ความรู้เกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนนเพื่อความปลอดภัยของทุกคน
ความปลอดภัยเป็นสิ่งสาคัญต่อการใช้รถใช้ถนน เนื่องจากเป็นผลดีต่อทั้งตัวผู้ขับขี่และเพื่อนร่วมทางรอบข้าง แต่ทาไมสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์จึงเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งเมื่อตัดปัจจัยของการเพิ่มปริมาณรถยนต์บนท้องถนนที่มีโอกาสทาให้ตัวเลขผู้ประสบอุบัติเหตุเพิ่มมากขึ้นแล้ว “ความประมาท” และ “การขาดความรู้เรื่องการใช้รถใช้ถนน” น่าจะเป็นสาเหตุหลักของอุบัติการณ์อันน่าสลดใจเหล่านี้ การเป็นนักขับรถที่ดีไม่ใช่จะขับรถอย่างเดียว ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนนในหลาย ๆ ด้าน ดังนี้
หลักการตรวจสภาพรถยนต์เบื้องต้น เพื่อการเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง
- ตรวจระบบไฟส่องสว่างทั้งหมด
- ตรวจสภาพยางรถยนต์ และเช็คลมยาง
- ตรวจระบบแตร
- ตรวจยางใบปัดน้าฝน
- ระดับน้ามัน (น้ามันเครื่อง, น้ามันเกียร์, น้ามันเบรก และน้ามันพวงมาลัย
- ระดับน้าในหม้อน้า และถังพักน้า
- ระดับน้ากรดของแบตเตอรี่
- ระดับน้าล้างกระจก (ทั้งหมดนี้จะต้ออยู่ในระดับที่กาหนด)
- ตรวจห้องโดยสาร
- เข็มขัดนิรภัย
- แป้นเบรก แป้นคลัทช์ และเบรกมือ
- มาตรวัดต่าง ๆ
- ตรวจห้องเก็บสัมภาระ
- ยางอะไหล่ (ต้องมีพร้อม)
- เครื่องมือประจารถ (เช่น เครื่องมือเปลี่ยนยาง)
ความรู้เกี่ยวกับรถที่นามาใช้
1. ห้ามนารถที่มีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรงมาใช้ในทางเดินรถ เพราะอาจเกิดอันตรายหรืออาจทาให้ผู้ใช้และคนรอบข้างเสียสุขภาพ เช่น รถตัวถังผุ ยางล้อรถไม่มีดอกยาง มีควันดา ฯลฯ
2. รถที่นามาใช้ต้องมี โคมไฟหน้า-หลัง-ไฟเลี้ยว-ไฟจอด-ไฟเบรก-ไฟฉุกเฉิน-แตร-เบรกมือที่ใช้การได้-ที่ปัดน้าฝน ครบถูกต้องตามกฎหมาย และต้องติดแผ่นป้ายทะเบียนหน้า-หลัง และติดป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีด้วย
ความรู้ในเรื่องอุบัติเหตุจราจรและการป้องกัน
อุบัติเหตุเป็นเรื่องที่เราป้องกันได้ โดยการแก้ไขจากสาเหตุที่ทาให้เกิดนั้นสาหรับการใช้รถใช้ถนนแล้ว สาเหตุที่ทาให้เกิดอุบัติเหตุแก่ผู้ขับขี่ยานพาหนะตลอดจนสร้างความเสียหายแก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม ได้แก่
1. ผู้ขับขี่ขาดความรอบรู้ในการใช้รถใช้ถนน
2. ประชาชนผู้เดินถนนขาดความรู้เกี่ยวกับการเดินถนน ตลอดจนการโดยสารที่ปลอดภัย
3. ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และขับรถอยู่บนความประมาทขาดความระมัดระวัง หรือขับรถในขณะมึนเมา ซึ่งอุบัติเหตุบนท้องถนนในปัจจุบันที่กาลังเพิ่มปริมาณขึ้นเกิดจากสาเหตุนี้โดยหลักใหญ่ ดังจะเห็นได้ว่ามีโครงการรณรงค์ไม่ให้ผู้ขับรถดื่มสุราหรือของมึนเมาขณะขับรถ
ความรู้ในการขับรถที่เสี่ยงต่ออันตราย
หมายถึงการขับรถบนถนนที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ เช่น ถนนลื่น ขึ้นลงเขาหรือขับรถทางไกล ซึ่งผู้ขับขี่ควรมีความรู้ต่าง ๆ ดังนี้
1. ขับรถขณะฝนตกถนนลื่น ควรชะลอความเร็วรถให้ช้าลงกว่าปกติและทิ้งระยะห่างจากคันหน้าให้มากขึ้น ถ้าขับรถอยู่บนทางที่ให้รถขับสวนกันก็ควรเปิดไฟหน้ารถเพื่อเตือนให้รถที่วิ่งสวนมามองเห็น เวลาจะหยุดรถควรใช้เกียร์ช่วยไม่ควรเหยียบเบรกโดยกระทันหันหรือหักพวงมาลัยรถอย่างฉับพลันเพราะอาจทาให้รถปัดหรือหมุนได้
2. การขับรถขึ้น-ลงเขาสูง เวลาขับรถขึ้นเขาควรใช้เกียร์ต่าที่มีกาลังพอเพราะถ้าเครื่องยนต์ไม่มีกาลังพอจะทาให้รถดับได้ ถ้ารถดับและไหลลงจากขาต้องเหยียบเบรกและใช้เบรกมือช่วย ส่วนเวลาลงเขาก็ควรใช้เกียร์ต่าเช่นกันเพื่อฉุดกาลังไม่ให้ไหลเร็วจนเกินไป หรือคอยประคองรถด้วยการเหยียบเบรกชะลอให้รถช้าพอที่จะบังคับได้
3. การขับรถทางไกล ในบางครั้งเมื่อมีความจาเป็นต้องขับรถเดินทางไกล ซึ่งอาจมีโอกาสประสบอุบัติเหตุได้ ดังนั้นผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตนดังนี้
ก. ตรวจสภาพและอุปกรณ์ต่าง ๆ ของรถ ให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีและปลอดภัยก่อนออกเดินทาง ดังนี้
- ตรวจช่วงล่าง คันส่งคันชักพวงมาลัย
- ตรวจยางทั้ง 4 ล้อ และยางอะไหล่ด้วย ยางไม่มีดอกควรเปลี่ยน น็อตล้อขันแน่นหรือไม่ วัดลมยางทั้ง 4 ล้อ ให้ได้ขนาดเหมาะสมกับรถ และควรมีที่วัดลมยางติดไปด้วย
- เตรียมแม่แรงประจารถ เหลักขันแม่แรงและกุญแจขันแม่แรง พร้อมทั้งตรวจสอบว่าใช้การได้หรือไม่
- ตรวจระบบเบรก ผ้าเบรก น้ามันเบรก และตรวจเบรกมือว่าใช้การได้ดีหรือไม่
- ตรวจระบบเครื่องยนต์ ลองสตาร์ทเครื่องว่าเดินเรียบหรือไม่ ถ้าเครื่องเดินไม่เรียบอาจต้องเปลี่ยนหัวเทียนหรือทองขาว
- ตรวจดวงไฟหน้าทั้งสองดวง รวมถึงไฟทุกดวงของรถ ต้องสว่างเพียงพอและให้การได้ดีทุกดวง ปรับไฟสูง - ไฟต่า ให้ได้ขนาดตามที่กาหนดไว้ ถ้าหลอดขาวหรือฟิวส์ขาดให้เปลี่ยน
- ตรวจระดับน้ากลั่นในแบตเตอรี่ น้าในหม้อน้า (รังผึ้ง) ถ้าหม้อน้าแห้งหรือทางเดินของน้าหมุนเวียนอุดตัน เครื่องยนต์จะร้อน สังเกตได้จากหน้าปัดวัดความร้อน อาจทาให้เสื้อสูบแตกหรือชาร์จละลาย
- ตรวจน้าล้างกระจก ท่อฉีดน้ากระจกต้องไม่อุดตัน ที่ปัดน้าฝนยังใช้การได้ดี
- ตรวจน้ามันเครื่อง และไส้กรองน้ามันเครื่องจะต้องเปลี่ยนทุก 5,000 - 10,000 กม.
- ตรวจน้ามันเชื้อเพลิงว่ามีเพียงพอหรือไม่ และไส้หม้อกรองน้ามันเชื้อเพลิงต้องสะอาด ซึ่งจะต้องเปลี่ยนทุก 10,000- 20,000กม.น้ามันเชื้อเพลิงต้องเติมให้ค่าออกเทนตรงกับสภาพรถซึ่งสามารถ สอบถามได้ตามสถานีบริการน้ามันต่างๆ
- ตรวจระบบแตรว่าใช้การได้ดีหรือไม่
- ตรวจระบบแอร์ ถ้าน้ายาแอร์ไม่พอ แอร์จะไม่เย็น และให้ตรวจดูสายพานแอร์ว่า
- ตรวจการรั่วไหลของน้า น้ามันเชื้อเพลิง น้ามันหล่อลื่นต่าง ๆ
- นารถไปอัดฉีดจาระบีล้อ เติมน้ามันเกียร์ น้ามันเฟืองท้าย
ข. เตรียมอุปกรณ์และอะไหล่ที่จาเป็นระหว่างทาง คือ ฟิวส์ต่าง ๆ ของรถ หลอดไฟหน้า-หลัง แกลลอนหรือถังน้าสาหรับเติมน้าในหม้อน้า แกลลอนน้ามันเครื่อง น้ามันเชื้อเพลิง ไฟฉาย เครื่องดับเพลิงสาหรับ
รถ น้ายาปะอุดยางพร้อมเติมลมได้ด้วย เชือกไนล่อนขนาดนิ้วก้อยยาวประมาณ 10 เมตร สาหรับลากรถเมื่อรถเสีย ชุดปฐมพยาบาล และไม้รองล้อทั้ง 4 ล้อ
ค. ก่อนขับรถทางไกล ผู้ขับขี่ควรพักผ่อนอย่างเพียงพอ
ง. การขับรถทางไกลในระยะเกินว่า 150 กม. ควรมีอีกคนคอยเปลี่ยนขับ
จ. งดเว้นการดื่มสุรา หรือของมึนเมาทุกชนิด
ฉ. ถ้ามีฝนตกขณะเดินทาง น้าโคลนกระเด็นเปื้อนไฟรถ ควรหยุดรถแล้วเช็ดให้สะอาด
ช. ถ้าน้าในหม้อน้าหมดระหว่างขับรถ เวลาเติมน้าในหม้อน้าควรใช้ความระมัดระวัง อย่าเอาหน้าเข้าใกล้มาก เพราะน้าจะดันฝาไอน้าร้อนจะเข้าตาหรือถูกมือ และอย่าเติมน้าทันทีต้องปล่อยให้เย็นเสียก่อนมิฉะนั้นฝาสูบหรือเสื้อสูบจะแตก
ซ. ควรศึกษาแผนที่ คู่มือการท่องเที่ยว ถามผู้รู้เมื่อเกิดปัญหา
ฌ. ขับรถปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ดังนี้
o อย่าแซงรถในที่คับขัน ขณะขึ้นลงเขาสูง บนสะพาน ทางโค้ง ทางแยกทางร่วม หรือจุดที่มีเส้นขาวทึบหรือเหลือทึบ
o อย่าขับรถตามหลังรถคันอื่นในระยะทางกระชั้นชิด
o อย่าขับรถแข่งกันด้วยความคึกคะนอง
o อย่าขับรถเร็วเกินอัตรากาหนด
o ควรให้สัญญาณก่อนหยุดรถ เลี้ยวรถ ขอทางแซง
o รถที่ขับช้ากว่ารถคันอื่น ๆ ควรใช้ทางเดินรถด้านซ้าย
o ทางเดินรถที่มีมากกว่า 1 ช่อง ให้ขับชิดช่องทางที่ 1 ชิดซ้ายมือ ยกเว้นจะแซงขึ้นหน้าหรือเลี้ยวขวา เมื่อแซงแล้วก็ให้กลับเข้าช่องทางที่ 1
o ขับรถส่วนกันควรใช้ไฟต่า
o เวลาขับรถผ่านทางแคบระหว่างภูเขา หรือระหว่างเนินควรชิดขอบทางซ้าย และเมื่อถึงทางโค้งควรส่งสัญญาณให้รถอื่นที่สวนมารู้
ความรู้ในการใช้รถหลังจากเกิดอุบัติเหตุ
เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วหากผู้ขับรถมีความรู้เพียงพอที่จะบรรเทาเหตุนั้นไม่ให้นาไปสู่ความรุนแรงได้ ก็จะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยป้องกันได้ ซึ่งอุบัติเหตุที่ควรรู้และสามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีมีดังต่อไปนี้
* เบรกแตก คือ เมื่อเหยียบเบรกแล้ว คันเหยียบเบรกจมหายไปและรถไม่หยุด ก็อย่าตกใจ แก้ไขได้โดยใช้เกียร์ต่าในทันที หากจวนตัวมากก็ควรเปลี่ยนจากเกียร์ 4 มาเกียร์ 2 เลย แล้วดึงเบรกมือช่วย พร้อมกับประคองพวงมาลัยรถให้อยู่ในบังคับเพื่อหลบหลีกรถอื่น ๆ ในกรณีคับขันได้
* ยางแตกหรือระเบิด อาการของยางแตกเพราะรั่วโดยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ยางจะค่อย ๆ แบนลง พวงมาลัยรถจะหนักหรือกินไปทางด้านนั้น วิธีแก้ต้องรีบเบารถทันทีโดยเปลี่ยนเกียร์ลงเรื่อย ๆ เพื่อใช้เครื่องชะลอรถให้ช้าลง ในขณะที่รถแล่นด้วยความเร็วสูง "อย่าเหยียบเบรก" จะเหยียบได้ก็ต่อเมื่อรถช้าลงแล้วและแอบเข้าข้างทางเพื่อเปลี่ยนยางต่อไป
ในกรณีที่ยางระเบิดมีเสียงดับและรถมีอาการทรุดฮวบ แฉลบหรือปัดเฉออกนอกแนวทาง ก็อย่าตกใจ ต้องคุมสติให้อยู่ อย่าเหยียบเบรกเพราะรถอาจคว่าได้ พยายามบังคับพวงมาลัยให้รถอยู่ในเส้นทาง รีบปล่อยคันเร่งพร้อมกับเปลี่ยนใช้เกียร์ต่าลดลงเรื่อย ๆ เพื่อชะลอให้รถช้าลง จึงค่อยเหยียบเบรกและแอบรถเข้าข้างทางเพื่อเปลี่ยนยางต่อไป
* รถเสีย ให้นารถจอดแอบเข้าข้างทางและจะต้องเปิดไฟสัญญาณฉุกเฉิน เพื่อเตือนให้รถอื่น ๆ เห็น
* เมื่อรถชนกันกลางถนนไม่สามารถแอบเข้าข้างทางได้ ผู้ประสบเหตุหรือประชาชนไม่ควรเข้าไปมุงดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลากลางคืนเพราะอาจเกิดอันตรายจากรถที่วิ่งสวนทางมาได้ บางครั้งรถอื่นอาจพุ่งเข้าไปในฝูงชนจะทาให้ตายและบาดเจ็บเพิ่มมากขึ้น และควรรีบแจ้งตารวจหรือตารวจจราจรให้เข้ามาดูแลสถานการณ์โดยเร็ว
ความรู้สาหรับคนเดินเท้า
1. การเดินถนน
- ถนนที่มีทางเท้าจัดไว้ควรเดินบนทางเท้า อย่าเดินใกล้ทางรถ โดยหันหลังให้รถที่กาลังแล่นมา ก่อนที่จะก้าวลงทางรถต้องมองซ้าย-ขวาก่อนเสมอ
- ถนนที่ไม่มีทางเท้า ควรเดินชิดขอบริมทางขวาของถนน และถ้ามากันเป็นหมู่คณะก็ไม่ควรเดินคู่กัน ควรเดินเรียงเดี่ยว
- เวลาจูงเด็กควรให้เด็กเดินด้านในของถนนและจับมือเด็กไว้ให้มั่นเพื่อป้องกันเด็กวิ่งออกไปในทางรถ
- การเดินถนนในที่มืด ควรสวมเสื้อขาวและถ้าเป็นไปได้ควรพกไฟฉายติดตัวไว้สาหรับส่องทาง
- แถวหรือขบวนทหาร ตารวจ ลูกเสือ หรือนักเรียนที่เดินกันอย่างเป็นระเบียบจะเดินบนทางรถก็ได้โดยเดินชิดทางรถด้านขวา หรือด้านซ้ายตามความจาเป็น
2. การข้ามถนน
- ควรข้ามถนบนทางม้าลายทุกครั้ง หรือใช้สะพานลอย ซึ่งถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด และหากจาเป็นต้องข้ามถนนในเวลากลางคืนก็ควรหาที่ข้ามที่มีแสงสว่าง
- ก่อนข้ามถนนทุกครั้งควรมองซ้าย-ขวา ให้แน่ใจว่าไม่มีรถกาลังแล่นมา จึงจะข้ามได้ และควรเดินอย่างรวดเร็ว อย่าวิ่งข้ามถนน
- อย่าข้ามถนนโดยออกจากที่กาบังตัว เช่น ออกจากซอย รถที่จอดอยู่ เพราะหากรถที่สวนมามองไม่เห็นล่วงหน้าอาจทาให้เกิดอันตรายได้
- การข้ามถนนที่รถเดินทางเดียว ต้องแน่ใจเสียก่อนว่ารถแล่นมาทางไหนและมีความปลอดภัยพอจึงจะข้ามได้
- ถนนที่มีเกาะกลางถนนต้องข้ามทีละครึ่งถนน โดยข้ามครั้งแรกแล้วพักที่เกาะกลาง จากนั้นจึงข้างครึ่งหลังต่อไป
- การข้ามถนนในช่องทางข้ามที่บริเวณทางแยกควรระวังรถที่จะเลี้ยวเข้ามาหาตัวท่านด้วย
- อย่าข้ามถนนเมื่อตารวจกาลังปล่อยรถเดินอยู่ หรือเมื่อตารวจให้สัญญาณห้ามคนเดินเท้าอยู่ และถ้าไม่มีตารวจแต่มีสัญญาณไฟคอยบอก ถ้าเห็นรูปคนสีเขียวกะพริบขึ้นที่สัญญาณไฟก็ให้รีบข้ามถนนโดยเร็ว
3. การขึ้นลงรถประจาทาง
- อย่าขึ้นหรือลงรถประจาทางจนกว่ารถจะหยุดสนิทที่ป้ายหยุดรถ และถ้าจะข้ามถนนต้องรอให้รถประจาทางออกไปให้พ้นเสียก่อน จะได้มองเห็นรถคันอื่นที่แล่นมาได้ชัดเจน
การสวมหมวกนิรภัย หรือหมวกกันน็อค
เป็นกฎบังคับอย่างเคร่งครัดที่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และคนโดยสารจะต้องสวมหมวกนิรภัยไม่ว่าในกรณีใดก็ตามเพื่อความปลอดภัยต่อตัวผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ซึ่งหากมีการละเมิดฝ่าฝืนไม่ทาตาม ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารจะมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท เตือนตัวเองไว้เสมอว่า "ลืมหมวก เจอหมู่ !" ท่านสามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ http://automotor789.com
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้