กรุงฮานอย

Madamread

เริ่มเข้าขีดเขียน (28)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:28
เมื่อ 19 เมษายน พ.ศ. 2556 16.37 น.

 

http://www.keedkean.com

กรุงฮานอย

            ผมเดินทางไปถึงสนามบินโหน่ยบ่าย กรุงฮานอยในตอนสายของวันที่ 16 กรกฎาคม 2552 ถนนจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองสองข้างทางเป็นท้องนาเขียวชอุ่ม แทรกด้วยบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างเป็นระยะจากสนามบินประมาณ 20 นาที รถยนต์ที่นั่งมาก็พาขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำแดง ประมาณจากสายตาดูกว้างใหญ่กว่าแม่น้ำเจ้าพระยาราวๆ 2 เท่า ซึ่งน่าจะเป็นเพราะว่ากำลังอยู่ในช่วงฤดูน้ำหลาก

            สิ่งที่เวียดนามดูแปลกจากบ้านเราคือ อาคารบ้านช่องของเวียดนามเกือบทั้งหมดเป็นทรงสูงชะลูด อาคารหลายแห่งมีขนาดเท่าห้องแถวคูหาเดียวที่แคบกว่าห้องแถวในเมืองไทย แต่สูงถึง 5 - 6 ชั้น เมื่อมองไปในท้องทุ่งและบริเวณที่พักอาศัย สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาก็คือ ที่ดินรกร้างว่างเปล่าแทบจะไม่มี ไม่ว่าจะเป็นซอกมุมไหน มีการทำนาทำสวน ปลูกผักปลูกต้นไม้กันไปทุกหนทุกแห่ง ซึ่งทราบต่อมาภายหลังว่าเวียดนามมีประชากรมากแต่ที่ดินมีจำกัด ดังนั้นจึงต้องใช้ประโยชน์จากเนื้อที่อย่างสูงสุด

            ราว 20 นาทีต่อมา รถเข้าสู่เขตเมืองฮานอย

            อันที่จริงแล้วคำว่า ฮานอย ถ้าออกเสียงแบบที่ผมได้ยินคนเวียดนามพูด ต้องเขียนว่า “ห่า โหน่ย” เช่นเดียวกับคำว่า โฮจิมินห์ คนเวียดนามจะออกเสียงว่า “โห่ จิ๊ มิญ” แต่ถ้าผมเขียนแบบนี้ก็คงจะดูแปลกๆ ดังนั้นในข้อเขียนของผมเกี่ยวกับเวียดนามจากนี้ไป คำใดที่คนไทยเรารู้จักกันจนชินอยู่แล้ว ผมจะขอเขียนแบบที่พวกเราคนไทยคุ้นเคยเพื่อมิให้สับสนว่าเป็นชื่อเดียวกันหรือไม่ เช่น ผมจะเขียนว่า นครดานัง แทนที่จะเขียนว่า “นครด่าหนัง” ตามที่ได้ยินคนเวียดนามพูด การเขียนทับศัพท์ภาษาเวียดนามจะเขียนตามสำเนียงที่ผมได้ยินจากชาวฮานอย ซึ่งอาจมีความแตกต่างจากสำเนียงทางภาคอื่นๆ ของเวียดนาม

            ในกรุงฮานอย ตึกรามบ้านเรือนยังเป็นอาคารเก่าๆ แบบอิทธิพลฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม หรือที่เรียกกันว่าตึกแบบโคโลเนียลอยู่มาก ถนนหนทางในเมืองมีต้นไม้ขนาดใหญ่อายุนับร้อยปีอยู่ทั่วไปทำให้ร่มครึ้ม สิ่งที่ทำให้ฮานอยดูขลังกว่านครหลวงในอินโดจีนหลายแห่งก็คือ กลิ่นอายของอาณานิคมฝรั่งเศษที่ยังมีอยู่มากที่สุดเมื่อเทียบกับเวียงจันทน์ พนมเปญ หรือแม้แต่ไซ่ง่อน

            เมื่อเข้าตัวเมืองฮานอย ถนนทุกสายที่รถเราผ่านเต็มไปด้วยรถมอไซค์ ผมไม่เคยเห็นมอเตอร์ไซค์มากมายขนาดนี้มาก่อน ทุกคนสวมหมวกนิรภัย และที่น่าแปลกตามากคือ รถมอเตอร์ไซค์หลายคันที่ผ่านไปมา บรรทุกสิ่งของด้านหลังคนขี่เป็นจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถบรรทุกไปบนรถคันเดียวได้

            รถยนต์ต่างๆ และมอเตอร์ไซค์ที่มีจำนวนมากมายตามท้องถนน นอกจากสัญญาณไฟแดง ไฟเขียวแล้ว ดูเหมือนว่าไม่มีกฎจราจรอื่นใดที่รถเหล่านี้จะปฏิบัติตาม ทุกคนเลี้ยว แซง ปาดหน้า ฯลฯ ตามใจชอบ ดังที่เพื่อนชาวเวียดนามกล่าวว่าเป็นการขับรถตามประเพณีของที่นี่

            นอกจากนี้มีการบีบแตรกันอย่างสนุกสนานจนดูเหมือนว่าการบีบแตรเป็นส่วนหนึ่งของการขับรถ พอสตาร์ตเครื่องขับรถออกไปก็จะต้องบีบแตรไว้ก่อน ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่

            บนทางเดินตามข้างถนนมีหาบเร่และการวางขายของอยู่ทั่วไป ตั้งแต่ร้านของกินเล็กๆ ที่มีเก้าอี้เตี้ยๆ โต๊ะขายกาแฟไปจนถึงร้านตัดผมที่ประกอบด้วยกระจกบานเล็กๆ ติดข้างกำแพงหรือต้นไม้ใหญ่และเก้าอี้ตัวหนึ่ง

            บ้านพักของเอกอัครราชทูตไทย หรือถ้าเรียกเป็นทางการคือ ทำเนียบเอกอัครราชทูตเป็นตึกเก่าแบบยุโรปอยู่บนถนนเลห่งฟอง ในเขตบาดิ่ญ ด้านตะวันตกของกรุงฮานอย ใกล้ๆ กับ โฮจิมินห์ มอโซเลียม ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาร่างกายของอดีตผู้นำเวียดนาม

            ถนนสายนี้มีบ้านพักและที่ทำการของสถานทูตหลายแห่งและเป็นถนนที่มีการจารจรคับคั่ง เนื่องจากมีสถานที่สำคัญหลายแห่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง

            คำว่า ฮานอย ในภาษาเวียดนามหมายถึง นครที่อยู่ด้านในของแม่น้ำ ซึ่งหมายถึงแม่น้ำแดง ถ้าจะว่ากันตามจริง เมืองฮานอยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามมาก่อนเมืองไซง่อน ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น นครโฮ-จิมินห์ เพราะเจ้าลี้ ท้าย โต๋ สถาปนาเมืองฮานอยขึ้น เมื่อ ค.ศ. 1010 โดยมีชื่อว่า ทังลอง เมืองหลวงของชาวเวียด

            ประวัติศาสตร์ของเวียดนามนั้นเต็มไปด้วยการต่อสู้กับผู้รุกราน เวียดนามตกเป็นของจีนอยู่ราวพันปี จะมีวีรบุรุษหรือวีรสตรีกอบกู้เอกราชจากจีนและปกครองตนเองได้บ้างก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ในประวัติศาสตร์ ต่อมาเป็นเอกราชไม่กี่ร้อยปีก็ตกอยู่ในอาณานิคมของฝรั่งเศส จนกระทั่งฝรั่งเศสพ่ายแพ้การรบที่เดียนเบียนฟูเมื่อ ค.ศ. 1954 แล้วก็เริ่มยุคของสงครามเย็นจนนำไปสู่จนแบ่งเวียดนามเหนือและใต้ต่อด้วยสงครามเวียดนามอันยืดเยื้อ สังหารชีวิตของผู้คนไปมากกว่า 10 ล้านคน จนถึงรวมประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1976 ถึงปี ค.ศ. 2010 กรุงฮานอยจึงมีอายุครบ 1,000 ปี มีการเฉลิมฉลองกันอย่างใหญ่โต และประเทศไทยของเราก็มีส่วนร่วมในการฉลองครั้งนี้ด้วย

            เมืองฮานอยอยู่ด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำแดง ตัวเมืองแบ่งออกเป็น 4 เขต คือ เขตฮหว่านเกี๊ยม ซึ่งอยู่กลางเมือง ด้านตะวันตกติดกับทะเลสาบใหญ่เรียกว่าเขตบาดิ่ญ ตรงด้านใต้ริมแม่น้ำแดงที่ต่อจากเขตฮหว่านเกี๊ยมเรียกว่าเขตฮายบ่าจึง ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมืองคือเขตด๊งดา

            ในกรุงฮานอยมีทะเลสาบนับสิบแห่ง ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดคือ ทะเลสาบโห่เต็ย แปลว่า ทะเลสาบตะวันตก ชาวต่างชาติในฮานอยเรียกว่า เวสต์เลก ที่จริงถ้ามองตามภูมิประเทศแล้วทะเลสาบแห่งนี้อยู่ทางเหนือของใจกลางตัวเมืองฮานอย แต่ที่เรียกกันว่าทะเลสาบตะวันตกก็เพราะอยู่ฝั่งทิศตะวันตกของแม่น้ำแดง

            ทะเลสาบอีกแห่งนี้คือ ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม อยู่ในเขตตะวันตกเฉียงใต้ถัดจากทะเลสาบโห่เต็ยลงมา ทะเลสาบฮว่านเกี๊ยมแห่งนี้มีตำนานเกี่ยวกับกษัตริย์นักรบของเวียดนามได้พบดาบศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นดาบที่ประทานจากสรวงสวรรค์ ต่อเมื่อปราบปรามกลุ่มต่างๆเสร็จสิ้น วันหนึ่งเมื่อเรือล่องอยู่ในทะเลสาบ ปรากฏมีเต่าตัวใหญ่โผล่ขึ้นมาคาบเอาดาบศักดิ์สิทธิ์กลับคืนไป ทะเลสาบฮว่านเกี๊ยมจึงถูกเรียกว่า ทะเลสาบคืนดาบ และเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่คนมาเที่ยวกรุงฮานอยต้องไปชม

            นอกจากทะเลสาบแห่งที่ผมกล่าวไปแล้ว ในกรุงฮานอยยังมีทะเลสาบขนาดเล็กๆ อีกนับสิบแห่ง ซึ่งชาวฮานอยใช้เป็นสถานที่สำหรับพักผ่อน

            กรุงฮานอยมีเนื้อที่ประมาณ 3,000 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 6.5 ล้านคน แต่จริงๆ แล้วคงจะมีมากกว่านี้ เพราะคนจำนวนไม่น้อยมาจากจังหวัดใกล้เคียงและชนบทเพื่อมาทำงานในกรุงฮานอย

            ปัญหาของกรุงฮานอยในขณะนี้ นอกเหนือไปจากการกำจัดขยะและด้านสาธารณูปโภคแล้ว ที่สำคัญคือปัญหาการจราจรในฮานอยมีรถมอเตอร์ไซค์จดทะเบียนราว 3 ล้าน 5 แสนคัน! ส่วนรถยนต์มีประมาณ 2แสนกว่าคัน ในชั่วโมงเร่งด่วนตอนเช้าและเย็นรถติดเท่ากันกับที่กรุงเทพฯ หรือบางครั้งยิ่งกว่าที่กรุงเทพฯ

            สิ่งที่สังเกตได้อีกอย่างหนึ่งบนท้องถนนคือ คนเวียดนามใช้มอเตอร์ไซค์ได้อย่างคุ้มค่า แม้จะผ่านมาหลายประเทศ ผมยังไม่เห็นที่ไหนในโลกที่สามารถใช้มอเตอร์ไซค์บรรทุกสิ่งของได้มากเท่าที่เวียดนาม และระหว่างที่อยู่ในเวียดนามผมเห็นกับตาว่าคนเวียดนามสามารถบรรทุกหมูเป็นๆ 7-8 ตัว บนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ได้ ไม่นับการขนส่งตู้เย็นขนาดใหญ่ เครื่องซักผ้า และอื่นๆ

            การขับรถในฮานอยจึงมีลักษณะอันพิเศษเฉพาะตัวชนิดที่ห้ามลอกเลียนแบบ กฎเกณฑ์ต่างๆที่พวกเราคนไทยทั้งหลายเคยชินไม่สามารถนำมาใช้ที่นี่ได้ ข้าราชการในสถานทูตของเราเกือบทุกคนรวมทั้งตัวผมด้วยจึงไม่มีใครขับรถยนต์ ถ้าไปราชการเราก็ใช้พนักงานขับรถยนต์ซึ่งทั้งหมดเป็นคนเวียดนาม ถ้าหากมีธุระส่วนตัวทุกคนก็จะใช้รถแท็กซี่กันทั้งนั้น

            รถแท็กซี่ที่ฮานอยมีชื่อเสียงหาที่ใดเสมอเหมือน ซึ่งผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟังในบทที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวในกรุงฮานอย

            เวลาทบทวนความจำเกี่ยวกับกรุงฮานอย อีกเรื่องหนึ่งที่ผมนึกถึงคืออากาศ ที่ฮานอยอากาศมีความชื้นสัมพัทธ์ถึงร้อยละ 94 โดยเฉลี่ย สภาพอากาศที่ชื้นทำให้ข้าวของเครื่องใช้ที่เก็บในบ้านขึ้นราได้ง่าย ผนังปูนตามอาคารก็มักหลุดล่อน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะเครื่องเสียง และอุปกรณ์ถ่ายภาพล้วนแล้วแต่ไม่ถูกกับความชื้นทั้งนั้น ที่สถานทูตและในบ้านพักของพวกเราจึงต้องมีเครื่องดูดความชื้นกันทุกห้อง

            ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ความชื้นในระดับนี้ไม่ถูกกับคนที่มีโรคภูมิแพ้อากาศเป็นโรคประจำตัวแบบผม ตลอดระยะเวลา 1 ปีกว่าที่ผมปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกรุงฮานอย ผมจึงมีอาการโรคภูมิแพ้กำเริบอยู่บ่อยๆ

            อากาศที่ฮานอยนั้นมีครบเครื่องคือ ในฤดูร้อนจะร้อนจัดอุณหภูมิเกือบ 40 องศา เมื่อบวกกับความชื้นสัมพัทธ์ที่สูงก็จะรู้สึกร้อนจัดกว่าในบ้านเรามาก

            ส่วนในฤดูหรือฤดูมรสุม อาจมีฝนติดต่อกันหลายๆ วัน บางครั้งน้ำท่วมถนนหลาย สถานทูตของเราอยู่ต่ำกว่าระดับถนน เมื่อฝนตกหนักติดต่อกันไม่กี่ชั่วโมงน้ำก็จะท่วมถนนแล้วไหลเข้ามาในสถานฑูต ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขปัญหากันบ่อยๆ

            ถึงในฤดูหนาวประมาณเดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงเวลาที่อากาศในฮานอยเย็นสบาย ช่วงเดือนธันวาคมและมกราคมอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส ช่วงนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยว หลังจาก 1 ปีกว่าที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่น ผมก็เห็นว่าฮานอยเป็นเมืองที่มีเสน่ห์เมืองหนึ่ง นอกจากตึกรามที่มีกลิ่นอายของอินโดจีนฝรั่งเศสเก่าที่สัมผัสได้ทุกวัน ถนนหนทางร่มครึ่มด้วยต้นไม้ และสีสันของผู้คนที่ทำมาหากินในรูปแบบต่างๆ ทะเลสาบเล็กๆ ที่มีอยู่ทั่วเมือง สิ่งที่ฮานอยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมก็คือวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนเวียดนามเหนือ ที่ แตกต่างจากคนเวียดนามภาคกลางและภาคใต้ที่ผมเคยพบ

จากหนังสือ ยลญวน เวียดนามในสายตานักการทูต สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์ 

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา