆ และที่สำคัญควรเลือกยาแก้ไอเด็กที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย
5. เลือกซื้อยาที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานอย.
ขึ้นชื่อว่า “ยา” จำเป็นต้องได้รับมาตรฐานการตรวจสอบความปลอดภัยระดับสูงอย่าง อย. เพื่อเช็กส่วนผสมและคุณภาพของยา เนื่องจากต้องใช้บริโภคเพื่อการรักษา
ยาแก้ไอที่ไม่ควรใช้ในเด็ก
ยาแก้ไอที่ไม่ควรใช้ในเด็กแบ่งออกตามอาการไอได้ 3 ประเภท ดังนี้
- อาการไอไม่มีเสมหะ
ส่วนผสมของตัวยาแก้ไอเด็กที่อายุตํ่ากว่า 4 ขวบควรหลีกเลี่ยง คือ โคเดอีน (Codeine), ไฮโดรโคโดน (Hydrocodone) และเดกซ์โทรเมทอร์แฟน (Dextromethorphan) เนื่องจากเป็นยาควบคุมกลไกทางสมองเพื่อกดอาการไอ ผลข้างเคียงคือ หากใช้ติดต่อกันนานจะทำให้เสพติด มีอาการง่วงซึมตลอดเวลา และหากบริโภคเกินขนาดจะทำให้วิงเวียนและอาเจียนได้
- ยาละลายเสมหะ
ส่วนผสมที่ไม่ควรมีในยาแก้ไอสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบคือ บรอมเฮกซีน (Bromhexine), อะเซทิลซิสเทอีน (Acetylcysteine), แอมบรอกซอล (Ambroxol) และคาร์บอกซีเมทิลซิสเทอีน (Carboxymethylcysteine) เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดแผลในกระเพาะจนมีเลือดออก รวมไปถึงอาจจะทำให้อุจจาระมีสีดำ
- ยาขับเสมหะ
ส่วนผสมที่ไม่ควรมีในยาแก้ไอเด็ก คือ สมุนไพรแก้ไอสำหรับเด็กมะแว้งหรือมะขามป้อม, แอมโมเนียมคลอไรด์ (Ammonium Chloride), ไกวเฟนิซิน (Guaifenesin) และทอร์พีนไฮเดรต (Terpin hydrate) เนื่องจากจะทำให้ คลื่นไส้และอาเจียน
ข้อควรระวังก่อนให้ลูกน้อยทานยาแก้ไอ
ข้อควรระวังก่อนให้ลูกน้อยทานยาแก้ไอเด็ก มีดังนี้
- ควรเลือกซื้อยาแก้ไอสำหรับเด็กประเภทนํ้า เนื่องจากระบบการกลืนเม็ดยาของเด็กยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ต้องอายุเกิน 8 ขวบขึ้นไปถึงจะทานยาเม็ดได้ แต่ถ้าหากไม่มียานํ้า ควรบดเม็ดยาให้เป็นผงละเอียดและผสมนํ้าให้เด็กทาน
- ไม่ควรผสมยาในอาหารหรือนม เพราะอาจจะทำให้เด็กได้รับปริมาณยาไม่ครบโดส หากเด็กทานอาหารหรือนมไม่หมด
- ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชทุกครั้งก่อนเลือกซื้อยา เพื่อป้องกันสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้และก่อให้เกิดผลข้างเคียงด้านลบตามมา
- ควรศึกษาส่วนผสมและวิธีการทานบนฉลากข้างขวดเสมอ
- ควรใช้ไซรินจ์ (Syringe) หรือ ช้อนยาในการวัดปริมาณโดสที่ควรทานในแต่ละครั้ง เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณยาที่มีประสิทธิภาพและถูกต้องในการรักษา
- ยาทุกชนิด หากทานในปริมาณที่เหมาะสมจะเป็นยารักษาโรค แต่ถ้าหากทานในปริมาณที่มากเกินไปจะเป็นโทษแทนการรักษา ดังนั้นควรบริโภคยาแต่จำเป็นเท่านั้น
วิธีอื่นที่ช่วยบรรเทาอาการไอสำหรับเด็ก
1. ใช้เครื่องทำความชื้นและเครื่องฟอกอากาศ
หากอยู่ในอาการที่แห้งเกินไป อากาศไม่ปลอดโปร่งไม่ถ่ายเท และมีฝุ่นควัน อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคันคอจนทำให้เกิดการไอ ดังนั้นควรใช้เครื่องทำความชื้นหรือเครื่องฟอกอากาศเพื่อลดอาการไอ
2. ดื่มน้ำสะอาดเยอะๆ
การดื่มนํ้าเปล่าอุณหภูมิห้องหรือนํ้าอุ่น ช่วยลดอาการคันคอและอาการไอได้ เนื่องจากการดื่มนํ้าจะทำให้ชุ่มคอ
3. จิบน้ำผึ้งบรรเทาอาการ
นํ้าผึ้งสามารถใช้แทนยาแก้ไอสำหรับเด็กได้ เนื่องจากนํ้าผึ้งมีคุณสมบัติช่วยให้ชุ่มคอ สามารถลดอาการคอแห้งและคันคอซึ่งเป็นสาเหตุของการไอได้
4. ใช้น้ำเกลือช่วยล้างจมูก
หากเจอฝุ่นและมลภาวะมา การใช้นํ้าเกลือล้างจมูกมีส่วนช่วยในการป้องกันฝุ่นละอองจากจมูกลามลงไปที่คอได้ เพื่อป้องกันการไอ ควรใช้น้ำเกลือช่วยล้างจมูกควบคู่ไปด้วย
5. ใช้สารเมนทอลทาบริเวณหน้าอก
นอกจากจะใช้วิธีการทานยาแก้ไอเด็กแล้ว การใช้ยาทาภายนอกหรือครีมที่มีส่วนผสมของเมนทอลทาบริเวณหน้าอก จะช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก คันคอ และอาการไอได้
ข้อสรุป
ปัจจุบันทางการแพทย์ได้ผลิตยาแก้ไอสำหรับเด็กหลากหลายรูปแบบ เช่น ยาแก้ไอละลายเสมหะ เด็ก, ยาอมแก้ไอ เด็ก, ยาพ่นแก้ไอ เด็ก และยาอมแก้เจ็บคอ สำหรับเด็ก ดังนั้นควรเลือกยาแก้ไอเด็กที่เหมาะสมกับช่วงวัย เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณยาที่เหมาะสม เนื่องจากยาคือสารเคมีประเภทหนึ่ง หากบริโภคน้อยเกินไปก็จะรักษาไม่ได้ประสิทธิภาพ แต่ถ้าหากบริโภคมากเกินไปจะทำให้เกิดผลข้างเคียงด้านลบตามมาทันที
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้