[นิยายแปล] ย้อนลิขิตเขียนรักพระชายาอ๋อง ตอนที่ 30 (06/07/2563) โดย kawebook (มาใหม่!)

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
21 เมื่อ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2563 13.27 น.

เล่มที่1 บทที่21 พิธีมงคล (3)

 

        เหวินอ๋องผู้องอาจห้าวหาญและฉลาดปราดเปรื่อง กลับถูกพระชายาของตนใช้เท้าถีบลงจากเตียงในคืนเข้าหอ ไม่หนำซ้ำยังโดนบริภาษตามหลังอีกว่า คนอันธพาลจิตวิปลาส

         

        ฉู่ยวี้ถูกถีบจนต้องผงะถอยหลังไปหลายก้าว กว่าจะสามารถกลับมายืนได้อย่างมั่นคง หลังสามารถทรงตัวได้เป็นปกติ จึงหันมองกู้โยวหนิงที่กอดเสาเตียงพลางจ้องมองตนด้วยสายตาหวาดกลัว

         

        “ทะๆๆ ทะๆๆ ท่าน...” กู้โยวหนิงตื่นตกใจจนพูดไม่รู้ความ ได้แต่ชี้นิ้วมาทางฉู่ยวี้อยู่อย่างนั้น

         

        ฉู่ยวี้ยกยิ้ม เดินเข้าหาราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ข้าทำไมหรือ?”

         

        “ทะ... ท่านเข้าใกล้ข้าขนาดนั้นทำไม!” กู้โยวหนิงกอดเสาเตียงไว้แน่น สีหน้าท่าทางราวกับถูกอันธพาลโรคจิตลวนลามอย่างไรอย่างนั้น

         

        “แล้วเหตุใดข้าจึงจะเข้าใกล้เจ้าไม่ได้ เจ้าคือพระชายาของข้า คือภรรยาของที่พึ่งจะผ่านพิธีอภิเษกสมรสกับข้า คืนนี้เจ้ากับข้าต้องเข้าห้องหอร่วมกันถึงจะถูก” ฉู่ยวี้ยังจงใจกล่าววาจากลั่นแกล้งกู้โยวหนิงอีกว่า “ยังไม่รีบผลัดอาภรณ์ให้สามีอีก?”

         

        “หา? ผลัดอาภรณ์? สามี? เข้าหอ!” กู้โยวหนิงอ้าปากค้าง ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะได้สติกลับมา “เข้าหออะไรของท่าน ไม่ใช่ว่าท่านยังมีชายารองกับอนุชายาอยู่หรืออย่างไร ท่านไปหาพวกนางก็ได้!”

         

        “ได้อย่างไรกัน ข้าจะใจดำปล่อยให้เจ้าเฝ้าห้องหออันอ้างว้างเพียงลำพังได้อย่างไร” ฉู่ยวี้เผยยิ้มร้ายกาจก่อนจะย่างกรายเข้าประชิด “จะมีพระชายาผู้ใดใจจืดใจดำเช่นเจ้า นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะผลักไสข้าให้ไปหาหญิงอื่นได้ลงคอ”

         

        “ไม่เป็นอะไรขอรับๆ ข้าชอบอยู่คนเดียว จริงๆนะขอรับ ท่านรีบไปเถอะ ตอนนี้ท่านยังไม่มีทายาท ควรรีบมีสักคนสองคนได้แล้ว ท่านกับข้าอยู่ด้วยกันไปก็ไม่อาจมีบุตร อีกอย่างนะท่านอ๋อง การแต่งงานของเราเป็นเพียงการแสดงละคร ท่านเคยให้สัญญากับกระหม่อมแล้ว พวกเราคือพันธมิตรกันนะขอรับ!”

         

        กู้โยวหนิงหน้าแดงก่ำยามมองใบหน้าหล่อเหลากำลังเคลื่อนเข้าใกล้ตนอีกหน กะพริบตาปริบๆ หัวใจเต้นแรงอย่างไม่ยอมหยุด

         

        ฉู่ยวี้หรี่ดวงตาเมื่อเห็นกู้โยวหนิงตื่นตระหนกราวกับนกน้อยเห็นคันธนู เขายื่นมือออกไปดึงคนผู้นั้นเข้าหาตน กู้โยวหนิงไม่มีกระทั่งเวลาให้ตื่นตกใจ ทันใดนั้นถูกฉู่ยวี้คร่อมทับร่าง เส้นผมสีดำดุจหมึกสยายลงบนเตียง ยามคนผู้นี้สวมอาภรณ์สีแดงสด ยิ่งขับให้ดวงหน้าเรียวเล็กงามหยดย้อยมากกว่าเดิม ไม่ต่างจากดอกบัวสีชาดเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนภายใต้แสงจันทร์ ช่างบริสุทธิ์ล้ำค่าเกินกว่าจะทำการดูหมิ่นได้

         

        ความปรารถนาในแววตาของฉู่ยวี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าผู้ที่อยู่ใต้ร่างกลับไม่ล่วงรู้สักนิดว่าเขาต้องทนอดกลั้นอย่างยากลำบากเพียงใด มิหนำซ้ำยังพยายามดิ้นขัดขืนอยู่อย่างนั้น เจ้าตัวดีรู้จักเพียงการจ้องมองสตรีไปวันๆ แต่กลับไม่เคยเข้าใจอะไรสักอย่าง ไม่รู้แม้กระทั่งว่าการดิ้นรนขัดขืนอย่างไร้เดียงสาเช่นนี้ยิ่งถือเป็นการยั่วยวนผู้อื่น

         

        “อย่าขยับ!” ฉู่ยวี้กระซิบด้วยเสียงแหบพร่า จากนั้นใช้แขนทั้งสองข้างตระกองกอดกู้โยวหนิงไว้แน่น จดจ้องผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดไม่วางตา มีหลายครั้งหลายคราที่เขาเกือบจะทนไม่ไหว หากไม่ใช่เพราะต้องการทะนุถนอมผู้ที่ทำหน้ามุ่ยอย่างเด็กเล็ก และกำลังตื่นตกใจจนตัวสั่นผู้นี้ เกรงว่าตอนนี้ฉู่ยวี้คงไม่อาจหักห้ามใจเสียแล้ว

         

        ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉู่ยวี้ค่อยๆ ถอยหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง ช่างเถอะ กู้โยวหนิงยังเด็กนัก ต่างจากตนที่มีชีวิตมาถึงสองภพสองชาติ เขาเอื้อมมือไปสางผมที่ยุ่งเหยิงให้กู้โยวหนิง กู้โยวหนิงเม้มปากพลางเบี่ยงหน้าหนีไปอีกทาง ทว่าฉู่ยวี้กลับเชยคางให้ใบหน้าแดงก่ำนั้นหันกลับมา

         

        ลมหายใจที่ปะปนด้วยกลิ่นสุรารินรดอยู่บนใบหน้าของกู้โยวหนิง ตามด้วยเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าที่เอ่ยถามขึ้นว่า “หลบอะไรกัน?”

         

        “ไม่ได้หลบขอรับ...” กู้โยวหนิงคิดจะเบี่ยงหน้าหลบอีกครา ทว่าถูกฉู่ยวี้เชยคางไว้เช่นเดิม ทำได้เพียงขมวดคิ้วพลางเอ่ยโน้มน้าวอีกครั้ง “ท่านอ๋อง ท่านจงไปหา...”

         

        “เจ้าเรียกข้าว่าอะไร?” ฉู่ยวี้หรี่ตาลง “ลืมที่ข้าเคยบอกเจ้าอีกแล้วหรือ?”

         

        กู้โยวหนิงหลุบตาลง ไม่ยอมปริปากเอ่ยคำใด

         

        ฉู่ยวี้ยกยิ้มมุมปากหลังมองเขาเพียงครู่ “เรียกข้าว่าพี่หก แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”

         

        กู้โยวหนิงเงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจ ลอบคิดในใจว่าเหวินอ๋องคงดื่มไปเยอะถึงได้เป็นอย่างนี้ ตามใจเขาไปเถอะ เพราะถ้าท่านอ๋องเกิดง้างคันธนูขึ้นมา ถึงตอนนั้นเขาจะอ้างเหตุผลอะไรก็คงไร้ประโยชน์ กู้โยวหนิงชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่หก...”

         

        ……

         

        ฉู่ยวี้หัวเราะ ปล่อยเขาออกจากอ้อมกอดและนอนแผ่หลาลงบนเตียง หันหน้ามองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน “ภายหน้าเจ้าต้องเรียกข้าเช่นนี้ ตอนนี้นอนเสียเถอะ วันพรุ่งนี้ยังต้องเข้าวัง”

         

        กู้โยวหนิงรีบหยักหน้ารับ หลังฉู่ยวี้ปิดเปลือกตาลง เขาจึงค่อยๆ ขยับไปอยู่ฝั่งด้านในของเตียงอย่างระมัดระวัง เพราะเกรงว่าสัญชาตญาณสัตว์ป่าของเหวินอ๋องจะปะทุขึ้นมาอีก นอกจากนั้นยังหยิบเอาผ้าห่มมาพันรอบตัวของตนอย่างหนาแน่น

         

        ชั่วครู่ถัดมาฉู่ยวี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แววตาขบขันยามมองดักแด้ที่นอนหลับอยู่ข้างตน จากนั้นคว้าทั้งคนและผ้าห่มเข้าสู่อ้อมกอด อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอีกครา ในเมื่อรักและคิดจะอยู่กับคนผู้นี้ไปชั่วชีวิต ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป

 

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
22 เมื่อ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2563 19.55 น.

เล่มที่1 บทที่22 เข้าเฝ้า

 

        ค่ำคืนแรกของการเข้ามาอยู่ในจวนอ๋อง กู้โยวหนิงฝันถึงเรื่องราวต่างๆ มากมาย ภายในฝันจวนอ๋องกำลังเกิดความโกลาหล ทันใดนั้นได้ยินเสียงคนคนหนึ่งร้องเรียกเขา ขณะลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย พลันพบว่าฉู่ยวี้กำลังผลักเขาเบาๆ “โยวหนิงตื่น ยามนี้ควรจะตื่นได้แล้ว เจ้าค่อยกลับมานอนต่ออีกครั้ง”

         

        กู้โยวหนิงยังคงเกียจคร้านขณะถูกฉู่ยวี้ลากออกมาจากผ้าห่ม หลังเอียงคอมองเขาครู่หนึ่งถึงรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในจวนอัครเสนาบดี ที่นี่คือจวนอ๋อง ตอนนี้เขาได้กลายเป็นพระชายาแล้ว และวันนี้ต้องไปคารวะพ่อกับแม่สามี หรือก็คือฮ่องเต้กับฮองเฮานั่นเอง

         

        นี่มันชีวิตเฮงซวยอะไรกันเนี่ย! กู้โยวหนิงได้แต่นึกในใจ ในที่สุดก็รู้ตัวแล้วว่า เขา! ออกเรือนแล้วจริงๆ!

         

        ฉู่ยวี้หัวเราะเมื่อเห็นท่าทางนิ่งอึ้งมึนงงอย่างน่าเอ็นดูของคนตรงหน้า นั่งลงข้างกายเขาและเอ่ย “เจ้ารีบลุกได้แล้ว หากยังไม่สวมอาภรณ์ ข้ารับใช้ก็ใกล้จะเข้ามาแล้ว อีกครู่พวกเราต้องเดินทางเข้าวัง”

         

        กู้โยวหนิงรู้สึกว่ายังนอนไม่พอ ใบหน้าเรียวเล็กพลันบิดเบี้ยวคล้ายกับจะร้องไห้ จากนั้นมุดกลับเข้าไปในผ้าห่มพลางเอ่ยพึมพำ “ข้าง่วง~ ข้าอยากนอน~”

         

        ฉู่ยวี้หูตาว่องไว รีบคว้าตัวผู้ที่กำลังจะเข้าไปหลับในผ้าห่มอีกรอบ จากนั้นเอ่ยหลอกล่อว่า “ไม่ต้องนอนแล้ว เป็นเด็กดีแล้วรีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า กลับมาจากวังเจ้าค่อยนอนต่อ”

         

        กู้โยวหนิงปรือตาทั้งสองข้าง ปรายตามองฉู่ยวี้อย่างเชื่องช้าครู่หนึ่ง “ท่านอ๋อง พวกเราควรจะไปช้าอีกสักนิด ไม่ต้องรีบร้อน ให้ข้านอนต่ออีกสักหน่อย”

         

        “เช้าวันถัดจากวันอภิเษกต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮา จะชักช้าได้อย่างไร โยวหนิงเชื่อฟัง รีบลุกขึ้น!”

         

        “ไปช้า ต้องไปช้าสักนิด ในยามนี้ท่านอ๋องมีความดีความชอบจนทำให้ฝ่าบาทระแวงพระทัย ฝ่าบาทไม่เชื่อใจท่าน ท่านจำเป็นต้องทำตัวเหลวไหลจนถึงที่สุดเพื่อหลอกให้พวกเขาสับสน ทั่วทั้งฉางอันต่างรู้ว่าท่านโปรดปรานพระชายาเพียงใด หากจะลุ่มหลงจนทำตัวเหลวไหลไปบ้างย่อมเป็นเรื่องปกติ” กู้โยวหนิงอธิบายออกมาอย่างหน้าตาเฉย เอ่ยประโยคที่เป็นใจความสำคัญต่อท้ายว่า “เพราะฉะนั้น ท่านจงปล่อยให้ข้าหลับต่ออีกสักงีบหนึ่ง”

         

        ไม่ว่าอย่างไรเจ้าตัวดีก็ยังอยากนอนต่ออยู่ดี ฉู่ยวี้ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ไม่ได้ กล่าววาจาเหลวไหล ย่อมทำให้บ้านเมืองล่มจม หากเป็นเช่นนั้น เสด็จพ่อต้องตรัสตำหนิเจ้าเป็นแน่”

         

        ท้ายที่สุดกู้โยวหนิงก็ถูกฉู่ยวี้ลากให้ลุกออกจากเตียงและถูกจับสวมอาภรณ์ ทว่ากู้โยวหนิงยังคงบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ “จะกลัวอะไรขอรับ นี่คือแผนหลอกล่อศัตรู เรื่องการอภิเษกของเรา หากข้าเดาไม่ผิด ฮองเฮาทรงเป็นผู้จัดการใช่หรือไม่ ข้าคือผู้ที่ฮองเฮาเลือก หากข้ายิ่งไม่ดีเท่าใด ก็ยิ่งทำให้ฮ่องเต้เข้าพระทัยว่าฮองเฮาปฏิบัติไม่ดีต่อท่านมากขึ้นเท่านั้น แค่เลือกพระชายาที่เป็นบุรุษก็มากเกินพอแล้ว ยังไม่ยอมเลือกผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมอีก คาดไม่ถึงว่าจะเลือกผู้ที่มารยาสาไถยเช่นนี้ ถึงยามนั้นฮ่องเต้ต้องไม่พอพระทัยฮองเฮาอย่างแน่นอน ชีวิตในวันข้างหน้าของท่านอ๋องคงสุขสบายขึ้นไม่น้อยนะขอรับ”

         

        ฉู่ยวี้รู้สึกอิ่มเอมใจ โน้มกายเข้าใกล้ใบหน้าขาวนวล เอ่ยทั้งรอยยิ้ม “โยวหนิง เจ้ากำลังใคร่ครวญเพื่อข้าอยู่หรือ”

         

        กู้โยวหนิงมองใบหน้าหล่อเหลาที่โน้มเข้าใกล้ตนอย่างฉับพลันด้วยสายตานิ่งอึ้ง จากนั้นค่อยๆ กลืนน้ำลายลงคอ พลางถดกายถอยไปด้านหลังอย่างเงียบเชียบ “แน่นอนขอรับ กระหม่อมกับท่านอ๋องคือพันธมิตรที่ลงเรือลำเดียวกันแล้ว แน่นอนว่ากระหม่อมต้องทำเพื่อท่านอ๋อง ไม่มีทางคืนคำแน่นอนขอรับ”

         

        ฉู่ยวี้หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนของกู้โยวหนิง กู้โยวหนิงนิ่งงันครู่หนึ่ง ถึงได้รู้ว่าคนผู้นี้กำลังเย้าแหย่ตน ใบหน้าแดงก่ำพลางจ้องฉู่ยวี้ตาเขม็งด้วยความโมโห

         

        ฉู่ยวี้หัวเราะพลางหยิกแก้มเขาอยู่ครั้งสองครั้ง ครั้นกำลังจะเอ่ยบางอย่าง เฉิงกุ้ยกลับเคาะประตูตำหนักส่วนในเสียก่อน “ท่านอ๋อง จวนจะถึงเวลาแล้วขอรับ ถ้าหากยังชักช้ากว่านี้เกรงว่าจะไม่ดีนะขอรับ”

         

        “อืม เข้ามาเถอะ” ฉู่ยวี้เปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นท่านอ๋องผู้สุขุมเย็นชาดังเดิมอย่างรวดเร็ว ทว่าก้านนิ้วยาวยังคงจดจำสัมผัสเนียนนุ่มที่พึ่งได้จับเมื่อครู่

         

        วันถัดจากพิธีอภิเษกต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮา โดยจำเป็นต้องสวมชุดราชสำนัก โดยทั่วไปพระวรชายาขององค์รัชทายาท พระชายาของชินอ๋อง รวมถึงชายาเอกของเหล่าองค์ชายและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย ล้วนมี***ชุดตี๋เป็นสีแดงสด กู้โยวหนิงคือบุรุษจึงไม่อาจสวมกระโปรง ดังนั้นชุดราชสำนักจึงมีลักษณะเช่นเดียวกับชุดของเหวินอ๋อง เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าและเป็นสีแดง ลวดลายมังกรเปลี่ยนเป็นลายนกกระสา ตรงบริเวณเอวไร้ซึ่งหยกแสดงถึงฐานะชินอ๋อง ทว่าเพิ่มเสื้อคลุมตัวยาวที่มีลักษณะชายแขนกว้างเข้ามาแทน

         

        ***ชุดตี๋คือเสื้อคลุมด้านใน

         

        เมื่อเตรียมพร้อมเสร็จ และเกี้ยวที่ใช้คนแบกจำนวนแปดคนจากพระราชวังมาถึงหน้าประตูจวนอ๋อง เนื่องจากชุดที่กู้โยวหนิงสวมใส่ค่อนข้างยาวเกินไป ทำให้ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากประตูก็เกือบต้องหกล้มหน้าคะมำ ทว่าดีที่ฉู่ยวี้เข้าประคองไว้ทันท่วงที เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”

         

        กู้โยวหนิงส่ายหน้า มองเสื้อคลุมตัวยาวชายแขนกว้างแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ“ชุดราชสำนักนี่ยุ่งยากเสียจริง บอกว่าข้าสวมกระโปรงไม่ได้ แต่นี่มันต่างจากกระโปรงงั้นหรือ สู้สวมกระโปรงก็ไม่ได้ สวมแล้วยังรู้สึกเย็นสบายเสียด้วยซ้ำ”

         

        กู้โยวหนิงรวบเสื้อคลุมตัวยาวอย่างระมัดระวัง จากนั้นมุดเข้าไปในเกี้ยว หันมองฉู่ยวี้ผู้สะบัดชายอาภรณ์ด้วยท่วงท่าสง่างาม ก้าวขึ้นเกี้ยวด้วยท่วงท่าสง่างาม มิหนำซ้ำยังคงนั่งลงข้างเขาด้วยท่วงท่าสง่างาม ทันใดนั้นค้นพบแล้วว่า ตนช่างเทียบกับคนผู้นี้ไม่ได้เลยสักนิด

         

        ครั้นรอจนเกี้ยวถูกหามมาถึงหน้าประตูพระราชวัง กู้โยวหนิงรีบกระโดดลงมาเป็นคนแรก ยังไม่ลืมหันหลังกลับไปมองฉู่ยวี้ที่ยังคงลงจากเกี้ยวด้วยท่วงท่าสง่างามเช่นเดิมไม่มีผิดเพี้ยน กู้โยวหนิงได้แต่ลอบถอนหายใจ

         

        เอาคนเปรียบกับคนไม่พ้นรู้สึกอยากตาย เอาสิ่งของมาเปรียบกับสิ่งของก็หนีไม่พ้นรู้สึกอยากโยนทิ้ง

         

        ฉู่ยวี้เอื้อมมือไปหยิกแก้มกู้โยวหนิงเมื่อเห็นท่าทางเหม่อลอยของเขา เอ่ยทั้งรอยยิ้ม “เจ้าคิดอะไรอยู่?”

         

        “หือ? ไม่ได้คิด ไม่ได้คิดอะไรเลยขอรับ...” กู้โยวหนิงรีบส่ายหน้าอย่างร้อนตัว ครั้นเห็นฉู่ยวี้มองตนด้วยสีหน้าคล้ายกำลังยิ้มแต่กลับไม่ยิ้ม จึงยิ่งทำให้เขาร้อนตัวมากกว่าเดิม รีบก้มหน้าหลบสายตาโดยที่หัวใจยังเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง

         

        “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”

         

        กล่าวจบ เดินจับจูงมือกู้โยวหนิง มุ่งหน้าไปยังตำหนักเฟิ้งหลวนของฮองเฮาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด

         

        กู้โยวหนิงสะดุ้งตกใจจบเกือบสบถยามมือหนากอบกุมมือตน พยายามดึงมือกลับและกล่าว “ท่านอ๋อง... ท่านอ๋อง... ทำเช่นนี้ไม่ดีนะขอรับ... ที่นี่ล้วนมีแต่สายตาผู้คน...”

         

        ฉู่ยวี้มีหรือจะยอมให้เขาดึงมือออก กลับยิ่งกุมไว้แน่นเสียยิ่งกว่าเดิม

         

        “มีอะไรไม่ดี ข้ากำลังประคองเจ้าเพื่อไม่ให้หกล้มลงไปต่างหาก”

         

        “ก็ยังไม่ดีขอรับ ท่านรีบ... รีบปล่อยมือข้าเถอะ บุรุษทั้งคู่มาเดินจับจูงมือกันเช่นนี้ ไม่แลดูพิลึกไปหน่อยหรือขอรับ” กู้โยวหนิงพูดลอดไรฟัน ยังคงพยายามดึงมือตนกลับมา

         

        “อืม ดูพิลึกยิ่งนัก”

         

        ฉู่ยวี้พยักหน้า กู้โยวหนิงถอนหายใจโล่งอกหนหนึ่ง “ใช่ไหมขอรับ ข้าถึงได้บอกให้ท่านรีบปล่อยมือ....”

         

        ไม่รีรอให้เขากล่าวจบ ฉู่ยวี้กลับเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “ถ้าเช่นนั้นให้ข้าอุ้มเจ้าคงจะดีกว่า แม้จากที่นี่ไปถึงตำหนักเฟิ้งหลวนจะไม่ไกล แต่ก็ไม่ใกล้เช่นกัน เจ้าบอกว่าการที่เจ้ากับข้าจับมือกันดูเป็นเรื่องประหลาด เช่นนั้นข้าอุ้มเจ้าเสียก็สิ้นเรื่อง”

         

        “…” กู้โยวหนิงถึงกับนิ่งอึ้ง แอบร้องตะโกนเสียงดังอยู่ภายในใจ นั่นมันไม่ยิ่งดูประหลาดกว่างั้นเหรอ!

         

        ด้วยเหตุนี้เหวินอ๋องจึงจับจูงมือพระชายาของตนด้วยท่าทีพึงพอใจ เดินเอ้อระเหยอยู่ในพระราชวังด้วยบนใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างมีความสุข ทว่าเมื่อหันไปมองพระชายาเหวินอ๋อง กลับพบว่าเขากำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความอับอายระคนขุ่นเคืองเสียอย่างนั้น

         

        -----

         

        เต๋อเซิ่งฮ่องเต้และฮองเฮาแซ่จ้าวกำลังประทับอยู่ภายในตำหนักเฟิ้งหลวน ทันใดนั้นมีขันทีเข้ามากราบทูลว่าเหวินอ๋องและพระชายาเดินทางมาถึงแล้ว

         

        เต๋อเซิ่งฮ่องเต้ไม่ตรัสสิ่งใด ทว่าฮองเฮาเป็นผู้ตรัสพลางแย้มสรวล “รีบให้เข้ามาเร็วเข้า ฝ่าบาททรงกำลังรอพบพระชายาอยู่”

         

        ไม่นานนักฉู่ยวี้และกู้โยวหนิงพากันเดินเข้ามาข้างใน คำนับไปทางฮ่องเต้และฮองเฮาอย่างนอบน้อม

         

        เต๋อเซิ่งฮ่องเต้ทอดพระเนตรกู้โยวหนิงด้วยพระพักตร์ไร้ความรู้สึกใด หลายวันมานี้เขาได้ยินชื่อคนผู้นี้ไม่น้อยหน หนแรกคือคำครหาที่เล่าลือกันต่างๆ นานา หนต่อมาคือเมื่อครั้งฉู่ยวี้กล่าวว่าหลงรักคนผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นหนใด ล้วนแต่สร้างความประหลาดใจทุกครั้ง ทว่าเมื่อได้พบหน้ากู้โยวหนิง ความประหลาดใจทั้งหมดที่มีพลันสลายหายไปจนสิ้น ฮ่องเต้รับสั่งเพียงไม่กี่ประโยคถึงให้พวกเขา ลุกขึ้น นอกจากนั้นยังพระราชทานหยกที่ทำขึ้นอย่างประณีตให้กู้โยวหนิง

         

        เขาไม่สามารถบอกได้ว่าชอบหรือไม่ชอบใจลูกสะใภ้ผู้นี้ แรกเริ่มเดิมทีที่ต้องการให้ฉู่ยวี้อภิเษกพระชายา คิดเพียงแค่ว่าเป็นบุรุษก็เพียงพอแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าพระชายาของเหวินอ๋องจะเป็นผู้ที่งดงาม และสามารถทำให้ฉู่ยวี้พึงพอใจมากเช่นนี้ กระทั่งทำให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวเล่าขานไปทั่วทั้งฉางอัน

         

        เต๋อเซิ่งฮ่องเต้มิตรัสสิ่งใดอีก ทว่าฮองเฮากลับมีท่าทียิ้มแย้มและเป็นฝ่ายตรัสชมฉู่ยวี้อยู่หลายประโยค จากนั้นหันพระพักตร์มาทางฮ่องเต้ “เมื่อหลายวันก่อนหม่อมฉันครุ่นคิดว่าผู้มีลักษณะเช่นใดกัน ถึงสามารถทำให้องค์ชายหกผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ของพวกเราลุ่มหลงได้มากเพียงนี้ แต่เมื่อหม่อมฉันได้มาเห็น พระชายาช่างเป็นผู้ที่น่าเอ็นดูเสียจริง มิน่าองค์ชายหกถึงได้รักใคร่เสียยิ่งกว่าสิ่งใด”

         

        เต๋อเซิ่งฮ่องเต้ทอดพระเนตรฮองเฮาเพียงครู่ จากนั้นวางจอกน้ำชาแล้วตรัสด้วยพระสุรเสียงราบเรียบ “รักใคร่ย่อมเป็นสิ่งสมควร พวกเจ้าคือสามีภรรยากันแล้ว สามารถรักใคร่กันได้เช่นนี้ *เจิ้นและ**มู่โฮ่วของพวกเจ้าจะได้วางใจสักหน่อย”

         

        สิ้นพระสุรเสียงของฮ่องเต้ ฉู่ยวี้และกู้โยวหนิงที่พึ่งนั่งลงกลับต้องลุกขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ค้อมกายคำนับฮ่องเต้อีกครั้ง “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ เอ๋อร์เฉินน้อมรับพระบัญชา!”

         

        “ฝ่าบาทเพคะ เด็กทั้งสองคนนี้ยังมีสิ่งใดให้พวกเรากังวล เมื่อครู่หม่อมฉันได้ยินนางกำนัลกล่าวกันว่า เหวินอ๋องของพวกเราเดินจับมือพระชายาเข้าวังเชียวนะเพคะ”

         

        ถึงแม้ว่าพระพักตร์ของฮองเฮากำลังแย้มสรวล ทว่าดวงพระเนตรกลับมีประกายวูบผ่าน เพราะนางจงใจเอ่ยประโยคนั้นออกมา

         

        เดิมทีนางต้องการเห็นฉู่ยวี้หมางเมินต่อพระชายา หากเป็นเช่นนั้น นางยังพอทูลกับฮ่องเต้ว่าฉู่ยวี้ช่างไม่รู้ความ ไม่รับรู้ถึงความทุกข์ระทมของพระองค์ แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับได้ยินว่าฉู่ยวี้ทำดีต่อพระชายายิ่งนัก คิดเพียงแค่ว่าเขาเสแสร้งแกล้งทำให้ฝ่าบาททอดพระเนตร ทว่าเมื่อนางรู้ว่าสายตาที่ฉู่ยวี้ใช้มองกู้โยวหนิงไม่ใช่สิ่งที่แสร้งแกล้งทำออกมา หากนางยังทูลกับฝ่าบาทว่าฉู่ยวี้แผนสูง ก็คงไม่ต่างกับนางรนหาที่ตายด้วยตนเอง สู้แสร้งทำเป็นยกยอปอปั้นความรักของพวกเขา อีกทั้งกู้โยวหนิงยังงดงามล่มเมือง คงยากที่ผู้คนจะไม่คิดว่าเหวินอ๋องคือผู้มักมากผู้หนึ่ง

         

        หลังกู้โยวหนิงได้ฟังคำกล่าวของฮองเฮา พลันรู้ได้ทันทีว่าพระนางหมายถึงสิ่งใด เขาอดหัวเราะเยาะในใจไม่ได้ ถ้าจะดูว่าใครเจ้าชู้มักมาก ไม่ควรตัดสินจากการที่เขาแสดงความรักต่อคนคนหนึ่งมากขนาดไหน แต่ควรดูว่าเขาแสดงความรักต่อผู้หญิงทั้งหมดกี่คนต่างหาก ในจวนเหวินอ๋องมีอนุชายาอยู่แค่ไม่กี่นาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์รัชทายาทหรือองค์ชายพระองค์อื่น แค่ดูจากหลานชายของเหวินอ๋องก็พอจะรู้ได้ ท่านอ๋องน้อยอายุ 15 แต่กลับมีอนุชายามากกว่าเหวินอ๋องซะอีก ถ้าจะบอกว่าเขามักมากในกาม คาดว่าฮองเฮาคงจะต้องเปลืองแรงเปล่าซะแล้ว

         

        เมื่อคิดเช่นนั้นจึงรู้สึกว่าการเป็นเหวินอ๋องช่างไม่ง่ายสักนิด กู้โยวหนิงอาศัยอยู่ในจวนขุนนางมา 10 ปี ได้ยินเรื่องราวภายในราชสำนักมาไม่น้อยเช่นกัน มารดาของเหวินอ๋องคือนางสนมตำแหน่งผิน สิ้นใจหลังคลอดเขาออกมา เดิมทีในวังหลวงถือเป็นสถานที่ที่มีอันตรายรอบด้าน ฉู่ยวี้ไร้มารดาคอยประคับประคอง ต้องคอยต่อสู้อยู่ภายในวังหลวงอย่างยากลำบากแค่เพียงลำพัง ตอนนี้มีตำแหน่งเป็นถึงท่านแม่ทัพใหญ่ นอกจากนั้นยังมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงชินอ๋อง คงถือได้ว่าผ่านพ้นคืนวันที่มืดมิดเพื่อรอวันที่ฟ้ากระจ่าง แต่น่าเสียดายที่ถูกตัดอนาคตโดยการถูกบังคับให้อภิเษกกับพระชายาที่เป็นผู้ชายอย่างนี้

         

        กู้โยวหนิงลอบถอนหายใจอย่างปลงตก ก้มหน้าดื่มน้ำชาพลางส่ายหน้า ชะตาชีวิตช่างน่าสงสารจริงๆ แทบจะไม่ได้ต่างกับเขาสักนิด

         

        เมื่อมีแม่เลี้ยง แม้แต่พ่อแท้ๆ ก็ยังกลายพ่อเลี้ยง เชื้อพระวงศ์ก็ไม่อาจละเว้น

         

        เมื่อนึกมาถึงเรื่องนี้ กู้โยวหนิงจึงยกจอกน้ำชาขึ้นมาเป็นเครื่องอำพราง จากนั้นลอบมองไปทางฉู่ยวี้ ผลคือเขาดันถูกจับได้เสียก่อน เพราะฉู่ยวี้กำลังจ้องมองเขาอยู่ก่อน ยามนี้เผยสีหน้าคล้ายกำลังยิ้มทว่าไม่ได้ยกยิ้ม เป็นเหตุให้กู้โยวหนิงลุกลี้ลุกลน จนต้องรีบก้มหน้าทำท่าดื่มชาอย่างตั้งอกตั้งใจในทันที

         

        ใบหน้าของฉู่ยวี้ฉายแววขบขันยิ่งกว่าคราแรก และทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนตกอยู่ในสายพระเนตรของเต๋อเซิ่งฮ่องเต้

         

         

         

        *เจิ้นคือคำแทนตนของจักรพรรดิ

        **มู่โฮ่วคือคำที่เหล่าองค์ชายใช้เรียกฮองเฮา มู่คือมารดา โฮ่วคือฮวางโฮ่วหรือฮองเฮา

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
23 เมื่อ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2563 20.01 น.

เล่มที่1 บทที่23 อับอายเกินทน

 

        เต๋อเซิ่งฮ่องเต้ขมวดพระภมุกา ปรายสายพระเนตรมองพระโอรสที่หยอกล้อพระชายาอย่างเปิดเผยถึงเพียงนี้ ทันใดนั้นเริ่มรู้สึกลำบากพระทัย ฉู่ยวี้คือแม่ทัพใหญ่ผู้มีความสามารถ มีกลิ่นอายของความน่าเกรงขามติดตัวตั้งแต่เกิด ครั้นอยู่ในสนามรบช่างบ้าระห่ำไม่ต่างจากเทพสงคราม ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เหมาะสมจะเป็นฮ่องเต้ เต๋อเซิ่งฮ่องเต้จึงพิจารณาองค์รัชทายาทผู้เป็นพระโอรสที่เกิดจากภรรยาเอก ทว่าเหวินอ๋องมีความดีชอบด้านการศึกเป็นอย่างมาก ทำให้องค์รัชทายาทเล็กเห็นเขาเป็นศัตรูเสียแล้ว เหวินอ๋องพลัดตกหลังม้าในพิธีล่าสัตว์เมื่อไม่นานมานี้ ล้วนแต่เป็นฝีมือขององค์รัชทายาท มิใช่ว่าเต๋อเซิ่งฮ่องเต้ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทลงมือทำร้ายพี่น้อง เขาเพียงแต่ไม่จัดการอะไร เพราะเหวินอ๋องในยามนี้มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมชมชอบ ต่อให้เขาคอยปกป้องบุตรชายผู้นี้ แต่จะทำเช่นไรหากองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ในภายหน้า มิสู้ให้เขาตายเสียตั้งแต่ตอนนี้ จากนั้นจัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่ให้สมบรรดาศักดิ์ชินอ๋อง หากภายหน้าองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ พี่น้องหันมาเข่นฆ่ากันเอง ถึงยามนั้นคงไม่อาจคาดเดาว่าจะต้องตายด้วยโทษทัณฑ์อัน

         

        ถึงแม้ว่าจะไม่ยุติธรรมต่อฉู่ยวี้ แต่เพราะเกิดมาเป็นเชื้อพระวงศ์ จึงไม่มีหนทางอื่นให้เลือกเดินเสียแล้ว

         

        เต๋อเซิ่งฮ่องเต้รู้สึกปวดพระทัยโดยพลัน หลังทอดถอนพระทัย จึงรับสั่งให้ฉู่ยวี้และกู้โยวหนิงกลับไปได้

         

        กู้โยวหนิงมัวแต่กอดหยกห้อยที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ตนไว้ในอ้อมอก ท่าทางหวงแหนเสียยิ่งกว่าสิ่งใด หยกห้อยคู่นี้แกะสลักอย่างประณีตวิจิตร มองเพียงครู่เดียวก็รู้ได้ว่ามีค่ามากนัก กู้โยวหนิงเม้มปากพลางคิดคำนวณว่าตนสะสมเงินได้มากเท่าใดแล้ว แม้ว่าหลังเหวินอ๋องได้ขึ้นครองราชย์ในภายหน้า อาจจะยังได้แก้วแหวนเงินทองเป็นของรางวัลอีกมากมาย แต่สิ่งของจำพวกเงินแบบนี้ ไม่ว่าจะตอนไหนก็ไม่เคยคิดว่ามากพอสักที เพราะในอนาคตเขายังมีภรรยาและอนุภรรยาอีกตั้งมากมายที่ต้องเลี้ยงดูอยู่!

         

        ดังนั้นกู้โยวหนิงจึงเอาแต่มองสิ่งที่ตนกอดไว้ในอ้อมอกอย่างทะนุถนอมโดยไม่ทันได้มองทาง พึ่งจะก้าวเท้าออกจากตำหนักเฟิงหลวนได้เพียงไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นสะดุดชายอาภรณ์ของตนจนเกือบจะกลิ้งลงไปกองอยู่บนขั้นบันไดสีขาวบริสุทธิ์

         

        แม้ฉู่ยวี้จะตกใจ ทว่าหูตาว่องไวยิ่งนัก รีบคว้าคอเสื้อของกู้โยวหนิงแล้วดึงกลับมาอย่างรวดเร็ว

         

        กู้โยวหนิงเบิกตาโพล่ง ตกใจจนใบหน้าเรียวเล็กขาวซีด มือยังคงกำหยกห้อยไว้แน่น

         

        ฉู่ยวี้ขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างจนปัญญา “เดินไม่ยอมมองทาง กลับเอาแต่มองเจ้าสิ่งนั้น ข้าคลาดสายตาจากเจ้าเพียงครู่ เจ้าก็เกือบจะเกิดเรื่องเสียแล้ว”

         

        กู้โยวหนิงกำหยกห้อยที่อยู่ในมือขึ้นมาแนบอก จ้องมองฉู่ยวี้ด้วยสีหน้าท่าทางไม่ยอมแพ้ “ข้ามองหยกของข้าแล้วจะเป็นอะไรไป นี่คือเงินทั้งนั้น จะสนใจมากสักหน่อยย่อมเป็นเรื่องธรรมดา อีกอย่าง หากข้าล้มลงไปก็เป็นเพราะชุดนี้ต่างหาก...”

         

        กู้โยวหนิงบ่นพึมพำไม่จบไม่สิ้น ราวกับทุกเหตุผลบนโลกหล้าล้วนถูกเขาหยิบยกมาเอ่ยจนสิ้น ฉู่ยวี้เถียงไม่สู้ จึงเอ่ยถามเพียงประโยคเดียวว่า “เจ้ายอมมองเพียงหยกนั่น โดยไม่สนว่าจะหกล้มใช่หรือไม่”

         

        ความถือดีของคุณชายห้าตระกูลกู้เริ่มปรากฏ พยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวและกล่าวด้วยเสียงดังกังวาน “ถูกต้องขอรับ”

         

        ฉู่ยวี้ยกยิ้มมุมปาก จากนั้นพยักหน้าตาม “ถ้าเช่นนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว”

         

        ทันใดนั้นยื่นมือมารวบร่างกู้โยวหนิงและอุ้มเขาในท่าเจ้าสาว แล้วก้าวเท้ามุ่งหน้าออกนอกวัง

         

        กู้โยวหนิงอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ทันใดนั้นพยายามดิ้นขัดขืน ทว่าถูกเหวินอ๋องผู้น่าเกรงขามปรามไว้เสียก่อน มิหนำซ้ำยังเอ่ยขู่ขวัญ “ห้ามขยับ!”

         

        “ทะๆ...ทะๆ...ท่าน” กู้โยวหนิงโมโหจนเอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ “ท่าน... ท่านปล่อยข้าลงไป ทำเช่นนี้ไม่ต่างจากลิดรอนอิสระผู้อื่น แม้จะเป็นท่านอ๋องก็ไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้!”

         

        ฉู่ยวี้หรี่ดวงตาและหยุดฝีเท้า เลิกคิ้วมองเขาพลางเอ่ย “เจ้าอยากให้ข้าปล่อยเจ้าลง?”

         

        “…” กู้โยวหนิงกอดหยกห้อยไว้แนบอก จากนั้นมองฉู่ยวี้ด้วยสายตาหวาดระแวง ปกติแล้วเวลาแบบนี้จะต้องมีเงื่อนไขที่ทำให้เขาอับอายมาแลกเปลี่ยนอย่างแน่นอน เพราะจากเหตุการณ์ต่างๆ ในหลายวันมานี้ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ฉู่ยวี้ เขามักจะถูกกลั่นแกล้งเสมอ เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ กู้โยวหนิงรู้สึกยอมไม่ได้ กล่าวอ้างหลักความถูกต้อง “ท่านอ๋อง ท่านทำเช่นนี้ถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม หากไม่สนใจว่ายามนี้คือเวลากลางวันก็ช่าง แต่จะมาอุ้มผู้อื่นอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ช่างแลดูไร้อารยธรรมยิ่งนัก อีกทั้งท่านทำเช่นนี้ก็เท่ากับไร้อารยธรรมต่อพันธมิตรอีกด้วย การกระทำเช่นนี้ถือว่าผิดนะขอรับ”

         

        ฉู่ยวี้ทำทีราวกับไม่ได้ยินที่เขาพูด ยังคงอุ้มเขามุ่งหน้าออกนอกวังเช่นเดิม เอ่ยถามย้ำอีกครั้งว่า “เจ้าอยากลงหรือไม่”

         

        กู้โยวหนิงแทบจะกระอักเลือดออกมา นี่เขาอ้างหลักศีลธรรมความถูกต้องไปตั้งมากมาย แต่คนคนนี้กลับไม่ได้ฟังเข้าหูเลยแม้แต่นิด กู้โยวหนิงหมดหนทาง จึงได้แต่พยักหน้าอย่างน่าสงสาร “ข้าอยากลงไป...”

         

        “ถ้าเช่นนั้นเวลาเดินเจ้าจะดูทางหรือไม่?”

         

        “ดูขอรับๆ” กู้โยวหนิงพยักหน้าระรัว กล่าวรับประกันอีกว่า “ต่อไปนี้ข้าจะตั้งใจมองทางอย่างแน่นอนขอรับ!”

         

        ฉู่ยวี้เอียงศีรษะพลางเลิกคิ้วมองเขา แววตาฉายแววขบขันอย่างไม่อาจปกปิด จากนั้นจึงค่อยๆ ปล่อยเขาลง

         

        กู้โยวหนิงกำลังจะกระโดดดีใจที่ได้รับอิสรภาพและกลับมายืนบนพื้นอีกครั้ง ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นว่าตนกำลังยืนอยู่นอกประตูวังเสียก่อน นอกจากนั้นยังเห็นว่าคนแบกเกี้ยวทั้งแปดที่กำลังอ้าปากค้างมองมาทางเขา

         

        ออกมานอกประตูวังแล้ว... เขาถูกเหวินอ๋องอุ้มออกมาจนถึงนอกประตูวังแล้ว... ไม่ใช่แค่คนในวังที่เห็นหมดแล้ว กระทั่งคนแบกเกี้ยวยังเห็นว่าเขาถูกอุ้มออกมา มิหนำซ้ำยังมองเขาด้วยสีหน้าตกตะลึงจนพูดไม่ออกแบบนั้นอีก

         

        กู้โยวหนิงรู้สึกว่าใบหน้ากำลังเห่อร้อนราวกับไฟ เป็นถึงชายแท้ทั้งแท่ง มือเท้าไม่ได้พิการสักนิด กลับถูกคนอื่นอุ้มออกมาอย่างนี้ จะให้เขารับได้ยังไง!

         

        ฉู่ยวี้ขึ้นไปนั่งในเกี้ยว มองกู้โยวหนิงที่ยังยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิมด้วยความสงสัย จากนั้นกระตุกผ้าม่านและเอ่ยถาม “ไยเจ้ายังไม่ขึ้นมา?”

         

        กู้โยวหนิงรู้สึกว่าตัวเองขายหน้าไปจนหมดสิ้น ทันใดนั้นจดจ้องฉู่ยวี้ด้วยความกรุ่นโกรธ ทว่าคนผู้นี้คือท่านอ๋อง ตนไร้ซึ่งหนทางจะทำอะไรเขาได้ หลังพระชายาเหวินอ๋องรู้สึกอับอายจนสุดจะกลั้น ท้ายที่สุดเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ปากเล็กค่อยๆ แบะออก จากนั้นส่งเสียงร้องไห้ดังสนั่นทันใด

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
24 เมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.15 น.

เล่มที่1 บทที่24 การต้อนรับจากอนุชายา (1)

 

        เจียนยวี่เห็นกู้โยวหนิงวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางกรุ่นโกรธ พลันตกตะลึงและวิ่งเข้าไปหมายจะถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่ากู้โยวหนิงกลับรีบวิ่งเข้าไปในห้องโดยไม่สนใจเขาสักนิด จากนั้นปิดประตูจนเกือบจะกระแทกหน้าของเจียนยวี่ เขาได้แต่หันหลังกลับไปมองฉู่ยวี้ที่อยู่ด้านหลังด้วยความมึนงง

         

        ฉู่ยวี้ลูบจมูกตนอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เจ้าตัวดีช่างน่าแกล้งยิ่งนัก ท่าทางยามโมโหจนร้องไห้ช่างคล้ายกับลูกแมวกรุ่นโกรธไม่มีผิด

         

        ฉู่ยวี้สะดุ้งตกใจเมื่อเห็นกู้โยวหนิงโมโหจนร้องไห้ออกมา ทว่าเขาไม่ถนัดเอ่ยวาจาปลอบใจผู้ใด จึงทำได้เพียงยืนขมวดคิ้วจ้องคนผู้นั้น พร้อมกับสำนึกผิดคิดว่าตนทำเกินไปหรือไม่

         

        พลันพบว่าแท้จริงแล้วเจ้าตัวดีแสร้งร้องไห้ไร้น้ำตาแม้แต่หยดเดียว ทว่าท่าทางน่ารักน่าชังจนเขาอดยกยิ้มไม่ได้ พานให้กู้โยวหนิงต้องกรุ่นโกรธหนักกว่าเดิม พยายามส่งเสียงร้องไห้ให้ดังกว่าเดิมอย่างสุดชีวิต ฉู่ยวี้ร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูกเพราะเกรงว่าเขาจะตะเบ็งเสียงจนเจ็บคอ ท้ายที่สุดตัดสินใจมือปิดปาก กึ่งลากกึ่งอุ้มเขาให้เข้ามานั่งในเกี้ยว

         

        กู้โยวหนิงหนีมาหลบอยู่ในห้อง เขาไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากการดื่มน้ำจับเลี้ยงไปอึกหนึ่ง จากนั้นใช้มือปิดหน้าที่แดงก่ำเพราะความอับอายของตน ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าวันหน้าจะอยู่ให้ห่างจากเหวินอ๋องในระยะปลอดภัย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองต้องถูกกลั่นแกล้ง

         

        ขณะเขากำลังหวนนึกถึงความรู้สึกตอนถูกฉู่ยวี้อุ้มไว้ในอ้อมกอดโดยไม่รู้ตัว พลันมีคนเสียงเคาะประตูดังขึ้น นางคือหญิงรับใช้ข้างกายของฉู่ยวี้นามว่าไฉ้เซวียน “เรียนพระชายา พระชายารองและแม่นางทั้งสามจะมายกน้ำชาเพื่อแสดงความเคารพพระชายาเจ้าค่ะ”

         

        กู้โยวหนิงมึนงงครู่หนึ่ง นึกได้ว่าหลังพระชายาอภิเษกเข้าจวน เหล่าอนุชายาต้องมายกน้ำชาต้อนรับ กู้โยวหนิงบอกให้พวกนางรออยู่ข้างนอก จากนั้นรีบลุกไปผลัดอาภรณ์

         

        ถังซู่ยหวินพาอนุชายาทั้งสามนางยืนรออยู่ด้านนอก เพราะนางคือชายารองจึงยืนอยู่ด้านหน้าอนุชายาทั้งสาม ชุดที่สวมใส่ช่างหรูหราโอ่อ่ายิ่งนัก มองดูก็รู้ได้ทันทีว่านางตั้งใจแต่งกายมาเป็นอย่างดี

         

        ป๋ายเยี่ยนอยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวคราม ลอบยิ้มเย้ยหยันขณะมองถังซู่ยหวินผู้ยืนอยู่หน้าตน หันไปสะกิดลั่วสยาเพื่อบอกให้นางมองไปยังถังซู่ยหวินที่แต่งกายโอ้อวดผู้คน

         

        ลั่วสยาลอบยกยิ้มเพราะมีความคิดไม่ต่างจากนาง ด้านข้างยังมีหลานเซียงที่เป็นคนของถังซู่ยหวินกำลังถลึงตาใส่พวกนาง ทว่าลั่วสยาทำราวกับมองไม่เห็น ทันใดนั้นก็เอ่ยพลางแสร้งยกยิ้มน่าเอ็นดู “วันนี้ฮูหยินงดงามเหลือเกิน ปิ่นระย้าทำจากหยกประณีตชิ้นนี้ช่างแลดูโดดเด่นยิ่งนัก!”

         

        ถังซู่ยหวินหันหลังกลับมาปรายตามองนางเพียงครู่ หัวเราะและเอ่ยอย่างลำพองใจ “เจ้าก็ชอบปิ่นระย้างั้นหรือ? เดิมทีควรจะมอบให้เจ้า แต่ช่างน่าเสียดาย ปิ่นระย้าชิ้นนี้ข้าได้มาเมื่อครั้งเข้าจวน ท่านอ๋องตั้งใจเอากลับมาจากเจียงหนานเพื่อมอบให้ข้า!”

         

        ป๋ายเยี่ยนไม่พอใจท่าทีอวดดีของถังซู่ยหวิน หันไปสบตากับลั่วสยาครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นฮูหยินคงต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีเสียแล้ว ภายหน้าหากท่านอ๋องเดินทางไปเจียงหนาน คาดว่าคงจะพาพระชายาเคียงข้างกายไปด้วยแทบทุกครั้ง สิ่งของที่ซื้อกลับมาเกรงว่าจะมีแต่ของที่เด็กหนุ่มชอบ คงจะหลงลืมเสียแล้วว่าฮูหยินที่เป็นสตรีชื่นชอบสิ่งใด”

         

        ถังซู่ยหวินขมวดคิ้วโดยพลัน ใบหน้าเคร่งขรึม หลานเซียงรีบเอ่ยขัดเมื่อเห็นผู้เป็นนายเสียกิริยา “ท่านอ๋องเป็นห่วงเป็นใยพระชายาย่อมเป็นเรื่องปกติ พวกเราพี่น้องล้วนแต่เป็นคนของท่านอ๋อง ท่านอ๋องไม่มีทางสนใจเพียงพระชายาจนไม่สนใจพวกเรา นอกจากนั้นฮูหยินยังเป็นผู้ที่ท่านอ๋องโปรดปรานมานานหลายปี ในใจของท่านอ๋องย่อมต้องมีฮูหยินอย่างแน่นอน”

         

        “จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ~” ลั่วสยาแสร้งเบิกตาโตอย่างใสซื่อ เอ่ยทั้งรอยยิ้ม “เจ้าไม่ใช่ท่านอ๋อง จะรู้ได้อย่างไรว่าในใจของท่านอ๋องมีผู้ใด?”

         

        “ฮ่าๆๆๆ~” ป๋ายเยี่ยนป้องปากหัวเราะ จากนั้นเอ่ยผสมโรงกับลั่วสยา “เจ้ากล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูกต้อง ภายในใจท่านอ๋องมีผู้ใด ถือเป็นเรื่องที่คนทั้งจวนอ๋องต่างรู้ดี ได้ยินมาว่าเมื่อครู่พระชายาบันดาลโทสะระหว่างกลับมาจากวังหลวง ไม่ว่าท่านอ๋องจะเอาใจเช่นไรก็ไม่ยอมฟัง ท้ายที่สุดปิดประตูทิ้งให้ท่านอ๋องอยู่นอกตำหนัก ทว่าข้าได้ยินคนแบกเกี้ยวเล่ากันว่าพระชายาถูกท่านอ๋องอุ้มออกมาจากวัง เป็นเพราะเขินอายถึงได้แสดงท่าทางเง้างอนกับท่านอ๋องต่างหาก”

         

        ถังซู่ยหวินกัดฟันข่มความโกรธ นางดึงทึ้งผ้าเช็ดหน้าในมือจนแทบขาดออกจากกัน ใบหน้างดงามราวกับภาพวาดพลันบิดเบี้ยว ครั้นกำลังจะปริปากระบายโทสะ กลับได้ยินเสียงไฉ้เซวียนที่เดินออกมาจากตำหนักส่วนในเอ่ยว่า “ฮูหยินและแม่นางเชิญเข้าด้านในเจ้าค่ะ”

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
25 เมื่อ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2563 21.47 น.

เล่มที่1 บทที่25 การต้อนรับจากอนุชายา (2)

 

        “ถังซู่ยหวินคำนับพระชายา พระชายาโปรดดื่มชาเจ้าค่ะ!” ถังซู่ยหวินย่อตัวแสดงความเคารพพอเป็นพิธีและรินน้ำชาให้กู้โยวหนิงด้วยท่าทีสุภาพอ่อนน้อม

         

        กู้โยวหนิงรับจอกน้ำชามาถือไว้ในมือ สายตาจ้องมองถังซู่ยหวินอย่างจับผิดทั้งรอยยิ้ม เขามองออกว่าชายารองผู้นี้ภายนอกแม้จะแสดงท่าทางนอบน้อมอ่อนหวาน แต่ภายในกลับไม่พอใจตนเป็นอย่างมาก กู้โยวหนิงที่มีนิสัยเจ้าชู้ประตูดินมาตั้งแต่เกิด เมื่อเห็นสตรีงามอยู่เต็มห้อง อาการโมโหจากการถูกฉู่ยวี้กลั่นแกล้งเมื่อเช้าถึงกับสลายหายไปอย่างรวดเร็ว เขาวางจอกน้ำชาลง ยื่นมือไปเชยคางและมองถังซู่ยหวินด้วยสายตาหยอกล้อ เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ลุกขึ้นเถิด”

         

        ถังซู่ยหวินค่อยๆ ลุกขึ้น นิ้วจิกทึ้งลงบนผ้าเช็ดหน้าในมือจนแทบขาด เพราะกู้โยวหนิงไม่เรียกให้นางลุกขึ้นทันที นางจึงคิดไปว่าเขาต้องการกลั่นแกล้งให้นางต้องทนไม่ได้

         

        กู้โยวหนิงส่งยิ้มอ่อนโยน จากนั้นสั่งให้เจียนยวี่นำของกำนัลออกมามอบให้ ถังซู่ยหวินรับมาแล้วย่อกายถอนสายบัว “ขอบพระทัยพระชายาเจ้าค่ะ!”

         

        “ไม่ต้องขอบใจๆ” กู้โยวหนิงส่ายหน้า หรี่สายตาแล้วเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ “อายุเท่าไหร่? เข้าจวนอ๋องมาตั้งแต่เมื่อใด?”

         

        จบประโยคเจียนยวี่รีบกระทุ้งกู้โยวหนิงไปทีสองที เดิมทีการที่พระชายาจะถามไถ่อนุชายา แสดงความเป็นห่วงเป็นใยไม่ถือเป็นการผิดแต่อย่างใด ยังแสดงให้เห็นว่าพระชายามีท่าทีสนิทสนมใกล้ชิดกับผู้อื่น ทว่าหากพระชายาคือบุรุษ จำเป็นจะต้องระมัดระวังเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้สายตาเช่นนี้มองผู้อื่น

         

        ไฉ้เซวียนคือหญิงรับใช้ในจวนอ๋องที่ติดตามรับใช้ฉู่ยวี้มาหลายปี นางรีบก้าวออกมาแล้วเอ่ยว่า “เรียนพระชายา ฮูหยินหวินอยู่ในจวนอ๋องมาสองปีแล้วเจ้าค่ะ หากกล่าวถึงอายุคงมากกว่าพระชายาไม่กี่ปีเจ้าค่ะ”

         

        “อ๋อ~” กู้โยวหนิงทำทีพยักหน้าเข้าใจและเผยรอยยิ้มออกมา “ไม่เลว~ ไม่เลวจริงๆ~”

         

        เจียนยวี่กลอกตา รู้สึกคลายกำลังจะลมจับ ไฉ้เซวียนเองก็ยิ้มออกมาอย่างทำตัวไม่ถูก มีเพียงถังซู่ยหวินที่ปิดเปลือกตาลงเพื่อเก็บซ่อนแววตาตนเอาไว้

         

        ไฉ้เซวียนกระแอ่มเล็กน้อย รีบแนะนำสตรีนางอื่นๆ ทันที “พระชายา นี่คืออนุชายาทั้งสามนาง”

         

        “หม่อมฉันป๋ายเยี่ยน คำนับพระชายา พระชายาโปรดดื่มชาเจ้าค่ะ”

         

        “หม่อมฉันหลานเซียง คำนับพระชายา พระชายาโปรดดื่มชาเจ้าค่ะ”

         

        ป๋ายเยี่ยนและหลานเซียงก้มหัวคำนับตามลำดับ นำจอกน้ำชายกขึ้นเหนือศีรษะ กู้โยวหนิงรับมาและให้ของกำนัลตอบแทนพวกนาง สายตายังคงจับจ้องเหล่าอนุชายาพร้อมทั้งนึกในใจว่า เหวินอ๋องนี่โชคดีจริงๆ ถึงจะมีอนุชายาไม่มากแต่ละคนดันสวยขนาดนี้ ไหนจะแววตาแต่ละนางไม่เหมือนกับสตรีทั่วไปยุคนี้ที่ดูอ่อนแอและบอบบาง ดูจะเจ้าแผนการไม่แพ้กันสักคน วันข้างหน้าคงมีอะไรสนุกๆ เขาให้ดูซะแล้ว

         

        ลั่วสยาเคยเจอกู้โยวหนิงมากก่อน จากเดิมที่คิดว่าคนผู้นี้งามล้ำล่มเมือง เมื่อได้พบอีกครั้งพลันรู้สึกว่าคือเขาหนุ่มน้อยหน้าตางดงาม ทั้งคล้ายกับว่ารอบกายมีรัศมีของอำนาจสาดส่องออกมา

         

        “หม่อมฉันลั่วสยา คำนับพระชายา พระชายาโปรดดื่มชาเจ้าค่ะ”

         

        ลั่วสยาก้มหัวคำนับกู้โยวหนิง ทว่ากู้โยวหนิงยังไม่ทันได้รับน้ำชาที่นางส่งให้ กลับลุกพรวดพราดจากเก้าอี้เพื่อประคองให้นางลุกขึ้น จ้องมองนางแล้วยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “ผู้นี้ไม่ใช่แม่นางลั่วสยาแห่งโรงละครเทียนตูหรอกหรือ?”

         

        ลั่วสยาตกตะลึง นึกไม่ถึงว่ากู้โยวหนิงจะยังจำนางได้ ทว่าในที่นี้มีผู้คนอยู่มาก มีหรือจะกล้าเอ่ยคล้อยตามพระชายา นางรับคุกเข่าลงทันที “ลั่วสยายกน้ำชาแสดงความเคารพพระชายาเจ้าค่ะ!”

         

        กู้โยวหนิงรับน้ำชามาอย่างขอไปที แล้วประคองนางลุกขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวพลางถอนหายใจว่า “เดิมทีกว่าจะพบแม่นางในโรงละครช่างยากเย็นเหลือเกิน โยวหนิงโชคดีที่มีโอกาสได้ละครอยู่ไม่กี่หน ช่างยอดเยี่ยมเป็นที่ตรึงใจผู้คนยิ่งนัก ทว่าหลังจากแม่นางถูกคนซื้อตัวไป โยวหนิงคิดว่าคงไร้โอกาสพบแม่นางอีกแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะอยู่ในจวนอ๋องเช่นนี้”

         

        ทันใดนั้นประตูตำหนักเปิดออกอย่างรวดเร็ว ปรากฏร่างสูงใหญ่ที่กำลังแผ่กลิ่นอายดุดัน

         

        ฉู่ยวี้ถูกพระชายาของตนปิดประตูไม่ให้เข้าในตำหนัก เขาถึงไปที่ห้องหนังสือเพื่อสะสางงานบางส่วน ได้ยินว่าเหล่าอนุชายากำลังยกน้ำชาทำความเคารพพระชายา ฉู่ยวี้เกรงว่ากู้โยวหนิงอายุยังน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆจะถูกรังแกเอาได้ ผู้อื่นอาจไม่รู้แต่เขารู้ว่าอนุชายาแต่ละนางไม่ธรรมดาสักนิด กล้ารวบรวมหลักฐานหาความผิดเขาขนาดนี้ จะยังมีสิ่งใดที่ไม่กล้าทำอีก เมื่อคิดเช่นนั้นเขาถึงได้รีบตามมาที่นี่ทันที

         

        แต่กลับต้องมาเห็นเจ้าตัวดีกำลังจับมือผู้อื่นเช่นนี้ ใบหน้าของฉู่ยวี้แสดงถึงเจ็บปวดอย่างปิดไม่มิด ทั้งยังเสียใจที่เขาไม่เข้ามาให้เร็วกว่านี้ ฉู่ยวี้กรุ่นโกรธขึ้นมาทันใด

         

        ทุกคนในต่างมองไปยังเหวินอ๋องที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ถังซู่ยหวินยกยิ้มมุมปาก เป็นพระชายาบุรุษกลับไม่รู้จักระมัดระวังกิริยาและคำพูด ดูแล้วการจะกำจัดเขาคงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร ท่านอ๋องจะโปรดปรานมากแค่ไหนก็คงไม่อาจทนเห็นพระชายามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอนุชายาได้แน่นอน

         

        นอกจากนางและหลานเซียง ผู้คนในที่นี้ต่างหน้าถอดสีไม่ต่างกัน โดยเฉพาะเจียนยวี่ที่แทบจะหยุดหายใจไปแล้ว ทว่าเมื่อท่านอ๋องเดินเข้ามากลับคว้ามือกู้โยวหนิงและปัดมือลั่วสยาออกทันที ลั่วสยาที่เป็นเพียงสตรีบอบบาง หากไม่ได้ป๋ายเยี่ยนประคองไว้คงต้องถูกเขาผลักจนล้มลงไปเสียแล้ว

         

        กู้โยวหนิงมองฉู่ยวี้อย่างโมโห คิดในใจว่า ‘ช่างไม่รู้จักทะนุถนอมเลยสักนิด’

         

        ตลอด 2 ปีที่ถังซู่ยหวินเข้ามาอยู่ในจวนอ๋อง นางคอยทำตัวเป็นสตรีที่อ่อนโยนรู้จักแยกแยะมาโดยตลอด เหลือบมองฉู่ยวี้เพียงครู่จึงรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังเกิดโทสะ นางรีบก้าวออกมาและเอ่ยด้วยท่าทางอ่อนโยน “ท่านอ๋อง พระชายาและน้องลั่วสยารู้จักกันมาก่อน วันนี้กลับมาพบกันจึงแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นธรรมดา ไม่มีสิ่งใดเกินกว่านี้เจ้าค่ะ”

         

        กู้โยวหนิงแค่นหัวเราะเย็นครู่หนึ่ง นางช่างไม่ต่างกับฮูหยินแซ่หลี่ในจวนอัครเสนาบดีเลยสักนิด นิสัยราวกับพิมพ์เดียวกันไม่มีผิด พูดจาอ้อมค้อมทั้งยังไร้ความจริงอย่างหน้าซื่อตาใส เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ จากเดิมที่มีอะไรกลับเหมือนพวกเขาถูกจับได้คาหนังคาเขาอยู่บนเตียงเสียอย่างนั้น

         

        ฉู่ยวี้จ้องถังซู่ยหวินด้วยสายตาเย็นชาและดุดัน พานให้นางหวาดกลัวจนตัวสั่นและเหงื่อกาฬไหลฉับพลัน

         

        จากนั้นกวาดสายตามองอนุชายาทั้งสามนาง เมื่อเห็นพวกนางค่อยๆ พากันก้มหน้าลง จึงหันกลับมาทางกู้โยวหนิง

         

        กู้โยวหนิงมองตอบเขาอย่างเปิดเผย ท่าทางราวกับกำลังถามฉู่ยวี้ว่าจะทำอะไรตนได้ ฉู่ยวี้ปวดขมับฉับพลัน เขาส่งหลินเหลียนกลับไปคิดว่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าตัวดีช่างถนัดทำให้ผู้อื่นเหนื่อยใจเหลือเกิน เขาถอนหายใจออกมา เอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “เมื่อเช้าเข้าวังยังไม่ได้กินอะไร เจ้าไปหาอะไรกินก่อนเถอะ”

         

        กล่าวเสร็จยังกำชับให้เจียนยวี่และไฉ้เซวียนตามไปดูแลพระชายาที่ห้องอาหาร

         

        ทุกคนต่างตกตะลึง พวกเขารู้ว่าพระชายาเป็นที่โปรดปรานอย่างมาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมากถึงขั้นนี้ แม้แต่คำตำหนิสักคำท่านอ๋องยังตัดใจเอ่ยไม่ได้ ถังซู่ยหวินก้มหน้าพลางกำผ้าเช็ดหน้าในมือด้วยความไม่พอใจ แต่ถึงอย่างนั้นนางกลับทำได้เพียงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม เพื่อพาอนุชายาทั้งสามเดินออกไป

         

        ครั้นหันหลังกำลังจะเดินออกไป กลับถูกฉู่ยวี้บอกให้หยุดอยู่กับที่ “หยุดอยู่ตรงนั้น!”

         

        พวกนางถูกน้ำเสียงดุดันของฉู่ยวี้ทำให้หวาดกลัวจนแข็งเกร็งไปทั้งร่าง จากนั้นพากันค่อยๆ หันกลับมา

         

        ฉู่ยวี้จ้องมองพวกนางด้วยสายตาเยือกเย็น เอ่ยออกมาว่า “พระชายาคือบุรุษ อายุยังน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ พวกเจ้าจงอยู่กันอย่างสงบ หากเปิ่นหวางรู้ว่าผู้ใดสร้างเรื่องใส่ร้ายป้ายสีพระชายา ผู้ที่ต้องตายคือพวกเจ้า!”

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
26 เมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563 17.42 น.

เล่มที่1 บทที่26 เสียงกระซิบทุ้มต่ำ

 

        “เจียนยวี่ ในบรรดาพวกนางทั้งสี่คน เจ้าว่าผู้ใดงามที่สุด” กู้โยวหนิงถือชามข้าว ท่าทางสนใจใคร่รู้ ครู่หนึ่งกล่าวพลางพยักหน้า “ข้าคิดว่าแม่นางลั่วสยางามที่สุด”

         

        เจียนยวี่วางถ้วยน้ำซุปลงบนโต๊ะอย่างแรง ใบหน้าหมดจดแสดงออกถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก

         

        “...” กู้โยวหนิงจิ๊ปาก “เจ้าจะก่อกบฏหรืออย่างไร คีบอาหารให้ข้า!”

         

        “คุณชายห้า~” เจียนยวี่กระวนกระวาย เอ่ยอย่างคนทุกข์ใจยิ่งนัก “ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ”

         

        กู้โยวหนิงกลอกตา เอ่ยพลางเลียนแบบท่าทางตรมใจของเจียนยวี่ “ข้าทำเช่นไรกันเล่า~”

         

        “จะเช่นไรอีกขอรับ! ท่านไปจับมือผู้อื่นถึงขนาดนั้น ยังคิดจะทำสิ่งใดอีกขอรับ คนผู้นั้นคืออนุชายาของท่านอ๋อง และยามนี้ท่านคือพระชายานะขอรับ หากท่านอ๋องกล่าวโทษขึ้นมาจะทำเช่นไรขอรับ!”

         

        “ใช่แล้ว~ ข้าไปลูบไปคลำสตรีของเขา หากเขาไม่พอใจข้าจะทำเช่นไรดี?” กู้โยวหนิงเบิกตามองรอบๆ อย่างระแวดระวัง จงใจพูดแกล้งเขาว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะยกเจ้าให้ท่านอ๋อง เมื่อก่อนได้ยินว่าเขาไม่โปรดบุรุษ แต่ตอนนี้ข้าดูแล้วท่าทางจะโปรดมากเสียด้วยซ้ำ ข้าจะให้เจ้าไปเป็นอนุชายาท่านอ๋องเพิ่มอีกคน ถึงยามนั้นให้เจ้าช่วยพูดจาแทนข้าตอนนอนร่วมหมอนกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็คงไม่โกรธข้าแล้ว”

         

        “คุณชายห้า!” เด็กน้อยเจียนยวี่ถึงกับโกรธจริง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทั้งที่ใบหน้าขึ้นสี “คุณชายห้า ท่านอย่าทำเช่นนี้เลยขอรับ ท่านไม่ทราบหรือว่าเดิมทีชายารองเป็นผู้ได้รับการโปรดปรานมากที่สุด แต่ท่านพึ่งเข้าจวนกลับได้อยู่ร่วมตำหนัก และท่านอ๋องยังทำดีกับท่านถึงเพียงนี้ ไม่อาจวางใจได้ว่าผู้อื่นจะไม่คิดร้ายกับท่าน ดังนั้นท่านจะไม่ระมัดระวังกิริยาและวาจาไม่ได้นะขอรับ”

         

        “อ่า นี่สิถึงจะถูก~” กู้โยวหนิงหันมองเจียนยวี่ครู่หนึ่ง วางตะเกียบและชาม เอ่ยเย้าหยอกว่า “หากข้าทำตัวขลาดกลัวผู้อื่นตั้งแต่เข้าจวน เจ้าคิดว่าพวกนางจะไม่ทำอะไรข้าอย่างนั้นหรือ?”

         

        เจียนยวี่งงงัน กะพริบตาปริบๆ ใบหน้าแสดงออกว่าไม่เข้าใจ

         

        กู้โยวหนิงจิ๊ปากแล้วถอนหายใจ “เจ้าโง่เกินไปแล้ว ข้าจะบอกให้ บางครั้งที่บางคนแสดงให้เจ้าเห็นถึงจุดอ่อน ไม่ได้หมายความว่าเขาประมาทเลินเล่อ แต่เป็นเพราะเขาจงใจให้เจ้าติดกับต่างหาก เข้าใจหรือไม่?”

         

        กู้โยวหนิงส่ายหน้าทั้งรอยยิ้ม เจ้าเด็กนี่เซ่อขนาดนี้ วันหน้าจะต้องหาผู้หญิงแบบไหนให้เขากันเนี่ย แต่ว่า... กู้โยวหนิงค่อยๆ ลูบคางตน แต่ว่าเซ่ออย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน แกล้งแล้วสนุกดี

         

        หลังกินข้าวเสร็จ กู้โยวหนิงเดินเอ้อระเหยกลับตำหนักเพื่อเตรียมตัวนอนอีกสักงีบ แต่ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องกลับเห็นฉู่ยวีนั่งแผ่รังสีมืดมนอยู่ กู้โยวหนิงหัวเราะแห้ง รีบหันหลังกลับเตรียมพร้อมวิ่งหนี ทว่าเขาก้าวเท้ายังไม่ถึงสองก้าว กลับถูกฉู่ยวีดึงคอเสื้อเอาไว้ จากนั้นลากกลับเข้ามาในห้องพร้อมทั้งล็อกประตู

         

        เมื่อกู้โยวหนิงเห็นสีหน้าไม่ดีของฉู่ยวี ในหัวเริ่มคิดหาหนทางรอดร้อยกว่าวิธีอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดค่อยๆ กลืนน้ำลาย ตัดสินใจเอ่ยด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ว่า “ไม่นะท่านอ๋อง ข้าแค่ประคองแม่นางลั่วสยาขึ้นมา นางมีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อครั้งอยู่ในโรงละคร ข้าเคยชมการแสดงของนางเพียงไม่กี่หน ชื่นชมนางอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ทำอะไรแม้แต่นิดจริงๆ นะขอรับ ไม่ได้คิดอะไรสักนิด จริงๆ นะขอรับ ท่านเชื่อข้าเถอะ...”

         

        ฉู่ยวีไม่สนใจว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใดออกมา ยังคงก้าวเข้าหาเขาเรื่อยๆ กู้โยวหนิงถอยหนีไปด้านหลังจนติดขอบเตียง เมื่อไม่ได้ทันระวังจึงสะดุดขอบเตียง เสียหลักนั่งลงบนเตียงเสียงดัง เขาแหงนหน้ามองฉู่ยวีและกล่าว “ท่านอ๋อง ข้าพึ่งจะแต่งเข้าจวนอ๋องได้แค่วันเดียว พระชายากลับมีอันเป็นไปอย่างกะทันหัน ข้าตายคงไม่สำคัญเท่าใด แต่ชื่อเสียงของท่านอ๋องจะเสื่อมเสียนะขอรับ อีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรนางสักนิด จริงหรือไม่ขอรับ...”

         

        กู้โยวหนิงยิ่งพูดเสียงยิ่งแผ่วลง เพราะตอนนี้ฉู่ยวีได้กักตัวเขาไว้โดยการคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนเตียง หรี่ตามองพลางเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “มือข้างใดที่เจ้าใช้ประคองนาง?”

         

        !!!

         

        ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดอยู่ใช่ไหม แตะผู้หญิงของเขาแค่นิดเดียว คงไม่ถึงกับคิดจะตัดมือเขาทิ้งหรอกใช่ไหม กู้โยวหนิงขนลุกไปทั่วสรรพางค์กายรีบลุกขึ้นคุกเข่าอยู่บนเตียงทันที ถูมือทั้งสองข้างพลางอ้อนวอนด้วยท่าทางน่าสงสาร “ท่านชาย ท่านชายขอรับ ข้าผิดไปแล้ว ทำผิดไปแล้วจริงๆ ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย ยังต้องมีมือไว้ใช้กินข้าวนะขอรับ หากมีข่าวลือออกไปว่าพระชายากลายเป็นคนพิการ จะทำให้ชื่อเสียงของท่านเสียหายเช่นกันนะขอรับ”

         

        เมื่อฉู่ยวีเห็นใบหน้าเรียวเล็กกำลังยับยู่ยี้เช่นนั้น พลันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย ยกยิ้มมุมปาก จากนั้นดึงมือทั้งสองข้างที่กำลังออกแรงถูไปมาอยู่หน้าตน

         

        มือของกู้โยวหนิงเรียวงาม เพราะไม่ได้จับพู่กันหรือทำงานเรือน ทำให้ยิ่งเนียนนุ่มเป็นอย่างมาก แตกต่างจากมือหยาบกร้านของฉู่ยวีที่ใช้ฝึกวิทยายุทธ์มานานหลายปี ยามกอบกุมเอาไว้ในมือจึงสัมผัสได้ถึงเนียนนุ่มราวกับไร้กระดูก เป็นเหตุให้ผู้อื่นรู้สึกไม่อยากปล่อยมือ

         

        มือใหญ่ของฉู่ยวีลูบไล้มือเล็กครู่หนึ่ง ทว่ากู้โยวหนิงกลับตื่นตระหนกจนแทบสิ้นสติ พยายามชักมือตนกลับ แต่ก็ถูกฉู่ยวีกุมไว้แน่นเสียยิ่งกว่าเดิม

         

        “นับจากนี้ไปห้ามเจ้าอยู่ใกล้พวกนาง และห้ามเจ้าประคองพวกนางอีกเด็กขาด” ฉู่ยวีจดจ้องเข้าไปในดวงตาเขา แววตาไม่อาจปกปิดความปรารถนาที่มีมากล้น เขามีชีวิตมาสองภพสองชาติ เหลือเพียงคนผู้นี้ที่เป็นดั่งดวงใจ ไม่อาจยอมให้ผู้ใดมาทำให้แปดเปื้อนเด็ดขาด

         

        กู้โยวหนิงพยักหน้าระรัว

         

        ฉู่ยวียังคงขมวดคิ้วและไม่ยอมปล่อยมือเขา ยกขึ้นชิดริมฝีปากแล้วกัดลงไปหนหนึ่ง กู้โยวหนิงสะดุ้งตกใจ ออกแรงดึงมือตนกลับอย่างสุดกำลัง ทว่าคุณชายผู้ไม่เคยฝึกฝนร่างกาย ทั้งยังมีเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิด มีหรือจะสู้กำลังของท่านอ๋องผู้ผ่านการจับดาบสู้รบมานานหลายปี

         

        “โยวหนิง... เจ้าชอบสตรีหรือ?” ฉู่ยวีโน้มตัวเข้าใกล้พลางเอ่ยกระซิบเสียงต่ำ

         

        กู้โยวหนิงมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้นพบว่าท่านอ๋องผู้นี้รูปงามจนเกินไป เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เบี่ยงหน้าหนีไปทางอื่นไม่ยอมมองเขา

         

        ฉู่ยวีจับปลายคางเขา บังคับให้หันกลับมามองตน เอ่ยถามอีกครั้งว่า “โยวหนิงชอบสตรี?”

         

        กู้โยวหนิงรู้สึกว่าฉู่ยวีอยู่ใกล้ตนมากจนเกินไป ใกล้จนสามารถรับรู้ถึงลมหายใจที่รดอยู่บนหน้าของเขา และใบหน้าหล่อเหลาเริ่มทำให้เขารู้สึกเขินอาย เมื่อเริ่มทนไม่ไหวจึงค่อยๆขยับหายถอยหลังออกห่าง เอ่ยเสียงเบา “แน่นอนอยู่แล้วขอรับ ผู้ใดจะไม่ชอบสตรี...”

         

        อารมณ์ที่เริ่มดีขึ้นของฉู่ยวีถึงกับดิ่งลงเหวอย่างกะทันหัน ระบายความโกรธด้วยการกัดปลายนิ้วกู้โยวหนิงอีกหน ได้ยินร้องแสดงความเจ็บปวดโดยพลัน เมื่อก้มลงมองจึงเห็นว่าปลายนิ้วเรียวยาวปรากฏรอยฟันสีแดง แววตาฉู่ยวีแสดงออกถึงความเจ็บปวด เขาจูบประโลมปลายนิ้วเรียวอยู่หลายหน ทว่ายิ่งกดจูบลงไปมากหนเท่าใดกลับยิ่งรู้สึกไม่พอ เป็นเหตุให้เขาเผลอกัดซ้ำลงไปอีกหนหนึ่ง

         

        ท่านอ๋องน้อยผู้เตรียมของกำนัลมาคารวะอาสะใภ้ ขณะนั่งอยู่ในห้องโถงจวน ทันใดนั้นได้ยินเสียงเด็กหนุ่มกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เขาถึงกับสำลักน้ำชาจนไอออกมาอย่างหนัก แม้ท่านอ๋องน้อยผู้นี้จะอายุยังน้อย ทว่ากลับเชี่ยวชาญเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ยิ่งนัก เขารู้ว่าเสียงร้องเมื่อครู่ไม่ใช่เสียงร้องปกติ ต้องเป็นเสียงร้องเพราะความกรุ่นโกรธระคนอับอายเพราะถูกผู้อื่นลวนลาม

         

        ท่านอ๋องน้อยได้แต่คิดและน้ำตาคลอในเวลาเดียวกัน คนผู้นี้ต้องเป็นผู้ที่งามหยดย้อยถึงเพียงใด ถึงทำให้เสด็จอาผู้แสนเย็นชาของเขากระทำสิ่งป่าเถื่อนเช่นนี้ โดยไม่สนว่ายามนี้ยังเป็นเวลากลางวันอยู่แท้ๆ

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
27 เมื่อ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2563 20.35 น.

เล่มที่1 บทที่27 รักใคร่หวงแหน

 

        ฉู่ยวี้ตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้อง กู้โยวหนิงจึงฉวยโอกาสนี้ดึงมือตนออกมาและกระถดตัวไปหลบอยู่ปลายเตียงอย่างรวดเร็ว เขามองฉู่ยวี้ด้วยสายตาหวาดระแวงคล้ายกับแมวถูกเหยียบหางไม่มีผิด

         

        ฉู่ยวี้ไม่อาจกลั้นขำเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้น ยื่นมือออกไปหาพลางกล่าว “เจ้าจะส่งเสียงดังอะไรกัน มา ให้ข้าดูว่าเจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่”

         

        กู้โยวหนิงตัวสั่น รีบร้อนเอามือทั้งสองข้างไปซ่อนด้านหลัง ดวงตาคู่สวยมองไปยังฉู่ยวี้ และเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ไม่ๆ...ไม่เจ็บแล้วขอรับ”

         

        ฉู่ยวี้ไม่ขยับเขยื้อน เอาแต่หรี่ดวงตาจ้องกู้โยวหนิง นึกอยากจะจับเจ้าลูกแมวป่าตัวน้อยไปซ่อนไว้ไม่ให้ผู้ใดได้เห็นทั้งนั้น

         

        ทันใดนั้นมีเสียงคนรับใช้หญิงเอ่ยแทรกขึ้นว่าท่านอ๋องน้อยจากจวนอวิ๋นชินอ๋องมาขอพบ ฉู่ยวี้จัดระเบียบอาภรณ์ตนเล็กน้อย จากนั้นหันกลับไปมองลูกแมวยังที่ซ่อนตัวอยู่ปลายเตียง แล้วเอื้อมมือไปคว้าตัวเขาออกมา

         

        “อ๊ากกก”

         

        ท่านอ๋องน้อยได้ยินเสียงร้องดังขึ้นอีกครั้ง ยังดีที่เมื่อครู่เขาได้ยินมาก่อนแล้วหนหนึ่ง ไม่เช่นนั้นเป็นอันต้องสำลักน้ำชาอีกรอบอย่างแน่นอน เขาวางถ้วยน้ำชาลง มองไปยังเฉิงกุ้ยที่อยู่ข้างกาย “นี่ พระชายาคนใหม่หน้าตาเป็นเช่นไรกัน?”

         

        เฉิงกุ้ยรู้ว่าท่านอ๋องน้อยหมายถึงสิ่งใด รีบตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ปากของข้าน้อยนั้นไร้ค่าเกินกว่าจะบรรยายความงามของพระชายาได้ แต่ท่านอ๋องน้อยโปรดสังเกตความเปลี่ยนแปลงของท่านอ๋องในช่วงไม่กี่วันนี้ด้วยตนเองเถอะขอรับ”

         

        คำกล่าวของเฉิงกุ้ยไม่ผิดสักนิด ยามนี้ทั้งเมืองฉางอันต่างพูดกันให้ทั่ว อัครเสนาบีดีฝ่ายซ้ายช่างเป็นผู้ที่เยี่ยมยอดยิ่งนัก ถึงได้มีบุตรเป็นพระชายาที่ทำให้เหวินอ๋องลุ่มหลงจนหัวปักหัวปำเช่นนี้

         

        สถานที่ใช้ต้อนรับผู้คนของจวนคือเรือนรับรองเซวี่ยฮุ้ย เรือนรับรองเซวี่ยฮุ้ยตั้งอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ในจวน เมื่อหันหน้าเข้าหาสวนดอกไม้จะเห็นศาลาตั้งเด่นเป็นสง่า ด้านบนมีป้ายสลักด้วยใจความว่า ‘ดอกไม้โอนอ่อนตามสายลม ท่ามกลางหิมะโปรยปรายในคืนจันทร์กระจ่าง‘ ด้านหลังมีระเบียงทางเดินทอดยาว ทั้งยังมีม่านประดับจับจีบเป็นชั้นๆ เดินถัดไปอีกนิดคือสวนดอกไม้ที่กำลังผลิบานอย่างงดงาม บริเวณสุดเขตสวนดอกไม้ปูพื้นด้วยหยกขาวจนสุดทาง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็จะพบเข้ากับเรือนรับรองเซวี่ยฮุ้ย

         

        ฉู่ยวี้พากู้โยวหนิงเดินมาถึงสวนดอกไม้ เอ่ยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า“เหิงเอ๋อร์คือบุตรกำพร้าบิดาที่เกิดจากเสด็จพี่ใหญ่ของข้า ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ถือว่าเขาสนิทชิดเชื้อกับข้ามากที่สุด”

         

        กู้โยวหนิงงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง เหวินอ๋องพูดเรื่องพวกนี้กับเขาทำไม? คงไม่ได้นับเขาเป็นคนกันเองหรอกใช่ไหม? ถึงกู้โยวหนิงจะยังคงหวาดระแวงเหวินอ๋องอยู่ แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ต่อให้ฮ่องเต้จะทรงละเว้นเหวินอ๋อง แต่มีหรือที่องค์รัชทายาทจะปล่อยเขาไป ในวันหน้าหากองค์รัชทายาทได้ขึ้นครองบัลลังก์ คาดว่าสิ่งแรกที่จะทำคงหนีไม่พ้นกำจัดเหวินอ๋อง และในตอนนี้เขามีฐานะเป็นพระชายาเหวินอ๋อง ความสัมพันธ์ของเขากับเหวินอ๋องแม้จะไม่สามารถเรียกได้ว่าเข้าขั้นดี แต่ก็ถือได้ว่าเป็นคนที่ต้องร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันซะแล้ว “ท่านอ๋องน้อยคือหลานแท้ๆ ขององค์รัชทายาท ท่านไม่กลัวว่า...”

         

        ฉู่ยวี้ส่ายหน้า “เด็กผู้นี้ไม่เหมือนกับพวกเขา”

         

        กู้โยวหนิงมองหน้าฉู่ยวี้ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ พยักหน้า “หากท่านอ๋องมีแผนการอยู่แล้วก็ถือว่าดีขอรับ” เนื่องจากเขายังไม่รู้ว่าเหวินอ๋องจะเลือกเดินหมากยังไง เพราะงั้นคำบางคำเก็บไว้ได้ก็ควรที่จะเก็บเอาไว้ก่อน แต่ไหนแต่ไรมาเรื่องราวภายในราชสำนักก็มีมักจะซับซ้อนวุ้นวายอยู่แล้ว ตอนนี้เขายังถูกบังคับให้เดินลุยน้ำขุ่นอย่างนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเอาตัวรอดจากเงื้อมมือศัตรูให้ได้

         

        ครั้นฉู่ยวี้ได้เห็นท่าทีเมินเฉยของกู้โยวหนิง ภายในใจพลันเกิดเป็นความรู้สึกปวดร้าวและลอบถอนหายใจออกมา เขารู้ว่าในยามนี้กู้โยวหนิงยังคงปิดกั้นตนเอง แม้จะเห็นเขาคอยเเสดงท่าทีขุ่นเคืองตน แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องเช่นนี้คราใด โยวหนิงกลับหลีกเลี่ยงการออกความคิดเห็นอยู่เสมอ

         

        ช่างเถอะ เรื่องราวสกปรกภายในราชสำนักเช่นนั้น ให้โยวหนิงรับรู้แต่น้อยก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาหวังเพียงให้กู้โยวหนิงมีความสุขอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น

         

        ฉู่เหิงคิดว่าการปรากฏตัวของกู้โยวหนิงในชีวิตของเสด็จอาตน ช่างดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียจริงๆ เสด็จอามีตำแหน่งเป็นถึงชินอ๋องแต่กลับถูกบังคับให้อภิเษกพระชายาบุรุษ และกู้โยวหนิงผู้ที่เป็นถึงคุณชายสูงส่งรูปงามแต่กลับถูกบังคับให้อภิเษกกับท่านอ๋องผู้โหดเหี้ยม ทั้งสองควรจะเป็นดั่งน้ำกับไฟที่ไม่ลงรอยกันจึงจะถูก ไฉนเลยเขาถึงเห็นฉู่ยวี้แสดงท่าทีคล้ายชาติที่แล้วมีสิ่งที่ติดค้างต่อกู้โยวหนิงเสียอย่างนั้น ด้วยประการนี้จึงทำให้ผู้คนรับรู้ว่าเหวินอ๋องผู้เปรียบดั่งเทพสังหารที่ลงมือเข่นฆ่าศัตรูในสนามรบอย่างบ้าคลั่ง เห็นชีวิตผู้อื่นเป็นดั่งมดตัวหนึ่ง วันหนึ่งจะยังมีด้านอ่อนโยน และแสดงความรักใคร่ต่อคนผู้หนึ่งได้ถึงเพียงนี้

         

        ทั้งสามนั่งดื่มน้ำชาอยู่ในโถงใหญ่ กู้โยวหนิงคอยมองฉู่ยวี้และฉู่เหิงสลับไปมา คิดหาเหตุผลว่าทำไมพวกเขาทั้งสองถึงได้มาเป็นพันธมิตรกันได้

         

        ฉู่เหิงคือบุตรกำพร้าที่เกิดจากพระโอรสองค์ใหญ่ พี่ชายแท้ๆ ขององค์รัชทายาท และคือพระโอรสที่เกิดจากฮองเฮา ถ้าให้กล่าวตามหลักความเป็นจริง ท่านอ๋องน้อยนี้ควรจะคอยประจบเอาใจอาแท้ๆ ของตัวเองไม่ใช่เหรอ นั่นอาแท้ๆ ของเขาเชียวนะ เวลานี้ที่การแช่งชิงอำนาจในราชสำนักกำลังลุกเป็นไฟ ต่อให้เหวินอ๋องจะมีอำนาจควบคุมกำลังทหาร แต่มองดูก็รู้ว่ายังคงด้อยกว่าฝั่งนั้น ถ้าท่านอ๋องน้อยคนนี้คิดจะเลือกฝั่งซะแล้ว เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเลือกอยู่ฝั่งฉู่ยวี้เลยด้วยซ้ำ

         

        ถ้างั้นเขามีเหตุผลอะไรกันแน่?

         

        กู้โยวหนิงไม่เข้าใจ เขาคิดใคร่ครวญพลางก้มหน้าลงเป่าน้ำชา อย่าบอกนะว่า...

         

        เขาเงยหน้ามองอาหลานทั้งสองที่สนิทสนม อย่าบอกนะว่ามีความลับของเชื้อพระวงศ์ที่ไม่สามารถให้ใครรับรู้ได้?

         

        สาเหตุที่ทำให้อาหลานแท้ๆ ต้องโกรธเคืองกันต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน กู้โยวหนิงขมวดคิ้วคู่งามพลางลูบคางตนเองไปมา สายตามองสลับไปมาระหว่างคนทั้งสองอย่างใคร่รู้ ทำเอาฉู่เหิงเกิดอาการหวาดกลัว และมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวงอยู่หลายครั้ง ฉู่ยวี้เองก็อดไม่ได้ที่จะระบายรอยยิ้มออกมา เจ้าตัวดีมีท่าทีเช่นนี้ คงหนีไม่พ้นกำลังคิดอะไรอยู่เป็นแน่

         

        ถูกต้อง กู้โยวหนิงกำลังจินตนาการถึงเรื่องโศกนาฏกรรมในวังหลังอยู่หลายต่อหลายเรื่องเลยทีเดียว

         

        อย่างแรก อ๋องน้อยเข้าร่วมการแย่งชิงบัลลังก์ในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะต้องการบัลลังก์ เพราะถึงอ๋องน้อยเป็นหลานชายคนโต แต่บิดาของเขาสิ้นใจไปแล้ว ถ้าบิดาของอ๋องน้อยยังมีชีวิตอยู่คงจะดูสมเหตุสมผล แต่นี่บิดาของเขาไม่อยู่แล้วก็เท่ากับถูกตัดโอกาสไปหนึ่งชั่วอายุคน ผู้ใต้บังคับบัญชาของพระโอรสองค์ใหญ่ล้วนกลายเป็นคนขององค์รัชทายาทในปัจจุบัน เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับอ๋องน้อยสักนิด

         

        ถ้าอย่างนั้นเป็นเพราะอะไรกัน?

         

        ผู้หญิง?

         

        กู้โยวหนิงพยักหน้าให้กับความคิดตนเอง โศกนาฏกรรมในวังหลังจะขาดเรื่องผู้หญิงไปได้ยังไง

         

        ข้อหนึ่ง องค์รัชทายาทลักลอบมีอะไรกับแม่ของอ๋องน้อย

         

        ข้อสอง องค์รัชทายาทลักลอบมีอะไรกับภรรยาของอ๋องน้อย

         

        ข้อสาม องค์รัชทายาทลักลอบมีอะไรกับลูกสาวของอ๋องน้อย

         

        กู้โยวหนิงคิดไปคิดมาจึงตัดข้อสุดท้ายออกไป ท่านอ๋องน้อยปีนี้พึ่งจะอายุสิบห้าปียังไม่มีลูกสาวสักหน่อย ข้อสองก็ต้องตัดทิ้งเพราะต่อให้ท่านอ๋องน้อยจะมีอนุชายาหลายนาง แต่ก็ยังไม่ได้อภิเษกพระชายา งั้นก็เหลือแค่ข้อสุดท้าย กู้โยวหนิงใจสั่นระรัวให้กับสิ่งที่ตนกำลังจินตนาการ อดไม่ได้ที่ลอบถอนหายใจออกมา เชื้อพระวงศ์นี่รสนิยมไม่ปกติซะจริงๆ องค์รัชทายาทเกิดหลงรักมารดาของท่านอ๋องน้อย จึงตัดสินใจลงมือสังหารพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง จากนั้นคนน้องก็แต่งพี่สะใภ้ที่เป็นม่ายเพื่อเป็นการดูแล

         

        ที่แท้ก็เป็นโศกนาฏกรรมวังหลังและเรื่องราวความรักที่น่าเศร้าอย่างนี้นี่เอง เพื่อผู้หญิงอันเป็นที่รักถึงกับยอมลงมือฆ่าพี่ชายตัวเอง แต่ลูกชายของพี่กลับมารู้ความจริงเข้า จึงต้องการจะแก้แค้นให้บิดา ทั้งคู่ไม่อาจยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันได้ จนนำพามาซึ่งบุญคุณความแค้นของคนทั้งสองนี่เอง!

         

        กู้โยวหนิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ กำลังจะยกจอกน้ำชาขึ้นดื่ม แต่ถูกฉู่ยวี้ฉวยปลายคางและเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้ากำลังกระซิบกระซาบสิ่งใดอยู่ผู้เดียว กระทั่งใบหน้ายังแดงก่ำเช่นนี้”

         

        !!!

         

        กู้โยวหนิงรีบปัดมือเขาออก ยกมือขึ้นกุมหน้าตนไว้แล้วเบิกตาโตทันใด “ไม่ได้คิด ไม่ได้คิดขอรับ ข้าไม่คิดอะไรทั้งนั้น!”

         

        ฉู่ยวี้กลับไปนั่งหลังตรง มองเขาแล้วยกยิ้มราวกับไม่ยิ้ม แสดงท่าทีว่าไม่เชื่อในสิ่งที่กู้โยวหนิงกล่าวสักนิด ทางด้านฉู่เหิงมองเขาทั้งรอยยิ้มไม่ต่างกัน คิดในใจว่าพระชายาช่างแกล้งสนุกนัก มิน่าเสด็จอาถึงได้จับไม่ยอมปล่อยเช่นนี้ ไม่เพียงแค่หน้าตางดงามเท่านั้น ลักษณะนิสัยใจคอยังน่าเย้าแหย่เสียเหลือเกิน เมื่อครู่พึ่งจะพึมพำผู้เดียวไม่หยุด ทว่าผ่านไปประเดี๋ยวใบหน้าแดงระเรื่อกลับเปลี่ยนไปอีกอารมณ์อย่างรวดเร็ว ช่างน่าเอ็นดูจนทำให้ผู้พบเห็นอยากจะกอดไว้แนบอกแล้วรังแกแรงๆ เมื่อรังแกจนร้องไห้จึงค่อยเข้าไปปลอบและเอาอกเอาใจ

         

        “เดือนหน้าคือวันประสูติขององค์รัชทายาท ถึงยามนั้นจะมีการเชื้อเชิญเหล่าองค์ชายทุกพระองค์ เสด็จอาจะเข้าร่วมหรือไม่ขอรับ?” ฉู่เหิงละสายตาออกจากสายตาสื่อรักของสองสามีภรรยา (กู้โยวหนิง: เหวินอ๋องต่างหากที่ส่งสายตาเช่นนั้นมาให้ข้าฝ่ายเดียว!)

         

        มือของฉู่ยวี้กำลังม้วนเส้นผมของกู้โยวหนิงเล่นไปมา เมื่อได้ยินฉู่เหิงกล่าวเช่นนั้นพลันนึกขึ้นได้ ในวันที่ห้าเดือนหน้าคือวันประสูติขององค์รัชทายาท เพื่อให้ผู้คนยกย่องว่าเขาเป็นผู้ที่ใจซื่อมือสะอาด หากหลีกเลี่ยงได้มักจะหลีกเลี่ยงโดยการไม่จัดพิธีฉลองวันประสูติ ทว่าในปีนี้กลับจัดพิธีฉลองอย่างเอิกเกริก แม้แต่เสด็จพ่อเองยังถูกเชื้อเชิญให้เข้าร่วมด้วยเช่นกัน และแจ้งเกี่ยวกับการจัดพิธีในครั้งนี้ว่า ‘เพราะต้องการจะพบหน้าคร่าตากัน ผู้ที่เชิญมาจึงมีเพียงพี่น้องและเชื้อพระวงศ์ใกล้ชิด ไม่อนุญาตให้มอบสิ่งของมีค่า แต่หากต้องการแสดงน้ำใจ อนุญาตให้มอบแค่เพียงดอกไม้เท่านั้น’ หลังเต๋อเซิงฮ่องเต้ทรงได้ยินเช่นนั้น พระพักตร์แสดงออกถึงความอ่อนโยน ตรัสชมเชยองค์รัชทายาทว่าเป็นผู้ที่รู้จักนึกถึงพวกพ้องน้องพี่ และยังรู้จักมัธยัสถ์

         

        เมื่อฉู่ยวี้นึกถึงเรื่องพวกนั้นพลันรู้สึกว้าวุ่นใจ ชาติที่แล้วเขาพาถังซู่ยหวินไปร่วมพิธีฉลองวันประสูติขององค์รัชทายาท ต้องคอยมองดูคนพวกนั้นเยาะเย้ยถากถางตน จนเกือบจะเกิดเหตุวิวาทกับองค์ชายเจ็ด หนนี้เขาไม่มีทางพาถังซู่ยหวินไปด้วยอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่อยากพากู้โยวหนิงไปพบกับสายตาเยาะเย้ยถากถางเช่นนั้น เขาจึงส่ายหน้าพลางตอบกลับไปว่า “ข้าคงไม่เข้าร่วม”

         

        กู้โยวหนิงรู้สึกได้ถึงความหนักใจของฉู่ยวี้ เมื่อรอให้ฉู่เหิงกลับไปถึงกล่าวกับเขาว่า “การจัดพิธีฉลองวันประสูติขององค์รัชทายาทครั้งนี้ องค์รัชทายาทต้องการแสดงให้ฝ่าบาททรงเห็นว่าเขามีความสนิทสนมกับเหล่าองค์ชายมากเพียงใด หากท่านอ๋องไม่เข้าร่วม เกรงว่าฝ่าบาทจะคิดเป็นอื่นได้นะขอรับ”

         

        “ข้าไม่อยากเห็นหน้าเขา” ฉู่ยวี้ยกยิ้มมองผู้ที่อยู่เบื้องหน้า ความรู้สึกหมองมัวจางหายไปเกือบสิ้น ยื่นมือไปเกี่ยวเส้นผมของเขาไว้บนนิ้ว

         

        “จะเป็นอะไรไปขอรับ ในเมื่อท่านอ๋องไม่อยากเห็นหน้าพวกเขา ก็แค่ทำให้แผนชั่วของพวกเขาไม่สำเร็จเป็นพอขอรับ”

         

        ฉู่ยวี้หันหน้ากลับมามองเขาด้วยความสนใจทันที “จะทำเช่นไรไม่ให้แผนชั่วของพวกเขาสำเร็จ?”

         

        กู้โยวหนิงหัวเราะอย่างคนเจ้าเล่ห์ “ในเมื่อองค์รัชทายาทอยากจะเป็นผู้ที่ใสซื่อมือสะอาด ไม่ต้องการรับของมีค่าจากผู้ใด จึงจะรับแค่เพียงดอกไม้เท่านั้น แต่เขาไม่รู้สักนิดว่าแม้แต่ดอกไม้เองก็ยังมีทั้งสูงค่าและด้อยค่าเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้นยังมีดอกไม้ล้ำค่าด้วยขอรับ”

         

        ฉู่ยวี้ยกยิ้ม เจ้าตัวดีช่างมีความคิดผิดแปลก แลดูฉลาดปนเจ้าเล่ห์อยู่ตลอดเวลาเสียจริง “ถ้าเช่นนั้นแล้วดอกไม้ใดที่ล้ำค่ากัน?”

         

        “ดอกโบตั๋นขอรับ ดอกโบตั๋นได้รับการขนานนามว่าเป็นราชาแห่งมวลดอกไม้ งดงามล้ำค่ายิ่งนัก องค์รัชทายาทต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ที่ซื่อตรงทั้งยังมัธยัสถ์ ทว่าพวกเราจะไม่ให้เขาทำสำเร็จเด็ดขาด เพราะเช่นนั้นจึงต้องนำราชาดอกไม้ที่ควรจะเป็นของจักรพรรดิเพียงผู้เดียวไปมอบให้องค์รัชทายาท อีกทั้งฝ่าบาทยังทรงประทับอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน ดูท่าว่าเขาคงจะต้องรู้สึกไม่ต่างจากการนั่งบนเก้าอี้ที่เต็มไปด้วยหนามแหลมอย่างแน่นอน”        

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
28 เมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 18.02 น.

เล่มที่1 บทที่28 ร่วมมือกับท่านอ๋อง

 

        ในค่ำคืนที่เงียบสงัด ตำหนักปี้สุ่ยของจวนเหวินอ๋องล้วนส่องสว่างด้วยแสงจากเทียนสีแดง ทันใดนั้นผ้าม่านสีแดงได้ถูกแหวกออก ทำให้เห็นพรมสีแดงสดปูเป็นทางยาวจนถึงเตียงของคู่บ่าวสาว

         

        กู้โยวหนิงอยู่ในชุดบรรทมสีดำเหลือบสีทองเช่นเดียวกับฉู่ยวี้ เขาเพิ่งจะปีนออกมาจากอ่างน้ำ ค่อยๆ สะบัดหยดน้ำที่เกาะพร่างพราวตามปลายเท้า เส้นผมสีดำเงางามดุจผ้าต่วนสยายอยู่กลางแผ่นหลัง

         

        ฉู่ยวี้เอนกายอยู่บนเตียงพร้อมกับอ่านตำราพิชัยสงครามภายในมือ เมื่อคนผู้นั้นเดินออกมา เขาถึงกับกลับโยนหนังสือในมือทิ้งพร้อมทั้งนั่งหลังตรงโดยสัญชาตญาณ สายตาจับจ้องอยู่บนเรือนร่างของคนผู้นั้น ท้ายที่สุดหยุดอยู่บนเท้าเปลือยเปล่า อาจเพราะเพิ่งอาบน้ำมาไม่นาน เท้าเปลือยเปล่าจึงมีสีชมพูระเรื่อ เมื่อเหยียบย่ำพรมสีแดงสดบนพื้นจึงฝากรองเท้าสีแดงเข้มเอาไว้

         

        กู้โยวหนิงยืนห่างจากขอบเตียงประมาณ 6 นิ้ว ขมวดคิ้วด้วยความลังเลเพราะสถานการณ์ในตอนนี้ดูจะโรแมนติกเกินไปสักหน่อย เขาจึงส่งเสียงกระแอมไอออกมาเบาๆ

         

        ฉู่ยวี้ยกยิ้มมุมปากเพราะรู้ว่ากู้โยวหนิงกำลังประหม่า จึงส่งยิ้มพร้อมกับตบลงบนพื้นที่ว่างบนเตียงข้างกายตน “มานั่งตรงนี้”

         

        เดิมทีฉู่ยวี้ต้องการจะให้เขาผ่อนคลายลงสักนิด ผลคือยิ่งทำให้กู้โยวหนิงแข็งทื่อไปทั้งกาย ขยับกายเข้าใกล้ขอบเตียงอย่างเชื่องช้าและค่อยๆ นั่งลงบนเตียงอย่างระแวดระวัง ฉู่ยวี้มองเขาทั้งรอยยิ้ม เขากล้าพูดได้เต็มปาก หากตนขยับตัวแม้แต่นิดหรือยื่นมือออกไปหาเขา พระชายาของเขาต้องส่งเสียงกรีดร้องพร้อมกับวิ่งหนีไปอย่างแน่นอน

         

        ฉู่ยวี้นั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน เพียงแต่สายตายังคงจ้องมองมาบนเรือนร่างของกู้โยวหนิง “เจ้ากลัวข้า?”

         

        กู้โยวหนิงกลืนน้ำลายแล้วค่อยๆ พยักหน้ารับ

         

        ฉู่ยวี้ขมวดคิ้ว “เจ้าจะกลัวข้าไปทำไม ข้าไม่มีทางทำร้ายเจ้าแน่นอน!”

         

        “ข้ารู้ว่าท่านอ๋องไม่ทำร้ายข้า”

         

        “แล้วเหตุใดเจ้าจึงกลัวข้า?”

         

        กู้โยวหนิงเม้มปากพลางมองมาทางเขา “ท่านอ๋องจะให้ข้าบอกจริงหรือขอรับ?”

         

        ฉู่ยวี้เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “แน่นอน”

         

        “ท่านพูดเองนะขอรับ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะพูดความจริงแล้ว” กู้โยวหนิงอ้าปากหาว “ข้ากลัวว่าท่านอ๋องจะหลงรักข้าเข้าจริงๆ”

         

        “…”ฉู่ยวี้ขมวดคิ้วเป็นปมยิ่งกว่าเดิม “หมายความว่าเช่นไร?”

         

        กู้โยวหนิงหัวเราะแห้ง “ข้าน่ะ มีความฝันอันยิ่งใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง ข้าฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งข้าจะไปอยู่ในที่ที่สวยงาม หรืออาจจะเป็นเมืองเล็กๆ สักเมือง และก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นทุ่งหญ้าอันกว้างไกล จากนั้นเริ่มสร้างครอบครัว สร้างบ้านหลังใหญ่ๆ สักหลัง แต่งภรรยาและอนุอีกหลายๆนาง”

         

        กู้โยวหนิงดวงตาเป็นประกาย เอ่ยบรรยายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ข้าจะทำดีกับพวกนาง จะมีบุตรอีกหลายๆคน ตื่นเช้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยามกลางวันข้าจะไปตกปลาที่ริมแม่น้ำ พอข้ากลับมาอาหารก็เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ข้ากับภรรยาอีกหลายๆนางก็จะทานอาหารไปพร้อมๆกัน พวกนางล้วนชอบพอข้า พวกนางต่างพากันรายล้อมอยู่รอบตัวข้า...”

         

        ฉู่ยวี้รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันใด ความเจ็บปวดครานี้เหมือนกับความเจ็บปวดในชาติที่แล้วไม่มีผิด จากนั้นเอ่ยถามออกไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว“...แล้วข้าเล่า?”

         

        “ท่านอ๋องน่ะหรือ ท่านอ๋องก็จะกลายเป็นฮ่องเต้จากนั้นอภิเษกฮองเฮาที่งดงามและเป็นกุลสตรี มีสามพระตำหนักหกหมู่เรือน ในแต่ละตำหนักมีพระสนมรูปงามมากมาย ภายใต้การปกครองของท่านอ๋อง ประชาชนของรัฐจาวต่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีแต่ความสงบสุขขอรับ”

         

        “แล้วเจ้าเล่า...”

         

        “ข้า? ข้าก็จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า อดีตฮองเฮานามกู้โยวหนิงขอรับ”

         

        ยามนี้ดึกดื่นค่อนคืน กู้โยวหนิงที่พูดไปพูดมาจึงรู้สึกง่วงงุนเล็กน้อย

         

        ฉู่ยวี้ยังคงมองคนตรงหน้าอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่งเอ่ยเสียงเบา “ทุกอย่างที่เจ้าคิดข้าล้วนไม่เห็นด้วย หากได้ครอบครองใต้หล้า ข้าจะแบ่งปันมันกับเจ้าผู้เดียวเท่านั้น ข้ายอมรอจนถึงวันนั้น วันที่เจ้ายอมเปิดใจรับข้า”

         

        “ข้าไม่ชอบบุรุษ!”

         

        “ข้าสามารถรอจนกว่าเจ้าจะชอบ”

         

        กู้โยวหนิงขมวดคิ้ว ใบหน้าเสแสร้งแกล้งทำใสซื่อแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งในทันที เพราะยามนี้เขาสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่งนักของฉู่ยวี้

         

        ความจริงแล้วกู้โยวหนิงไม่เพียงแต่ชื่นชอบสตรีสวมชุดโบราณ แต่ตอนนั้นเขาอายุยังน้อยจึงมีความรู้สึกอ่อนไหวไปบ้าง อย่าคิดแค่ว่าภายนอกเขาคือเด็กหนุ่มอายุสิบหกเท่านั้น เพราะความจริงแล้วเขาแทบจะกลายเป็นคุณลุงผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นคุณลุงที่ถนัดแสร้งทำใสซื่ออีกต่างหาก

         

        เขาแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาได้สำเร็จเพราะดวงตาใสกระจ่างคู่นี้ ไม่ว่าปรายมองไปยังผู้ใด ต่างทำให้ผู้คนเหล่านั้นต้องหวาดหวั่น ไม่ต่างจากดวงตาของปีศาจแมงมุมยามจ้องมองพระถังซัมจั๋ง กระทั่งพระถังซัมจั๋งเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกได้สำเร็จก็ไม่มีทางลืมเลือน...

         

        “แม่นางลั่วสยานอนไม่พอหรืออย่างไร เหตุใดจึงดูอ่อนล้าเช่นนี้~”

         

        รัชศกเต๋องเซิ่งปีที่20 เดือน3 วันที่27 พิธีอภิเษกผ่านพ้นไป เหวินอ๋องร่วมเข้าเฝ้าในท้องพระโรงอีกครั้ง

         

        เหวินอ๋องออกจากจวนไปตั้งแต่เช้าตรู่ เหลือเพียงกู้โยวหนิงที่ยังคงนอนหลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราว เขาไม่อยากรบกวนเพราะเห็นกู้โยวหนิงกำลังนอนหลับอย่างมีความสุข ก่อนจากไปไม่ลืมที่จะกำชับเจียนยวี่ว่าให้ปลุกพระชายาตอนสายสักหน่อย แต่หลังจากฉู่ยวี้ออกไปไม่นาน กู้โยวหนิงกลับถูกรบกวนโดยเหล่าอนุชายาที่มาขอเข้าพบถามไถ่

         

        กู้โยวหนิงยกมือขึ้นเท้าคาง เผยให้เห็นข้อมือขาวเนียนที่โผล่พ้นชายอาภรณ์ ปรายตามองสตรีทั้งสามที่ยืนอยู่ในห้องด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เดิมทีการเข้าพบถามไถ่พระชายาคือเวลาเช้าตรู่และหัวค่ำ เนื่องจากพระชายาคือบุรุษจึงเปลี่ยนเป็นยามเช้าเพียงหนเดียว ทว่าในการเข้าพบถามไถ่พระชายาในวันแรก ถังซู่ยหวินผู้เป็นชายารองสุดแสนจะอ่อนหวานกลับไม่มา

         

        หลานเซียงเคยเป็นเด็กรับใช้ของถังซู่ยหวิน นางเดินตามถังซู่ยหวินมาตั้งแต่ยังเล็ก มีใจจงรักภักดีเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นกู้โยวหนิงคล้ายกำลังจะนับจำนวนคน จึงรีบลุกขึ้นถอนสายบัวและกล่าวว่า “ชายารองต้องลมเย็นจึงล้มป่วยจนไม่สามารถมาเข้าพบพระชายาได้เจ้าค่ะ หวังว่าพระชายาจะให้อภัยเจ้าค่ะ”

         

        “หือ ไม่สบายหรือ เชิญหมอหลวงมาตรวจอาการแล้วหรือไม่?”

         

        กู้โยวหนิงขมวดคิ้วพลางพิจารณาหลานเซียง นางมีความงดงามของตัวเองอยู่เหมือนกัน พูดถึงเรื่องความงาม นางอาจไม่มีเสน่ห์เย้ายวนเหมือนแม่นางลั่วสยาที่เป็นนักแสดงจากโรงละคร พูดถึงเรื่องรูปร่าง นางอาจไม่อรชรอ้อนแอ้นเหมือนแม่นางป๋ายเยี่ยนที่เป็นนางระบำ และถ้าพูดถึงท่าทางการวางตัว นางอาจไม่ได้งามสง่าเหมือนถังซู่ยหวินที่มาจากตระกูลใหญ่ ทว่านางกลับให้ความรู้สึกบางอย่างที่สตรีทั้งสามไม่มี สิ่งนั้นอาจเรียกได้ว่าความธรรมดา ถึงแม่นางทั้งสามจะมีรูปร่างหน้าตาที่งดงาม แต่ว่าความงามของพวกนางกลับโดดเด่นจนรับรู้ได้ตั้งแต่คราแรก ไม่เหมือนกับหลานเซียงที่มีความงามอย่างละมุนละม่อม ต้องใช้เวลาสัมผัสจึงจะรู้ถึงความงามในเนื้อแท้

         

        “เรียนพระชายา ชายารองมักล้มป่วยบ่อยครั้งอยู่เป็นประจำ จึงมีการจัดเตรียมยาไว้ล่วงหน้าเจ้าค่ะ แค่พักผ่อนสักหน่อยคง...คงดีขึ้นเจ้าค่ะ” หลานเซียงตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาของกู้โยวหนิง กลับรู้สึกประหม่าจนต้องก้มหน้าลงไป

         

        ป๋ายเยี่ยนยกยิ้มเย้ยหยัน เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ชายารองล้มป่วยเป็นประจำงั้นหรือ? เหตุใดพวกข้าจึงไม่รู้มาก่อน ช่างน่าละอายนัก พวกข้ากลับไม่รู้สักนิดว่าเมื่อก่อนชายารองล้มป่วยบ่อยครั้งถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำยังไม่ได้ไปดูแลถามไถ่แม้แต่น้อย ข้ารู้สึกผิดเหลือเกิน!”

         

        “ใช่แล้ว ช่างเจ็บป่วยไม่ถูกเวลาเสียจริง” ลั่วสยาเอ่ยเสริม “วันนี้คือวันแรกที่ต้องเข้าพบถามไถ่พระชายา เหตุใดถึงได้ล้มป่วยกะทันหันเช่นนี้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นข้า หากยังมีเรี่ยวแรงหลงเหลือ แม้จะน้อยนิดเพียงใด ข้าก็จะฝืนลุกมาเข้าพบพระชายาให้จงได้!”

         

        หลังสิ้นประโยคของลั่วสยา ป๋ายเยี่ยนถึงกับหลุดหัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นผลักลั่วสยาด้วยท่าทีหยอกล้อหนหนึ่ง “เจ็บป่วยไม่ถูกเวลาอย่างไรกัน เช่นนี้เขาเรียกเจ็บป่วยได้ถูกเวลาเกินไปเสียมากกว่า!”

         

        สตรีทั้งสองนางมองตากันเพียงครู่ ทันใดนั้นป้องปากหัวเราะออกมา หลานเซียงหน้าเสียโดยพลัน รีบเอ่ยแก้ตัวอยู่สองสามประโยค นางทั้งสองรู้สึกพอใจยิ่งนักที่ถึงซู่ยหวินไม่อยู่ เพราะลำพังหลานเซียงย่อมไม่มีทางโต้วาทีชนะพวกนางได้

         

        ในฐานะที่กู้โยวหนิงคือพระชายาเอก เมื่ออนุชายาก่อเหตุวิวาท เขาก็ควรจะลุกขึ้นมาสั่งสอนสักหน่อย ทว่ากู้โยวหนิงกลับไม่คิดจะทำเช่นนั้น เพราะเขาคิดว่าเรื่องน่าสนุกที่สุดบนโลกใบนี้คือการที่สตรีวิวาทกันเอง

         

        ละครเรื่องนี้มีมีผู้แสดงทั้งหมดสี่คน แต่ตอนนี้กำลังอยู่บนเวทีแค่สามคน เขารอดูเรื่องสนุกเสียด้วยซ้ำ มีหรือจะออกไปห้าม

         

        ทว่าเจียนยวี่ที่อยู่ด้านข้างกลับมีท่าทีร้อนรน เอ่ยหลังรอให้อนุชายาออกไปแล้ว “คุณชาย เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าแม่นางหลานพูดปดแทนเจ้านายของนาง ชายารองผู้นั้นเมื่อวานยังปกติดี วันนี้กลับล้มป่วยเสียอย่างนั้น ถึงจะป่วยแต่วันนี้คือวันแรกที่ต้องเข้าพบพระชายานะขอรับ!”

         

        “กลอุบายตื้นๆ ของสตรี ข้าแค่หาความสนุกเท่านั้น อีกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร ทำไมข้าต้องไม่พอใจเล่า” กู้โยวหนิงกล่าวพร้อมทั้งเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทันใดนั้นลุกขึ้นแล้วกล่าวต่อ “เจียนยวี่ ไปกัน พวกเราออกไปข้างนอกกันสักหน่อย”

         

        เจียนยวี่กะพริบตาปริบๆ “ไปที่ใดกันขอรับ?”

         

        รอยยิ้มเมื่อครู่ของกู้โยวหนิงค่อยๆ เลือนหาย ถอนหายใจและกล่าว“ไปทำนายดวงชะตา...”

         

        ----

         

        บริเวณชานเมืองฉางอัน มีกระท่อมที่ทำจากหญ้าแฝกอย่างง่ายหลังหนึ่งตั้งตระหง่านท่ามกลางป่าไผ่กว้างขวาง มีรั้วล้อมรอบแปลงปลูกสมุนไพรทั่วไปจำนวนหนึ่ง ต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ ภายในดินสีดำสนิทมีหน่อของต้นอ่อนสีเขียวขจีโผล่ออกมา

         

        กู้โยวหนิงสวมอาภรณ์สีดำ ออกแรงถีบประตูไม้คร่ำครึบานนั้นหนหนึ่ง เมื่อหันไปกำชับให้เจียนยวี่รออยู่ด้านหน้าประตูเสร็จ ถึงค่อยเดินเข้าไปด้านใน

         

        ทันทีที่เข้ามาภายในห้อง พลันได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของหมึกที่ลอยปะปนกับอากาศในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ผู้ที่สูดดมเข้าไปรู้สึกชื่นใจไม่น้อย เมื่อตั้งใจมองดีๆ จึงเห็นว่าบริเวณติดหน้าต่างภายในห้องมีเก้าอี้ยาวอยู่ตัวหนึ่ง ปูไว้ด้วยผ้าห่มสีเหลืองอ่อนอย่างเรียบง่าย ข้างบนยังมีคนผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สีขาวทำจากผ้าหยาบ นอนทอดกายปล่อยปลายเท้าเหยียดลงบนพรมด้านล่าง คนผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางคล้ายกำลังหลับใหล ทว่าในมือยังถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง

         

        กู้โยวหนิงหรี่ดวงตาพร้อมกับเดินเข้าใกล้อย่างเงียบเชียบ เอื้อมมือออกไปหมายจะแกล้งลวนลามให้คนผู้นั้นต้องรู้สึกขัดเขิน ทว่ายังไม่ทันได้สัมผัสร่างกายกลับถูกฉวยข้อมือเสียก่อน คนผู้นั้นค่อยๆ ลืมตา แววตาแฝงความเงียบวิเวกฉายแววขบขันในทันที

         

        “พระชายาเหวินอ๋องเดินทางมาถึงที่ ทว่าผู้น้อยกลับมิได้ออกไปต้อนรับ หวังว่าพระชายาจะไม่ถือโทษนะขอรับ!”

 

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
29 เมื่อ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 21.44 น.

เล่มที่1 บทที่29 นักโหราศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่

 

        “มา ดื่มชากัน” มู่อวิ๋นฮั่นลุกขึ้นไปรินน้ำชาให้กู้โยวหนิง แกล้งเอ่ยเย้าหยอกทั้งรอยยิ้ม “มิทราบว่าพระชายาเหวินอ๋องมาที่นี่ด้วยเรื่องอันใดขอรับ?”

         

        กู้โยวหนิงหรี่ตามองใบหน้าหล่อเหลาของมู่อวิ๋นฮั่น คนผู้นี้มีน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง แม้ไม่ใช่น้ำเสียงใสกังวานเช่นกู้โยวหนิง ค่อนข้างจะแหบแห้งเสียด้วยซ้ำ ทว่าความแหบแห้งของน้ำเสียงกลับไม่ทำให้ฟังดูคร่ำครึคล้ายชายชราแต่อย่างใด

         

        กู้โยวหนิงค่อยๆ ยกจอกน้ำชาขึ้นดื่ม เขาเอนหลังนั่งพิงเก้าอี้ ปล่อยให้ชายอาภรณ์สีดำตัวยาวร่วงหล่นลงบนพื้น สายลมจากป่าไผ่นอกหน้าต่างโชยเข้ามาจนทำให้เส้นผมของเขาปลิวสยาย

         

        “ข้าอยากให้เหวินอ๋องขึ้นเป็นฮ่องเต้!”

         

        กู้โยวหนิงเอ่ยออกมาตามตรง มู่อวิ๋นฮั่นถึงกับตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ในยามนี้ทั้งฉางอันต่างลือกันว่า แม้เหวินอ๋องจะอภิเษกพระชายาบุรุษ ทว่าคนทั้งสองกลับมีใจตรงกัน ดูท่าข่าวลือพวกนั้นจะไม่ได้บิดเบือนเลยจริงๆ”

         

        “ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น แท้จริงแล้วข้ากับเหวินอ๋องกำลังแสดงละครต่างหาก พวกข้าตกลงเป็นพันธมิตรกันตั้งนานแล้ว และเมื่อใดที่เขาได้ครองบัลลังก์ เขาก็จะปล่อยข้าไป” กู้โยวหนิงวางจอกน้ำชาลง ขมวดคิ้วกล่าวต่อ “ยามนี้ฮ่องเต้และองค์รัชทายาทร่วมมือกัน ข้าจำต้องเดินหนทางนี้ เพราะหากเหวินอ๋องต้องตาย ถ้าให้ทายข้าก็คงไม่มีจุดจบที่ดีไปกว่าเขาเท่าไหร่ หรือเจ้าจะให้ข้าตายตามเขาไป!”

         

        “แต่ไหนแต่ไรมาการแก่งแย่งชิงดีในราชสำนักล้วนเต็มไปด้วยอันตราย หากไม่ระวังตัวเพียงนิด สามารถทำเรื่องพลิกผันไม่อาจหวนกลับ ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาททรงลำเอียงเข้าข้างองค์รัชทายาท มิหนำซ้ำองค์ชายทั้งสองยังยืนอยู่ฝ่ายองค์รัชทายาท แม้ว่าเหวินอ๋องจะมีอำนาจควบคุมกำลังทหาร แต่เห็นได้ชัดว่ายังตกเป็นรองอยู่มาก” มู่อวิ๋นฮั่นลอบมองสีหน้ากู้โยวหนิงครู่หนึ่ง “นอกจากนั้นเหวินอ๋องในยามนี้ยังมีตำแหน่งสูงศักดิ์ เป็นถึงชินอ๋องกลับถูกบังคับให้อภิเษกพระชายาบุรุษ แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้เริ่มไม่ไว้พระทัยเขาแล้ว”

         

        “ข้ารู้ทุกอย่างที่เจ้าพูดมา เพราะฉะนั้นถึงได้มาเชิญเจ้าอย่างไรเล่า”

         

        มู่อวิ๋นฮั่นและกู้โยวหนิงรู้จักกันบนถนนสายหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ยามนั้นมู่อวิ๋นฮั่นเปิดร้านทำนายดวงชะตา ด้วยนิสัยเจ้าชู้ประตูดินมาแต่ไหนแต่ไรของกู้โยวหนิง เมื่อพบบุรุษรูปงามมีหรือจะไม่เดินเข้าไปพูดจาหยอกล้อ ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นความสนิทสนม นอกจากนั้นเขายังรู้ว่ามู่อวิ๋นอั่นไม่ใช่คนธรรมดา เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชา*จี๋เหมินตุ้นเจี่ยยิ่งนัก กู้โยวหนิงเคยเห็นกับตาว่ามู่อวิ๋นฮั่นยังไม่ทันขยับแม้แต่นิด แต่กลับทำให้อันธพาลที่เข้ามาแสดงท่าทีรุ่มร่ามกับเขาต้องกระอักเลือดออกมา และนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นถนนจนไม่อาจลุกขึ้นมาได้

         

        ด้วยเหตุนี้ กู้โยวหนิงคิดว่าคนคนนี้คือผู้มีความสามารถ ถ้าชักจูงเขาให้เข้ามาอยู่ในจวนอ๋องได้สำเร็จ ถึงตอนนั้นหากคิดจะฆ่าใครก็ฆ่า ยังจะต้องกังวลเรื่ององค์รัชทายาทอะไรนั่นอีกเหรอ?

         

        “คิดอยากจะเชิญข้าให้ลงจากเขาลูกนี้?” มู่อวิ๋นฮั่นปรายตามองกู้โยวหนิงอย่างเชื่องช้า

         

        กู้โยวหนิงแววตาเป็นประกายทันใด เขานึกไม่ถึงว่ามู่อวิ๋นฮั่นจะตอบรับเร็วถึงเพียงนี้ เดิมทีเขาเตรียมจะฉุดกระชากลากถูคนผู้นี้เสียด้วยซ้ำ เมื่อเห็นเช่นนี้จึงรีบผงกศีรษะระรัว

         

        มู่อวิ๋นฮั่นเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ หยุดความคิดของเขาด้วยการเอ่ยออกมาว่า “เจ้าให้เด็กรับใช้ที่ยืนรออยู่ข้างหน้ามาอยู่กับข้าสักหนึ่งคืน แล้วมู่อวิ๋นฮั่นผู้นี้จะยอมทำตามที่เจ้าต้องการทุกอย่าง”

         

        “...” แววตากู้โยวหนิงเปลี่ยนไปในทันที จากนั้นเริ่มมองมู่อวิ๋นฮั่นด้วยสายตาไม่ต่างจากมองโรคจิต ครู่หนึ่งหัวเราะเหอะๆ ในลำคอ“เจ้าเด็กรับใช้คนนั้นคงจะไม่ได้”

         

        กู้โยวหนิงชี้นิ้วมาที่ตนเอง เอ่ยด้วยท่าทางใสซื่อ “หากเจ้าอยากหลับนอนกับข้า ย่อมได้ แต่หากคิดจะหลับนอนกับคนของข้า ไม่มีทาง!”

         

        “ดังนั้น...” กู้โยวหนิงเอนกายคลอเคลียมู่อวิ๋นฮั่น พร้อมกับแสดงสีหน้าท่าทางออดอ้อน “คุณชาย ท่านสนใจหรือไม่ขอรับ?”

         

        ใบหน้ามู่อวิ๋นฮั่นราวกับมีรอยร้าว หันมองดวงหน้างามล่มเมืองของกู้โยวหนิงที่บางคราแลดูงามยั่วยวนด้วยใบหน้าแข็งทื่อ ครู่หนึ่งผลักเขาออกและเอ่ยอย่างเอ้อระเหย “ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ ผู้ที่เป็นดั่งดวงหทัยท่านอ๋องเช่นนี้ข้าไม่กล้าแตะต้อง”

         

        “เจ้าล่ะก็~” กู้โยวหนิงแกล้งผลักเขาด้วยท่าทางกระเง้ากระงอดหนหนึ่ง “เจ้าช่างไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด ชีวิตคนเราเกิดมาเพียงหนเดียว ข้าออกมาพบเจ้าอย่างยากเย็นถึงเพียงนี้ เจ้ากลับมิรู้จักเสียดาย”

         

        “...กล่าวได้ดี...”

         

        มู่อวิ๋นฮั่นค่อยๆ ขยับออกห่างจากเขาราวห้านิ้ว ทว่ากู้โยวหนิงยังคงขยับเข้าใกล้ ทันใดนั้นโน้มกายเข้าหาจนแนบเนื้อเพื่อกลั่นแกล้ง “คุณชาย ท่านอย่าเป็นเช่นนี้ มานี่สิขอรับ ข้าจะอยู่กับท่านในคืนนี้เอง”

         

        ในระหว่างคนทั้งสองกำลังหยอกล้อกัน ทันใดนั้นมีเสียงร้องตกใจของเจียนยวี่ดังมาจากหน้าประตู

         

        “ท่านอ๋อง ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรขอรับ!”

         

        กู้โยวหนิงและมู่อวิ๋นฮั่นต่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มู่อวิ๋นฮั่นก้มลงมองมือของกู้โยวหนิงที่ยังดึงชายเสื้อตนอยู่ จากนั้นเอ่ยเตือนสติประโยคหนึ่ง “เจ้าควรจะปล่อยมือก่อนหรือไม่?”

         

        “อ่าๆๆ ข้าขอโทษ!” กู้โยวหนิงรีบปล่อยมือจากเขา ทั้งยังช่วยจัดระเบียบอาภรณ์ที่ถูกตนเองดึงเล่น

         

        ทันใดนั้นมีเสียงโครมครามดังสนั่นหวั่นไหว รั้วบ้านของมู่อวิ๋นฮั่นที่เก่าคร่ำครึเป็นทุนเดิมถูกถีบอย่างเต็มแรงจนถึงคราวสิ้นอายุขัย กู้โยวหนิงเงยหน้ามองร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏอยู่หน้าประตู ทันใดนั้นรับรู้ถึงปัญหาใหญ่ประการหนึ่ง เขารู้แค่ว่าต้องปล่อยมือจากชายเสื้อมู่อวิ๋นฮั่น แต่กลับลืมว่าควรจะลงมาจากกายบุรุษผู้นี้ด้วย

         

        ……

         

        ตามด้วยเสียงคำรามเพราะความโกรธของฉู่ยวี กู้โยวหนิงถูกเขาดึงลงมาทันใด

         

         

         

        *จี๋เหมินตุ้นเจี่ยเกิดจากการผสมผสานหลักการของโหราศาสตร์จีนโบราณวิชาอี้จิงปากว้าและสู้ซู่ วิชาอี้จิงคือระบบหนึ่งของวิทยาการโหราศาสตร์ภาคพยากรณ์ ถือกำเนิดมาจากระบบความเชื่อของจีนโบราณตั้งแต่ยุคต้นโดยใช้กระดองเต่าในการทำนาย ส่วนอีกระบบหนึ่งเรียกว่า โหราศาสตร์ภาคคำนวณหรือสู้ซู่ ซึ่งระบบนี้ถือหลักมาจากการคำนวณแผนภูมิฟ้าดินหรือที่เราเรียกว่าเทียนกานตี้จือ

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
30 เมื่อ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 19.45 น.

เล่มที่1 บทที่30 แดนป่าไผ่

 

        รัชศกเต๋อเซิ่งปีที่ 20 เดือน 3 วันที่ 27 หลังจากพิธีอภิเษกผ่านพ้นไป เหวินอ๋องกลับเข้าร่วมหารือในราชสำนัก

         

        เหวินอ๋องคือจอมทัพผู้องอาจห้าวหาญของรัฐจาว สวมชุดราชสำนักสีดำแสดงถึงบรรดาศักดิ์ชินอ๋องขั้นหนึ่งยืนอยู่กลางท้องพระโรง เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในชาติก่อน ความรู้สึกมากมายพลันถาโถมเข้ามาในใจ

         

        ในยามนี้ไร้สงคราม ประชาชนใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ในราชสำนักมีเพียงเรื่องวุ่นวายเล็กน้อย ฉู่ยวี้จำได้ว่ารัชศกเต๋อเซิ่งปีที่ 20 ในเดือน 6 เกิดอุทกภัยที่เจียงหนาน ฮ่องเต้ส่งองค์รัชทายาทลงไปบรรเทาทุกข์ ทว่าถูกกรมคลังร้องเรียนเรื่องทุจริต ชาติที่แล้วฉู่ยวี้ไร้ความสนใจเรื่องการปกครอง เรื่องราวเป็นมาเช่นไรเขาจำแทบไม่ได้ จำได้เพียงองค์รัชทายาทถูกลงโทษ ทว่าไม่ได้หนักหนาอย่างที่ควรจะเป็น วันนี้เขาคงต้องจับตาดูเหตุการณ์นี้ไว้ให้ดีเสียแล้ว

         

        ฉู่ยวี้กวาดสายตามองเหล่าขุนนางในท้องพระโรง ส่วนมากคือฝ่ายขององค์รัชทายาท ส่วนน้อยยังคงเป็นกลาง ตามด้วย*ขุนนางระดับกงและโหวจำนวนหนึ่ง ท้ายที่สุดหยุดอยู่ที่อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้เป็นพ่อตาของเขา

         

        ฉู่ยวี้กำลังคิดคำนวณในใจ จำนวนขุนนางฝ่ายองค์รัชทายาทมีจำนวนมาก หากคิดจะกดข่มพวกเขาคงไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ความพยายามมากเท่าใดไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่หากไม่คิดให้รอบคอบคงเกิดความผิดพลาดที่ไม่อาจหวนกลับ หากเป็นเช่นนั้น มิสู้จัดการกับตำหนักบูรพาโดยตรงยังเร็วเสียกว่า

         

        หลังจากกลับจากการเข้าเฝ้าในท้องพระโรง ฉู่ยวี้กล่าวลาขุนนางไม่กี่คนที่เข้ามาอวยพรเนื่องจากเขาพึ่งผ่านพิธีอภิเษกไม่นาน จากนั้นมุ่งหน้ากลับจวนเพื่อทานอาหารเช้าพร้อมพระชายา

         

        “พระชายาอยู่ที่ใด?” ครั้นกลับมาถึงจวน ฉู่ยวี้เดินหากู้โยวหนิงจนทั่ว แต่กลับไม่พบแม้แต่เงา

         

        “เรียนท่านอ๋อง พระชายาเสด็จออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ” ไฉ้เซวียนจัดสำรับพร้อมกับตอบคำถาม

         

        ฉู่ยวี้ขมวดคิ้ว “ออกไปกับผู้ใด?”

         

        “พระชายาออกไปกับเจียนยวี่เจ้าค่ะ...”

         

        ไม่รอให้ไฉ้เซวียนกล่าวจบ ฉู่ยวี้โยนตะเกียบในมือและลุกขึ้นออกคำสั่งให้พาไปหาพระชายาทันที

         

        หลังจากนั้น... เหวินอ๋องผู้ภายนอกเคร่งขรึมภายในกลัดกลุ้มได้ตามมาจนถึงแดนป่าไผ่ ทว่าโชคไม่ดีนักต้องมาเห็นพระชายาของตนกำลังอยู่บนกายของบุรุษอื่น อารมณ์ที่พยายามข่มไว้อย่างยากเย็นตั้งแต่เมื่อคืนพลันระเบิดออกมา ยื่นมือออกไปคว้าคอเสื้อและดึงเขาลงมาจากตั่งเตียงทันที

         

        กู้โยวหนิงเงยหน้ามองท่านอ๋องผู้มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ไฮ~ท่านอ๋อง~ ท่านมาได้อย่างไร เอ่อ ท่านเสวยอะไรหลังกลับมาจากท้องพระโรงแล้วหรือไม่?”

         

        “คนผู้นี้คือใคร!” ฉู่ยวี้ชี้นิ้วไปทางมู่อวิ๋นฮั่น

         

        “สหายขอรับ” กู้โยวหนิงตอบตามตรง

         

        “สหาย?” เหวินอ๋องยังคงไม่เชื่อ ออกแรงกระชากเขารุนแรงกว่าเดิม “ถ้าเช่นนั้นเจ้าขึ้นไปอยู่บนตัวเขาทำไม!”

         

        กู้โยวหนิงทำหน้าเหยเก เอ่ยด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าอาดูร “เป็นเรื่องเข้าใจผิดขอรับ เมื่อครู่พวกข้ากำลังหยอกล้อกัน”

         

        ฉู่ยวี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เป็นถึงพระชายาแต่กลับหยอกล้อจนขึ้นไปอยู่บนกายบุรุษ!”

         

        กู้โยวหนิงกะพริบตาปริบๆ หัวเราะแห้งสองหน เอ่ยถามด้วยใบหน้าใสซื่อ “หากไม่อาจหยอกล้อจนไปอยู่บนร่างบุรุษ ท่านจะให้ข้าหยอกล้อจนไปอยู่บนร่างสตรี...”

         

        ฉู่ยวี้ตบโต๊ะเสียงดังสนั่น “เจ้าบอกความจริงกับข้ามา คนผู้นี้คือใคร?”

         

        “เขา...เขาคือมู่อวิ๋นฮั่น พวกข้าคือสหายกันจริงๆ ขอรับ เป็นสหายที่บริสุทธิ์ใจกันจริงๆ ขอรับ” กู้โยวหนิงรู้สึกว่าตนหมดหนทางจะเอ่ยคำแก้ตัวใดๆ จึงทำได้เพียงชำเลืองมองมู่อวิ๋นฮั่นด้วยท่าทางน่าสงสาร คล้ายกับกำลังบอกว่า ‘นี่ เจ้าพูดอะไรบ้างสิ’

         

        มู่อวิ๋นฮั่นกระแอมไอออกมาแล้วก้มหน้าหลบสายตาทันที

         

        กู้โยวหนิงถลึงตาจ้องเขาไปหนหนึ่ง ท้ายที่สุดเอ่ยคำสาบานต่อหน้าฉู่ยวี้ระหว่างนั่งรถม้ากลับจวน “ข้ากับเขาบริสุทธิ์ใจต่อกันจริงๆ นะขอรับ ท่านก็รู้ บุรุษที่ชอบพอสตรีเช่นข้าจะไปทำอะไรกับเขาได้อย่างไร ถึงแม้วันใดวันหนึ่งข้าอาจเกิดสัญชาตญาณสัตว์ป่า แต่ข้าก็ไม่มีทางจะทำอะไรกับเขาแน่นอนขอรับ เจียนยวี่ของข้าไม่ดีกว่าเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่าหรือ?”

         

        เสียงสิ่งของแตกหักดังขึ้นทันใด เป็นฉู่ยวี้ที่กำหยกในมือจนถึงกับแตกละเอียด

         

        กู้โยวหนิงหวาดกลัวจนตัวสั่น ทันใดนั้นกลอกตาทั้งสองข้างแสร้งตายอยู่ตรงมุมรถม้า

         

        ฉู่ยวี้แค่นหัวเราะ ค่อยๆ โน้มกายเข้าใกล้เขา เป็นเหตุให้เงาของบุรุษร่างสูงใหญ่ทาบทับอยู่บนร่างของกู้โยวหนิงในทันใด

         

  

*ขั้นของขุนนาง เรียกจากสูงไปต่ำคือ อ๋อง กง โหว ปั๋ว จื่อ หนาน

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

หน้า จาก 2 ( 30 ข้อมูล )
แสดงจำนวน ข้อมูลต่อแถว

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา