Android L หรือ แอนดรอยด์ 5 เขามาแล้ว จิม!
ปิดฉากไปเรียบร้อยแล้วสำหรับงาน Google I/O งานสัมนาและเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ประจำปีของกูเกิ้ลที่นับวันก็จะยิ่งล้ำหน้าเกินใครในปฐพีออกไปเรื่อยๆ หากแต่ธรรมเนียมที่สาวกจับตามองทุกปีก็น่าจะโฟกัสไปที่ความก้าวหน้าในการพัฒนาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยในครั้งนี้ก็มีสัญญาณที่ชัดเจนออกมาแล้วกับ OS เวอร์ชั่นล่าสุดนั่นก็คือ Android 5 หรือนิคเนมเฉพาะกิจที่ใช้เรียกภายในงานว่า Android L
.....อืม แน่นอนครับ L ตัวนี้จะต้องเป็นชื่อนำหน้าของขนมอะไรสักอย่างที่จะมาเป็นโค้ดเนมหมายเลข 5 ของแอนดรอยด์ ลองเดาสิว่าน่าจะเป็นชื่อขนมอะไร อาจจะเป็น "เลมอน ดร็อป" (ลูกอมรสเลมอน), "เลดี้ ฟิงเกอร์" (ขนมปังกรอบรูปทรงแบบแท่ง) "ลิโคริช" (ขนมหวานรสชะเอม) หรือ "โลลลี ป๊อป" (อมยิ้มหลากรส) ซึ่งชาวบล็อกก็เดากันไปต่างๆ นานา แต่ก่อนจะไร้สาระไปมากกว่านี้ กลับมาเข้าประเด็นของเราดีกว่า ว่ากันด้วยเรื่องของการอัพเดทสิ่งใหม่ๆ ที่จะมีใน Android L เพื่อให้ชาว'ดรอยด์ เตรียมตัวใช้งานจริงซึ่งจะ launch ออกมาในปลายปีนี้แน่นอนครับ
โมดิฟายหน้าตาโฉมใหม่ Material Design
หน้าตาของแอนดรอยด์ตัวใหม่นี้ค่อนข้างจะพลิกโฉมไปจากเดิมพอสมควรครับ สวยงามหรือไม่ก็แล้วแต่คนมองว่าจะถูกใจแค่ไหนอย่างไร เรียกว่า “น่าตื่นตาตื่นใจ” ก็แล้วกัน เพราะกูเกิลเคลมว่าสามารถพัฒนาต่อยอดไปสู่หน้าจอ 3 มิติในอนาคตได้! พอจะได้กลิ่นการขับเคี่ยวกันกับ Fire ของ Amazon แล้วใช่มั้ยครับ แบบนี้
กูเกิลบอกว่า Material Design ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกระดาษและหมึก เน้นรูปทรงเรขาคณิต เส้นตรง แสงเงา และสีสันฉูดฉาดสดใส มีฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อ paletteช ที่ช่วยเปลี่ยนสีหน้าตาของเราให้เหมาะกับภาพพื้นหลัง นอกจากนี้ยังแสดงผลสามมิติพร้อมแสงและเงาแบบเรียลไทม์แล้วก็ มีแอนิเมชั่นขณะที่ใช้งานอยู่เป็นลูกเล่นอีกด้วย ในด้านผู้ใช้และผู้พัฒนาจะยังได้ประโยชน์ในเรื่องของการออกแบบกราฟิกเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลมากขึ้นเป็น 60 เฟรมต่อวินาที
การเชื่อมต่อ
Android 5.0 หรือ Android L ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออุปกรณ์อย่างสมาร์โฟนหรือแท็บเล็ตเท่านั้นมันถูกออกแบบมาเพื่อนที่จะสามารถทำงานบนอุปกรณ์ต่างๆได้เช่น คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์ Wearable Device, รถยนต์, ทีวี ซึ่งแน่นนอนมันจะสามารถแชร์ข้อมูลระหว่างกันได้
PROJECT VOLTA เวอร์ชั่นนี้โฟกัสเรื่องพลังงาน
ถือว่าเป็นคีย์โปรเจคท์ของเวอร์ชั่นล่าสุดครับ ซึ่งที่ผ่านมาแต่ละเวอร์ชั่นก็จะต้องมีคีย์โปรเจคท์เฉพาะที่บ่งชี้แอนดรอยด์จะขอเป็นผู้นำร่องในการพัฒนาเทคโนโลยีนั้นๆ (ส่วนใครจะตาม และตามยังไง ก็คงเห็นๆ กันอยู่) เช่น ในแอนดรอยด์เจลลีบีนก็เคยมี Project Butter พัฒนาองค์รวมด้านการใช้งานให้ลื่นไหลตามความพึงพอใจของผู้ใช้งานให้มากที่สุด ส่วนในคิทแคท ก็มี Project Svelte ที่พัฒนาให้มีการบริโภคทรัพยากรภายในระบบให้น้อยลง
Project Volta เป็นโครงการโฟกัสไปที่พลังงาน ซึ่งก็คือแบตเตอรี่ โดยไม่ได้มุ่งหวังที่จะต้องประหยัดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ก็ต้องแข็งแกร่งพอที่จะทำให้แบตเตอรี่มีความอึดที่สุดในทุกสภาวะการใช้งาน ซึ่งก็ต้องรวมไปถึงระบบจัดการแบตเตอรี่ก็จะต้องดีขึ้นด้วยนั่นเอง สิ่งที่จะเกิดขึ้นจาก Project Volta ก็คือ จะมีโหมด Battery Saver โหมดประหยัดแบตเตอรี่ตรงตัว ซึ่งก็น่าจะเป็นที่ถูกอกถูกใจผู้ใช้งานยุคปัจจุบัน และก็คงอยากพิสูจน์กันจะแย่แล้วว่า โปรเจคท์นี้จะทำออกมาได้ยอดเยี่ยมเพียงใด
ซึ่งล่าสุดก็มีรายงานว่าทาง Ars Technica ได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพของ Project Volta โดยนำ Nexus 5 เครื่องเดียวกันมารันทดสอบการใช้งานแบตเตอรี่ทั้งบน Android 4.4.4 และ Android L Developer Preview โดยบังคับเปิดจอตลอดเวลาโดยตั้งความสว่าง 200 nit, เปิด Wi-Fi และโหลดเว็บเพจใหม่ทุก 15 วินาทีไปเรื่อยๆ จนแบตหมด, ไม่เปิดใช้ฟีเจอร์ Battery Saver ที่เป็นของใหม่ใน Android L เหมือนกัน ผลที่ได้คือ Nexus 5 รัน Android 4.4.4 อยู่ได้นาน 345 นาที Nexus 5 รัน Android L อยู่ได้นาน 471 นาที (มากกว่ากัน 2 ชั่วโมงหรือ 36%) ---- (ข้อมูลจาก Blognone) เพียงเท่านี้ก็น่าจะทำให้เห็นชัดขึ้นนะครับว่า โปรเจคท์นี้พัฒนาออกมาได้มีความหวังเลยทีเดียว
สู่ยุค ART RUNTIME เพื่อรองรับ 64 BIT
อัลกอริธึมตัวล่าสุดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความหวังอันเรืองรองของคนใช้แอนดรอยด์ที่พร้อมจะต้อนรับการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงขีดสุดอีกครั้ง เมื่อ Android L ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ ART (Algorithm Ahead-Of-Time) runtime ซึ่งชัดเจนว่ามีประสิทธิภาพดีกว่า Dalvik ที่เป็นเทคโนโลยีเก่าทำให้การทำงานของเครื่องเร็วขึ้น บางกระแสบอกว่าเร็วกว่าถึง 50% ประเด็นสำคัญคือการปรับมาใช้เพื่อรองรับการทำงานแบบ 64 bit โดยเฉพาะ นั่นหมายความว่าออกมาต้อนรับความเร็วความแรงของแอพพลิเคชั่นและฟีเจอร์ล้ำๆ ทั้งหลายล่วงหน้านั่นเองครับ
ความจริงทางกูเกิลมีการทดลองใช้ ART มาตั้งแต่ Android 4.4 KitKat แต่ก็เป็นการทำไปเทสท์ไปควบคู่กับการเปรียบเทียบกับรันไทม์ตัวเดิมคือ Dalvik ในสภาวะการใช้งานจริงไปในตัวด้วย
PERSONAL LOCK ปลดล๊อคหน้าจอแบบใหม่
เจ้าตัวนี้จัดว่าเป็นตัวเองในเซ็ทของ Factory Reset Protection ชุดป้องกันความปลอดภัยนั่นเองครับ ซึ่งภายใน Factory Reset Protection ที่จะกล่าวถึงคร่าวๆ ก็คือจะมีระบบป้องกันการถูกโจรกรรมและเปลี่ยนแปลงข้อมูล (กูเกิลมองเกมขาดจริงๆ ว่ามิจฉาชีพสมัยนี้ฉลาดขนาดไหน) โดยที่จะป้องกันมิจฉาชีพจอมฉลาดสั่งรีเซ็ทค่าโรงงานเมื่อเครื่องของผู้ใช้ถูกขโมย แถมยังใส่ใจในเรื่องของซอฟท์แวร์ด้วยการยังเพิ่มระบบป้องกัน Malware ให้ด้วยเช่นกัน
การสั่งปลดล็อคด้วย Bluetooth ก็เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามา คือสามารถสั่งปลดล็อคได้ด้วยเสียงหรือสภาพแวดล้อม
บทความจาก www.asiashop.co.th
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้