[นิยายแปล] จ่านหลง พิชิตมังกรออนไลน์ ตอนที่ 30 (06/07/2563) โดย kawebook (มาใหม่!)

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:93
เมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 16.59 น.

จ่านหลงพิชิตมังกร[Online]

 

เฮ้...ผมหลี่เซียวเหยา...

อดีตเคยเป็นหน่วยสวาทแต่ล่าสุดได้ทำการไต่ระดับจากหน่วยสวาทจนกลายมาเป็นยามรักษาความปลอดภัย

อ่านไม่ผิดหรอกครับคนอื่นอาจจะไต่ขึ้นแต่ผมดันไต่ลงมาซะงั้น...

อยู่มาวันนึงวันที่ผมตกอับถึงขั้นไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน เหมือนฟ้าจะเห็นใจคนหน้าตาดีไร้คู่อย่างผม

ผมได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นบอร์ดี้การ์ดให้คุณหนูสุดสวยเพื่อป้องกันอันตรายจากศัตรูของพ่อเธอแถมผมยังมีโอกาสได้เข้าไปคุ้มครองเธอถึงในเกมออนไลน์เสมือนจริงด้วย

และแล้วเรื่องราวทั้งหมดก็เริ่มต้นขึ้น...

 

-----------------



เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ :  Beijing Canlin Cultural Broadcasting Co.,LTD ( 17K )

ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทยถูกต้องโดย : Glory Forever Co.,LTD (สนพ.กวีบุ๊ค)

ประพันธ์โดย :  失落叶

แปลภาษาไทยโดย :  Sinsupa. T



-----------------

https://www.kawebook.com

เว็บอ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปล นิยายจีน นิยายญี่ปุ่น นิยายรัก นิยายY แฟนตาซี จำนวนมาก | กวีบุ๊ค

แก้ไขครั้งที่ 37 โดย Kawebook เมื่อ6 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 20.02 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
1 เมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.06 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 1 แม่เทพธิดาคัพ D34

 

       

        ท่ามกลางฤดูร้อน แสงอาทิตย์เปรียบดั่งลูกธนูอาบยาพิษที่ทะลวงผ่านชั้นปกป้องผิวของใบหน้า ระหว่างที่ยืนอยู่ตรงป้อมยาม เหงื่อก็ไหลคล้อยลงมาอาบแก้มก่อนจะหยด “แหมะๆ” ลงบนชุดยูนิฟอร์มสีเขียวแบบเดียวกับสีของหญ้าราวกับเครื่องสูบน้ำ อากาศวันนี้ร้อนจนแทบอยากจะร้องขอชีวิต

        ผมไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลย เหงื่อที่เกาะบนขนคิ้วหยดใส่ขนตาก่อนจะไหลเข้าสู่นัยน์ตาจนทำให้รู้สึกแสบเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด แม่งเอ๊ย ไอ้ยามบ้านั่นเอากันสาดออกไปจากป้อมยามอีกแล้ว! เห็นได้ชัดเลยว่านี่เป็นการรับน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานในแผนกรักษาความปลอดภัย แต่ก็ช่างเถอะ มันก็เหมือนกับที่เม่งจื๊อเคยกล่าวไว้ว่า สวรรค์จะมอบหน้าที่ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ให้กับบุคคลผู้นี้ซึ่ง... ผู้นี้กับเตี่ยแกสิวะ... ร้อนจะตายอยู่แล้วโว้ย!

        ……

        ผมชื่อหลี่เซียวเหยา นี่ไม่ใช่ชื่อธรรมดาๆ นะครับ ผมมั่นใจว่าแม่จะต้องคาดหวังกับอนาคตของผมไว้สูงมากทีเดียว คงหวังให้ผมเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมช่วยเหลือคนที่อ่อนแอ แต่ผมกลับทำให้พ่อแม่ต้องผิดหวัง เพราะผมดันเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่บริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่งในหางโจว แต่ยังไม่ทันจะครบสองเดือนก็มีอันต้องเจอกับความยากลำบากและความอัปยศอดสู ข้าวมื้อถัดไปยังไม่มีจะกิน งานที่นี่ไม่มีเงินบำนาญ ไม่มีประกันสุขภาพ ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แถมยังไม่มีอาหารสำหรับพนักงาน แม้กระทั่งชุดยูนิฟอร์มก็ไม่สมประกอบ ซ้ำยังถูกสั่งให้ทำโอทีตอนเที่ยง ผมว่าชีวิตของผมตอนนี้ช่างขมขื่นพอๆ กับน้ำที่ถูกคั้นออกจากมะระ

        อีกอย่างทุกๆ วันผมก็ได้แต่ยืนมโนว่า ภายในบริษัทคงจะเต็มไปด้วยสาวงามในชุดเครื่องแบบ แต่ผ่านไปได้สองเดือนผมถึงได้รู้ว่า บรรดาสาวๆ ในบริษัทหากไม่แต่งหน้าละก็ ทำเอาผมขวัญหายหัวใจแทบวายเลยละ หรือแม้จะเป็นตอนที่แต่งหน้าแล้วก็ยังทำเอาผมผวาเสียจนฉี่แทบเล็ด!

        ……

        มองเหล่ออกไปไม่ไกล หญิงสาวนางหนึ่งกำลังเดินออกมาจากตึกใหญ่ ผมรู้จักหล่อนดี เธอทำงานอยู่ในแผนกธุรกิจชื่อ หวางเหยียน แต่คนในนั้นเรียกเธอว่า ดอกไม้แห่งแผนกธุรกิจ หน้าอกหน้าใจเรียวขาเอาไปเลย 9 คะแนน ส่วนหน้าเอาไปแค่ 1 พอ!

        หวางเหยียนเองก็รู้จักผม เธอพาเอวคอดกิ่วเดินเข้ามาหาพร้อมกับรองเท้าส้นสูงที่ไม่ต่ำกว่าเจ็ดเซนติเมตรรองรับขาขาวจั๊วะที่สวยเกินกว่าจะหาสิ่งใดมาเปรียบ ทันใดนั้นก็มาหยุดยืนอยู่ที่ข้างป้อมยามก่อนจะมองมาที่ผมพร้อมกับยิ้ม “หลี่เซียวเหยา วันมะรืนนี้ Destiny จะเปิดให้บริการแล้วนะ อะไรกันนี่ นายอยากจะเป็นยามไปจนตายเลยหรือไง? ฉันว่าตามฉันมาดีกว่านะ แผนกธุรกิจของเรากำลังต้องการจัดตั้งทีมเกมอยู่พอดี นายมาเป็นลูกมือพวกเราสิ? ดูนี่ ฉันได้หมวกเกมรุ่นลิมิเต็ดมาด้วยล่ะ...”

        ผมเหลือบมองไปที่มือของเธอ หมวกสีขาวที่จริงแล้วเป็นหมวกเกมของ Destiny ที่เพิ่งจะเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ ราคาตกอยู่ที่ใบละหนึ่งหมื่นหยวน แต่เงินเดือนของผมแค่หนึ่งพันหยวน จึงดูเหมือนว่าของชิ้นนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมเท่าไรนัก

        ผมมองไปเบื้องหน้าก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงกลางๆ ไม่อ่อนน้อมหรืออวดดีว่า “โทษทีนะพี่หวาง แต่ผมต้องทำงาน!”

        หวางเหยียนถือหมวกเกมแล้วโน้มตัวลงจนเผยให้เห็นเนินเขาสองลูกที่อยู่ภายใต้เสื้อ “เฮ้อ พี่ชอบความเย็นชาของนายจัง แต่ลองกลับไปคิดให้ดีๆ แล้วกัน ถ้าเปลี่ยนใจยอมตกลงก็มาหาฉันได้ ฉันจะเตรียมอาหารให้นายสามมื้อเช้าเที่ยงเย็นเลย แล้วก็จะซื้อการ์ดเกมให้ด้วย อีกอย่าง...”

        เธอโน้มตัวมาด้านหน้าพร้อมกับยักบั้นท้ายอันกลมกลึงส่ายไปมาเบาๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มงาม “อีกอย่างถ้านายทำได้ดีละก็... มีรางวัลพิเศษให้ด้วยนะ!”

        ……

        หลังจากที่ผมยังคงเงียบไม่พูดอะไร หญิงสาวก็เดินกลับเข้าไปข้างใน ทันทีที่เห็นดอกไม้แห่งแผนกธุรกิจเดินจากไปแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

        ทันใดนั้นเสียงกระแอมกระไอของหัวหน้างานรักษาความปลอดภัยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “หลี่เซียวเหยา ดอกไม้แห่งแผนกธุรกิจสนใจนายเหรอเนี่ย?”

        ผมยังคงเงียบไม่พูดอะไรพร้อมกับยืนเฝ้ายามต่อไป ท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุทำให้รู้สึกราวกับว่าร่างกายแทบจะถูกย่างจนกลายเป็นไก่ย่างออสเตรเลีย แม้แต่ตัวผมยังรู้สึกเลยว่าเหมือนมีควันกำลังลอยออกจากร่าง

        ความจริงแล้วสิ่งที่ทำให้ผมใจเต้นแรงไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้ แต่เป็นหมวกเกมนั่นต่างหาก Destiny คือเกมเสมือนจริงที่ใช้เวลาในการพัฒนาถึงสิบปี มีความสมจริงสูงถึง 97% แถมยังไปไกลกว่าพวกเกมยักษ์ใหญ่ก่อนหน้านี้ที่มีความเสมือนจริงเพียง 39% เท่านั้น ผมเองซึ่งเป็นพวกมือสมัครเล่นทางด้านเกมได้ยินแล้วก็ยังอดรู้สึกใจเต้นแรงไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่เงินเดือนแค่นี้ของผมยังไม่พอจะซื้อการ์ดเกมด้วยซ้ำ ฉะนั้นหมวกเกมราคาแพงหูฉี่นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

        จู่ๆ ผมก็เกิดอาการตัวสั่นเล็กน้อย ขณะที่กำลังสงสัยว่าร่างกายตัวเองคงจะถูกย่างอยู่นั้น เสียงของหล่าวยวี๋ก็ตะโกนมาจากที่ที่ไกลออกไป “หลี่เซียวเหยา ไม่ต้องเข้ายามแล้ว ผู้จัดการหลิ่วให้นายไปที่แผนกถ่ายภาพ วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่นั่นกำลังถ่ายแบบกันอยู่ เขากำลังขาดคน!”

        “ครับ เข้าใจแล้วครับ”

        ……

        แผนกถ่ายภาพตั้งอยู่ที่ชั้นเจ็ดของบริษัท โดยทั่วไปแล้วที่นี่มักจะเชิญดาราหรือเหล่านางแบบนายแบบมาถ่ายภาพโปรโมตให้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัท ซึ่งวันนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาเชิญใครมา

        เมื่อเดินมาถึงชั้นเจ็ด ผมซึ่งเป็นที่รู้จักของเหล่าพนักงานในแผนกถ่ายภาพก็ถูกเรียกใช้ทันที “หลี่เซียวเหยา รีบไปช่วยพวกเราย้ายกล่องที่สตูดิโอหน่อย...”

        และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ชีวิตของผมคือการย้ายกล่อง!

        “เฮ้... เจ้าหนู นายรู้หรือเปล่าว่าวันนี้เราจะถ่ายใคร?” เขาโอบไหล่ผมพร้อมกับถาม

        ผมส่ายหน้า “ไม่รู้สิ จะถ่ายใครก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันอยู่แล้ว”

        เขายิ้มออกมา “นายนี่ไม่เปิดรับ แถมเข้าใจยากจริงๆ มิน่าล่ะถึงยังไม่มีแฟน!”

        ไม่มีแฟน!!!

        เพียงสามพยางค์นี้กลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนหมัดหนักๆ ซัดเข้ามาที่กลางใจถึงสามครั้ง นี่เป็นการทำลายศักดิ์ศรีของผมอย่างสมบูรณ์แบบ!

        “เธอเป็นคนยังไงเหรอ นายถึงได้ตื่นเต้นขนาดนั้น?” ผมถาม

        “ดาราดังคนหนึ่งเลยล่ะ อีกอย่างเป็นสาวงามด้วยนะ วันนี้ถือเป็นบุญตาของนายจริงๆ ที่ได้มาเห็นดาราระดับแนวหน้าด้วยตาตัวเอง ช่างเป็นโชคของนายจริงๆ!”

        “ถุย... ดารงดาราอะไรกัน ฉันมาที่นี่ก็เพื่อยกกล่องเท่านั้นแหละ!”

        “...”

        ……

        หลังจากเข้าสู่แผนกถ่ายภาพ และกล่องก็เพิ่งถูกยกไปได้ไม่กี่ใบ ซูเปอร์ไวเซอร์ของแผนกถ่ายภาพก็เริ่มตะโกน “หลี่เซียวเหยา ไปที่โกดังหมายเลข 13 แล้วเอาบันไดมา รีบไปตอนนี้เลย!”

        “คร้าบ!”

        ผมก็คืออิฐก้อนหนึ่งของบริษัท ที่ไหนต้องการตัว ผมก็ย้ายไปที่นั่น ถ้าจะว่ากันตามตรง ผมสมควรได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็น CEO ตั้งนานแล้ว!

        หลังจากวิ่งมาถึงโกดังเก็บของก็พบว่าประตูถูกล็อกอยู่ แต่ผมมีกุญแจ จึงจัดการดึงพวงกุญแจซึ่งเต็มไปด้วยลูกกุญแจออกมา ก่อนจะเช็กยืนยันความถูกต้อง เอาละ เปิดประตูได้!

        “แกร๊ก!”

        กุญแจถูกปลดล็อกก่อนที่ผมจะรีบดึงประตูอย่างเร็ว ทว่าทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงร้องอุทาน และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผมตัวแข็งทื่อเป็นหิน

        ที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้เป็นฉากที่สามารถทำให้เลือดกำเดาถึงกับพุ่งกระฉูด มันคือสาวน้อยคนงามเจ้าของเรือนร่างอันร้อนแรงที่ดูเหมือนว่ากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ในมือนั้นถือยกทรงสีชมพูที่ยังไม่ได้สวมใส่ตัวหนึ่ง ยอดเขาทรงกลมสองลูกบนหน้าอกกระเพื่อมเล็กน้อยพร้อมกับผลสตรอว์เบอร์รีสองลูกที่เผยให้เห็นเต็มสองลูกตา มองเลื่อนลงไปด้านล่างเห็นผ้าไหมบางๆ ที่ห่อหุ้มอยู่ก็ทำให้แทบหายใจไม่ออก ถัดจากส่วนนั้นลงไปคือเรียวขายาวคู่หนึ่งซึ่งขาวเนียนผุดผ่องราวกับหยกที่ถูกขัดเงา งดงามจนมิอาจหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้

       เธอคนนั้นยืนอึ้งด้วยความตกใจสุดขีด หลังจากผ่านไปสองวินาทีจึงรีบยกมือปิดหน้าอกหน้าใจแล้วมองมาที่ผม ดวงตาคู่งามนั้นแสดงความโกรธเคือง ทว่าน้ำเสียงที่กล่าวออกมากลับราบเรียบ “นายเป็นใครน่ะ!!!”

        ผมเองที่ตกตะลึงไปไม่ต่างกัน ยังไม่ทันจะพูดอะไรก็รีบดึงประตูปิดด้วยความรวดเร็ว!

        ร่างกายผมแทบจะขาดอากาศหายใจซะเดี๋ยวนี้หลังจากยืนนิ่งอยู่กับที่ โชคดีเมื่อเอามือลูบจมูกก็ไม่ปรากฏเลือดกำเดาไหลออกมา และยังไม่ได้ยินเสียงใดๆ จากภายในห้อง รูปร่างหน้าตาและเสื้อผ้าของหญิงสาวทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความน่าอภิรมย์ ต่างจากบรรดาสาวๆ ในบริษัทของเรา เธอผู้นี้ดูสง่างามและทรงเกียรติ หากไม่มีอะไรผิดพลาด เธอคงเป็นดาราที่คนพวกนั้นพูดถึงแน่ๆ ให้ตายสิ! นี่ผมทำอะไรลงไปวะเนี่ย?!

        ส่วนสูง 170 เซนติเมตร รูปร่างหน้าตา 10 คะแนน สัดส่วน 10 คะแนน คัพ D34 ชัวร์ป้าบ!

        ใจผมยังคงเต้นระรัวอยู่ครู่หนึ่ง นับว่าชาตินี้เกิดมาไม่เสียเปล่าแล้ว...

        เมื่อมองไปที่ประตูก็เห็นป้ายระบุไว้ว่าคือห้องเปลี่ยนชุด B ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง ผมดันเห็นเป็นห้องเบอร์ 13 ไปได้ มันใช่โกดังเก็บของเบอร์ 13 ซะเมื่อไรเล่า ป้ายอะไรวะเนี่ย ไม่ชัดเจนเลย ดันออกแบบตัว B แยกออกจากกันซะขนาดนั้น!

        ……

        หลังจากผ่านไปได้สิบนาที ผมก็อุ้มบันไดกลับมาที่แผนกถ่ายภาพอย่างระมัดระวัง

        ณ บนเวทีแสงไฟสว่างจ้ากำลังสาดส่องไปยังร่างของคนผู้หนึ่งซึ่งก็คือสาวงามในชุดสีม่วงที่ถูกออกแบบมาอย่างทันสมัย ในมือกำลังถือผลิตภัณฑ์ของบริษัทพวกผมอยู่ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม งามพริ้มจนทำให้หัวใจคนมองแทบจะหลุดออกมา เธอนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเสงี่ยมราวกับสาวพรหมจารี อารมณ์ที่สื่อออกมาทำให้ตากล้องของพวกผมต่างพากันตกตะลึง ทว่าผมกลับรู้สึกหวั่นๆ ในใจ เพราะเธอคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นแม่สาวคัพ D34 นั่นเอง เวรแล้วไง ผมเจอปัญหาเข้าแล้วสิ!

        “คัต!”

        หลังจากวางบันไดลงผมก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “ซูเปอร์ไวเซอร์ครับ ผมเอาบันไดมาให้แล้ว ยังมีอะไรให้ผมทำอีกไหมครับ?”

        ซูเปอร์ไวเซอร์ของแผนกถ่ายภาพที่กำลังมองขาขาวๆ ของสาวงาม เช็ดน้ำลายตัวเองก่อนพูดกับผมว่า “ไม่มีอะไรแล้ว นายกลับไปเถอะ!”

        “ครับ...”

        ความเครียดของผมคลายลง ขณะที่กำลังจะเดินออกไปนั้น สาวงามที่ถูกสาดส่องด้วยสปอตไลต์ก็ลุกขึ้นก่อนจะมองมาที่ผม “คนที่สวมชุดยามรักษาความปลอดภัยคนนั้นน่ะ รอก่อน...”

        ซูเปอร์ไวเซอร์ของแผนกถ่ายภาพเกิดอาการแปลกใจ “คุณหลิน มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

        แม่สาวคัพ D34 มองมาที่ผม ภายในดวงตาอันงดงามเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม รอยยิ้มที่ระบายออกมาซ่อนความหมายไว้ภายในก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “บอดี้การ์ดของฉันมีธุระเพิ่งจะขอตัวกลับไป ฉันต้องกลับคนเดียว ก็เลยอยากให้ยามคนนี้ช่วยเป็นบอดี้การ์ดให้ฉันสักหนึ่งชั่วโมงน่ะค่ะ!”

        “อ้อ ได้ครับ!”

        ซูเปอร์ไวเซอร์ตบบ่าของผมก่อนจะยิ้มและพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ไอ้หนูโชคดีจริงๆ เลยนะเนี่ยที่เธอสนใจนายด้วย!”

        มุมปากของผมกระตุกก่อนจะเงยหน้ามองเขาพร้อมกับแอบพูดในใจว่า “สนใจกับผีสิวะ! ดูก็รู้ว่าเธอกำลังหาวิธีฆ่าผมอยู่เนี่ย...”

        ……

        หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง การถ่ายแบบก็เสร็จสิ้นลง แม่สาวคัพ D34 เดินเข้ามาหาพวกผมพร้อมกับกลิ่นหอมรัญจวนใจ เธอยิ้มให้ผมเล็กน้อย “นายรอฉันที่นี่นะ อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ”

        ผมพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ตอนนี้ฝ่ามือของผมชุ่มไปด้วยเหงื่อเพราะรู้แล้วว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่เข้าแล้ว...

        ผ่านไปประมาณสิบนาที แม่สาวคัพ D34 ก็เดินออกมาจากห้องเปลี่ยนชุดในสภาพเสื้อสีขาวและกางเกงขาสั้นสีขาว เห็นแล้วรู้สึกสดชื่นเกินกว่าจะหาคำมาบรรยาย ขาคู่เรียวยาวสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่สายตาคนมอง ใบหน้ารูปไข่ที่งดงามชวนให้คนหลงใหล แต่น่าเสียดายที่ผมไม่มีกะจิตกะใจชื่นชมกับความงามเหล่านั้นเลย เนื่องจากสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้มนั้น ผู้หญิงประเภทนี้เมื่อเทียบกับผู้หญิงโหดๆ แล้ว หล่อนดูอันตรายกว่าเยอะ

        “ไปกันเถอะ?” หญิงสาวยิ้มพร้อมกับมองมาที่ผม

        ผมได้แต่พยักหน้าเงียบๆ

        เมื่อเดินตามเธอออกจากบริษัทก็พบว่าด้านนอกมีเมฆดำครึ้มปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ดูเหมือนว่าฝนใกล้จะตก

        ภายในลานจอดรถ ไฟหน้าของรถออดี้ทีทีสีขาวกะพริบขึ้น ผมกำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกประหม่า ไม่รู้เลยว่าอะไรกำลังรอต้อนรับผมอยู่

        “ขึ้นรถ!”

        แม่สาวคัพ D34 พูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง

        ผมยอมขึ้นไปนั่งที่นั่งข้างคนขับแต่โดยดี ส่วนเธอเข้าไปประจำที่คนขับด้วยท่าทางคล่องแคล่ว หลังจากเอามือจับไปที่เกียร์หญิงสาวก็หันมามองหน้าผมด้วยดวงตาคู่งามซึ่งแฝงความหมายบางอย่างที่ผมก็ไม่เข้าใจ ก่อนที่เธอจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องกังวล พวกเราจะออกไปเที่ยวเล่นกัน...”

        “ออกไปเที่ยวเล่น...” ผมอ้าปากกว้างพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัว เธอจะขับรถเล่น หรือเธอจะเล่นผมกันแน่?

        เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นพร้อมกับรถออดี้ทีทีที่เคลื่อนออกจากลานจอดรถ รถที่ขับออกมาไม่ได้อยู่ในพื้นที่ขอบเขตเมือง เธอขับขึ้นไปบนเส้นทางหลวงอันคดเคี้ยวของเทียนผิงซานที่อยู่ขอบชานเมือง ในเวลาเดียวกันเสียงฟ้าร้องก็ดังกระหึ่มขึ้นพร้อมกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก เม็ดฝนกระทบกับกระจกหน้ารถ ทว่าความเร็วของยานพาหนะกลับไม่ลดลงเลย ความเร็วตรงหน้าทำให้หัวใจผมแทบหยุดเต้น ถึงแม้ว่าเธอคนนี้จะขับรถเป็นและดูเชี่ยวชาญ แต่การขับรถแบบนี้มันอันตรายเกินไปแล้ว!

        ……

        ทันใดนั้นรถก็เบรกกะทันหันแล้วจอดนิ่งสนิทตรงเชิงเขา หญิงสาวเอนหลังพิงพนักเบาะเงียบๆ ก่อนจะยิ้มให้ผม “รอแป๊บนึงนะ...”

        ผม “…”

        เธอกดโทรศัพท์ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ฉันถึงแล้ว พวกเธอจะมาถึงตอนไหน? อะไรนะ? ฝนตกก็เลยจะไม่แข่งแล้ว? ชิ! พวกเธอนี่มันอะไรกัน รีบมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

        หญิงสาวเงียบไม่พูดอะไรสักคำ ทว่ากลับทำให้ผมรู้สึกได้ถึงกลิ่นของลางที่ไม่สู้ดีเท่าไรนัก

        ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ด้านล่างของเชิงเขาก็มีรถขับขึ้นมาสองคัน คันหนึ่งเป็นรถเฟอร์รารี่ส่วนอีกคันเป็นรถคามาโร ทั้งสองเป็นรถยนต์สมรรถนะสูง ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันเป็นเกมแข่งรถของพวกลูกคนรวย ให้ตายเหอะ! ทีทีถึงแม้ว่าประสิทธิภาพจะไม่เลว แต่ถ้าต้องสู้กับเฟอร์รารี่ก็ดูท่าจะไม่ไหวหรือเปล่า?

        ผมหันไปมองหญิงสาวขณะที่เธอก็มองผมกลับเช่นกัน มุมปากของเธอกระตุกพร้อมกับรอยยิ้มอันงดงามที่ทำให้หัวใจผมสั่นไหว

        “คุณ...” ผมยังคงอยู่ในอาการสงบพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “คุณจะให้ผมตายไปพร้อมกับคุณเหรอ?”

        สาวคัพ D34 หัวเราะเบาๆ “ทำไม? กลัวเหรอ?”

        ผมยืดอก “กลัวอะไรกัน...”

        “ก็จริง เมื่อกี้ตอนที่อยู่ในห้องเปลี่ยนชุดนายยังจ้องฉันไม่วางตาเลย ฉันว่ามันก็คุ้มค่าแล้วละ” เธอพูด

        ผม “ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมก็แค่จะไปเอาบันไดเท่านั้นเอง...”

        หญิงสาวคัพ D34 ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”

        เสียงภายในใจผมคำรามขึ้น “ใกล้ตายอยู่แล้ว จะไม่ให้เก็บมาใส่ใจได้ไงฟะ!!!”

 

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 4 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 16.02 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
2 เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 14.01 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 2 ตำนานเทพเจ้ายอดนักซิ่ง 

 

       

        ท่ามกลางม่านฝนที่โหมกระหน่ำลงมา รถเฟอร์รารี่ลดกระจกหน้าต่างลงพร้อมกับชายหนุ่มผมสีที่จ้องมองมาด้วยสายตาฉายแววเย่อหยิ่ง “โย่ว วันนี้พาไอ้ขี้แพ้มาด้วยเหรอเนี่ย?”

        แม่สาวคัพ D34 ยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “จ้ะ...”

        ได้ยินไอ้หนุ่มนั่นพูดดูถูก ผมก็กำมือแน่นด้วยความละอายใจ รู้สึกเกลียดจนแทบอยากพุ่งตัวไปทุบรถเฟอร์รารี่คันนั้น แต่พอนึกถึงค่าใช้จ่ายที่ผมคงไม่มีปัญญาชดใช้แล้ว... ช่างเหอะ เอาเป็นว่าอดทนไปก่อนก็แล้วกัน!

        “เริ่มเลยเถอะ!”

        แม่สาวคัพ D34 ที่อยู่ข้างผมดึงเกียร์ลงก่อนจะสตาร์ตเครื่องยนต์ เช่นเดียวกับรถเฟอร์รารี่ข้างๆ ที่เริ่มออกตัว

        “บรื้น!”

        ตัวรถพุ่งไปข้างหน้าอย่างเร็วพร้อมกับแรงกระชากที่รุนแรงจนน่ากลัว!

        รถทั้ง 3 คันออกตัวพร้อมกันอย่างบ้าระห่ำท่ามกลางเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยวและสายฝนที่กระหน่ำลงมา

        ตรงหน้าที่ใช้เป็นสนามแข่งคือถนนที่คดเคี้ยวไปมา ผมจับที่วางแขนพร้อมกับกัดฟันแน่น จากความเร็วในตอนนี้หากต้องเลี้ยวคงต้องดริฟต์แล้วละ ถ้าไม่เช่นนั้นมีหวังได้หลุดโค้งตกเขาเป็นแน่!

        เอี๊ยด!!!

        แม่สาวงามที่อยู่ข้างๆ หักพวงมาลัยอย่างไวพร้อมกับสลับเกียร์อย่างสวยงาม นี่ถือเป็นการดริฟต์ที่ตรงกับมาตรฐานเลยละ!

        แน่นอนว่ายางล้อรถยังคงเกาะติดแน่นกับพื้นถนน ทำให้การดริฟต์กะทันหันเมื่อสักครู่กลายเป็นการตีโค้งที่สมบูรณ์แบบ ในเวลาเดียวกันการเลี้ยวเพียงครั้งเดียวก็สามารถแซงหน้ารถสองคันนั้นได้

        แม่สาวคัพ D34 เปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ จนเผยรอยยิ้มหวานก่อนจะหันมามองผม แต่กลับพบเพียงสีหน้าว่างเปล่า นั่นทำให้หญิงสาวค่อนข้างแปลกใจ หรือพูดได้ว่ารู้สึกผิดหวังหน่อยๆ ดูเหมือนว่าเธอคงอยากจะหันมาเห็นผมในสภาพนั่งหัวหด ขาสั่นพั่บๆ พร้อมกับคุกเข่าร้องขอความเมตตาจากเธอว่า ‘ขอร้องละ ช่วยปล่อยผมลงไปทีเถอะ’

          ……

        ทันใดนั้นก็มีเสียงรถดังกระหึ่มตามมาจากทางด้านหลัง รถเฟอร์รารี่แซงขึ้นมาจากทางโค้งแล้ว เมื่อเทียบสมรรถนะของตัวรถทั้งสองคัน รถออดี้ทีทีไม่สามารถเทียบเท่าได้เลย

        แม่เทพธิดาจับพวงมาลัยแน่นพร้อมกับจับจ้องไปด้านหน้าก่อนจะเพิ่มความเร็ว

        หลายครั้งที่การแซงล้มเหลว ทำให้แม่สาวคัพ D34 รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยจนเกือบขับไปชนกับรั้วกั้น

        ซ่า!

        ฝนสาดมาที่กระจกหน้ารถ พร้อมกับรถเฟอร์รารี่ที่ยังคงดริฟต์อยู่ข้างๆ และอยู่แนวเดียวกับรถออดี้ทีทีที่ผมนั่งอยู่พอดี แม่สาวคัพ D34 เหยียบเบรกอย่างแรงพร้อมกับแสดงความไม่พอใจออกมา

        “ชิ!”

        เธอทุบไปที่พวงมาลัยรถอย่างแรงพร้อมกับขบกรามแน่น

        ชายหนุ่มที่อยู่บนรถเฟอร์รารี่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อะไรกัน? มีปัญญาแค่นี้เองเหรอ? ไอ้ความมั่นใจตอนที่เธอท้าพี่ชายของฉันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วมันหายไปไหนหมดแล้วล่ะ? ฮ่าๆๆๆๆ!”

        ผมรีบลงจากรถก่อนจะเดินไปที่ประตูฝั่งคนขับแล้วเคาะกระจกหน้าต่าง พูดกับแม่สาวคัพ D34 ว่า “คุณปีนไปนั่งข้างคนขับ ผมขอลองหน่อย!”

        แม่สาวคัพ D34 ทำหน้างุนงง “นายเนี่ยนะ? มีใบขับขี่เหรอ?”

        ผมยิ้มออกมา “ไม่มีครับ แต่คุณสบายใจได้...”

        “ไม่มีใบขับขี่ แต่จะให้ฉันสบายใจเนี่ยนะ?”

        “ที่จริงคุณก็แพ้แล้วนี่ครับ อีกอย่างก็ยังอยากตายพร้อมกับผมด้วย ถ้าจะลองอีกสักตั้ง คงไม่เป็นไรหรอกมั้งครับ”

        “ก็ได้...”

        แม่สาวคัพ D34 ตอบตกลงก่อนจะย้ายตัวเองข้ามไปนั่งที่ตำแหน่งข้างคนขับ เผยให้เห็นเรียวขางดงามที่ขาวนวลราวกับหิมะต่อหน้า จนทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเกลียดผมก็คงจะดีสินะ ช่างเป็นสาวที่งดงามจริงๆ ขาวโอโม่เหลือเกิน...

        ……

        หลังจากเข้าไปนั่งประจำที่คนขับแล้วผมก็ปลดเกียร์ ก่อนจะชะเง้อหน้าไปมองชายหนุ่มที่อยู่บนรถเฟอร์รารี่ “ต่อสิ การแข่งขันยังไม่จบนะ ใครไปถึงยอดเขาก่อนชนะ นายโอเคไหมล่ะ?”

        ชายหนุ่มที่อยู่บนรถเฟอร์รารี่แสดงสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความรังเกียจ “ชิ... ก็แค่ยาม... ฉันขอรับคำท้า!”

        พูดจบรถเฟอร์รารี่ก็พุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วก่อนที่รถคามาโรจะตามไปติดๆ โดยมีรถของผมตามไปเป็นคันสุดท้ายด้วยอัตราเร่งที่ไม่ช้าไม่เร็ว ในโค้งที่สองผมก็เหยียบคันเร่งก่อนจะเปลี่ยนเกียร์อย่างไว ‘ซูม’ เสียงยานพาหนะแล่นผ่านรถคามาโรขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ถือเป็นการแซงที่งดงามทีเดียว

        ท้ายรถส่ายไปมาก่อนจะขนาบอยู่ด้านหน้ารถคามาโร ซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าของรถจะตกใจจนต้องลดความเร็วลง ใครจะกล้าตามตูดรถผมมาติดๆ กันเล่า

        โค้งที่ห้าผมยังไม่ลดความเร็วลง ซ้ำจัดการดริฟต์รถพร้อมกับเพิ่มความเร็วอีกจนทำให้มันแทบจะเบียดติดกับรถเฟอร์รารี่ ซึ่งถือว่าเป็นการแซงที่อันตรายอย่างมาก จนทำให้โคลนกระเด็นเปื้อนใส่กระจกรถเฟอร์รารี่

        ผมได้ยินเสียงคนขับรถเฟอร์รารี่สบถด่าด้วยความโกรธ ท่าทางของอีกฝ่ายทำให้แม่สาวงามที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้

        ……

        ผ่านไปไม่กี่นาทีรถเฟอร์รารี่ก็ตามแซงขึ้นมาได้ ครั้งนี้ผมหักพวงมาลัยไปข้างๆ จนทำให้อีกฝ่ายตกใจรีบหักหลบ หัวรถจึงชนเข้ากับภูเขาที่อยู่ด้านหน้าเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ ก่อนที่ป้ายทะเบียนและโลโก้รถจะกระเด็นหลุดออกจากตัวถัง 

        เอี๊ยด...

        รถออดี้ทีทีหยุดลงขณะที่เฟอร์รารี่เองก็จอดสนิทเช่นกัน ชายหนุ่มเปิดประตูเดินลงมาด้วยท่าทางโกรธจัดก่อนจะด่าเสียงดังลั่น “หลินหว่านเอ๋อร์ ครั้งนี้ถือว่าเธอโชคดี ครั้งหน้าเธอไม่โชคดีแบบนี้แน่ โธ่เว้ย!”

        ในฐานะผู้พ่ายแพ้การเดิมพัน รถเฟอร์รารี่และรถคามาโรก็ขับหนีออกไปด้วยความเร็วท่ามกลางสายฝน

        ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ที่นั่งคนขับพร้อมมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ ก่อนจะพบว่าฝนค่อยๆ ซาลงแล้วเช่นกัน

        แม่สาวคัพ D34 ที่นั่งเงียบอยู่ข้างคนขับพูดขึ้นว่า “เทคนิคการขับรถของนายไม่เลวเลยนี่ ไปฝึกมาจากไหน?”

        ผมยิ้ม “ผมเคยทำงานอยู่ในทีมตำรวจจราจร ที่นั่นเขาให้ฉายาผมว่านักซิ่งหมายเลข 1 เลยนะ...”

        แม่สาวคัพ D34 “...”

        หลังจากที่เห็นหญิงสาวเงียบไปจนเกิดเป็นความตึงเครียด ผมก็พูดต่อว่า “สภาพอากาศแย่ขนาดนี้ แถมยังอันตรายเกินกว่าจะแข่งรถ ทำไมคุณถึงไม่เสียดายชีวิตของตัวเองเลย?”

        ดวงตาของหญิงสาวแดงก่ำพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่าง “ความโศกเศร้าของฉันนายไม่มีทางเข้าใจหรอก...”

        ผมยิ้มออกมา “ความโศกเศร้าของคุณงั้นเหรอ? คุณดูชีวิตผมสิ... เงินที่จะกินข้าวมื้อต่อไปยังไม่มีเลย แถมค่าเช่าห้องก็เกินกำหนดชำระมาสองวันแล้ว แต่ดูคุณสิ คุณยังมีรถออดี้ทีทีให้ขับ ชีวิตมันแย่ตรงไหนกัน? ผมสิที่ต้องเรียกว่าชีวิตรันทด!”

        แม่สาวคัพ D34 มองผมด้วยสายตาส่อแววสงสารที่เหมือนต้องการจะสื่อออกมาเป็นนัยๆ ว่าขอโทษ ทันใดนั้นหล่อนก็เดินลงมาเปิดประตูข้างที่นั่งคนขับ “ลงจากรถได้แล้ว...”

        ผมเกิดอาการงงงวยก่อนลงจากรถตามที่เธอบอก

        “บรื้น!”

        เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นก่อนที่ตัวรถออดี้ทีทีจะลงจากเขาไปอย่างรวดเร็ว

        ผมยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนพร้อมกับสายตาตะลึงค้าง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้สติกลับมา “บัดซบ นี่ถูกทิ้งไว้บนเขาเหรอวะเนี่ย เยี่ยม เอาคืนได้เจ็บแสบมาก เจ็บแสบมากจริงๆ!”

        ……

        หลังจากใช้มือเช็ดน้ำฝนบนใบหน้า ผมก็ยิ้มออกมาก่อนจะตบกระเป๋ากางเกง... ตอนนี้ผมไม่เหลือเงินแม้แต่สตางค์เดียว... ไม่สามารถนั่งรถสาธารณะกลับได้ ทันทีที่คิดได้รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนหน้า คิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำอะไรฉันได้เหรอ? ฮึ!

         ผมก็แค่พึ่งลำแข้งตัวเองในการวิ่งเป็นระยะทาง 20 กิโลเมตรเพื่อกลับไปทำงานก็เท่านั้น สิ่งที่คนภายนอกเห็นคือภาพคนใส่ชุดยามวิ่งไปตามเส้นทางรถโดยสาร รถแท็กซี่ ฝ่าควันพิษท่ามกลางจราจรที่ติดขัดโดยไม่หยุดพัก

        หลังจากผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ผมก็มาถึงใต้ตึกบริษัทด้วยสภาพหอบแฮกเหมือนสุนัข

        เยี่ยม!

        ……

        ผมกลับมาถึงออฟฟิศก็ห้าโมงเย็นแล้ว ซึ่งสร้างความกังวลใจให้แก่ผมอีกครั้ง เพราะข้าวเย็นยังไม่ตกถึงท้องเลย นี่ก็ได้เวลาเลิกงานอีก จะไปกินในโรงอาหารของพนักงานก็เข้าไม่ได้แล้ว

        เฮ้อ... เปลี่ยนชุดออกจากบริษัทเลยก็แล้วกัน

        ภายในเมืองยามค่ำคืนยังคงมีแสงสว่างสาดส่องราวกับหญิงสาวสวมชุดราตรี แต่น่าเสียดายที่มีแต่พวกคนรวยเท่านั้นที่จะรู้สึกได้ถึงร่างกายที่มีเสน่ห์ภายใต้ชุดราตรีเหล่านั้น ส่วนคนแบบผมน่ะหรือ... เหอะๆ คงจัดอยู่ในจำพวกขยะสังคมกระมัง

        ……

        เส้นทางแห่งการหาเงินเริ่มต้นขึ้นแล้ว!

        “เคร้ง เคร้ง เคร้ง...”

         เสียงเคาะตะหลิวกับกระทะดังเป็นจังหวะขณะที่คนทำอาหารกำลังผัดข้าวอย่างชำนาญ งานช่วงกลางคืนของผมก็คือเป็นคนทำอาหารง่ายๆ จำพวกข้าวผัด หมี่ผัด ผัดผัก ซึ่งลูกค้าในช่วงกลางคืนมีเยอะมากทีเดียวละ

        หลังจากผัดไปได้ 20 จานจนเหงื่อไหลไคลย้อย เถ้าแก่ก็ตบไหล่ผมก่อนจะพูดว่า “เจ้าหลี่น้อย วันนี้แกทำงานได้ดี มาเอานี่... ค่าแรงของแกวันนี้...”

        ผมรับเงิน 5 หยวนมาด้วยท่าทางดีใจก่อนจะเดินไปยังเป้าหมายถัดไป!

         ข้างๆ ถนนใหญ่ มีผับซึ่งมีไฟสีแดงเหมือนสีไวน์เขียนชื่อไว้ว่า ‘ปี้ห่ายหลานเทียน’ นี่เป็นสถานที่รวมตัวของคนมีฐานะเพื่อเอาเงินมาถลุง ผมค่อยๆ เดินเข้าไปในร้าน โดยกลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ด้านหน้าประตูต่างก็รู้จักผม

        หลังจากเข้ามาด้านใน เจ้าอ้วนคนเฝ้าประตูก็มองมาที่ผมก่อนจะยิ้มให้ “เฮ้ หลี่เซียวเหยา มาได้สักทีนะ!”

        ผมพยักหน้า “วันนี้กี่เพลงครับ?”

        “3 เพลง เพลงละ 10 หยวน!”

        “ครับ ขอบคุณมากครับพี่เปียว!”

        “เดี๋ยวก่อน นายแต่งเครื่องแบบของร้านให้เรียบร้อยก่อน!”

        ชุดสูทถูกโยนมาตรงหน้าผมหลังจากที่อีกฝ่ายพูดจบ ผมรับมาสวมพร้อมกับเดินไปยังฟลอร์เต้นรำแล้วขึ้นไปบนเวที จากนั้นก็นั่งลงตรงหน้าเปียโนพร้อมกับวางนิ้วลงบนคีย์บอร์ด บทเพลงไพเราะเสนาะหูจึงได้เริ่มบรรเลงขึ้น โดยเพลงแรกคือ Castle in the Sky เพลงที่สองคือ Minute Waltz ส่วนเพลงสุดท้ายคือ Kiss the rain หลังจากบทเพลงทั้งสามบรรเลงจบ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นจากฟลอร์เต้นรำ

        ผมลงจากเวทีก่อนจะยิ้มให้กับผู้ชมแล้วเดินออกมา ทันใดนั้นก็มีมือนุ่มๆ มาจับแขนผมไว้ เจ้าของมือเป็นหญิงสาวต่างชาติผู้มีใบหน้างดงาม เธอหย่อนกระดาษแผ่นหนึ่งลงในมือผม ซึ่งในนั้นมีเบอร์โทรศัพท์เขียนไว้ หญิงสาวยิ้มให้ผมก่อนจะพูดว่า “เฮ้ โทรหาฉันด้วยนะ...”

         ผมพยักหน้ายิ้มให้แล้วเดินจากมา จัดการถอดเสื้อสูทออกพร้อมกับรับเงินจากพี่อ้วนมา 30 หยวนก่อนจะเดินออกจากร้าน

        พี่อ้วนเปียวมองตามแผ่นหลังของผมพร้อมกับถอนหายใจ

        “ให้ตายเถอะ พรสวรรค์ชัดๆ!”

        ……

        ผมใช้เงิน 5 หยวนซื้อข้าวผัดไข่มากิน วันนี้รอดไปได้อีกหนึ่งวันแล้ว ผมค่อยๆ เดินไปตามถนนใหญ่ ไกลออกไปมีโฆษณาเกม Destiny ฉายอยู่บนจอ LED ของห้างสรรพสินค้า นี่เป็นเกมที่พวกคอเกมทั้งหลายต่างเฝ้ารอมานานหลายปี ในที่สุดก็เปิดตัวแล้ว ข่าวดีนี้ทำให้คอเกมจำนวนไม่น้อยต่างดีใจจนน้ำตาแทบไหล รวมถึงตัวผมด้วย ผมเองก็หลงใหลในเกมพวกนั้น แต่น่าเสียดายที่ผมไม่มีเงิน อีกอย่างหมวกที่ใช้สำหรับเล่นเกมตอนเปิดตัวก็มีแค่ 1 ล้านใบเท่านั้น ราคาในตลาดมืดที่ขายกันยังมีราคาถึง 1 หมื่นหยวนต่อใบ ราคาขนาดนั้นผมไม่มีทางที่จะเล่นเกมนี้ได้เลย รอก่อนแล้วกัน... รอให้ผมมีเงินมากพอค่อยไปเล่น ‘Swordsman Online’ ก็แล้วกัน...

        น่าเสียดายจริงๆ วันมะรืนเป็นวันที่เกม Destiny จะเปิดเซิร์ฟเวอร์แล้วด้วย ถ้าพลาดช่วงเบต้าวันแรกไป คงต้องรั้งท้ายชาวบ้านแน่ๆ!

        ……

        เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านหลงหัวซึ่งเป็นที่ที่ผมพักอยู่ ภายในที่พักประกอบด้วยหนึ่งห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่นเท่านั้น ค่าเช่าอยู่ที่ 800 หยวนต่อเดือน และตอนนี้ก็เลยกำหนดจ่ายค่าเช่าแล้วด้วย เจ้าของที่พักเป็นยายแก่นิสัยเย็นชาโหดร้าย ทางเดียวที่จะรับมือกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนแล้วนั่นคือ จงอดทน!

        หลังจากเดินมาถึงตึกหอพัก ผมก็เดินไปที่ห้องตัวเองซึ่งอยู่ชั้น 1 แล้วหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตู แต่... ประตูกลับเปิดไม่ออก!

        นี่มันอะไรกันวะเนี่ย?

        เมื่อมองที่ลูกบิดประตูก็พบว่าแม่กุญแจได้ถูกเปลี่ยนแล้ว แถมบนประตูยังแปะโน้ตไว้ว่า ‘หลี่เซียวเหยา เกินกำหนดจ่ายค่าเช่าห้องมาสองวันแล้ว แต่แกยังไม่จ่าย พรุ่งนี้จะมีคนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ ไม่มีทางเลือกอื่นฉันจึงต้องไล่แกออก ของของแกอยู่ที่ห้องครัว!’

        ผมหมุนตัวกลับไปมองก่อนจะพบว่าผ้าห่มและเครื่องใช้ส่วนตัวของผมถูกมัดรวมเข้าด้วยกันและวางอยู่ที่ห้องครัว!

       ความร้อนปะทุขึ้นในสมองของผมพร้อมกับร่างกายที่สั่นกระตุก

       ให้ตายสิวะ โดนไล่ออกซะแล้วเหรอเนี่ย!

        ……

        ผมเงยหน้าก่อนจะพบว่ามีแสงระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า ช่างเหมาะกับการเขียนบทกวีจริงๆ...

        อืม... วันนี้เป็นวันหยุด ในสวนสาธารณะคงมีหนุ่มสาวมานั่งจู๋จี๋กันท่ามกลางแสงจันทร์ ผมจะไปนอนที่นั่นก็คงไม่ได้เพราะดูจะไม่เหมาะสมเท่าไร ถ้างั้น... ก็นอนมันใต้ตึกนี่อีกคืนก็แล้วกัน ตอนนี้เป็นช่วงหน้าร้อน นอกจากยุงที่เยอะกว่าปกติก็ไม่มีอะไรมารบกวนการนอนของผมได้หรอก ผมแข็งแรงอยู่แล้ว แถมยังมีวิชาต่อสู้ติดตัว ไม่ต้องกลัวว่าจะมีโจรมาปล้น!

        เวลาประมาณ 5 ทุ่มกว่า อุณหภูมิเริ่มลดต่ำลง ผมซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มตรงมุมสนามหญ้าเล็กๆ พร้อมกับหรี่ตาลงให้นอนหลับเพื่อต้อนรับเช้าวันใหม่ 

        “หึ่งๆ...”

        ยุงยังคงบินวนเวียนอยู่ข้างหูผมไม่เลิก นี่ถือเป็นแบบทดสอบความอดทนอย่างหนึ่งเลย และแน่นอนว่าผมทนได้ ผมหยิบที่กันยุงมาคลุมหน้าของผมทับๆ กันให้หนาขึ้น ซึ่งมันก็ไม่ได้กระทบกับระบบทางเดินหายใจของผม แถมยังทำให้ยุงไม่มารบกวนอีกด้วย นอนทั้งแบบนี้ก็แล้วกัน...

        ……

        ยามราตรีได้ถูกแทนที่ด้วยรุ่งอรุณ เจ้าไก่ยังคงทำหน้าที่ส่งเสียงขันบอกเวลาได้เป็นอย่างดี

        ผมลืมตาพร้อมกับมองไปบนท้องฟ้ายามเช้าที่มีแสงแดดอุ่นๆ สาดส่องลงมา ทันใดนั้นบทกวีก็ผุดเข้ามาในหัว ‘ตื่นขึ้นจากความฝัน ต้นหลิวพัดพาคลื่นแสง พร้อมกับลมที่พัดผ่านดวงจันทร์ออกไป’

        ยังไม่ทันที่ผมจะท่องบทกวีจบ ก็มีมือของใครบางคนมาแตะไหล่ผม “พี่เสี่ยวเหยา ทำไมมานอนข้างนอกล่ะเนี่ย?!”

 

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 4 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 16.02 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
3 เมื่อ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 13.37 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 3 ตั๊กแตนพุ่งทะยาน

 

         ครั้นตื่นขึ้นจากการหลับใหล ผมก็ลุกขึ้นก่อนจะหันไปมองด้านหลัง จึงได้พบกับซ่งหาน เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาวัย 24 ปี เขาเป็นน้องคนสนิทของผมที่เคยเล่นเกมด้วยกันก่อนหน้านี้ ฉายาในเกมของเขาคือ ‘เสี่ยวหลาง’ ตำแหน่งในเกมคืออาชีพแอสซาซิน ซึ่งเป็นผู้เล่นในกลุ่มที่เก่งที่สุดอีกด้วย

        คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน เพราะสำหรับซ่งหานแล้วนับถือผมเป็นฮีโร่ แต่ในวันนี้เขากลับมาเห็นผมในสภาพถูกไล่ออกจากที่พักจนต้องมานอนตากน้ำค้างด้านนอก ความอับอายนี้จะปล่อยให้น้องชายคนสนิทรู้ได้อย่างไรกัน

        ผมจึงกระซิบออกมาเบาๆ ว่า “ช่วงนี้ฉันกำลังฝึกวิทยายุทธ์ชั้นสูงน่ะ ต้องซึมซับกับธรรมชาติ ทั้งฝน ลม หิมะ เมื่อคืนฉันก็เลยออกมานอนด้านนอก ว่าแต่... นายมาทำอะไรที่นี่?”

        ซ่งหานมองแปรงสีฟันและถ้วยมาม่าที่อยู่ข้างตัวผม มุมปากของเขากระตุก “ทำไมผมถึงรู้สึกว่าพี่โดนไล่ออกมาจากห้องล่ะ... นี่พี่ไม่ได้จ่ายค่าเช่าห้องมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย?”

        ผมส่ายหน้า “นี่เป็นภาพลวงตาเท่านั้นแหละ พวกเราโตเป็นหนุ่มแล้วนะ ต้องมองข้ามรูปลักษณ์ภายนอก อาจารย์จริยธรรมไม่เคยสอนเรื่องพวกนี้กับนายหรือไง?”

        ซ่งหานยิ้ม “พี่เซียวเหยา... หยุดหลอกตัวเองเถอะ ยายป้าเจ้าของหอนั่นทำให้พี่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ใช่ไหม?”

        ผมส่ายหน้า “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง นายคิดมากเกินไปแล้ว...”

        ……

        ในตอนนั้นเอง ประตูห้องที่อยู่ด้านขวามือก็ถูกเปิดออก ยายป้าเจ้าของหอพักโผล่หน้าออกมาดู ทว่าแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นพวกเขา ก่อนจะด่าขึ้นมาลอยๆ ว่า “ชิ! เจ้าหลี่เซียวเหยานั่นยังไม่กลับมาที่นี่แฮะ ไม่จ่ายค่าห้องฉันก็ยังเฉยๆ แต่นี่แม้แต่ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่จ่ายให้สักแดงเดียว ยังมีหน้ามาขอให้ยืดเวลาออกไปอีก ถุย! เด็กสมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมด ไม่จริงจังกับการทำงานหาเงิน แม้แต่ค่าเช่าห้องยังไม่มีปัญญาจ่าย ไร้อนาคตจริงเชียว คนแบบนี้ต้องอยู่เป็นโสดไม่มีลูกมีเมียไปจนวันตายนั่นแหละ”

        ได้ยินเช่นนั้นผมก็เงียบพูดอะไรไม่ออก... จะด่าว่าผมจนก็ด่ามาสิวะ แต่มาแช่งให้ผมไม่มีเมียตลอดชีวิตอย่างนี้ไม่ได้นะเว้ย แรงเกินไปแล้วนะยายป้ามหาภัย!

        ซ่งหานยิ้มออกมา “ชิ ยายป้านี่น่ารำคาญจริงๆ พี่เซียวเหยาทนอยู่ได้ยังไงเนี่ย นับถือพี่จริงๆ เลย ให้ผมจัดการสับหัวยายป้านั่นทิ้งเลยดีไหม?”

        ผม “ใจเย็นๆ วางมีดในมือลงก่อนเจ้าหนู...”

        ซ่งหาน “งั้นพี่รอผมครึ่งชั่วโมงนะ เดี๋ยวผมมา”

        “นายจะทำอะไร?”

        “เอาน่า เดี๋ยวก็รู้เองแหละ!”

        ผมจัดการรวบรวมข้าวของมัดไว้ด้วยกัน ถ้าทำแบบนี้จะได้ไปไหนมาไหนสะดวกขึ้น หลังจากรออยู่พักหนึ่ง ซ่งหานก็กลับมาพร้อมกับถังใบใหญ่ซึ่งส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง ภายในนั้นเต็มไปด้วยอึสีเหลืองทองอร่าม ผมเห็นเช่นนั้นก็อดขมวดคิ้วเข้าหากันไม่ได้ “เสี่ยวหลาง นายจะเอาไปทำอะไรเนี่ย?”

        ซ่งหานยิ้มพลางหยิบถุงออกมาจากกระเป๋า ซึ่งภายในนั้นมีตั๊กแตนและหนอนตัวเล็กๆ สีเขียวขยับยั้วเยี้ยไปมา เขายิ้มพร้อมกับพูดออกมาว่า “ผมไปที่สวนของบ้านลูกพี่หลิวเพื่อไปเอาหนอนพวกนี้มาสดๆ ร้อนๆ เลย แล้วก็ไปจับตั๊กแตนจากสวนของป้าหวางมาด้วย หึๆ ยายป้าเจ้าของหอนั่นไร้ยางอายขนาดนั้น ผมคงต้องให้รางวัลจนลืมไม่ลงสักหน่อย เอาไปเลยตั๊กแตนสายพันธุ์ขี้!”

        ผมถึงกับตัวสั่นหลังจากที่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรต่อจากนี้

        “พี่เซียวเหยา ไปซ่อนไกลๆ เลย”

        “โอเค”

        ผมเก็บสัมภาระของตัวเองก่อนจะวิ่งห่างออกไปหลายสิบเมตร ระหว่างที่ซ่งหานนำถังอึวางไว้ข้างๆ กำแพงบ้านของยายป้าเจ้าของหอพัก หลังจากนั้นเขาก็เปิดถุงแล้วเทแมลงลงไป เจ้าพวกแมลงสีเขียวที่กลายเป็นสีเหลืองทองอร่ามปีนขึ้นจากถังอึที่อยู่บนกำแพงแล้วกระโดดบินเข้าไปในบ้านหลังนั้น และก่อนจะหนีออกมาเขายังทิ้งร่องรอยไว้อีกด้วย ซึ่งดูเหมือนไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำความสะอาดอุจจาระพวกนั้น

        หลังจากสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด ผมก็ตบไหล่ซ่งหานก่อนพูดขึ้นว่า “เสี่ยวหลาง นายนี่มันพี่น้องที่พลัดพรากจากกันตั้งแต่เด็กของฉันจริงๆ เลย!”

        ซ่งหานยิ้ม “รีบไปเหอะพี่ก่อนที่นรกจะมาเยือน”

        “เออๆ ไปๆ”

        ด้านหลังพวกเขาตามมาด้วยเสียงก่นด่าของยายป้าเจ้าของหอที่ดังมาจากในห้อง ช่างเถอะ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ยังไงทั้งชาตินี้ก็ไม่คิดจะมาเจอกับยายป้านี่แล้วละ

        ……

        ระหว่างทางที่พวกผมกำลังเดินอยู่

        บนหลังของผมตอนนี้แบกข้าวของที่ขนออกมาจากหอพัก โดยมีซ่งหานช่วยถือพวกจานชามให้

        “นี่พี่เซียวเหยา ที่ผมมาหาพี่ที่นี่ก็เพราะว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย” เขาบอกขณะที่โบกจานพอร์ซเลนในมือ

        ผมพยักหน้า “ฉันรู้ ว่ามาสิ มีเรื่องอะไร?”

        ซ่งหานหยุดเดินก่อนจะกำหมัดแน่น พร้อมกับสายตาที่เปี่ยมล้นด้วยความมุ่งมั่น “ผมมาหาพี่ ก็เพราะว่าเหล่าเคกับหูหลีพวกนั้นอยากจะกลับมาสร้างกิลด์จ่านหลงอีกครั้ง พวกเรามาสร้างความยิ่งใหญ่ในฐานะฮีโร่ในเกม Destiny กันดีไหม?”

        ผมมองไปที่อีกฝ่าย “นายมีเงินซื้อหมวกเหรอ?”

        “ตอนนี้ยังไม่มี”

        “งั้นก็คงต้องรอไปก่อนแล้วละ หาเงินกันก่อนก็แล้วกัน”

        “พี่เซียวเหยา... ตอนนี้พี่ก็ถูกไล่ออกจากหอแล้ว พี่จะเอายังไงต่อ? พักข้างนอกนี่ถือเป็นปัญหาหนึ่งเลยนะพี่” ซ่งหานมองผมด้วยความเป็นห่วง

        ผมยิ้มออกมา “ชิ! เรื่องแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก เดี๋ยวฉันจะไปบริษัทแล้วขอทำงานกะดึก หลังจากนี้ก็สามารถปูผ้าห่มนอนอยู่ที่นั่นได้แล้ว อีกอย่างที่นั่นมีเครื่องต้มน้ำร้อน แถมยังมีห้องน้ำอีก นายไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก”

        ซ่งหานพยักหน้า “ก็ได้ งั้นคงต้องตามนี้ไปก่อน รอให้ผมมีเงินพอที่จะสร้างกิลด์ขึ้นอีกครั้ง ผมจะกลับมาหาพี่นะ”

        “ได้เลย ไม่มีปัญหา ว่าแต่ตอนนี้นายทำอะไรอยู่เหรอ?”

        “อ๋อ ตอนนี้ผมทำหน้าที่เป็นบาทหลวงที่ช่วยกล่าวคำปฏิญาณตนให้กับคู่บ่าวสาวอยู่ครับ”

        “ดีเลย เป็นงานที่ดูมีอนาคตนะ...” ผมพูดพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ “ยังไงช่วยพาฉันไปสอบใบอนุญาตเป็นบาทหลวงด้วยล่ะ เราจะได้ทำงานเป็นผู้ดำเนินพิธีงานแต่งด้วยกัน!”

        “ได้ครับ!!!”

        ……

        ณ บริษัท

        หัวหน้าแผนกยามทุบโต๊ะและเก้าอี้ปังก่อนจะชี้หน้าผม “ไม่มีที่ว่างแล้วเว้ย! กะดึกไม่ใช่ตำแหน่งที่มาขอทำกันได้ง่ายๆ แผนกเรามียามตั้งเยอะแยะ ใครๆ ก็อยากจะทำกะดึกกันทั้งนั้น ถึงแกจะอยากทำก็ไม่มีที่ว่างให้แกหรอก แล้วนี่แกเอาผ้าห่มกับเสื่อมาทำอะไรวะ? จะมาประท้วงหน้าบริษัทหรือไง?”

        ผมเผยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น “หัวหน้าครับ ผมจะไปกล้าทำแบบนั้นได้ยังไง”

        “เออ ถ้ารู้แล้วก็เข้ากะบ่ายต่อไป เอาของพวกนี้ของแกออกไปด้วย!”

        “ครับ หัวหน้า”

        ผมแบกสัมภาระเดินออกจากประตูใหญ่ของบริษัท... เฮ้อ... ถูกปฏิเสธอีกแล้ว นอนในบริษัทไม่ได้แล้วสินะ แต่โลกก็ปฏิเสธผมมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว การรอคอยนี่มันก็เหมือนกับการรอรักแรกนั่นแหละ ต้องมีจิตใจที่ดี เพราะทัศนคติที่ดีจะเป็นตัวตัดสินทุกอย่าง เอาละ หาวิธีใหม่ก็แล้วกัน

        ทันทีที่ผมเดินออกมาก็มีรถตำรวจขับมาจอดริมถนนก่อนจะหยุดผมเอาไว้ ประตูรถถูกผลักออกพร้อมกับการปรากฏตัวของร่างที่คุ้นเคย เขาคือหวางซิ่นหัวหน้าหน่วยสวาท และเคยเป็นหัวหน้าเก่าของผมด้วย!

        “ขึ้นมาสิ!” หวางซิ่นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

        ผมพยักหน้าก่อนจะโยนสัมภาระเข้าไปในรถแล้วขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง จากนั้นจึงเอ่ยถาม “หัวหน้าหวาง คงไม่ใช่ว่าจะมาชวนผมไปดื่มชาเฉยๆ ใช่ไหมครับ? ผมออกจากหน่วยมาเกือบสองปีแล้ว คงไม่ใช่ว่ามีอะไรที่ยังสะสางไม่เรียบร้อยหรอกใช่ไหมครับ?”

        หวางซิ่นยิ้ม “เจ้าเด็กนี่! จากสายลับมาเป็นหน่วยสวาท จากหน่วยสวาทกลายเป็นตำรวจจราจร จากตำรวจจราจรกลายเป็นผู้ช่วยตำรวจ จากผู้ช่วยตำรวจกลายเป็นยาม... คนอื่นเขามีแต่ไต่ขึ้น แต่นายดันไต่ตำแหน่งลงมาเรื่อยๆ เนี่ยนะ?”

        ผมยิ้มเจื่อนๆ ด้วยความอับอาย “ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย...”

        หวางซิ่นมองผมก่อนพูดต่อว่า “ตอนที่นายถูกปลดออกจากหน่วยสวาท ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของนาย แต่นายก็เถรตรงเกินไป ไม่มีใครกล้าตรวจสอบอะไรด้วย ถึงแม้นายจะสามารถหาคนกระทำผิดจนเจอ แต่สุดท้ายนายเองก็เห็นแล้วว่า พวกเขามีวิธีจัดการกับเจ้าหน้าที่ระดับล่างอย่างนายอยู่ดี... ตอนนั้นฉันเองก็อยากจะช่วย แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่ฉันไม่มีอำนาจพอจะช่วยนายได้ นายคงจะไม่ถือโทษโกรธฉันหรอกใช่ไหม?”

        ผมส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม “เรื่องในอดีตไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ ผมลืมมันไปหมดแล้ว...”

        “หึ!”

        หวางซิ่นกอดอกก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ครั้งนี้ที่ฉันมาหานายก็เพราะมีงานให้ทำ เป็นงานที่สำคัญและเข้มงวดมาก ฉันหวังว่านายจะลองพิจารณาดู”

        “งานอะไรครับ?” ผมถาม

        หวางซิ่นพูด “นายเคยได้ยินชื่อ เทียนซินกรุ๊ป ไหม? ปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดในจีนตะวันออกเฉียงใต้เลยนะ”

        ผมพยักหน้า “รู้จักครับ... แล้วมันเกี่ยวอะไรกันเหรอครับ?”

        หวางซิ่นยิ้ม “ความแข็งแกร่งของเทียนซินกรุ๊ปกลายเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก อีกอย่างมีการแทรกแซงอำนาจจากต่างประเทศ ซึ่ง CEO ของเทียนซินกรุ๊ปมีวิสัยทัศน์ที่เติบโตมาจากสายทหารอยู่แล้ว เขาจึงไม่กลัวเรื่องนี้ แต่จุดอ่อนของเขาอยู่ที่ลูกสาว เขาเคยจ้างบอดี้การ์ดมาแล้วหลายคน แต่ล้วนไม่เอาไหน ดังนั้นฉันก็เลยนึกถึงนายขึ้นมา...”

        ผมหัวเราะเสียงเย็น “หยุดเลยครับ ผมไม่อยากรับภารกิจพวกนี้แล้ว ผมไม่อยากถูกหักหลังอีก ผมเข็ดแล้วจริงๆ!”

        “อย่าพูดแบบนี้สิ ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งอื่นๆ นะ นายก็แค่ดูแลและคุ้มกันลูกสาวของเขาไม่ให้เกิดอันตรายแค่นั้นเอง อีกอย่างเงินค่าจ้างสูงมากเลยนะ”

        ตาของผมเป็นประกายทันที “เท่าไรครับ?”

        “8,000 หยวนต่อเดือน”

        “หืม?...”

        ผมนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ดีกว่าครับ ผมขอไม่รับงานนี้ ผมไม่อยากทำงานที่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงอีก ผมว่าเป็นยามก็ดีอยู่แล้วนะครับ ผมอยู่ที่นี่มา 2 เดือน เรื่องอันตรายที่สุดก็แค่กาต้มน้ำร้อนคว่ำตกลงมาก็แค่นั้น...”

        หวางซิ่น “…”

        หลังจากผ่านไปสักพัก หวางซิ่นก็มองมาที่ผม “โอเค ถ้างั้นฉันจะออกเงินส่วนตัวเพิ่มให้ เท่ากับว่าทุกเดือนนายจะได้รับเงิน 1 หมื่นหยวน นายโอเคไหม? นอกจากงานสังหารแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่จะทำเงินได้ดีไปกว่านี้แล้วละ...”

        โอ้โฮ เงินโคตรล่อตาล่อใจเลยเว้ย!

        ผมแทบจะหายใจไม่ออกพร้อมกับเกิดการต่อสู้ขึ้นภายในจิตใจ “ถ้าให้ผม 1 หมื่น... อืม... ยังไงผมขอพิจารณาดูอีกทีแล้วกันนะครับ เพราะผมไม่อยากจะเซ็นสัญญาที่ทำให้ผมต้องตกเป็นทาสอีก...”

        หัวหน้าหวางกวาดตามองไปที่สัมภาระของผม “ถ้างั้น... นอกจากเงินเดือน 1 หมื่นหยวน ฉันจะมอบผ้าห่มติดแอร์ที่เบาเหมือนขนนกให้นายอีกผืนเป็นไง”

        “ว่าไงนะครับ?!”

        ร่างกายของผมเกิดอาการสั่นขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับกำหมัดแน่น “ผ้าห่มติดแอร์ที่เบาเหมือนกับขนนก... ไม่มีใครในโลกที่จะปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้หรอก... ผม... โอเค... ตกลง ผมรับงานนี้!”

        หวางซิ่นยิ้ม “เยี่ยม!”

        ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดต่อว่า “แต่... คุณต้องคืนคู่หูผมมาด้วย เพราะผมไม่อยากจะปกป้องคุณหนูพันล้านด้วยหมัดของผมเองหรอกนะ...”

        หวางซิ่นพยักหน้า “อื้อ... คู่หูของนายอยู่ท้ายรถแล้ว นายไปเอาเองก็แล้วกัน หยิบเสร็จฉันจะพานายไปพบกับผู้ว่าจ้าง ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ก็สามารถเซ็นสัญญากันได้เลย”

        “ครับ!”

        ……

         

        เมื่อผมลงมาเปิดประตูท้ายรถ ก็เห็นกล่องยาวสีดำที่วางอยู่ในนั้น ภายนอกกล่องถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ข้างในมีดาบยาวโบราณวางอยู่ ผมยื่นมือไปจับพร้อมกับความหลังเก่าๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว ทำให้ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ “เสี่ยวเฮย ไม่เจอกันนานสองปีแล้วนะ!”

        หวางซิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมก็พูดขึ้นว่า “ฉันแทบต้องแลกด้วยชีวิตเพื่อเอาเจ้านี่ออกมาจากคลังเลยนะ หลี่เซียวเหยา นายนี่แปลกคนจริงๆ ใช้ดาบเล่มนี้ตัดมือทั้งสองข้างของลูกชาย ส.ส.ได้ เหอะ ไม่มีอะไรที่นายไม่กล้าทำจริงๆ”

        ผมพูดด้วยเสียงเรียบๆ “ถ้าไม่มีใครอยากทำ ผมก็จะเป็นคนทำมันเอง”

        “เอาละ ไปกันเถอะ ไปพบผู้ว่าจ้างกัน”

        “ครับ”

         ……

        หลังจากผ่านไปได้สิบกว่านาที รถก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปจอดที่ด้านข้างของโรงยิมขนาดใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่ง ผมใช้ผ้าสีดำคลุมเสี่ยวเฮยไว้ แล้วอุ้มมันพร้อมกับเดินตามหวางซิ่นเข้าไปด้านใน ระหว่างนั้นผมก็ได้ยินเสียงดาบกระทบกัน... ว้าว... ดูเหมือนว่าฝีมือจะใช้ได้เลยนะเนี่ย! 

 

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 2 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 16.03 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
4 เมื่อ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.19 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 4 เจอกับเทพธิดาอีกครั้งแล้ว

 

        ระหว่างที่ผมเดินเข้าไปด้านในก็เห็นคนสองคนกำลังประลองดาบกันอยู่ไกลๆ ดาบของทั้งคู่ปะทะกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดาบที่พวกเขาใช้ไม่ใช่ดาบปลอมที่เอาไว้สำหรับการแข่งขัน แต่เป็นแบบเดียวกับเสี่ยวเฮยของผมซึ่งมีความใหญ่โต หนัก และเรียบง่าย

        หนึ่งในนั้นสวมเสื้อสีดำ รูปร่างสง่างาม ริมฝีปากเผยให้เห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ดาบในมือของเขาที่กวัดแกว่งทำให้การจู่โจมของอีกฝ่ายดูเปล่าประโยชน์ทันที เขาผู้นี้มีกลิ่นอายที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องคิดมากแล้ว คนผู้นี้จะต้องเป็นผู้ว่าจ้างของผมแน่ๆ เขาคือ CEO แห่งเทียนซินกรุ๊ปที่คนกล่าวถึงกัน!

        ……

        หวางซิ่นเดินนำหน้าผมไปก่อนจะพูดขึ้นว่า “ผู้อำนวยการหลินครับ คนที่ผมแนะนำคราวก่อนมาแล้วครับ”

        ชายผู้นั้นหยุดการประลองฝีมือก่อนจะหันมาพร้อมกับรอยยิ้ม “หัวหน้าหวาง มาแล้วเหรอ ไหนผมขอดูเด็กที่คุณพูดชมนักชมหนาหน่อยซิ ว่าเป็นยังไง! ”

        หวางซิ่นชี้มาที่ผม “นี่คือหลี่เซียวเหยาที่ผมพูดถึงครับ เสียวหลี่ นี่คือคุณหลินเทียนหนาน CEO ของเทียนซินกรุ๊ป นายทักทายท่านหน่อยสิ”

        หลินเทียนหนานมองมาที่ผมพร้อมกับสายตาที่ไม่อาจเดาได้ว่าเป็นความรู้สึกเยี่ยงไร เขายื่นมือมาด้านหน้าก่อนจะพูดขึ้นว่า “พ่อหนุ่ม ยินดีที่ได้รู้จักนะ! ”

        ผมยื่นมือออกไป “ยินดีเช่นกันครับ”

        โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ออกแรงบีบมือผม ไม่งั้นคงต้องเกิดการนองเลือดแน่ๆ!

        ……

        ข้างๆ หลินเทียนหนานคือชายวัยกลางคนสวมชุดขาวซึ่งกำลังมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มดูแคลน “เจ้าหมอนี่เนี่ยนะ… จะไปทำอะไรได้? ”

        หัวหน้าหวางยิ้ม “ถ้าคุณทดสอบก็จะรู้เองแหละครับ...”

        หลินเทียนหนานได้ยินเช่นนั้นก็พูดต่อว่า “หลี่เซียวเหยา นี่คือหลินเฟิงน้องชายคนที่ ของฉันเอง... นี่เจ้าสาม ทำไมนายไม่ลองทดสอบฝีมือเจ้าหนุ่มคนนี้หน่อยล่ะ? ”

        หลินเฟิงพยักหน้าก่อนจะสืบเท้าขึ้นไปพร้อมกับดาบในมือ “นายรู้จักวิธีใช้ปืนหรือเปล่า? ”

        ผม “ครับ ผมมีประสบการณ์ในการยิงทั้งระยะไกลและระยะประชิด”

        “แล้วใช้ดาบเป็นไหม? ”

        “ชำนาญเลยครับ”

        “ดี ถ้างั้นมาดูฝีมือการใช้ดาบของนายหน่อยก็แล้วกัน...”

        ระหว่างที่พูด หลินเฟิงก็ยกดาบในมือขึ้นมาก่อนจะส่งสายตาไปยังบอดี้การ์ดเพื่อให้นำแผ่นปูนซีเมนต์มาวางตรงหน้า ซึ่งในแผ่นปูนนั้นมีแท่งเหล็กอยู่ด้วย แต่โชคดีที่มันเริ่มขึ้นสนิมแล้ว

        มุมปากของหลินเฟิงเผยให้เห็นรอยยิ้มหยัน “ตัดมันออกภายในครั้งเดียว นายทำได้หรือเปล่า? ”

        พูดจบ ดาบในมือของหลินเฟิงก็กวาดลงล่างพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นก่อนที่แผ่นปูนซีเมนต์จะตกลงสู่พื้นแล้วแยกออกเป็นสองส่วน

        หัวหน้าหวางเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึงพร้อมกับเอ่ยปากชม “เยี่ยมมากเลยครับ นี่หลี่เซียวเหยา ถึงตานายแล้ว”

        ผมเดินไปด้านหน้าเงียบๆ ก่อนจะรับดาบจากหลินเฟิงมาไว้ในมือจากนั้นฟาดลงบนแผ่นปูนตรงหน้าจนเกิดเสียงดัง คมดาบตัดผ่านแผ่นปูนซีเมนต์ลงไปจนแตกออกเป็นสองท่อนอย่างสวยงาม

        หลินเฟิงเกิดอาการตกตะลึง “ดีมากเจ้าหนู งั้นเรามาทดสอบขั้นต่อไปกันเลย”

        ทว่าหลินเทียนหนานกลับพูดขึ้นว่า “นี่เจ้าสาม ไม่ต้องแล้วละ หลี่เซียวเหยาแข็งแรงกว่านายอีก! ”

        “พี่ใหญ่ พูดแบบนี้หมายความว่าไงครับ? ” หลินเฟิงถามด้วยใบหน้างุนงง

        หลินเทียนหนานเดินมาข้างหน้าก่อนจะชี้ไปที่ดาบแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าสาม ถึงแม้ว่านายจะสามารถตัดแผ่นปูนนั่นได้ แต่ใบดาบของนายก็งอไปตามแรงที่นายใช้ แต่นายดูของหลี่เซียวเหยาสิ วัสดุก็แบบเดียวกัน แต่หลังจากที่เขาตัดแผ่นปูนนั่น ใบดาบกลับไม่เป็นอะไรเลย นายยังไม่เห็นถึงความแตกต่างอีกเหรอ? ”

        หลินเฟิงเกิดอาการตกตะลึง “ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ”

        หลินเทียนหนานยิ้มออกมาก่อนจะพูดต่อว่า “นายใช้พละกำลังเพื่อที่จะทำให้ปูนนั่นถูกตัดออกเป็นสองส่วน แต่เขากลับใช้พละกำลังจากภายใน โดยอาศัยลมห่อหุ้มใบมีดในการผ่าปูนตรงหน้าออกจากกัน ผลลัพธ์จึงไม่ได้มาจากดาบของเขา พูดแบบนี้นายพอจะเข้าใจหรือยังเอาละ หลี่เซียวเหยา ในเมื่อหัวหน้าหวางเป็นคนแนะนำมา ฉันก็คงไม่ต้องทดสอบอะไรอีก พรุ่งนี้นายไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยหลิวหัวกับลูกสาวฉัน เธอกำลังจะเข้าปี นายเองก็เข้าปี เหมือนกับลูกสาวฉันก็แล้วกัน ตอนบ่ายฉันจะให้คนมาช่วยทำเรื่องสมัครเรียนให้นาย...”

        “มหาวิทยาลัยหลิวหัว... เด็กปี 1...”

        เกิดความปั่นป่วนขึ้นในสมองของผม

        ก่อนที่ผมจะพูดขึ้นว่า “คุณหลินครับ ตอนนี้ผมอายุ 25 แล้ว ผมว่าถ้าจะให้ผมไปเรียนปี มันดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไรนะครับ? ”

        “ไม่เป็นไรหรอก ถึงแม้อายุนายจะมากไปหน่อย แต่หัวใจก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่นี่นา! ”

        ผม “…”

        ……

        ผมเดินออกมาจากโรงยิมขนาดใหญ่พร้อมกับเสี่ยวเฮยที่อยู่ในมือ หลังจากขึ้นมานั่งบนรถ หัวหน้าหวางก็พูดขึ้นว่า “มหาวิทยาลัยหลิวหัวเป็นสถาบันของพวกชนชั้นสูงที่มีชื่อเสียง ที่จริงมันก็เหมือนกับการพาตัวเองไปชุบทองนั่นแหละ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ค่าเทอมของนายน่ะเป็นเงินจากสำนักงานของเรา ถ้านายสอบตกละก็ เตรียมตัวตายได้เลย”

        ตอนนี้ผมรู้สึกเสียดายที่ตกปากรับข้อเสนอนี้ซะแล้วสิ “ผมไม่อยากจะมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว...”

        “ไม่มีทางให้หันหลังกลับไปแล้ว ถ้านายผิดสัญญา ฉันจะจับนายขัง 10 ปี! ”

        ผม “…”

         

        ……

        เนื่องจากมันเป็นงานใหม่จึงทำให้ผมรู้สึกไม่คุ้นเคย... ในมือของผมมีเงินสดจำนวน หมื่นหยวนที่ได้มาจากหัวหน้าหวาง อืม... ไปหาที่พักใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยหลิวหัวก่อนดีกว่า หลังจากนี้ค่อยว่ากันอีกที!

        ผมแบกสัมภาระไว้ข้างหลังก่อนจะเดินมาที่ด้านหน้าของมหาวิทยาลัยหลิวหัว มองจากระยะไกลแล้ว บรรยากาศสภาพแวดล้อมในวิทยาเขตเหมือนกับสวนสาธารณะสวยงามมาก ผมกอดเสี่ยวเฮยไว้ในมือขณะเดินไปรอบๆ สวนของมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นผมก็เดินหาหอพักใหม่แถวๆ นั้น สักพักก็เห็นแผ่นโฆษณาที่แปะอยู่ที่เสาไฟฟ้าซึ่งมีเบอร์สำหรับติดต่อด้วย หลังจากโทรไปถามผมก็มุ่งไปยังอะพาร์ตเมนต์นั่นทันทีแล้วเคาะประตู เพียงครู่เดียว คุณป้าผู้มีน้ำหนักเกือบ 100 กิโลก็เปิดประตูออกมาพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มาดูห้องใช่ไหมเข้ามาสิ”

        ผมเดินเข้าไปในห้อง พลันคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน พื้นห้องรับแขกเต็มไปด้วยเปลือกเม็ดแตง แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาเท่ากับที่เขาเห็นถุงยางใช้แล้วบนพื้น ช่างเป็นความประทับใจแรกอันแสนจะน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงที่สุด!

        “ที่นี่เป็นยังไงบ้างครับตอนกลางคืนมีเสียงรบกวนหรือเปล่า? ” ผมถาม

        นี่เป็นสิ่งที่ต้องถามไว้ก่อน เพราะสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้โคตรแย่ ชุมชนนั่นแทบจะไม่ใช่ที่ที่ให้คนอาศัยอยู่ด้วยซ้ำ!

        ผมเคยหวังเอาไว้ว่าที่ที่ผมพักจะมีแม่สาวงามคัพ D34 เป็นเพื่อนข้างห้อง ทว่ากลับกลายเป็นลุงแก่ขี้เมาซะได้ ซึ่งนั่นยังไม่เท่าไร แต่แกเล่นตื่นขึ้นมาสีซอทุกวันตอนตีสามนี่สิ!

        เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเล่นเพลง ฟ่างหนิวของหวางเสี่ยวเอ่อ มาอาทิตย์นี้ก็เปลี่ยนเป็นเพลง ต้าห่ายของจางหยี่เซิง!

        ทุกๆ วันไม่ว่าผมจะเข้างานกะเช้า กะบ่าย หรือกะดึก ตกกลางคืนผมจำต้องทนฟังเสียงรบกวนจากตาลุงนั่น! ถ้าทะเลสามารถกำจัดความโศกเศร้าไปได้ ก็ช่วยพัดตาลุงนั่นไปด้วยเถอะ!

        หลังจากตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดอยู่นาน เจ้าของห้องก็มองมาที่ผมก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “บรรยากาศดีมากเลย ไม่ค่อยมีเสียงดัง พ่อหนุ่มวางใจเถอะ เข้าไปดูในห้องก่อนแล้วกันนะ”

        ผมพยักหน้า ทว่าหลังจากที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องก็ได้ยินเสียงเตียงกระแทกกับฝาผนังห้อง ตามด้วยเสียงผู้หญิงครางอื้ออ้า ได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะเกิดอาการหูแดงฉับพลัน ขอโทษที ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยมีแฟนเลย!

        ……

        “ค่าเช่าห้องเท่าไรครับ? ” ผมถามขึ้น

        “สามห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น นี่เป็นห้องสุดท้ายแล้ว ค่าเช่าอยู่ที่ 400 หยวนต่อเดือน จ่ายล่วงหน้า เดือน มัดจำ เดือน ทั้งหมด 1,600 หยวน! ” เจ้าของห้องบอก

        ผมส่ายหน้า “โห แพงเกินไปหรือเปล่าครับเนี่ยสภาพห้องแบบนี้ราคา 400 หยวนเลยเหรอครับ? ”

        เจ้าของห้องได้ยินก็พูดต่อว่า “ที่นี่ก็ราคานี้แหละ นายไปที่อื่นก็ราคานี้ ราคานี้ไม่แพงเลยนะ นายลองคิดดูก็แล้วกันว่าจะเช่าหรือไม่เช่า ถ้าไม่เช่าฉันก็ให้คนอื่น”

        ผมขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างแล้วดึงผ้าม่านเปิดออก ทันใดนั้นก็เห็นสาวสวยนางหนึ่งยืนโป๊และกำลังร้องเพลงอยู่ในห้องซึ่งอยู่ตึกตรงข้ามพอดี

        ผมจึงหันกลับไปหาเจ้าของหออย่างรวดเร็ว “ผมเช่าที่นี่แหละ! ”

        ……

        เช้าวันต่อมาเมื่อตื่นขึ้นจากการหลับใหล ผมก็รีบแต่งตัวแล้วถือกระเป๋าใบเล็กออกจากห้อง ถือซะว่าที่นี่เป็นรังพักอาศัยชั่วคราวไปก่อนก็แล้วกัน!

        วันที่ 25 เดือนสิงหาคม เป็นวันเปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยหลิวหัว

        ตอนที่ผมเดินมาถึงหน้ามหาวิทยาลัย ก็พบว่ามีคนจำนวนมากมาถึงก่อนแล้ว

        ไม่นานเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น และแสดงเบอร์ของหัวหน้าหวาง เขาบอกให้ผมไปรอพบที่ฝั่งขวาของประตูมหาวิทยาลัย พอเจอกันผมก็เอ่ยปากถาม “หัวหน้าหวาง คนที่ผมต้องคุ้มกันเป็นคนยังไงกันแน่? ”

        หัวหน้าหวางยิ้มก่อนจะตอบกลับมา “ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ได้ยินมาว่าลูกสาวของหลินเทียนหนานสวยมากเลยละ สวยกว่าดาราสาวพวกนั้นอีกนะ! ”

        ผมพยักหน้า “ดีเลยครับ...”

        เพียงครู่เดียว รถลินคอล์นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับปรากฏร่างของหญิงสาวนางหนึ่งเดินเข้ามาด้านในพร้อมเหล่าบอดี้การ์ด และผู้ชายที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดนั้นผมจำได้เป็นอย่างดี เพราะนั่นคือหลินเฟิงที่เคยเจอก่อนหน้านี้

        ……

        กลุ่มฝูงชนถูกแหวกออกก่อนจะเผยให้เห็นร่างของหญิงสาวนางหนึ่งสวมกระโปรงตัวจิ๋วปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา มือกำลังลากกระเป๋าใบหนึ่ง ลมที่พัดมาทำให้ผมยาวของเธอปลิวไสว ใบหน้ารูปไข่ดึงดูดให้ผู้คนพากันจับจ้องด้วยความตกตะลึง เพียงครู่เดียวเธอก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนที่อยู่ในบริเวณ ทันใดนั้นดวงตาคู่สวยราวกับอัญมณีก็เบิกกว้างขณะจ้องมาที่ผม “นายเองเหรอเนี่ย”

        ตัวผมเกิดอาการสั่นเล็กน้อยพร้อมกับเสียงโอดครวญในใจ “เป็นเธอได้ไงเนี่ย... คนที่ฉันต้องคุ้มกันคือแม่เทพธิดาคัพ D34 หรือนี่? ... จบกัน...ชีวิตได้จบเห่ตรงนี้แหละ”

        หลินเฟิงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอ๋รู้จักกันด้วยเหรอหลี่เซียวเหยา นี่คือคนที่นายจะต้องเข้าเรียนด้วย นี่คือหลินหว่านเอ๋อร์ เป็นไข่มุกล้ำค่าของพี่ใหญ่ฉัน! หว่านเอ๋อร์ มาทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนใหม่ของหนูหน่อยสิ! ”

        หลินหว่านเอ๋อร์ลากกระเป๋าเดินมาด้านหน้าพร้อมกับกระโปรงสั้นที่สะบัดไปตามแรงลมจนเผยให้เห็นขาขาวๆ ผุดผ่องราวกับหิมะชวนให้หลงใหล ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยรอยยิ้มงดงาม เธอยิ้มพร้อมพูดกับผมว่า “ว่าไง หลี่เซียวเหยา ยินดีที่ได้เจอกันนะ...”

        เป็นประโยคที่ฟังเหมือนจะดูดี แต่ผมรู้สึกได้ว่ามันเป็นน้ำเสียงที่แฝงด้วยความอาฆาตแค้น แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเดือนสิงหาคมที่ร้อนโคตรๆ แต่ผมพลันรู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง ให้ตายเถอะ ผมต้องตายแน่ๆ!

        ……

        ผมพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ยินดีที่ได้เจอครับ หว่านเอ๋อร์...”

        “ไปลงทะเบียนเรียนกันเถอะ...”

        เธอยื่นมือมาจับคอเสื้อของผมก่อนจะลากตัวไปยังจุดลงทะเบียน ในเวลาเดียวกันก็แอบมองมาที่กระเป๋าสีดำในมือของผมซึ่งห่อเสี่ยวเฮยเอาไว้ “นี่อะไรน่ะ? ”

        “เพื่อนกินข้าวของผมครับ”

        “อืม...”

        แม่สาวคัพ D34 ยิ้มก่อนจะหันไปโบกมือให้บอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหลัง “เอาละ ไม่มีอะไรแล้ว พวกนายกลับไปเถอะ ลุงสามคะ ลุงเองจะกลับเลยก็ได้ค่ะ”

        หลินเฟิง หัวหน้าหวาง และคนอื่นๆ พากันออกไปดื่มน้ำชา ในขณะที่ผมถูกหลินหว่านเอ๋อร์ลากมายังจุดลงทะเบียน ผมซึ่งไม่เคยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมาก่อน จึงดูเหมือนว่าเธอจะเป็นฝ่ายจัดการดูแลเรื่องให้ผม

        ……

        เมื่อไปถึงจุดลงทะเบียน หลินหว่านเอ๋อร์ก็ยื่นใบสมัครก่อนพูดขึ้นว่า “แผนกภาษาจีน หลินหว่านเอ๋อร์ แล้วก็... แผนกภาษาจีน หลี่เซียวเหยา...”

        ทันใดนั้นอาจารย์ที่นั่งรับใบสมัครก็เงยหน้าขึ้นและอ้าปากค้างจนน้ำลายหก “อ้อ นักศึกษาคนสวย ของเธอถูกจัดให้อยู่ที่หอหญิงหมายเลข นะ เดี๋ยวอาจารย์พาไปดีไหม? ”

        หลินหว่านเอ๋อร์ยิ้มก่อนจะหรี่ตา “ไม่เป็นไรค่ะ ของหลี่เซียวเหยาอยู่หอพักชายหมายเลขอะไรคะเดี๋ยวให้เขาไปพร้อมกับฉันก็ได้ค่ะ ฉันหาทางไปเองได้...”

        อาจารย์เช็ดน้ำลาย “หลี่เซียวเหยาอยู่หอพักชายหมายเลข หอของพวกเธออยู่ห่างกันไม่มาก”

        “ขอบคุณค่ะอาจารย์...”

        “นักศึกษาหลินหว่านเอ๋อร์คนสวย ทิ้ง QQ ไว้สักหน่อยสิ...”

        ……

        เมื่อเข้ามาในหอพักนักศึกษาหญิงแล้ว พบว่าห้องพักของหลินหว่านเอ๋อร์นั้นอยู่ชั้น ซึ่งตอนนี้เธอยังพักอยู่คนเดียว ผมถือกระเป๋าสองใบขึ้นมาที่ชั้น หลังจากวางของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมก็พูดขึ้นว่า “คุณหนู คุณน่าจะทิ้งเบอร์ไว้ให้ผมหน่อยนะ เวลามีอะไรจะได้ติดต่อกันได้สะดวก”

        “ได้สิ”

        หลังจากแลกเบอร์กันแล้ว หลินหว่านเอ๋อร์ก็เปิดกระเป๋าหยิบหมวกเกมออกมาสองใบ ใบหนึ่งสีขาว อีกใบสีแดง เธอยื่นหมวกใบสีแดงมาให้ผมแล้วพูดว่า “เอาไป... นี่ของนาย”

        ผมตกตะลึงไปทันที “นี่... นี่มันหมวกเกมของ Destiny นี่...”

        หลินหว่านเอ๋อร์เอ่ยเสียงเรียบ “พ่อบอกให้นายมาเล่นเกมนี้ เพื่อช่วยจับตาดูฉันที่อีกโลกหนึ่งด้วย ที่ฉันพูดนายน่าจะเข้าใจนะ? ”

        ผมพยักหน้าก่อนรับหมวกมา “คุณหนู เกลียดผมหรือเปล่า? ”

        หลินหว่านเอ๋อร์กัดริมฝีปากจ้องมองมาที่ผมพร้อมกับกอดอกจนทำให้เนินเขาสองลูกปูดออกมาอย่างเห็นได้ชัด เธอยิ้มก่อนจะตอบกลับมาว่า “คำถามนี้… ฉันไม่รู้ควรจะตอบว่าอะไรดี แต่หลังจากนี้ฉันจะหาคำตอบมาให้นายแล้วกัน นายกลับไปที่หอของนายเถอะ”

        ……

        หลังจากเดินลงมาจากหอหญิงพร้อมกับหมวกใบสีแดงที่อยู่ในมือซึ่งเป็นรุ่นวีไอพี ใจของผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเริงร่าราวกับดอกไม้ผลิบาน ให้ตายเถอะ ไม่สนหรอกว่าจะเกลียดหรือไม่เกลียด ยังไงตอนนี้เส้นทางในการเล่นเกม Destiny ของผมก็ไม่มีใครมาขัดขวางได้อีกแล้ว!

         

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 2 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 16.04 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
5 เมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 13.51 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 5 อาชีพหลักทั้ง 9 อาชีพ 

 

        บ่ายวันนั้นผมพูดโทรศัพท์กับหลินเทียนหนาน โดยประเด็นในบทสนทนาก็ไม่มีอะไรมาก แค่ให้ผมตามติดหลินหว่านเอ๋อร์ไว้ให้ดี ที่สำคัญอีกอย่างคือ ถ้ามีผู้ชายคนไหนเข้ามาจีบลูกสาวที่รักของเขา ก็ให้ผมจัดการคนพวกนั้นได้ทันที หรือไม่ก็แจ้งให้เขาทราบ และแน่นอนว่าประโยคสุดท้ายที่เขาเน้นก็คือห้ามไม่ให้ผมคิดเกินเลยกับหลินหว่านเอ๋อร์เด็ดขาด อันที่จริงไม่เห็นจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้เลย เพราะผมว่าเธอก็ไม่ได้สนใจอะไรผมอยู่แล้ว แต่พอคิดแบบนี้ก็อดเจ็บปวดหัวใจไม่ได้

        หอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยหลินหัวถือว่าไม่เลวเลย ห้องหนึ่งพักได้ 2 คน โดยมีข้าวของเครื่องใช้ทั่วไปตระเตรียมไว้ให้แล้ว หลังจากที่นั่งกวาดตามองดูสภาพห้อง ผมก็เข้าใจทันทีว่าทำไมหัวหน้าหวางถึงได้รู้สึกเจ็บปวดกับค่าเทอมนัก ที่นี่ค่าเทอมย่อมไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นหยวนแน่ๆ

        ……

        พลบค่ำผมเดินมารอที่ใต้หอพักหญิงหมายเลข 1 ไม่นานหลินหว่านเอ๋อร์ก็ลงมาจากห้องพร้อมกับหญิงสาวสวมเดรสสีเขียว ซึ่งเป็นคนที่สวยมากทีเดียว อย่างน้อยก็มากพอจะเป็นจุดสนใจของผู้พบเห็น แต่น่าเสียดายที่ดันมายืนอยู่ข้างหลินหว่านเอ๋อร์ผู้งดงามจนไม่อาจหาใครมาเทียบ ผมยืนมองอยู่ไกลๆ ก่อนถอนหายใจออกมา เด็กผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะเลือกคบเพื่อนผิดคนเสียแล้ว

        หลังจากที่สองสาวเดินมาอยู่ตรงหน้า หลินหว่านเอ๋อร์ก็มองมาที่ผมพร้อมกับพูดว่า “ไปเถอะ ไปกินข้าวกัน”

        ผมไม่ได้พูดอะไร สถานะของผมคอยย้ำเตือนอยู่เสมอว่าเป็นเพียงบอดี้การ์ดที่ผู้ว่าจ้างจ้างให้มาดูแลเธอเท่านั้น และภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ผมก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรนัก

        ทว่าสาวสวยที่อยู่ข้างหลินหว่านเอ๋อร์กลับมองมาที่ผมด้วยสายตาประหลาดใจ เธอยื่นมือมาด้านหน้าพร้อมกับยิ้มแล้วพูดว่า “นายคือหลี่เซียวเหยาที่หว่านเอ๋อร์พูดถึงสินะ? หว่านเอ๋อร์บอกฉันแล้วละ ฉันเป็นรูมเมตของหว่านเอ๋อร์ ชื่อตงเฉิงเยว่นะ ยินดีที่ได้รู้จัก”

        ผมยื่นมือออกไปทักทายพร้อมกับยิ้มให้ “ยินดีที่ได้รู้จักนะตงเฉิง”

        “นายอายุเท่าไรเหรอ? ” ตงเฉิงเยว่ถามด้วยความสงสัย

        ผมสะดุ้งเล็กน้อย “21...”

        “ฉันดูออกนะ นายคงไม่ได้อายุ 21 จริงๆ หรอก” เธอยังคงพูดด้วยน้ำเสียงซุกซนแล้วเอียงคอมองผม

        ผมกำหมัดแน่น “ก็ได้ๆ ฉันอายุ 23 แล้ว...”

        “ไม่ใช่หรอก ดูก็รู้ว่านายเป็นผู้ปกครองที่มาส่งลูกเข้าเรียนต่างหากล่ะ...”

        ตงเฉิงเยว่ยังคงเล่นตลกไม่เลิกจนทำให้หลินหว่านเอ๋อร์หัวเราะออกมา “พอแล้วเสี่ยวเยว่ เลิกแกล้งเขาสักที แกล้งคนน่าเบื่อแบบนี้มันสนุกตรงไหนเนี่ย? รีบไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวต้องกลับไปเตรียมตัวอีก พรุ่งนี้เที่ยงเกม Destiny จะเปิดเซิร์ฟเวอร์แล้วด้วย ยังไงก็ต้องเป็นผู้เล่นอันดับแรกๆ ของเกมนี้ให้ได้! ”

        ตงเฉิงเยว่หัวเราะออกมา “โอเคๆ แต่ฉันรู้สึกว่าหลี่เซียวเหยาน่าสนใจมากเลยน้า...”

        ผมยิ้ม “ตงเฉิงพูดเกินไปแล้ว… ว่าแต่พวกเราจะไปกินข้าวที่ไหนกันเหรอ? ”

        “ไปแคนทีน 1 ก็แล้วกัน”

        “อื้อ”

        ……

        สองสาวเดินนำหน้าพร้อมกับพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องภายในมหาวิทยาลัยด้วยท่าทีกระตือรือร้น ทั้งคู่พูดพลางหัวเราะพลาง ในที่สุดหลินหว่านเอ๋อร์ก็ยิ้มออกมาสักทีสินะ... ผมที่แอบมองจากด้านข้างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจเต้นขึ้นมา เมื่อเห็นรอยยิ้มของเธอ

        ภายในแคนทีน 1 พวกเราเลือกนั่งโต๊ะแบบเก้าอี้เดี่ยว 4 ตัว สองสาวนั่งตรงข้ามกัน ขณะที่ผมนั่งคนเดียว ทั้งคู่สั่งอาหารแบบตะวันตกมา ส่วนผมสั่งข้าวผัดไข่ 2 จานกับซุปปู 1 ถ้วย หลินหว่านเอ๋อร์ใช้บัตรทองรูดซื้ออาหาร ทำให้ผมไม่ต้องจ่ายเอง อืม... โชคดีจังที่เป็นบอดี้การ์ด แถมยังไม่ต้องเสียเงินซื้ออาหารเองด้วย อย่างน้อยผมจะได้เก็บเงินเดือนเพื่อซื้อหมวกเกม 3 ใบ จะได้ให้เสี่ยวหลาง เหล่าเค และหูหลีเข้ามาเล่นเกมด้วยกัน แล้วกลับมาสร้างกิลด์จ่านหลงเพื่อกอบโกยชื่อเสียงของกิลด์อีกครั้ง!

        แค่กๆ อันที่จริงกิลด์จ่านหลงเองก็ไม่เคยมีชื่อเสียงหรือผลงานโดดเด่นอะไรหรอก...

        “เซียวเหยา...” ตงเฉิงเยว่มองมาที่ผมก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้น “ฉันได้ยินหว่านเอ๋อร์บอกว่านายเองก็มีหมวกเกมเหมือนกัน นายจะเข้าไปดูแลหว่านเอ๋อร์ในเกมด้วยใช่ไหม? ”

        ผมพยักหน้า “อื้อ เลขหมวกของฉันคือ 000747 ถือว่าเป็นลำดับต้นๆ เลยล่ะ”

        หลินหว่านเอ๋อร์เบ้ปากก่อนจะพูดว่า “พ่อฉันให้คนไปยืนรอต่อแถวข้ามคืนเพื่อที่จะได้หมวกนี้มา แน่นอนว่ามันต้องอยู่อันดับต้นๆ อยู่แล้วละ อันที่จริงหมวกนั่นจะเอาไปให้คนอื่น แต่เขากลับซื้อเองแล้ว นายก็เลยโชคดีได้มันไป”

        ตงเฉิงเยว่ยิ้ม “นี่เซียวเหยา ก่อนหน้านี้นายเคยเล่นเกมหรือเปล่า? ”

        ผมยกนิ้วชี้ขึ้นมา “ตอนปี 2014 ที่มีเกม ‘Conquer Online’ ที่ขึ้นชื่อว่ามีความเสมือนจริง 27% ตอนนั้นฉันก็เคยเล่นอยู่ช่วงหนึ่ง”

        “จริงดิ? ” ตงเฉิงเยว่เบิกตากว้างก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันเองก็เคยเล่นเหมือนกัน แล้วตอนนั้นนายใช้ชื่อว่าอะไร? แล้วถูกจัดอยู่อันดับที่เท่าไร? ”

        ผมตอบกลับไปด้วยความภาคภูมิใจ “ขื่อ ID ฉันจำไม่ได้แล้ว แต่ถูกจัดอยู่อันดับที่ 3,970,000”

        ตงเฉิงเยว่ได้ยินก็ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “แต่เท่าที่ฉันรู้มา เกมนี้มีคนเล่นทั้งหมดประมาณ 5 ล้านคน แต่นายถูกจัดอยู่อันดับที่ 3 ล้านกว่า... แสดงว่านายก็อยู่อันดับท้ายๆ เลยน่ะสิ? ”

        ผมพยักหน้า “ก็ประมาณนั้น...”

        หลินหว่านเอ๋อร์แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา “เฮ้อ งั้น... ก็แปลว่าหมวกวีไอพีของฉันที่ให้นายไปก็เปล่าประโยชน์น่ะสิ? น่าเสียดายชะมัด...”

        ตงเฉิงเยว่ยิ้มก่อนจะตบบ่าของหลินหว่านเอ๋อร์เบาๆ “ทุกคนต่างก็ต้องเคารพซึ่งกันและกันนะ เธอจะพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก... นี่เซียวเหยา... งั้นหลังจากนี้พวกเรามาเล่นเกมด้วยกันนะ ว่าแต่นายวางแผนไว้หรือยังล่ะ? ในเกมมี 5 เผ่าพันธุ์และ 9 อาชีพ นายคิดไว้หรือยังว่าจะเลือกสายไหน? ”

        ผมเกิดอาการเสียหลัก “เอ่อ... ที่จริงฉันยังไม่ได้ศึกษาข้อมูลเลย”

        หลินหว่านเอ๋อร์แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา “อะไรเนี่ย! นายยังไม่เคยศึกษาข้อมูล แต่ดันรับหมวกของฉันไปเล่นเนี่ยนะ? ”

        ผมหรี่ตาก่อนจะจ้องไปที่สาวงามตรงหน้าพร้อมกับยิ้ม “ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่ เข้าเกมไปแล้วอ่านข้อมูลจากเมนูก็รู้แล้วว่าต้องเลือกยังไง นี่ตงเฉิง เธอบอกหน่อยสิว่ามีเผ่าพันธุ์กับอาชีพอะไรบ้าง? ”

        ตงเฉิงเยว่ซึ่งเป็นคอเกมตอบกลับมาทันที “ในเกมมีทั้งหมด 5 เผ่าพันธุ์ คือ มนุษย์ เอลฟ์แห่งสายลม บาร์บาเรียน อันเดธ และเอลฟ์แห่งจันทรา ในบรรดาเผ่าพันธุ์เหล่านี้ พละกำลังของบาร์บาเรียนจะสูงที่สุด ถ้าเป็นเอลฟ์สายลมจะเด่นในเรื่องการโจมตีระยะไกล เอลฟ์จันทราจะเก่งในเรื่องการต่อสู้ระยะยาว อันเดธจะมีพลังโจมตีเพิ่มขึ้นสูงถึง 15% ส่วนมนุษย์อยู่ในระดับกลางๆ แต่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะเหมาะกับทุกสายอาชีพ”

        ผมพยักหน้า “แล้วอาชีพล่ะ? ”

        ตงเฉิงเยว่กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดต่อว่า “สายอาชีพมีทั้งหมด 9 อาชีพ คือ นักดาบ นักเวท เบอร์เซิร์กเกอร์ อัศวิน แอสซาซิน ฮีลเลอร์ นักแม่นปืน นักธนู แล้วก็พระ นายเองเคยเล่นเกมมาก่อนก็คงจะรู้เกี่ยวกับจุดเด่นของแต่ละอาชีพแล้ว อ้อ จริงสิ ฉันยังไม่ได้ถามนายเลยว่านายอยากจะเลือกสายไหน? ”

        ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะพูดขึ้นว่า “ง่ายมาก... ฉันจะเลือกอาชีพที่เป็นสายซัพพอร์ตที่สามารถฮีลเลือดได้... ฉันก็เลยคิดว่าอาจจะเล่นเป็นฮีลเลอร์”

        ตงเฉิงเยว่ยิ้มกว้าง “อืม ฮีลเลอร์สามารถที่จะฮีลคนอื่นได้ และเป็นสายอาชีพที่คนนิยมเล่นกัน ตอนแรกฉันคิดว่านายจะเลือกอาชีพนักดาบ อัศวิน หรือไม่ก็พวกเบอร์เซิร์กเกอร์เสียอีก ได้ยินว่าพวกผู้ชายที่หยิ่งผยองในชั้นเรียนเลือกอาชีพพวกนี้กันทั้งนั้นเลย”

        พูดจบตงเฉิงเยว่ก็มองไปที่หลินหว่านเอ๋อร์ “นี่หว่านเอ๋อร์ เขาเป็นผู้ชาย แต่ยอมเล่นอาชีพฮีลเลอร์เพื่อซัพพอร์ตเธอเลยนะ เธอน่าจะแต่งงานในเกมกับเขาน้า...”

        หลินหว่านเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “อยากแต่งเธอก็แต่งเองสิ ฉันไม่สนใจหรอก อืม แต่ถ้านายเลือกอาชีพฮีลเลอร์ ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่านายจะเก็บเลเวลช่วงแรกได้ยังไง เหอะๆ ผู้ชายเลือกอาชีพฮีลเลอร์... น่าสนใจจริงๆ! ”

        ผมเข้าใจความหมายของหลินหว่านเอ๋อร์ดี อาชีพฮีลเลอร์นั้นไม่มีพลังในการโจมตี ช่วงแรกๆ จึงจำเป็นต้องมีคนพาไปเก็บเลเวลก่อน หากผู้หญิงเลือกอาชีพฮีลเลอร์ละก็ แค่พวกเธอยืนอยู่ที่หมู่บ้านเริ่มต้นแล้วเรียก ‘พี่ชาย พาหนูไปเก็บเลเวลหน่อยสิ’ ด้วยเสียงหวานๆ ย่อมไม่มีทางที่คนจะปฏิเสธแน่ แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็อย่าหวังเลย ถ้าไม่ได้เกิดมาหน้าตาหล่อเหลาเหมือนโอปป้าเกาหลีละก็ เชิญเก็บเลเวลไปคนเดียวเถอะ!

        แต่... ผมเตรียมใจไว้แล้ว และผมก็ไม่กลัวอะไรด้วย...

        ผมจึงตอบหลินหว่านเอ๋อร์ไปด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีปัญหาหรอก ผมจัดการได้”

        หลินหว่านเอ๋อร์เม้มริมฝีปากโดยไม่พูดอะไร แต่ดูเหมือนเธอจะรู้สึกขุ่นเคืองเขาอยู่ไม่น้อย

        ตงเฉิงเยว่กลับพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ฉันคิดไว้แล้วว่าจะเล่นอาชีพนักเวท เป็นอาชีพที่มีการส่งกำลังออกไปได้อย่างรุนแรง และนี่เป็นจอมเวทของเกม Destiny เลยนะ ส่วนหว่านเอ๋อร์จะเลือกเล่นแอสซาซิน อาชีพของพวกเรามีการผสานกันระหว่างการโจมตีระยะไกลและระยะใกล้ ทำให้เก็บเลเวลง่ายมากๆ เลย ถ้าเป็นแบบนี้พวกเราก็คงจะไปถึงลำดับต้นๆ ได้ในไม่ช้า”

        ผมพยักหน้า “อื้อ ขอให้โชคดีนะ”

        ……

        หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเราก็เดินออกมาจากแคนทีนเพื่อกลับหอพัก ภายในมหาวิทยาลัยมีคนจำนวนไม่น้อยเดินขวักไขว่ไปมา

        และไม่กี่นาทีต่อมาก็มีชายคนหนึ่งชี้มาที่พวกผมอย่างกับเห็นผีแล้วตะโกนลั่น “ฉัน... ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม? ผะ... ผู้หญิงคนนั้น... ใช่หลินหว่านเอ๋อร์หรือเปล่า? ใช่ดาราดังที่ประกาศออกจากวงการบันเทิงเมื่อ 5 เดือนก่อนใช่ไหม?! ”

        จากนั้นผู้ชายอีกจำนวนหนึ่งก็รีบวิ่งมาดูก่อนจะพยักหน้ายืนยัน “ใช่! หลินหว่านเอ๋อร์จริงๆ ด้วย! พระเจ้า! คิดไม่ถึงเลยว่าหลินหว่านเอ๋อร์จะอยู่มหา’ลัยหลินหัว โชคดีชะมัดเลย! ”

        พวกผู้ชายต่างรีบก้าวเท้ามาด้านหน้าและหนึ่งในนั้นก็ตะโกนขึ้นว่า “เธอคือหลินหว่านเอ๋อร์ใช่ไหม? พวกเรา... พวกเราขอถ่ายรูปด้วยได้ไหม? พวกเราเป็นแฟนตัวยงของเธอเลยนะ แล้วก็ชอบเพลง Heart of Time ของเธอมากที่สุดเลย”

        ทว่าหลินหว่านเอ๋อร์กลับพูดขึ้นเบาๆ ว่า “โทษทีนะ ตอนนี้ฉันออกจากวงแล้ว และฉันก็อยากจะเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาๆ ...”

         “ฟึบ! ”

        ผมพุ่งตัวไปยืนขวางด้านหน้าหลินหว่านเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะกางมือออกเพื่อกันผู้ชายพวกนั้นออกไป “โทษทีนะ คุณหนูหว่านเอ๋อร์ต้องการความเป็นส่วนตัว ช่วยให้เกียรติอีกฝ่ายด้วย”

        ทันใดนั้นเสียงชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นด้วยความโมโห “แกเป็นใครวะ? แม่งเอ๊ย แกมีสิทธิ์พูดอะไรที่นี่ด้วยเหรอวะ? ไสหัวออกไป! ”

        ผมไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น แต่มือของผมเกิดอาการสั่นขึ้นมา 'ปั้ก' เสียงถอยหลังกรูดของผู้ชายพวกนั้นซึ่งดูท่าทางตกใจโดยไม่รู้ตัวเลยว่าถูกผลักออกมาได้อย่างไร

        ขณะที่ผมยืนอยู่ที่เดิมด้วยอาการนิ่งสงบ ไม่พูดอะไรเลย ห้ามไม่ให้ใครเข้าใกล้หลินหว่านเอ๋อร์เด็ดขาด นี่เป็นคำสั่งของหลินเทียนหนาน

        ตงเฉิงเยว่ที่ยืนอยู่ด้านหลังหัวเราะออกมาเบาๆ “คิคิ เซียวเหยานี่ไม่เลวเลยน้า...”

        “รีบกลับหอเถอะ” ผมพูดขึ้น

        “อื้อ”

        ตอนที่หลินหว่านเอ๋อร์ยืนอยู่ใต้หอหญิง เธอก็หันมามองผมก่อนจะพูดว่า “นี่หลี่เซียวเหยา มื้อเช้ากับมื้อเที่ยงพรุ่งนี้ฉันให้คนขึ้นมาส่งแล้ว นายไม่ต้องมารอพวกฉันนะ ตอนเที่ยงเกมจะเปิดเซิร์ฟเวอร์ นายอย่าทำให้ฉันขายหน้าก็แล้วกัน...”

        “ครับ” ผมพยักหน้า

        เมื่อเห็นว่าหลินหว่านเอ๋อร์เดินขึ้นห้องไปแล้ว ผมก็เดินกลับหอตัวเอง ระหว่างที่กำลังเดินผ่านถนนเล็กๆ ผมเอามือเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผาก ไม่รู้เลยว่าเธอเคยทำอะไรมาก่อนถึงได้มีแฟนคลับเยอะขนาดนั้น ดูเหมือนว่าเส้นทางหลังจากนี้คงไม่ง่ายแล้วสิ!

        ……

        เมื่อกลับมาถึงห้องนอนผมก็ผลักประตูเข้าไป ก่อนจะเห็นโน้ตบุ๊กซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ตรงข้ามเตียงของผมมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาคงจะเป็นรูมเมตของผมสินะ

        รูมเมตเงยหน้ามองผมผ่านแว่นหนา ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมา “นายคือหลี่เซียวเหยา รูมเมตของฉันสินะ? ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อถางกู่ นายจะเรียกฉันว่าอากู่ก็ได้”

        ผมพยักหน้า “อื้ม หวัดดีเจ้าแว่น ยินดีที่ได้รู้จัก”

        “รบกวนช่วยเรียกชื่อฉันด้วย ฉันชื่อถางกู่! ”

        “โอเคได้เลย เจ้าแว่น”

        เจ้าแว่นนี่ดูๆ แล้วอายุน่าจะเกิน 25 แน่ๆ ดูจากรอยหยักบนหน้าผาก นี่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องใช้เงินมากขนาดไหนถึงเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยนี้ได้

        เจ้าแว่นลากเก้าอี้มานั่งก่อนที่จะแสดงสีหน้าตื่นเต้น เขายิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เมื่อกี้... ตอนที่ฉันอยู่แคนทีน ฉันเห็นนายนั่งอยู่กับหลินหว่านเอ๋อร์ด้วย พวกนายเป็นอะไรกันเหรอ? จุ๊ๆ นายนี่โชคดีชะมัด รู้จักกับหลินหว่านเอ๋อร์ด้วย”

        “โชคดีตรงไหน? ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงงุนงง “หลินหว่านเอ๋อร์เป็นใครกันแน่? ”

        “ให้ตายเถอะ! ”

        เจ้าแว่นตบโต๊ะ “นี่นายไม่รู้เหรอว่าเมื่อ 2 ปีก่อนตอนที่หลินหว่านเอ๋อร์อายุ 17 ปีเธอเข้าวงการด้วยเพลง Heart of Time ดังไปทั่วเอเชียเลยนะ แถมเธอยังมีฉายาว่านางฟ้าด้วย เป็นนางฟ้าในดวงใจของผู้ชายหลายคนเลยนะเว้ย! แต่น่าเสียดายชะมัดที่เมื่อ 5 เดือนก่อนเธอประกาศถอนตัวจากวงการบันเทิง ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ หลินหว่านเอ๋อร์จะมาเรียนที่มหา’ลัยหลินหัว”

        ผมตกตะลึง “ที่แท้เธอก็เป็นนักร้องเหรอเนี่ย? ”

        เจ้าแว่นกระอักเลือดออกมาใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์

         

         

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 16.05 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
6 เมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.15 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 6 พี่เซียวเหยาครองยุทธภพ 

 

        วันถัดมาเวลา 11 โมงตรง ยังเหลืออีก ชั่วโมงก่อนที่เกม Destiny จะเปิดเซิร์ฟเวอร์ให้เข้าใช้บริการ ผมกินข้าวเที่ยงล่วงหน้าก่อนจะนั่งอยู่ในห้องกับเจ้าแว่นเพื่อรอเวลาเริ่มเล่นเกม ขณะเดียวกันเจ้าแว่นก็ถูกผมซักไซ้ไล่เลียงถึงประวัติความเป็นมา เจ้าแว่นเป็นผู้ประกอบการในตลาดมืดออนไลน์หลายสาขาซึ่งมีรายได้หลายหมื่นหยวนต่อเดือน และหมอนี่ยังจ่ายเงินถึง ล้านหยวนในการเข้ามาเรียนที่นี่เพื่อจะอัปให้เป็นผู้ทรงความรู้ แต่ดูๆ แล้วเจ้านี่คงจะกินๆ เล่นๆ ไปกับผมถึง ปีก่อนจะออกไปเน่าตายอยู่ในสังคมข้างนอกเหมือนกับผมนั่นแหละ

        บนโต๊ะหนังสือมีนิตยสารเกม Destiny วางกองอยู่ ในนั้นมีข้อมูลเกมจำนวนมาก ผมพลิกดูครู่หนึ่งแต่ก็ยังไม่เจอจุดที่น่าสนใจ ทว่าในส่วนของการวางแผน มีผู้วางแผนหลัก คน และฝ่ายผู้ช่วย คน นอกจากนี้ยังมีผู้วางแผนคนอื่นๆ อีกมากกว่า 150 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีชื่อของหลินเฉิงที่เขาคุ้นตาอยู่ด้วย

        ร่างของเขาสั่นขึ้นมาก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่ง... หรือจะเป็นตาแก่นั่น?!

        เก้าอี้ถูกลากอย่างรวดเร็วก่อนที่ผมจะเปิดคอมพิวเตอร์ของถางกู่แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าแว่น ขอยืมคอมฯ หน่อยนะ! ”

        “หืม จะทำอะไรน่ะ? ” เจ้าแว่นตกใจ “ให้ตายเถอะ อย่ารุนแรงนักสิวะ ว่าแต่นายเป็นอะไรเนี่ย? ”

        ผมรีบเปิดหน้าเว็บไซต์แล้วเสิร์ชคำว่า 'Destiny+หลินเฉิงลงในช่องค้นหา หลังจากนั้นจึงพบว่าหลินเฉิงเป็นหนึ่งในคนสำคัญที่วางระบบเกม โดยมีหน้าที่รับผิดชอบการวางแผนเชิงลึก ในเวลาเดียวกันก็แสดงผลภาพใบหน้าของเขาขึ้นมาด้วย ทันทีที่เห็นภาพของเจ้านั่นผมถึงกับยิ้มไม่ออก ใช่เขาจริงด้วย เป็นตาแก่นั่นจริงๆ

        เจ้าแว่นมองมาที่ผมด้วยความงุนงง “นี่ เป็นอะไรไปน่ะหลินเฉิง... นายรู้จักเขาด้วยเหรอ? ”

        ผมส่ายหน้าโดยไม่พูดอะไรออกมา จะไม่รู้จักได้ยังไงล่ะตั้งแต่ผมอายุ 14 จนถึง 19 ผมก็ฝึกวิทยายุทธ์อยู่กับเขาตลอด ตอนนี้ตาแก่นั่นกลายเป็นคนวางแผนหลักให้กับเกมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดนี้แล้วหรือนี่?

        ผมขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะพูดขึ้นว่า “นี่เจ้าแว่น เกมนี้ทำไมถึงได้มีคนแก่มารับผิดชอบในการวางแผนด้วยล่ะฉันไม่เข้าใจเลย...”

        เจ้าแว่นยิ้ม “นายนี่ไม่รู้อะไรเลยนะ เกมนี้ได้ถูกประกาศออกมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจุดขายหลักของมัน คือการเสาะหาผู้มีชื่อเสียงระดับโลกในแต่ละสายอาชีพมารวมกันเพื่อร่วมออกแบบเกม ไม่ว่าจะเป็นช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุดในโลก นักยิงธนูที่แม่นที่สุดในโลก รวมไปถึงคนเก่งด้านวิทยายุทธ์ก็ถูกชวนให้มาอยู่ในเกมด้วยเหมือนกัน เรียกได้ว่าเกมนี้ทำออกมาได้เหมือนจริงที่สุดแล้วในตอนนี้ แถมยังมีความก้าวหน้าในด้านของทัศนคติและจิตวิญญาณ ในเวลาเดียวกันมันยังสามารถสร้างสกิลและเทคนิคการต่อสู้ของนายเองได้ด้วย ถือเป็นสวรรค์ของเหล่าเกมเมอร์เลยละ”

        “สร้างสกิลและเทคนิคการต่อสู้ของตัวเองได้งั้นเหรอ...” ผมพึมพำออกมาเบาๆ

        “มีอะไรหรือเปล่า พึมพำอะไรของนาย เห็นผีหรือไง? ” เจ้าแว่นสะกิดผมด้วยหมัด

        ผมส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม “เปล่า เตรียมตัวเข้าเกมกันเถอะ”

        “อื้อ รอพี่เวลสูงๆ ก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะพาน้องไปเก็บเลเวลเอง! ”

        “พาฉันไปกับเตี่ยแกดิ นายระวังอย่าให้โดนมอนสเตอร์ฆ่าตายก็พอ ข้อมูลในเกมเขียนบอกไว้แล้วว่ามอนสเตอร์ของเกมนี้โหดมาก ถ้าเกิดตายครั้งหนึ่งก็จะทำให้เลเวลลดลงไปด้วย นายระวังตัวด้วยแล้วกัน”

        “รู้แล้วน่า ฉันถูกจัดอยู่อันดับที่ 7,000 กว่าในเกม ‘Conquer Online’ เลยนะ ทำไมฉันจะจัดการกับเกมนี้ไม่ได้? ”

        “โม้ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ...”

        ผมเบ้ปาก ในเวลาเดียวกันก็นึกถึงสิ่งที่ตงเฉิงเยว่พูดไว้ ตอนที่เธอเล่นเกม ‘Conquer Online’ เธอถูกจัดอยู่ลำดับที่ 79 ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก ขณะที่ดูเหมือนว่าหลินหว่านเอ๋อร์จะมีระดับที่สูงกว่าตงเฉิง คนพวกนี้คงหมดเงินไปกับเกมเยอะมากแน่ๆ ถึงได้เก่งกันขนาดนี้

        ……

        เวลา 11.50 หลังจากที่สวมหมวกเกมแล้ว มันก็เริ่มสแกนม่านตาก่อนจะเริ่มยืนยันตัวตน และแน่นอนว่ามันยังไม่มีข้อมูลของผม ทำให้ผมต้องสร้างตัวละครขึ้นมาใหม่ ตรงหน้าผมมีเพียงหน้าจอสีดำ และตัวเลขที่เริ่มนับถอยหลัง โดยที่ยังไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ในขณะนี้

        หลังจากรออยู่ 10 นาทีเขาก็ได้ยินเจ้าแว่นพูดขึ้นมาว่า ถ้าใครเข้าเกมนี้ได้เป็นคนแรกจะได้รับรางวัลด้วย

        แต่ผมไม่สนใจของพวกนั้นหรอก เพราะผมจะขอใช้เวลาไปกับการปรับแต่งตัวละครของผมให้ดูดีเสียก่อน แล้วค่อยสานฝันให้เป็นจริงในเกม... หาแฟนให้ได้ยังไงล่ะ

        “3”

        “2”

        “1”

        ในที่สุดหลังจากเสร็จสิ้นการนับเวลาถอยหลัง เกมก็เปิดให้เข้าใช้บริการ ฉากตรงหน้าพลันสว่างขึ้นก่อนจะเผยให้เห็นภาพซากปรักหักพังของตัววิหาร และลูกไฟลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า ผมได้ยินเสียงควบม้ารวมถึงลูกธนูนับพันที่บินผ่านหน้าไป ก่อนจะตัดภาพไปยังสนามรบที่อยู่ด้านล่างภูเขา มีต้นไม้แข็งแกร่งยืนตระหง่านอยู่ ข้างใต้พบร่างของเหล่าอัศวินที่กระเด็นออกมาพร้อมกับเลือดกระเซ็นสาดไปทั่ว มีกลุ่มบาร์บาเรียนเขี้ยวแหลมยาวที่มาพร้อมกับขวานรบในมือและแผดเสียงคำรามก้องเยี่ยงสัตว์ร้าย

        บนยอดเขามีสาวงามนางหนึ่งสวมชุดเกราะมิดชิดนั่งอยู่ ดวงตาคู่งามของเธอหรี่มองสนามรบตรงหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน ขาเรียวยาวนั้นกระโจนลงไปในสนามรบพร้อมกับแขนที่อ้าออก 'ฟึบร่มสีเลือดขนาดใหญ่ถูกกางออกก่อนที่ความเร็วบนร่างนั้นจะชะลอ ทันใดนั้นดาบของเธอก็ปรากฏขึ้นก่อนจะกวาดลงไปที่ด้านล่าง

         “เคร้ง! ”

        ดาบของเธอที่ฟันลงไปบนร่างของกลุ่มบาร์บาเรียนทำให้พวกมันแหลกเป็นชิ้นๆ มุมปากของหญิงสาวกระตุกเผยรอยยิ้มเย็น ท่ามกลางสนามรบเธอยังคงฟันดาบออกไปไม่หยุด ยามนี้ตัวเธอกำลังถูกแผดเผาและรายล้อมไปด้วยเปลวไฟคุกรุ่น

         “ย้าก!!! ”

        เสียงคำรามดังออกมาพร้อมกับร่างยักษ์ที่กระโจนใส่ มันคือบาร์บาเรียนซึ่งเป็นนักรบผู้กล้าคนหนึ่ง กำลังถือขวานทองคำที่มีเปลวไฟลุกเป็นประกาย จู่โจมมาที่ร่างของหญิงสาว

        ด้วยสายตาอันว่องไวของหญิงสาว เธอกระโดดหลบไปด้านหลัง ในเวลาเดียวกันก็ดึงร่มสีเลือดออกมาก่อนจะเปิดมันขึ้น 'ตูมทันใดนั้นร่มก็กลายเป็นเกราะป้องกัน ตูม! เสียงดังสนั่น หญิงสาวไม่สามารถต้านทานไหว บาร์บาเรียนใช้ขวานรบพุ่งเข้าใส่ร่มขนาดใหญ่ของหญิงสาว ก่อนที่ปลายคมมีดจะแทงที่กลางอกของเธอ

        หญิงสาวเบิกตากว้างพร้อมกับรูม่านตาที่ปรากฏเปลวเพลิงลุกไหม้ เธอหยิบกริชออกมาเชือดคอของบาร์บาเรียนผู้นั้น ศีรษะของมันลอยขึ้นไปในอากาศ หญิงสาวฉวยศีรษะมันไว้ก่อนจะบินขึ้นไปบนยอดสูงสุดของต้นไม้ของโลกด้วยความภาคภูมิใจ

        ฉากตรงหน้าค่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ นี่เป็นเพียงหุบเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่งจากแผนที่ดินแดนของ Destiny ทางตอนใต้มีเมืองหลวงทั้งหมด แห่งโดยที่ตรงกลางมีทะเลปู้กุ้ยตั้งอยู่ ทางทิศเหนือยังไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมา มีก็แต่ไอคอนของพวกมอนสเตอร์ซึ่งประกอบด้วยมังกร อันเดธ และบาร์บาเรียน ทันใดนั้นภาพแผนที่ก็ถูกตรึงอยู่ตรงหน้า พร้อมกับฉากกลางท้องฟ้าปรากฏตัวอักษร Destiny ฉากเปิดเกมช่างประณีตและน่าทึ่งจริงๆ

        .........

        เมื่อกลับมายังฉากจุดเริ่มต้น เมนูตัวช่วยนำทางในการเริ่มเล่นเกมก็ปรากฏขึ้น 'โปรดเลือกเผ่าพันธุ์ของท่าน'

        ด้านหน้าของผมปรากฏเผ่าพันธุ์ทั้งห้าขึ้นมา ซึ่งประกอบด้วยเผ่าพันธุ์มนุษย์ อันเดธ เอลฟ์แห่งจันทรา เอลฟ์แห่งสายลม และบาร์บาเรียน เห็นแล้วผมก็คิดว่าไม่มีทางเลือกอันเดธแน่ๆ เพราะมันไม่ตรงกับเป้าหมายของผมที่จะสร้างตัวละครหล่อขั้นเทพ เอลฟ์แห่งจันทราก็ดูดี แต่มันเลือกได้แค่ตัวละครเพศหญิงเท่านั้น ส่วนบาร์บาเรียนก็ดูเถื่อนเกินไป ขณะที่เอลฟ์แห่งสายลมมีปีกและสามารถบินได้ แต่เลือดของมันน้อยและบอบบางเกินไป ทำให้ถูกฆ่าตายได้ง่ายๆ ท้ายที่สุดแล้วผมจึงเลือกเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพราะเป็นอะไรที่ดูเหมือนกับคนจริงๆ มากที่สุดแล้ว

        หลังจากเลือกเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว ระบบก็ทำการปรับเปลี่ยนใบหน้าให้ตรงกับผมโดยอัตโนมัติ และสวมใส่เสื้อชาวบ้านธรรมดาๆ ในมือถือดาบไม้ พูดกันตรงๆ เลยนะ ที่จริงมันก็ดูหล่อมากอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเพิ่ม หลังจากนั้นระบบก็ส่งข้อความมาว่า 'โปรดเลือกอาชีพของท่าน'

        ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ในบรรดาอาชีพทั้ง ฮีลเลอร์คือสิ่งที่ผมชื่นชอบที่สุด อาชีพที่อุทิศตนให้กับผู้อื่น แขวนหม้อยา แถมยังเป็นฮีโร่ของพวกหนุ่มสาว

        ผมยิ้มออกมา แต่ถ้าคิดถึงวิธีการเก็บเลเวลแล้ว ผมก็รู้สึกว่าตัวเองมองทุกอย่างตื้นเขินเกินไป

        หลังจากที่ผมตกลงเลือกฮีลเลอร์ ตรงหน้าก็ปรากฏตัวผมที่สูง 180 เซนติเมตร สวมเสื้อบ้านๆ ดูแล้วหล่อเท่ตรงกับที่ผมต้องการเป๊ะ

        ระบบส่งข้อความมาอีกครั้ง ‘กรุณาตั้งชื่อตัวละครของท่าน’

        หึ ผมคิดชื่อมาก่อนหน้านี้แล้วละ!

        สัญลักษณ์แป้นพิมพ์ปรากฏขึ้นตรงหน้า ก่อนที่ผมจะใช้ความคิดแล้วเริ่มกดตัวอักษรที่ต้องการ

        “เตียวเสี้ยนแห่งสามก๊ก”

        “ติ๊ง”

        ข้อความจากระบบ ชื่อของท่านถูกใช้งานแล้ว

        ผมกำหมัดแน่นก่อนจะสบถขึ้นมาว่า “ถุย! ชื่อบ้าๆ แบบนี้ยังมีคนใช้อีกเหรอวะเนี่ย! ”

        ไม่เป็นไร ผมคิดชื่อที่สองไว้แล้ว คราวนี้เอาเป็นชื่อนี้แล้วกัน

        “สาวๆ รอพี่ก่อน”

        “ติ๊ง”

        ข้อความจากระบบ ชื่อของท่านถูกใช้งานแล้ว

        เหมือนหัวใจแทบแตกสลาย มันจะยุ่งยากเกินไปแล้วนะ! เอาใหม่ ชื่อต่อไปเอาแบบแบ๊วๆ ขึ้นมาหน่อยก็แล้วกัน ขออย่าให้ซ้ำกับคนอื่นเลย

        “พี่เซียวเหยาครองยุทธภพ”

        “ติ๊ง”

        ข้อความจากระบบ ชื่อของท่านถูกใช้งานแล้ว

        “ให้ตายสิ! มันอะไรวะเนี่ย! ”

        อีกนิดผมคงได้กระอักเลือดออกมาเป็นแน่ ไม่อยากเชื่อเลยว่าชื่อพวกนี้จะมีคนใช้งานแล้ว ผมพยายามทำจิตใจให้กลับมาสงบอีกครั้ง ก่อนจะกัดฟันพิมพ์ชื่อตัวละครที่ผมเคยใช้เมื่อนานมาแล้วก่อนหน้านี้

        “เซียวเหยาจื้อจ้าย[1]

        “ติ๊ง”

        ข้อความจากระบบ ท่านสามารถใช้ชื่อนี้ได้ ท่านต้องการจะใช้ชื่อนี้หรือไม่?

        ในที่สุด! ขอแค่มีชื่อใช้ก็พอแล้ว ยังจะต้องการอะไรอีก?

        หลังจากกดปุ่มตกลง ตัวละครของผมก็ถูกสร้างขึ้น ข้อความจากระบบ ท่านต้องการเข้าสู่เกมเลยหรือไม่?

        หลังจากตอบตกลง 'ฟึบม่านแสงก็ปรากฏขึ้น ระหว่างที่ผมกำลังเข้าสู่โลกของเกม แสงสีขาวก็สาดเข้ามาในตา ก่อนที่ภาพจะตัดไปยังตัวละครของผมที่กำลังวิ่งเข้าสู่วิหารอันทรุดโทรม โดยบริเวณรอบๆ มีเสาที่แตกหักอยู่

        เมื่อมองไปด้านหน้าผมก็เห็นผู้เล่นจำนวนมาก ในเวลาเดียวกับที่ระบบแจ้งเตือนว่า 'ท่านถูกเลือกให้อยู่หมู่บ้านเริ่มต้นที่ 19 [หมู่บ้านสุนัขฟาง] '

        หมู่บ้านสุนัขฟาง... ชื่อเจ๋งดีนี่!

        ผมยืนอยู่ที่เดิมโดยยังไม่รีบร้อนทำอะไร ผู้คนมากมายที่อยู่ข้างๆ เริ่มดึงอาวุธของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบพุ่งไปด้านนอกหมู่บ้าน อืม... ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นคงจะรีบไปเก็บเลเวลกันสินะ

        ผมเปิดหน้าจอข้อมูลผู้เล่นขึ้นมา จากนั้นมันจึงเผยให้เห็นรายละเอียดตรงหน้าดังนี้

        [เซียวเหยาจื้อจ้าย] (ฮีลเลอร์ฝึกหัด)

        เลเวล :1

        พลังโจมตี :1-1

        พลังป้องกัน :2

        HP (พลังชีวิต) :100

        MP (พลังเวทมนตร์) :50

        ค่าเสน่ห์ :0

        ……

        พลังการโจมตี เนี่ยนะพลังแค่นี้จะตีไก่ตายไหมวะเนี่ยบ้าไปแล้ว...

        ในมือของผมมีคทาผุๆ พังๆ อยู่อันหนึ่ง ผมมองสิ่งที่อยู่ในมือ อืม... ที่พลังการโจมตีเป็น 1-1 ก็เพราะไอ้นี่นั่นเอง ไม่ออกไปตีมอนสเตอร์จะดีกว่า ถึงออกไปก็แย่งกับคนอื่นไม่ได้อยู่ดี ในฐานะฮีลเลอร์ต้องเก็บข้อมูลให้มากกว่านี้หน่อย อีกอย่างผมก็ไม่อยากไปรวมกลุ่มกับพวกกระจอกนั่นเพื่อรุมแย่งสุนัขฟางที่ด้านนอกหมู่บ้านหรอก

        เมื่อมาถึงร้านตีเหล็ก ชายหนุ่มรูปร่างกำยำก็มองมาที่ผมพร้อมกับยิ้มทักทาย “เจ้าหนู จะซื้ออาวุธเหรอ? ”

        ผมพยักหน้าก่อนจะเปิดหน้าต่างเพื่อเลือกอาวุธ ดาบเหล็กที่สามารถใช้ได้กับเลเวล พลังการโจมตี 1-3 ทว่าต้องใช้ 15 เหรียญทองแดง... แต่ตอนนี้ในกระเป๋าเงินผมมีแค่ 10 เหรียญทองแดงเท่านั้น บ้าจริงเชียว!

        หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็ตัดสินใจขายคทาในมือ โดยได้เงินกลับมา เหรียญทองแดง ทำให้ตอนนี้ผมมีเงินอยู่ 17 เหรียญทองแดง ผมจึงใช้เงินนั้นซื้อดาบเหล็กที่มีพลังการโจมตี 1-3 แทน ดาบเหล็กนี้ไม่ได้เป็นอาวุธระดับสูงนักหรอก เพราะผมเป็นฮีลเลอร์จึงไม่ได้ต้องการอะไรมากนัก ทว่าบางครั้งมันก็จำเป็นต้องมีของมีคมไว้บ้างสำหรับทำการรักษาและผ่าตัด แถมยังต้องอาศัยมันเพื่อให้มีข้าวกินอีก

        ผมถือดาบเหล็กก่อนที่จะเดินออกไป!

         

   

………………………………………………………………………………………….

        [1] เซียวเหยาจื้อจ้าย แปลว่าคนสบายๆ เป็นอิสระ

 

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 16.06 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
7 เมื่อ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.26 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 7 สร้างสกิล

 

         ผมเดินโซเซจนมาถึงด้านหน้าหมู่บ้าน ก็ถูกพวกเบอร์เซิร์กเกอร์กลุ่มหนึ่งถือขวานเล่มโตผลักเข้าให้ ดูเหมือนว่าพวกนี้คงจะรีบร้อนไปฆ่าเจ้าสุนัขฟางสินะ

        แน่นอนว่าผมไม่ได้มีพลังเหมือนคนพวกนั้น เอาเป็นว่าไม่ขอสู้แล้วกัน!

        ผมเปิดดูค่าสถานะของตัวเองที่ตอนนี้ยังคงอยู่ที่เลเวล 1 แต่ผมเพิ่งรู้ว่าระบบได้ให้ค่าสถานะของผมมา 10 พอยต์เพื่ออัปค่าสถานะด้วย ผมใช้พอยต์เหล่านั้นไปกับการเพิ่มค่าพละกำลังทั้งหมด นี่คือกลยุทธ์ของผมเอง ผมจะสู้กับโลกใบนี้ในฐานะฮีลเลอร์ โดยจะใช้ทั้งการฮีลและการโจมตีไปพร้อมกัน แบบนี้สิถึงจะเรียกว่า เส้นทางราชันที่แท้จริง!

        ……

        รอไปก่อนดีกว่าอย่าเพิ่งรีบร้อน ออกไปฆ่าสุนัขฟางตอนนี้ผมก็ไม่มีทางสู้กับพวกเบอร์เซิร์กเกอร์ นักดาบ และอาชีพอื่นๆ ที่อัปค่าพละกำลังมากกว่าผมได้หรอก ผมก็เลยตัดสินใจไปทำเควสต์ในหมู่บ้านที่ผมสามารถรับได้ตอนนี้ดีกว่า ทำเควสต์เสร็จแล้วค่อยออกไปฆ่าสุนัขฟางก็ยังไม่สาย แบบนี้สิถึงจะเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!

         ที่ใจกลางหมู่บ้านมีบ่อน้ำเล็กๆ ตั้งอยู่ ด้านข้างมีหินขนาดใหญ่วางกระจัดกระจายโดยรอบ แต่ลักษณะของมันถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี

         ผมใช้เวลามองอยู่ 5 นาทีเต็มถึงได้รู้ว่าหินพวกนั้นเรียงกันเป็นค่ายกลดาวเจ็ดแฉก ทำไมผมถึงได้รู้เรื่องพวกนี้น่ะหรือ ก็เพราะตอนที่ผมฝึกยุทธ์กับตาแก่นั่น ผมได้เรียนเทคนิคค่ายกลดาวเจ็ดแฉกนี้ด้วยไงล่ะ แต่กว่าจะฝึกได้เลือดตาแทบกระเด็น แถมมันยังมาอยู่ในเกมนี้อีก เห็นได้ชัดว่าหนึ่งในนักวางแผนเกมจะต้องมีผู้ใช้ดาบที่เก่งกาจอยู่ในนั้นด้วย ไม่งั้นคงจะไม่เข้าใจเทคนิคดาวเจ็ดแฉกพวกนี้หรอก

        ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างทำให้ผมไม่อาจควบคุมตัวเองไม่ให้ก้าวไปด้านหน้าได้ หลังจากที่ผมยืนอยู่บนตำแหน่งหนึ่งในดาวเจ็ดแฉก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีแสงประหลาดเกิดขึ้น ผมก็ชักดาบออกมาทันที

        เคร้ง!

        ถึงแม้จะเป็นฮีลเลอร์ แต่ด้วยพละกำลัง 10 พอยต์ที่ถูกเพิ่มเข้ามาทำให้มีพลังมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ ดาบเหล็กที่ถูกดึงออกพร้อมกับแสงเปล่งประกาย ผมไม่ได้รู้สึกเช่นนี้มานานมากแล้ว ภายในเกมแบบนี้ใครจะไปรู้ว่ามันสามารถทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยกับดาบอีกครั้ง

        ใจผมเต้นรัวพร้อมกับเลือดที่เดือดพล่านอย่างบ้าคลั่งภายใน ให้ตายเถอะ ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ บวกกับข้อมูลในหนังสือเกมนั่น นี่แหละคือโอกาสดีที่ผมจะได้เฉิดฉายกับเขาบ้างละ

        เคร้ง!

        ผมฟาดดาบลงไปอีกครั้ง พร้อมกับความรู้สึกที่มีต่อวิถีดาบของตัวเองที่รุนแรงมากขึ้น!

        ราวกับว่าผมติดอยู่ที่นั่น ผมยืนฟาดดาบอยู่ตรงนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้สึกต่อวิถีดาบภายในเกมนั้น สำหรับนักฝึกดาบถือว่าเป็นสิ่งที่เพลิดเพลินอย่างหนึ่งเลยละ

        ……

        เวลาผ่านไปกับการฝึกดาบซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง 1 ชั่วโมงเต็ม พวกมือใหม่ต่างก็เดินมามองผมด้วยความประหลาดใจ มีเบอร์เซิร์กเกอร์คนหนึ่งซึ่งตอนนี้อยู่ในระดับ 2 พร้อมกับขวานในมือเดินมาดูผมก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “เฮ้อ ว่ากันว่าเกมนี้สามารถสร้างสกิลของตัวเองได้ แต่ดูเหมือนจะมีคนบ้าอย่างนายนี่แหละที่เชื่อข่าวลือบ้าๆ พวกนั้น! ทั้งๆ ที่หน้าตาก็ดีเหมือนฉันแท้ๆ แต่ทำไมสมองถึงได้โง่ดักดานแบบนี้เนี่ย?”

        ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป ยังคงฟาดดาบในมือต่อ เรื่องบ้าๆ พวกนี้รบกวนสมาธิการฝึกดาบของผมไม่ได้หรอกนะ

        เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก แป๊บๆ ก็เย็นแล้ว ตอนนี้ผมยังไม่มีความคืบหน้าหรือพัฒนาการใดๆ เลย แต่ผมเหมือนรู้สึกว่ามันใกล้จะสำเร็จแล้ว ทว่ามันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นจริงๆ หลังจากเวลาผ่านไปถึงสองทุ่มกว่า โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นก่อนจะเชื่อมต่อเข้ามาในระบบเกมโดยอัตโนมัติ นี่มันเบอร์ของหลินหว่านเอ๋อร์นี่

        “หลี่เซียวเหยา ฉันกับเสี่ยวเยว่จะออกจากระบบไปกินข้าว นายจะไปด้วยกันไหม?”

        ผมได้ยินก็รู้สึกดีใจขึ้นมา “ไปสิๆ ตอนเที่ยงผมกินข้าวไปนิดเดียวเอง เอ่อ ไม่สิ... ผมต้องไปคุ้มกันพวกคุณต่างหาก...”

        หลินหว่านเอ๋อร์หัวเราะหึๆ “โอเค งั้นนายมารอพวกฉันที่ใต้หอนะ ถ้านายถึงแล้วพวกฉันจะลงไป”

        “ครับ”

        ……

        ผมออกจากระบบในเมืองซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะที่นี่เป็นเขตปลอดภัย

        หลังจากถอดหมวกออก ผมก็มองไปที่เตียงฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเห็นร่างของเจ้าแว่นที่กำลังกระตุกเหมือนคนเป็นตะคริว ดูเหมือนมันคงกำลังเก็บเลเวลอยู่สินะ งั้นไม่กวนดีกว่า คิดแล้วผมก็รีบลงไปกินข้าวกับหลินหว่านเอ๋อร์ทันที

        หลังจากมารออยู่ใต้หอหญิงได้สักพัก หลินหว่านเอ๋อร์ก็ลงมาพร้อมกับตงเฉิงที่มาคู่กับกระเป๋าใบกระจิริดสีขาว เมื่อเห็นผมยืนรออยู่ ตงเฉิงเยว่ก็ทักผมอย่างกระตือรือร้น “เฮ้ เซียวเหยา!”

        ผมพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม “ไง เราจะไปกินที่ไหนกันดี?”

        “ไปแคนทีน 1 ที่เดิมดีไหม? กินเสร็จจะได้รีบกลับไปเก็บเลเวลต่อ เดี๋ยววันที่ 1 กันยายนก็เปิดเทอมแล้ว ช่วงนี้เราใช้เวลาทั้งหมดไปกับเรื่องเกมก่อนก็แล้วกัน”

        “อื้อ”

        ……

        ภายในห้องอาหาร หลังจากสั่งกับข้าวเสร็จแล้ว พวกผมทั้งสามก็นั่งเก้าอี้หันหน้าเข้าหากัน ดูเหมือนว่าสองสาวเองก็คงหิวแล้วเหมือนกัน เพราะพวกเธอเอาแต่บ่นว่าเมื่อไรจะได้กินข้าวสักที ระดับความหิวของพวกเธอดูเหมือนจะเขมือบผมเข้าไปได้ทั้งตัว

        หลินหว่านเอ๋อร์หยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ผมยาวสลวยในเวลานี้ถูกปล่อยลงมาเคลียบ่า ยามที่ลมพัดมาทำให้เธอดูงดงามและกลายเป็นจุดสนใจของคนที่อยู่ภายในนี้ ผมมองเธอโดยไม่พูดอะไร แต่ภายในใจย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าให้เจียมตน

        หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลินหว่านเอ๋อร์ก็เงยหน้ามองผม “หลี่เซียวเหยา ตอนนี้นายเลเวลเท่าไรแล้ว?”

        ผม “เลเวล 1 ยังไม่ได้ไปเก็บค่าประสบการณ์เลย”

        หลินหว่านเอ๋อร์อึ้งจนอ้าปากค้าง “อะไรกันเนี่ย? นี่นายไม่ได้ตีมอนสเตอร์สักตัวเลยเหรอ? มัวไปทำอะไรอยู่? ถึงแม้ว่าหลังจากนี้นายจะมาเป็นลิ่วล้อให้พวกฉัน แต่อย่างน้อยๆ นายก็ต้องมีความสามารถพอที่จะวิ่งไปเมืองหลวงด้วยนะ ไม่งั้นระหว่างทางที่เจอกับพวกมอนสเตอร์ นายอาจถูกฆ่าตายได้”

        ผมรู้สึกอับอายกับคำพูดของเธอจนต้องยกมือมาถูจมูกแก้เก้อ ก่อนจะยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ที่จริง... คือจริงๆ แล้วผมกำลังสำรวจเกมนี้อยู่น่ะ เพราะผมยังไม่ค่อยชินกับเกมเสมือนจริง 97% นี้เท่าไร”

        “ชิ...” หลินหว่านเอ๋อร์ยิ้มออกมา “กระจอกชะมัด!”

        ดูเหมือนว่าเป้าหมายของเธอจะบรรลุแล้ว และภายในใจก็คงจะกำลังสบายใจอยู่สินะ ถึงได้พูดถากถางผมแบบนี้ ผมรู้แหละว่าเธอเองก็คงจะยังแค้นผมเรื่องนั้นอยู่ แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่ เพราะตอนนั้นผมเห็นเธอจนหมดเปลือกเลย ดูจากนิสัยของลูกสาวคนดังระดับชาติที่ยังไม่ฆ่าปิดปากผม ก็นับว่าใจกว้างมากแล้ว

        ตงเฉิงเยว่มองมาที่ผมด้วยท่าทีตกใจ “เซียวเหยา นายนี่เป็นตัวของตัวเองจังเลยเนอะ...”

        ผมพยักหน้า “เสี่ยวเยว่ แล้วเธอกับคุณหนูถึงเลเวลเท่าไรแล้วล่ะ”

        ตงเฉิงเยว่กระตุกมุมปาก “พวกฉันเหรอ ตอนนี้ฉันเลเวล 7 แล้ว ส่วนหว่านเอ๋อร์เลเวล 6 นี่... เลิกเรียกคุณหนูได้แล้ว หว่านเอ๋อร์ไม่คิดอะไรมากหรอก นายเรียกเธอว่าหว่านเอ๋อร์ก็พอ...”

        หลินหว่านเอ๋อร์มองมาที่ผม “ไม่ได้ ห้ามเรียกฉันว่าหว่านเอ๋อร์!”

        ผม “เข้าใจแล้วครับ ผมไม่เรียกคุณหนูแบบนั้นหรอก...”

        ตงเฉิงเยว่มองผมก่อนจะหันไปมองหน้าหลินหว่านเอ๋อร์ หลังจากนั้นดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจบางอย่างจึงยกมือปิดปากแล้วหัวเราะเบาๆ “คิคิ... ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเธอสองคนสินะ ไม่งั้นก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก... อ๊ะ... โอ๊ย... ยอมแล้วๆ อย่าหยิกฉันสิ ไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว...”

        สองสาวเริ่มส่งเสียงดังจนทำให้ผู้ชายที่กำลังกินข้าวแถวนั้นจ้องมอง บางคนถึงกับทำเส้นหมี่ร่วงจากปาก

        หลังจากผ่านไปไม่นาน กับข้าวที่สั่งไว้ก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมไม่ได้ถือตัวอะไรนัก แค่กินกับข้าวที่อยู่ตรงหน้าและข้าวเปล่าอีก 3 ถ้วย ซึ่งดูเหมือนมันจะทำให้หลินหว่านเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย เธอคงจะคิดว่าผมกินเยอะเกินไปสินะ หนำซ้ำผมที่ยังอยู่เลเวล 1 แท้ๆ นอกจากฟาดข้าวตรงหน้าจนเรียบก็ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง!

        ……

        เวลาสี่ทุ่มโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นเบอร์ของหลินเทียนหนาน

        “เสียวหลี่ วันนี้เป็นยังไงบ้าง หว่านเอ๋อร์ไม่ได้ทำให้นายลำบากใจใช่ไหม?” หลินเทียนหนานถาม

        ผมส่ายหน้า “ไม่เลยครับ คุณหนูดีกับผมมากเลย คุณหลินไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

        หลินเทียนหนานยิ้ม “อื้ม ที่จริงแล้วหว่านเอ๋อร์เป็นคนจิตใจดีและอบอุ่นมากนะ แต่... หากมีบอดี้การ์ดล้อมรอบ เธอจะแสดงอาการดื้อออกมาให้เห็นเลยละ บอดี้การ์ดที่ฉันหามาก่อนหน้านี้ต่างก็ทนไม่ได้จนถอดใจและถอนตัวออกไปกันหมด หวังว่านายจะรับมือและผ่านมันไปให้ได้นะ”

        ผมยิ้ม “ไม่ได้หนักหนาอะไรนี่ครับ ผมก็แค่ไปกินข้าวเป็นเพื่อนแล้วก็เล่นเกมกับคุณหนู เรื่องพวกนี้ผมทำได้อยู่แล้วครับ คุณหลินสบายใจได้”

        หลินเทียนหนานหัวเราะออกมา “ถ้างั้นก็ดี เอ้อ จริงสิ... ระดับการเล่นเกมของนายเป็นยังไงบ้างล่ะ? เกมที่แล้วนายอยู่อันดับที่เท่าไร?”

        ผมพูด “สามล้านกว่าครับ”

        “อืม... กระจอกมากเลยนะเนี่ย...”

        ผม “…”

        ……

        หลังจากวางสาย เจ้าแว่นก็ออกจากระบบก่อนจะเริ่มต้มบะหมี่สำเร็จรูปกินแก้หิวพร้อมกับแสดงท่าทางตื่นเต้น “นี่เจ้าหลี่น้อย เป็นไงบ้าง เกมเสมือนจริงนี่สุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ? ตอนนี้ฉันเลเวล 4 แล้ว ไม่เลวเลยใช่ไหม? แล้วนายล่ะเลเวลไหนแล้ว?”

        ผมตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เลเวล 1 นายว่าเป็นไง...”

        “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เลเวล 1 เนี่ยนะ? นี่นายโดนพวกมอนสเตอร์ฆ่าไปกี่ครั้งเนี่ย ถึงได้ย่ำอยู่ที่เลเวล 1?”

        ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ช่วยไม่ได้ เลเวล 1 ก็เลเวล 1 สิ ฉันเป็นฮีลเลอร์นะ ไม่ได้มีพลังโจมตีอะไรอยู่แล้ว...”

        “หา? นายเล่นฮีลเลอร์เหรอ? แต่ถึงนายจะฆ่ามอนสเตอร์ไม่ได้ ก็ยังสามารถฮีลเลือดให้ตัวเอง ดังนั้นไม่น่าจะโดนฆ่าจนกลับไปถึงเลเวล 1 อย่างนี้นี่นา? เจ้าหลีน้อย... นายนี่อ่อนหัดชะมัด แต่ไม่เป็นไร นายไม่ต้องห่วง มีพี่ชายอยู่ทั้งคน เดี๋ยวพี่จะพานายเก็บเลเวลเอง หลังจากนี้นายจะกลายเป็นยอดฝีมือระดับต้นๆ ของเกมนี้เลยละ!”

        “เจ้าแว่น ถ้าไม่ขี้โม้สักวันมันจะตายไหม!”

        “ฮ่าๆๆๆ”

        ……

         ช่วงกลางคืนผมเข้าไปเล่นเกมต่ออีก 1 ชั่วโมงกว่า โดยใช้เวลาไปกับการฝึกดาบอีกครั้ง และแน่นอนว่ามันยังไม่ทำให้ผมเพิ่มเลเวลได้เหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร อีกอย่างมันเป็นแค่เกม ไม่เห็นต้องรีบ เมื่อนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน ผมจึงออกจากระบบเพื่อเข้านอน ซึ่งเป็นเวลาที่หลินหว่านเอ๋อร์บอกให้ผมพักผ่อนได้แล้ว

        เช้าวันถัดมา ผมลุกจากเตียงตอน 7 โมงเพื่อไปซื้ออาหารเช้าให้หลินหว่านเอ๋อร์และตงเฉิงเยว่ แต่น่าเสียดายที่ขึ้นไปบนหอหญิงไม่ได้ เพราะโดนป้าที่ดูแลหอพักไล่ตะเพิด “ไอ้หนูนั่นน่ะ! ถ้าอยากจะเข้าหอหญิงละก็ ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะ!”

        ได้ยินแบบนั้นผมจึงเดินออกไป ในเวลาเดียวกันก็เห็นยามหนุ่มสองคนที่อยู่ในออฟฟิศของหอพัก ดูจากการเคลื่อนไหวแล้ว สองคนนั้นน่าจะมีวิชากังฟูติดตัว อืม... คงจะเป็นคนที่หลินเทียนหนานส่งมาแน่ๆ เพื่อลูกสาวแล้ว นอกจากผมที่ต้องคุ้มกันคุณหนูอย่างใกล้ชิด ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมบอดี้การ์ดคนอื่นๆ ให้มาช่วยคุ้มกันเพิ่มอีกส่วนหนึ่งด้วยสินะ

        หลังจากกลับมาที่หอพัก ผมก็เข้ามาฝึกดาบต่อ

        ผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเดียวก็เข้าช่วงสายของวันเสียแล้ว ดาบเหล็กของผมต้องซ่อมอีกครั้ง ทว่าผมก็ยังไม่บรรลุอะไรสักอย่างเช่นเคย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ผมก็รู้สึกได้ว่าความสำเร็จใกล้จะมาถึงแล้ว

        ……

        ช่วงเที่ยง ภายในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย ผมลงมากินข้าวกับหลินหว่านเอ๋อร์และตงเฉิงเยว่เหมือนเช่นเคย

        “ผ่านไป 24 ชั่วโมงแล้วนะ...” ตงเฉิงเยว่ยิ้มพร้อมพูดว่า “ผู้เล่นส่วนใหญ่คงออกจากหมู่บ้านเริ่มต้นไปเกือบหมดแล้ว ดูเหมือนว่าคนที่เลเวลสูงที่สุดในตอนนี้อยู่ที่เลเวล 12 แล้วละ”

        หลินหว่านเอ๋อร์ที่กำลังกินข้าวอยู่เงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้ม “ตอนนี้ฉันเลเวล 11 แล้ว!”

        ตงเฉิงเยว่ “ช่วงบ่ายถ้าฉันออกไปตีมอนสเตอร์เพิ่มอีกสัก 2 ชั่วโมงก็คงถึงเลเวล 11 เหมือนกัน... ฮือๆ ฉันเล่นเป็นนักเวท ก็เลยเก็บเลเวลได้ช้ากว่าแอสซาซิน หว่านเอ๋อร์ นี่เธอกำลังทำให้ฉันเครียดนะเนี่ย...”

        หว่านเอ๋อร์ยิ้มก่อนจะชี้มาที่ผม “ไม่เห็นต้องเครียดเลย เธอหันไปหาคนนั้นสิ เขาคงช่วยปลอบใจเธอได้บ้าง นี่หลี่เซียวเหยา ตอนนี้นายเลเวลไหนแล้ว? ในเกมถูกจัดอยู่อันดับที่เท่าไรแล้วล่ะ?”

        ผมลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป “เลเวล 1 จัดอยู่อันดับที่ 1 ล้านพอดีเป๊ะ...”

        หลินหว่านเอ๋อร์ถึงกับช็อกเป็นหินไปเลยครับ “มีคนเล่นเกมนี้ 1 ล้านคน... แต่นาย... นาย... โอ๊ย... นายเป็นความอัปยศของเกมนี้จริงๆ เลย!”

        ผมเงียบ

        ตงเฉิงเยว่ยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกเซียวเหยา รอให้ฉันมีเวลาว่าง เดี๋ยวฉันพานายไปเก็บเลเวลเอง...”

        ผมพยักหน้า “ขอบใจนะตงเฉิง เธอมีน้ำใจมากกว่าคุณหนูของพวกเราอีกนะเนี่ย....”

        หลินหว่านเอ๋อร์หันมามองผมด้วยสายตามุ่งมาดสังหาร “หืม? เมื่อกี้นายว่าไงนะ ช่วยพูดอีกครั้งซิ...”

        ผมถือตะเกียบแน่น “รีบกินเถอะ กินเสร็จต้องรีบกลับไปเก็บเลเวลอีก...”

        ……

        เวลาบ่ายโมง ณ หมู่บ้านสุนัขฟาง

        เคร้ง!

        ดาบเหล็กถูกฟาดออกไปอีกครั้ง ขณะนั้นเองมันก็ถูกปกคลุมด้วยพลังบางอย่างจนทำให้ร่างกายผมสั่นสะท้าน ก่อนที่แสงสีทองจะเปล่งประกายรายล้อมรอบตัวผม พร้อมกับเสียงจากระบบที่ดังขึ้นข้างหู

        ติ๊ง!

        ข้อความจากระบบ: ยินดีด้วย ท่านผ่านการฝึกฝนแล้ว และได้สร้างสกิลขึ้นใหม่ ผลลัพธ์ของสกิลที่ท่านได้รับคือ เมื่อท่านถือดาบ พลังการต่อสู้ของท่านจะเพิ่มขึ้น 10% โปรดตั้งชื่อสกิลใหม่ของท่าน!

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 16.06 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
8 เมื่อ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.25 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 8 ดาบแห่งความโกลาหล

 

        ฟึบ!

        ในใจของผมตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ในที่สุดคนกระจอกอย่างผมก็เริ่มก้าวเข้าสู่เส้นทางของโปร เกมนี้สามารถสร้างสกิลด้วยตัวเองได้จริงๆ ให้ตายเถอะ โคตรเจ๋งเลย หลังจากนี้ถ้าผมใช้ดาบเป็นอาวุธ พลังโจมตีก็จะเพิ่มขึ้นถึง 10% ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งใช่ย่อยเลยนะเนี่ย แม้ว่าตอนนี้พลังโจมตีของผมจะมีแค่ 6-6 พอยต์ และการเพิ่มขึ้นของค่าพลังโจมตี 10% ที่ได้มาแม้จะดูน้อยนิด แต่ก็นับว่าดีขึ้นมาก อุปกรณ์มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นแล้ว ผลลัพธ์ของการบัฟพลังถือว่าสูงมากจริงๆ นะเนี่ย อีกอย่างหลังจากนี้ผมจะกำหนดให้ดาบเป็นอาวุธของผมเท่านั้น เพราะไม่งั้นสกิลที่ได้มาก็แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย

        หลังจากที่ผมเสียเวลาไปกับการชื่นชมความเจ๋งของตัวเอง ผมก็เริ่มนึกอีกครั้งว่าจะตั้งชื่อสกิลนี้ว่าอะไรดี อืม... สกิลเฉียบขนาดนี้...

        ในที่สุดความคิดในสมองก็แล่น ก่อนที่ชื่อหนึ่งจะผุดขึ้นมาในหัว ‘ดาบแห่งความโกลาหล’

        อืม... ชื่อนี้ดีที่สุดแล้วละ หลังจากใช้ดาบผมก็รู้สึกได้ถึงรังสีแห่งความกระหายเลือด นี่เป็นเพียงหนึ่งในกระบวนการของดาบเท่านั้น และเป็นแค่การเริ่มต้นสำหรับการต่อสู้ เอาเป็นว่าใช้ชื่อนี้ก็แล้วกัน!

        ติ๊ง!

        ข้อความจากระบบ : ยินดีด้วย ท่านได้ตั้งชื่อสกิลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านคือคนแรกที่สามารถสร้างสกิลระดับ SS ในเซิร์ฟเวอร์นี้ ต้องการเปิดเผยตัวตนให้ผู้เล่นท่านอื่นทราบหรือไม่?

        ผมกดปุ่ม ‘ไม่’ อย่างรวดเร็ว ไม่ได้! ผมไม่ได้สร้างสกิลขึ้นมาเพื่อโอ้อวดสรรพคุณ แต่เอาไว้เพื่อปกป้องตัวเองต่างหากเล่า ขืนทำประเจิดประเจ้อประกาศให้คนอื่นเห็น ก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีคนจ้องเล่นงานผมมากขนาดไหน ผมไม่กลัวเรื่องจะไม่เป็นที่รู้จักหรอกนะ แต่ผมกลัวถูกรุมฆ่ามากกว่า ตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว ผมเป็นฮีลเลอร์เลเวล 1 แถมยังเป็นที่โหล่ของเกม สถานะของผมตอนนี้พวกโปรคนอื่นๆ คงไม่เห็นผมอยู่ในสายตา จะทำอะไรก็สบายใจ ไม่ต้องคอยระแวง...

        ติ๊ง!

        ประกาศจากระบบ : ยินดีกับผู้เล่น ×××× ที่เพิ่งจะเรียนรู้สกิลระดับ SS ได้สำเร็จ [ดาบแห่งความโกลาหล]

        ……

        ทันใดนั้น ทั้งเซิร์ฟเวอร์ก็เกิดความโกลาหล

        ในเวลาอันรวดเร็ว รูปไอคอนสกิลดาบอันเป็นสกิลแรกของผมก็โผล่ขึ้นมาในแถบสกิล แล้วตามด้วยสกิลที่สอง โดยสกิลแรกเป็นสกิลที่มีระดับมาตรฐานคือ SS ส่วนอีกสกิลหนึ่งเป็นสกิลของฮีลเลอร์มีชื่อว่า [สกิลห้ามเลือด] โดยเป็นสกิลระดับ D อืม... แน่นอนว่าระดับของมันไม่ได้สูงมาก แต่ก็เป็นสกิลที่ดี เพราะมันสามารถฮีลเลือดให้กลับมาได้

        [ดาบแห่งความโกลาหล] (SS) : ขณะที่ถือดาบอยู่ พลังการโจมตีจะเพิ่มขึ้น 10% โดยไม่ใช้ค่าโจมตีพื้นฐาน และไม่สามารถเพิ่มเลเวลให้กับสกิลได้

        [สกิลห้ามเลือด] (D) :สกิลนี้จะสามารถฮีลค่า HP ได้ 50 พอยต์โดยใช้ค่า MP 5 พอยต์ ตอนนี้ค่า EXP ของท่านอยู่ที่ 0/100 พอยต์

        ……

        หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ผมจะออกไปลุยโลกกว้างแล้ว!

        ผมถือดาบไว้ในมือก่อนจะออกไปนอกหมู่บ้านเริ่มต้น ผ่านไป 24 ชั่วโมงแล้วหลังจากที่เกมนี้เปิดให้บริการ ตอนนี้ช่องเก็บของของผมยังไม่มีไอเท็มเลยสักชิ้น หรือควรพูดว่ายังไม่มีปัญญาซื้อของพวกนั้นนั่นแหละ แต่ไม่ต้องรีบหรอก เดี๋ยวผมก็หามาได้

        ด้านนอกหมู่บ้านเริ่มต้น มีผู้เล่นจำนวนมากกำลังต่อสู้กับสุนัขฟางที่ดูสภาพทุลักทุเลอยู่พอสมควร สุนัขฟางเป็นมอนสเตอร์เลเวล 1-2 และเป็นมอนสเตอร์ที่มีเลเวลต่ำสุด... หึ... พวกกระจอก...

        ผมหลบออกมาจากกลุ่มผู้เล่นเหล่านั้นเพื่อตามหาเส้นทางอื่น ทิศเหนือของหมู่บ้านสุนัขฟางยังคงเป็นป่าทึบลึกลับ แต่สัญลักษณ์บนแผนที่ปรากฏจุดสีแดง ซึ่งมันยังไม่เหมาะกับเลเวลของผมในเวลานี้ แต่ก็สามารถเข้าไปลองดูได้ อันที่จริงผมยังมีข้อได้เปรียบคนอื่นๆ อยู่ เพราะผมสามารถฮีลและต่อสู้ไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ผมยังมีสกิลดาบแห่งความโกลาหล ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพในการโจมตีของมันในตอนนี้จะยังไม่มากนักก็ตาม

        ไกลออกไป ผมเห็นผู้เล่นกลุ่มหนึ่งยืนถกเถียงกันอยู่ พร้อมกับได้ยินเสียงตะโกนขึ้นว่า “ไอเท็มนี้ขายได้ถึง 20 เหรียญทองแดงเป็นอย่างน้อยเลยนะ พวกเราเป็นคนทำให้มีค่าดาเมจสูงสุด เพราะฉะนั้นของเหล่านี้ต้องเป็นของพวกเรา!”

        ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “กระจอกชะมัด”

        ผมก้มมองระหว่างทางก็เห็นเหรียญทองแดงจำนวนมากตกอยู่ที่พื้น เมื่อมองไปรอบๆ ไม่เห็นใครอยู่แถวนั้น ผมก็จัดการเก็บเงินพวกนั้นทันที

        หึๆ... รวยแล้วโว้ย! วันนี้เป็นวันของข้าจริงๆ!

        ……

        ผมใช้เงินที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ไปกับการซ่อมแซมดาบ ตอนนี้ก็เลยเหลืออยู่แค่ 1 เหรียญทองแดงเท่านั้น ไม่รู้ว่าใครฆ่ามอนสเตอร์ได้แต่ไม่ยอมเก็บเงินพวกนี้ไป ไม่รู้จักอดออมเอาเสียเลย

        เมื่อเดินตรงไปด้านหน้า ผมก็ออกจากสถานที่ของพวกสุนัขฟาง ซึ่งบริเวณที่ผมเดินอยู่ตอนนี้แทบจะมองเห็นผู้เล่นน้อยมาก ผมยืนซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ในป่าเพื่อแอบดูว่าจะมีสุนัขฟางโผล่ออกมาหรือไม่

        เพียงไม่นานเสียงคำรามก็ดังขึ้น ในที่สุดผมก็เจอมอนสเตอร์ตัวแรกที่คู่ควรกับการต่อสู้ของผมแล้ว มันคือไฮยีน่าที่แสนดุร้าย ให้ตายเถอะ มอนสเตอร์ฝั่งหมู่บ้านแถบนี้เป็นพวกสุนัขหมดเลยสินะ

        [ไฮยีน่า] (มอนสเตอร์ทั่วไป)

        เลเวล :3

        พลังโจมตี :7-11

        พลังป้องกัน :3

        HP  :150

        สกิล :ไม่มี

        ……

        เยี่ยม! มอนสเตอร์เลเวล 3 ถ้าผมฆ่ามันได้สัก 2 ตัว เลเวลของผมก็น่าจะอัปแล้วละ

        ชิ้ง!

        ดาบถูกดึงออกมาพร้อมกับสกิลดาบแห่งความโกลาหลที่ถูกเรียกใช้งานบวกกับพลังโจมตีที่เพิ่มขึ้น 10% เมื่อผมเข้าใกล้ไฮยีน่า มันก็เริ่มหอนก่อนจะกระโจนใส่ เนื่องจากมันไม่มีสกิลโจมตี จึงใช้ปากในการกัดศัตรู

        ผมฉวยโอกาสก่อนที่มันจะกัดผม ดึงดาบเหล็กออกมาฟาดหน้าผากของมัน ‘ฉัวะ’ เสียงดาบที่ฟาดใส่ไฮยีน่าดังขึ้นพร้อมกับตัวเลขดาเมจ -12 พอยต์เด้งขึ้นมา ในเวลาเดียวกันเจ้าไฮยีน่าก็กัดขาแล้วกระชากจนทำให้เลือดของผมลดลงไป -25 พอยต์ อื้อฮือ... ค่าดาเมจของผมลดลงสองเท่าจากของมันเลยนะเนี่ย

        แต่การโจมตีของผมนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมใช้ดาบฟาดไหล่ของไฮยีน่า มันเปล่งเสียงร้อง แต่ค่าเลือดที่ลดลงของมันนั้นช้ากว่าผมมาก ทว่าผมก็ไม่ได้รีบร้อน หลังจากปรากฏค่าดาเมจบนตัวผมถึงสองครั้ง ผมก็เริ่มฮีลเลือดให้ตัวเองทันที

        “+50”

        เจ๋งสุดๆ ไปเลย ทั้งโจมตีและฮีลตัวเอง นี่แหละเส้นทางแห่งราชันของผม!

        เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็จัดการมันได้สำเร็จพร้อมกับค่า EXP [1]  ที่เพิ่มขึ้น 50% ขณะเดียวกันตอนที่ไฮยีน่าล้มลง ก็มีเหรียญทองแดงหล่นลงมาที่พื้น 2 เหรียญ ผมรีบเดินไปเก็บใส่กระเป๋าทันที ได้ขนาดนี้ก็ไม่เลวนะเนี่ย!

        หลังจากเดินไปด้านหน้าต่อ ผมก็จัดการไฮยีน่าตัวที่สองได้สำเร็จ ‘สวบ’ เสียงดาบที่ฟาดลงไป พร้อมกับเลเวลของผมที่เพิ่มขึ้นเป็น 2 ตอนนี้ผมคือฮีลเลอร์เลเวล 2 แล้ว ค่าสถานะ 10 พอยต์ที่ผมได้จากเลเวลที่เพิ่มขึ้นหมดไปกับการอัปพลังโจมตี แต่เพราะผมเป็นฮีลเลอร์ จึงทำให้พลังโจมตีเพิ่มขึ้นมาแค่ 5-5 เท่านั้น หากผมเปลี่ยนไปเล่นเบอร์เซิร์กเกอร์ละก็ คงจะได้พลังโจมตีถึง 11-11 เลยละ เฮ้อ... ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย...

        แต่ผมไม่ท้อหรอก ผมหยิบดาบขึ้นมาก่อนจะลุยต่อไป เอาวะ สู้จนกว่าจะตายไปข้างหนึ่งนั่นแหละ!

        ……

        หลังจากฆ่าไฮยีน่าไปได้หลายสิบตัว ผมก็พบว่าค่า MP[2] ( ของผมเหลืออยู่เพียงน้อยนิด การฮีลตัวเองทำให้ผมต้องเสียค่า MP ในแต่ละครั้งถึง 5 พอยต์ ซึ่งผมมีค่า MP อยู่ 60 พอยต์เท่านั้น หากลุยต่อแบบไม่สามารถฮีลตัวเองได้ ผมต้องตายแน่ แต่โชคดีที่ตอนนี้เลเวลผมอัปเป็นเลเวล 3 แล้ว จึงทำให้ค่า MP ของผมกลับมาเต็มหลอดอีกครั้ง นอกจากนี้ผมยังได้ใช้ 10 พอยต์ไปกับการเพิ่มพลังการโจมตี ตอนนี้ตัวละครของผมกลายเป็นฮีลเลอร์สายบู๊ไปแล้ว

        [เซียวเหยาจื้อจ้าย] (ฮีลเลอร์ฝึกหัด)

        เลเวล : 3

        พลังโจมตี : 11-13

        พลังป้องกัน : 4

        HP : 120

        MP : 70

        ค่าเสน่ห์ : 0

        ……

        แม้ว่าฮีลเลอร์จะอ่อนแอกว่าอาชีพอื่นๆ แต่ถ้าเปลี่ยนอาวุธในมือให้ดีขึ้น ก็สามารถทำลายการป้องกันของมอนสเตอร์ระดับเดียวกันได้ ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้ผมยังสามารถฮีลตัวเองได้ด้วย จึงไม่ต้องกังวลใจว่าจะต้องตายจากการปะทะกับมอนสเตอร์ ภายใต้การต่อสู้อาชีพฮีลเลอร์สามารถเอาตัวรอดได้มากกว่าอาชีพอื่นๆ แต่การที่ผมเพิ่มค่าสถานะไปกับพลังโจมตี จึงทำให้ค่า MP ของผมมีไม่เพียงพอสำหรับใช้งาน ซึ่งมันทำให้ผมต้องการไอเท็มเพื่อใช้ในการฮีลเพิ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วผมก็คงเก็บเลเวลต่อได้อีกไม่นาน

        หลังจากฆ่าพวกมอนสเตอร์พวกนี้ไปได้พักหนึ่ง ผมก็สามารถสะสมเงินได้ 50 เหรียญทองแดงซึ่งเพียงพอให้ผมกลับไปซื้อยาได้แล้ว ถ้าผมมียาสำหรับฮีลตัวเอง ผมก็สามารถฆ่ามอนสเตอร์เลเวลสูงได้มากกว่านี้

        ฉัวะ!

        เมื่อผมใช้ดาบฟันหัวของไฮยีน่าตรงหน้า เหรียญทองแดง 2 เหรียญก็ตกลงสู่พื้นอีกครั้ง หลังจากเก็บเงินเหล่านั้นผมก็เดินหน้าต่อไป ตอนนี้เลเวลสูงขึ้นแล้ว พลังโจมตีก็เพิ่มขึ้นด้วย การฆ่าไฮยีน่าจึงไม่สูญเสียเลือดมากเหมือนเมื่อก่อน

        หลังจากเดินผ่านป่าแห่งหนึ่งและมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ผมก็เห็นหมีดำตัวหนึ่ง มันเป็นมอนสเตอร์เลเวล 5 พลังโจมตี พลังป้องกัน และเลือดของมันถือว่าสูงมาก

        ผมกำดาบในมือแน่นพร้อมกับสูดหายใจเข้าเต็มปอด ลองลุยดูสักตั้งแล้วกัน ถ้าไม่ไหวก็ค่อยเผ่น!

       ห่างจากตัวหมีดำประมาณ 10 เมตร ผมสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตขณะที่ร่างใหญ่ของมันพุ่งใส่ผมอย่างรวดเร็ว ขนสีดำนั้นตั้งชันพร้อมกับอุ้งมือที่โจมตีใส่

       ฟึบ

       เลือดสาดเป็นทาง การโจมตีในเกมนี้สมจริงมาก ไหล่ของผมตอนนี้กลายเป็นแผลใหญ่ และมีเลือดพุ่งออกจากบาดแผล

        “-42”

        บัดซบ เจ็บชะมัดเลยโว้ย!

        ผมรีบหยิบดาบขึ้นมา ทว่าการโจมตีของผมสร้างความเสียหายขึ้นมาเพียงแค่ -15 พอยต์เท่านั้น ในเวลาเดียวกันม่านแสงจากสกิลเพิ่มเลือดก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับเลือดของผมที่เพิ่มขึ้น 50 พอยต์ เพียงครู่เดียวการฟื้นฟูก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

        โฮก!

        เจ้าหมีดำเปล่งเสียงคำรามพร้อมอ้าปากแล้วฝังเขี้ยวลงบนแขนของผม ดูเหมือนว่าการโจมตีครั้งนี้จะสร้างความเสียหายให้ผมอย่างมากทีเดียว

        “-82”

        เวรละ!

        ผมรีบเผ่นออกมาด้วยความตกใจ หรือว่าผมจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่?

        หลังจากที่วิ่งออกมาอย่างเร็วจี๋ เจ้าหมีดำก็ยังคงไล่ตาม จนห่างออกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ผมก็ใช้ช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างที่ยังไม่ถูกโจมตีดึงดาบออกมา ขณะที่มือซ้ายเริ่มร่ายสกิลเพื่อฮีลเลือดให้กับตัวเองขึ้นอีก 50 พอยต์ ก่อนจะกลับไปโจมตีเจ้าหมีดำนั่นอีกครั้ง

        แม้ว่ามันจะเป็นมอนสเตอร์ทั่วไปเลเวล 5 เพียงหนึ่งตัว แต่ผมก็ใช้เวลาเกือบครึ่งนาทีเพื่อจัดการกับมัน และในที่สุดเจ้าหมีดำก็เปล่งเสียงร้องออกมาก่อนตาย ซึ่งในเวลานั้นเลือดของผมเหลือเพียง 41 พอยต์

        กริ๊งๆ!

        ตอนที่ร่างของเจ้าหมีดำนั่นล้มลงกับพื้น ก็มีเสียงไอเท็มดังขึ้น โดยไม่ได้มีเพียงเสียงเงินที่ตกลงมาเท่านั้น แต่ยังมีไอเท็มหนึ่งตกลงมาด้วย ซึ่งก็คือสายรัดข้อมือโง่ๆ ชิ้นหนึ่ง!

        ผมรีบเข้ามาเก็บของที่อยู่บนพื้นก่อนจะก้มดูสถานะของมัน จุ๊ๆ ไม่เลวเลยแฮะ

        [สายรัดข้อมือหมีดำ] (อุปกรณ์ระดับขาว)

        ประเภท :เกราะ

        พลังป้องกัน :7

        เลเวลที่สามารถใช้งานได้ :4

        ……

        เกราะงั้นเหรอ? ตอนนี้ผมยังใส่ไอเท็มนี้ไม่ได้ งั้นเอาไปขายก่อนดีกว่า  อีกอย่างของนี่ก็เป็นอาวุธระดับขาว คงไม่มีใครอยากได้นักหรอก

        นอกจากสายรัดข้อมือแล้วยังมีเหรียญทองแดง 5 เหรียญตกอยู่ที่พื้น มอนสเตอร์ระดับสูงแบบนี้คงมีของมากกว่าไฮยีน่าเยอะเลย หลังจากที่ผมหยิบทุกอย่างแล้วก็เตรียมตัวออกไปจากที่นี่ เพราะผมคงจะไม่อยู่เพื่อลุยกับเจ้าหมีดำต่อแล้วละ นอกจากดาบในมือแล้วก็ไม่มีอะไรสักอย่าง ขืนสู้ต่อไปคงได้ตายพร้อมมอนสเตอร์พวกนี้แน่

        ดังนั้นผมจึงตัดสินใจกลับไปจัดการกับไฮยีน่าต่อ ตอนนี้ผมเลเวล 3 แล้วทำให้การจัดการกับมอนสเตอร์เลเวล 3 กลายเป็นเรื่องง่าย หลังจากใช้เวลาจัดการกับพวกมันถึงหนึ่งชั่วโมง ผมก็อัปเป็นเลเวล 4 ในที่สุด และเป็นเวลาเดียวกับที่ในกระเป๋าของผมมีเงินอยู่ 47 เหรียญทองแดง ช่างไม่ต่างจากพวกเศรษฐีใหม่เลยนะเนี่ย!

        พอหันกลับไปมองรอบๆ ผมก็เห็นผู้เล่นไม่น้อยซึ่งมาเก็บเลเวลที่นี่ ดูเหมือนว่าผมจะอยู่ต่อนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว งั้นกลับไปที่หมู่บ้านเตรียมไอเท็มแล้วค่อยไปลุยจุดที่โหดกว่านี้ก็แล้วกัน

        ……

        ผมแบกดาบของตัวเองเดินผ่านทุ่งหญ้า ขณะนั้นก็เห็นกลุ่มคนเดินมา พวกเขาถือขวานในมือซึ่งก็คือเหล่าบาร์บาเรียนเลเวล 6 นั่นเอง ทันใดนั้นคนหนึ่งในกลุ่มก็ตะโกนขึ้นว่า “เฮ้เพื่อน มาเก็บเลเวลที่นี่ มีไอเท็มอะไรที่อัศวินใช้ได้หรือเปล่า?”

        ผมหยิบสายรัดข้อมือที่ได้จากหมีดำออกมาจากกระเป๋า “มีอุปกรณ์ระดับขาว ไม่กำหนดอาชีพ อยากได้หรือเปล่าล่ะ?”

        หนึ่งในบาร์บาเรียนหัวเราะออกมา “พลังการป้องกัน 7 พอยต์งั้นหรือ? น่าสนใจดีนี่ นายขายเท่าไรล่ะ?”

        ผมกวาดตามอง “ที่ร้านค้ารับซื้ออยู่ที่ 21 เหรียญทองแดง นายจ่ายมากกว่านั้นได้ไหมล่ะ?”

        “เอาสิ” บาร์บาเรียนตอบกลับพร้อมยิ้ม “งั้นฉันให้นาย 50 เหรียญทองแดง ตกลงไหม?”

        “ตกลง”

        ใช้เวลาไม่นานการซื้อขายก็เสร็จสิ้น ผมถือดาบเดินออกไปพร้อมเงินในกระเป๋าเกือบ 100 เหรียญทองแดง ตอนนี้ผมมีเงินใกล้จะถึง 1 เหรียญเงินแล้ว!

        ……

        หลังจากที่กลับมาถึงหมู่บ้านสุนัขฟาง ผมก็ถอดชุดเกราะเลเวล 2 ที่ได้จากพวกไฮยีน่าและเกราะหนังสีขาวออก ในที่สุดตอนนี้ผมก็มีเงิน 121 เหรียญทองแดงแล้ว! ผมกวาดตามองเกราะผ้าภายในร้านขายไอเท็ม... อืม... เสื้อคลุมเลเวล 2 เพิ่มค่าพลังป้องกัน +2 แต่ต้องใช้เงินซื้อถึง 70 เหรียญทองแดงแน่ะ แพงเกินไป ไม่เอาดีกว่า... ดูเหมือนว่าคงต้องรอตีมอนสเตอร์แล้วค่อยไปเก็บจากพวกนั้นน่าจะดีกว่า

        เมื่อมาถึงร้านขายยา ผมก็เห็นยามานาระดับ 1 ซึ่งสามารถเพิ่มค่า MP ได้ 50 พอยต์ ราคาขวดละ 1 เหรียญทองแดง ผมซื้อมา 23 ขวดพร้อมกับซ่อมแซมดาบตัวเองด้วย ตอนนี้ผมจึงกลับมาเหลือเงินอยู่แค่ 1 เหรียญอีกแล้ว เอาละ ยินดีต้อนรับเข้าสู่สมาคมคนกระจอกอีกครั้งนะสหายรัก!

        เมื่อเดินออกจากร้าน หนทางแห่งการต่อสู้อันดุเดือดของฮีลเลอร์สายบู๊อย่างผมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!




………………………………………………………………………………………….

        [1] ค่า EXP หมายถึง ค่าประสบการณ์

        [2] ค่า MP หมายถึง ค่าพลังเวทมนตร์

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 16.07 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
9 เมื่อ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 14.03 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 9 ราชันหมีหนาม

 

        หลังจากเปิดดูแผนที่ เป็นเพราะเลเวลของผมยังจำกัดอยู่ จึงทำได้เพียงมองหาพื้นที่เล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านแห่งนี้ ไกลออกไปอีกหน่อยมีแค่หมอกควันจางๆ หลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่งผมก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ที่นั่นอยู่ห่างจากหมู่บ้านสุนัขฟางค่อนข้างมาก แถมยังไม่ค่อยมีคนเท่าไร ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมไม่ได้อยากไปแย่งตีมอนสเตอร์กับชาวบ้านด้วย อาชีพฮีลเลอร์อย่างผมไม่เหมาะจะไปแก่งแย่งกับใคร เพราะสิ่งเดียวที่จะได้รับกลับมาคือการลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นนั่นแหละ

        เมื่อเปิดหน้าจอสกิลขึ้นมาก็พบว่า สกิลห้ามเลือดของผมตอนนี้มีค่า EXP อยู่ที่ 77/100 อีกนิดเดียวก็สามารถอัปเลเวลได้แล้ว สกิลนี้หากอัปถึงเลเวล 2 มันจะสามารถฮีลเลือดได้ถึง 100 พอยต์ต่อครั้ง ย่อมทำให้การเอาตัวรอดของผมสูงขึ้นตามไปด้วย

        ลุยกันเลย!

        ……

        ผมออกมาจากหมู่บ้านพร้อมดาบในมือและใช้เส้นทางเดิมจากจุดที่ผมเคยผ่านเมื่อคราวก่อนเพื่อเข้าไปยังจุดที่ลึกกว่านั้น หลังจากเดินมาได้ 20 นาที ก็มาถึงสถานที่ที่ผมไม่กล้ามาก่อนหน้านี้ ซึ่งก็คือป่าไม้หมีป่า ซึ่งด้านในมีหมีเลเวล 5 ถึงเลเวล 7 อาศัยอยู่ เมื่อดูระดับของตัวเองแล้วถือว่าเสี่ยงมากๆ แม้จะดูเหมือนเป็นความดื้อรั้นของผมในการมาที่นี่ แต่ตอนนี้ผมมาพร้อมกับยามานา 23 ขวด ซึ่งคิดว่าเพียงพอจะจัดการกับเจ้าพวกนี้ได้สบายๆ

        เริ่มเลย!

        ผมเริ่มจู่โจมหมีดำเลเวล 5 ด้วยดาบในมือโดยใช้เวลา 30 วินาทีพร้อมกับฮีลตัวเองอีก 4 ครั้ง ซึ่งใช้ค่า MP ของผมไป 20 พอยต์ แต่ก็ยังพอรับได้อยู่ เอาละ ลุยเป้าหมายต่อไปเลยดีกว่า

        การที่ผู้เล่นเลเวล 4 สามารถฆ่ามอนสเตอร์เลเวล 5 ได้ ส่งผลให้ค่า EXP ของผมเพิ่มขึ้นไม่น้อย และใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงทำให้หมีดำอีกตัวลงไปนอนกองอยู่บนพื้น ระดับของผมก็เพิ่มมาถึงเลเวล 5!

        กรร!!!

        เสียงหมีดำคำรามก่อนตาย ทันใดนั้นไอเท็มก็ร่วงหล่นจากร่าง ผมรีบหยิบขึ้นมาดู อืม... ผมสามารถสวมมันได้ด้วยแฮะ

        [เกราะข้อมือหมีดำ] (อุปกรณ์ระดับขาว)

        ประเภท : เกราะผ้า

        พลังการป้องกัน :3

        เลเวลที่สามารถใช้งานได้ :4

        ……

        ผมสวมเกราะข้อมือระดับขาว ซึ่งให้พลังการป้องกันที่เพิ่มขึ้นถึง 9  พอยต์ เมื่อกวาดตามองไปด้านหน้าก็เห็นหมีเทาเลเวล 7 ตัวหนึ่งส่งเสียงคำรามขณะเลียอุ้งมือตัวเองด้วยท่าทางบ้องแบ๊วพร้อมกับจ้องมาทางผม หาที่ตายซะแล้วไอ้เจ้าหมีเอ๊ย!

        ผมถือดาบในมือก่อนจะเดินไปหามัน เมื่อเห็นว่าบริเวณรอบๆ ไม่มีมอนสเตอร์และผู้เล่นอื่นอยู่ ผมก็หมายหัวเจ้าหมีเทาเลเวล 7 เป็นเป้าหมายต่อไปทันที

        ฉึก!

        ผมพุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมดาบในมือแล้วฟันหัวของเจ้าหมีเทา ทว่าผมกลับได้ยินเสียง ‘เคร้ง’ ราวกับว่าดาบของผมปะทะกับโลหะบางอย่างในตัวของเจ้าหมีเทาตัวนี้ จนทำให้ค่าเลือดของผมลดลง

        “-15”

        พลังโจมตีของผมตอนนี้คือ 23 พอยต์ ถึงแม้ว่ามันจะสร้างความเสียหายแก่ผมไม่ได้มาก แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหมีตัวนี้จะมีพลังป้องกันมากกว่าหมีดำแน่ๆ

        กรร!!!

        หมีเทาเงยหน้าขึ้นก่อนจะเปล่งเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล แล้วใช้อุ้งมือตะปบบ่าของผม ผมหลบไปทางขวาอย่างว่องไว แต่น่าเสียดายที่ยังเร็วไม่พอ

        “-37”

        โอ๊ย! เจ็บชะมัดเลยโว้ย! เกราะผ้าของฮีลเลอร์ที่ใส่อยู่นี่ พลังป้องกันต่ำเกินไปแล้ว

        ผมฟาดดาบไปด้านหน้าอีกครั้งพลางคิดในใจว่า ทำไมนะผมจึงไม่สามารถหลบการโจมตีของมอนสเตอร์ได้ เกม Destiny ได้แจ้งไว้นี่นาว่ามันขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เล่น ผู้เล่นสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้ ไม่ว่าจะเป็นการหลบหลีกหรือโจมตี แต่ทำไมผมถึงทำไม่ได้ล่ะ?

        ครั้งที่สอง อุ้งมือของเจ้าหมีเทาตะปบลงมาอีกครั้ง เห็นเช่นนั้นผมก็รีบกระโดดถอยหลังทันที

        ผัวะ!

        “-39”

        บัดซบ! อุ้งมือของมันตะปบเข้าที่ใบหน้าหล่อเหลาของผมเต็มๆ เจ็บชะมัด ไม่ได้การละ ต้องรีบฮีลเดี๋ยวนี้

        ครั้งที่สาม เมื่อเจ้าหมีเทาโจมตีอีกครั้ง ผมยืนนิ่งๆ  ไม่หลบเหมือนก่อนหน้านี้ ตอนที่อุ้งมือของมันใกล้จะถึงตัว ผมขยับไปทางทิศตรงข้ามกับอุ้งเท้าของมันซึ่งห่างออกไปราว 1-2 เมตร ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงลมพัดผ่านข้างหู ครั้งนี้ดูเหมือนว่าผมจะสามารถหลบอุ้งมือของมันได้ ทันใดนั้นข้อความก็เด้งขึ้นมา

        “MISS!”

        ข้อความการต่อสู้ :ท่านหลบหลีกการโจมตีของหมีเทาได้สำเร็จ [ระดับต้น]

        ผมแอบดีใจก่อนจะฟาดดาบลงไปที่ร่างเจ้าหมีเทา ทันใดนั้นมันก็สร้างดาเมจให้กับเจ้าหมีถึง -34 พอยต์ภายในคราวเดียว จุดอ่อนของศัตรูนั้นเป็นสิ่งที่สามารถเอาชีวิตมันได้ง่ายที่สุด และเป็นสิ่งที่ผู้เล่นจำเป็นต้องรู้ด้วย

        แต่น่าเสียดายที่ค่าความเร็วของผมไม่ได้สูงมาก เลยทำให้การเคลื่อนไหวของผมเป็นไปอย่างเชื่องช้า ไม่อย่างนั้นผมคงสามารถหลบหลีกการโจมตีได้ดีกว่านี้ ท่าหลบหลีกการโจมตีถือเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ไม่เช่นนั้นถ้าผมต้องกำจัดพวกมอนสเตอร์ก็คงมีแต่จะเสียเปรียบ และแน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถทำได้ เทคนิคการหลบหลีกมีหลายรูปแบบ ซึ่งต้องใช้ความอดทนและความยืดหยุ่นทางจิตวิทยาจึงจะสามารถทำได้

        ……

        ฉัวะ!

        ดาบของผมฟาดหัวของเจ้าหมีเทา มันร้องครวญครางก่อนจะร่วงไปกองกับพื้น พร้อมกับไอเท็มที่หล่นลงมา ครั้งนี้ถือว่าลาภลอยแฮะ เพราะมีไอเท็มออกมาให้ผมตั้งสองชิ้นแน่ะ

        บนสนามหญ้า ผมก้มลงหยิบของที่หล่นอยู่ มันเป็นเสื้อคลุมที่มีแสงเรืองรอง ผมกวาดตาดก็รู้สึกดีใจมาก ให้ตายเถอะ! นี่มันคือไอเท็มที่เพิ่มค่าสถานะนี่

        [เสื้อคลุมหมีเทา] (อุปกรณ์ระดับดำ)

        ประเภท :เกราะผ้า

        พลังป้องกัน :10

        HP :+2

        เลเวลที่สามารถใช้งานได้ :5

        ……

        เมื่อเห็นค่าสถานะของไอเท็มแล้วผมถึงกับยิ้มร่า เจ๋ง! HP +2 เป็นสิ่งที่ผมกำลังต้องการอยู่พอดี พลังการป้องกันก็เยี่ยมยอด ผมรีบสวมมันทันทีพร้อมกับค่าการป้องกันที่เพิ่มขึ้น 19 พอยต์ในเวลาอันรวดเร็ว ขณะเดียวกันพลังเวทมนตร์ของฮีลเลอร์ก็เพิ่มเป็น 1.0 HP +2 พอยต์ที่ได้มาทำให้ค่า MP ของผมเพิ่มขึ้นถึง 20 พอยต์ ซึ่งมันสามารถเอามาใช้ฮีลเลือดระดับ 1 ได้ถึง 4 ครั้ง ถือว่าเป็นของที่ยอดเยี่ยมไปเลย

        ฟึบ!

         เมื่อสวมเสื้อคลุมแล้วผมก็ปรับมุมมองผู้เล่น ว้าว... ดูอย่างกับนักวิชาการเลย ติดอยู่อย่างเดียวคือดาบในมือผมที่ดูขัดตาไปหน่อย ถ้าเปลี่ยนดาบนั่นเป็นหนังสือละก็ เข้าตำรานักวิชาการพอดีเลย แต่จะเอาหนังสือไปสู้กับพวกมอนสเตอร์ก็ดูประหลาดไปนิด ใช้ดาบนี่แหละดีที่สุดแล้ว!

        หลังจากที่มีพลังการป้องกันระดับสูงแล้ว ผมก็ไปสู้กับเจ้าหมีเทาทันที และก็เป็นอย่างที่คิด เจ้าหมีเทาสร้างความเสียหายให้ผมได้แค่ -20 พอยต์ ซึ่งเพียงพอที่ผมจะรับมือได้แล้ว ขณะที่ตอนนี้ผมก็กำลังฝึกหลบหลีกการโจมตี จำเป็นต้องใช้สมาธิในการต่อสู้เป็นอย่างมาก เพราะการโจมตีของเจ้าหมีเทาในแต่ละครั้งล้วนแตกต่างกัน เนื่องจากระบบถูกสร้างมาแบบสุ่ม ดังนั้นการหลบหลีกของผมจึงต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย

        ข้อความการต่อสู้ :ท่านหลบหลีกการโจมตีของหมีเทาได้สำเร็จ

        ข้อความการต่อสู้ :ท่านหลบหลีกการโจมตีของหมีเทาได้สำเร็จ

        ข้อความการต่อสู้ :ท่านหลบหลีกการโจมตีของหมีเทาได้สำเร็จ

        ……

        ข้อความการต่อสู้แสดงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ผมที่กำลังถือดาบอยู่ในมือก็สนุกไปกับการต่อสู้ในเกมมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าค่าเฉลี่ยความสำเร็จในการหลบหลีกจะต่ำมาก คือประมาณ 10% เท่านั้น แต่การฝึกซ้ำๆ ก็ไม่ใช่เรื่องผิด อีกอย่างผมก็ยังไม่เคยสู้กับผู้เล่นในเกมด้วย ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต

        การฆ่าหมีเทาเลเวล 7 ไม่สร้างความกดดันให้แก่ผมอีกแล้ว ผู้เล่นเลเวลนี้ส่วนใหญ่ต่างมีไอเท็มอุปกรณ์ระดับขาวกันทั้งนั้น แต่สำหรับผมตั้งแต่หัวจรดเท้ากลับไม่มีไอเท็มอะไรเลย มีเพียงเสื้อคลุมตัวเดียวที่ได้มาจากหมีเทา ซึ่งเป็นไอเท็มหายากมาก ก่อนหน้านี้เกมได้เคยประกาศไว้แล้วว่าโอกาสที่มอนสเตอร์ระดับต่ำจะทิ้งอุปกรณ์ระดับเหล็กดำนั้นมีน้อยมากถึง 0.1% เลยทีเดียว และทุกคนต่างก็ทำใจมาตั้งนานแล้ว

        เพียงครู่เดียวเวลาก็ล่วงเลยไป 2 ชั่วโมงกว่า ผมจฆ่าเจ้าหมีเทาจนทำให้เลเวลขึ้นสูงถึงระดับ 7 และค่าสถานะของผมที่ได้มาจากเลเวลที่สูงขึ้นก็หมดไปกับการเพิ่มพลังโจมตีอีกเช่นเคย ดูจากค่าสถานะตอนนี้ ฐานะฮีลเลอร์ของผมถือว่าเป็นฮีลเลอร์สายบู๊เลยละ และมันก็จำเป็นต้องสร้างความแข็งแรงระดับสูงให้กับข้อมือของผมด้วย ไม่เช่นนั้นหลังจากนี้ผมคงไม่สามารถถืออาวุธได้ ถึงตอนนั้นถ้าไม่มีปัญญาถือคทา คงจะโดนคนหัวเราะเยาะจนฟันร่วงแน่

        เมื่อมองค่าสถานะแล้ว ดูเหมือนว่าผมยังช้ากว่าคนที่มีเลเวลสูงสุดถึง 10 เลเวลเลยแฮะ

        [เซียวเหยาจื้อจ้าย] (ฮีลเลอร์ฝึกหัด)

        เลเวล: 7

        พลังโจมตี :31-33

        พลังป้องกัน : 21

        HP: 160

        MP : 130

        ค่าเสน่ห์ : 0

        ……

        แม้ว่าการโจมตีจะไม่อาจเทียบเท่าพวกเบอร์เซิร์กเกอร์ และนักดาบ การป้องกันไม่สามารถเทียบเท่ากับพวกอัศวิน และค่า HP ไม่อาจเทียบได้กับพวกนักเวทและฮีลเลอร์คนอื่นๆ แต่ผมสามารถโจมตีและฮีลได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเหมาะที่จะลุยเดี่ยวมาก! แม้ว่ามันจะไม่ได้โดดเด่นที่สุดก็ตาม...

        ด้วยข้อจำกัดของสถานะและอาชีพ ทำให้ผมยังไม่กล้าสู้กับมอนสเตอร์เลเวลสูงกว่านี้ ฉะนั้นเลือกมอนสเตอร์เลเวล 9 ก็แล้วกัน มากกว่าผม 2 เวลก็พอแล้ว

        ……

        ผมเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบว่าในเกมตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว แสงจันทร์ยามนี้สวยงามราวกับลอยล่องไปตามแม่น้ำ ขณะที่ให้แสงสว่างสาดส่องไปทั้งผืนป่า ประกอบกับเสียงโหยหวนของบรรดาหมีที่ชวนให้ขนลุก อืม... ดูเหมือนว่าผมจะเข้ามาในจุดที่ลึกที่สุดของป่าไม้หมีป่าแล้วสินะ

        ผมหยุดเดินเมื่อเห็นเป้าหมายใหม่ตรงหน้า มันเป็นหมีป่าที่มีหนามแหลมอยู่บนหลัง มีเลเวลอยู่ที่ 9 เป็นเป้าหมายซึ่งผมกำลังตามหาพอดี

        [หมีหนาม] (มอนสเตอร์ทั่วไป)

        เลเวล : 9

        พลังโจมตี :32-50

        พลังป้องกัน :15

        HP : 300

        สกิล : [กรงเล็บที่แหลมคม]

        ข้อมูลมอนสเตอร์ :หมีหนาม เป็นมอนสเตอร์ที่ถูกดัดแปลงด้วยเวทมนตร์ มีพลังการโจมตีระดับสูง อีกทั้งยังมีการสะท้อนความเสียหายให้กับผู้โจมตี 10% มันซ่อนตัวอยู่ในป่า แต่เมื่อถึงคราวปรากฏตัว มันจะฆ่าทุกอย่างจนสิ้นซากโดยเฉพาะมนุษย์

        ……

        “หึ ๆ งั้นเป็นแกก็แล้วกันนะ...”

        ผมหยิบดาบออกมาเตรียมสู้กับศัตรูตรงหน้า ให้ตายเถอะ ตอนนี้หลินหว่านเอ๋อร์กับตงเฉิงเยว่คงจะเลเวลเกิน 14 ไปแล้ว แต่ผมยังไม่ถึงระดับ 10 เลย ไม่ได้การละ ต้องรีบอัปให้ถึงเวล 10 ให้ได้เร็วๆ บ้าง จะได้ออกจากหมู่บ้านเริ่มต้นแล้วเข้าสู่เมืองหลักสักที ไม่เช่นนั้นผมคงโดนพวกเธอดูถูกจนเสียความมั่นใจอีกรอบแน่ๆ!

        ย้าก!

        สกิลดาบแห่งความโกลาหลถูกเรียกใช้งาน พร้อมกับออร่าที่พุ่งออกมาก่อนที่มันจะฟาดไปที่หัวของเจ้าหมีหนามตัวนั้น การเคลื่อนไหวของหมีหนามรวดเร็วมาก มันส่ายหัวไปมาจนทำให้เป้าหมายในครั้งนี้ยากที่จะจัดการ

        “-17”

        อย่างที่คิดไว้จริงๆ เป็นเพราะการป้องกันของมันสูงมากจนผมไม่สามารถจัดการมันได้

        เจ้าหมีหนามคำรามพร้อมยกอุ้งมือที่มีกรงเล็บแหลมเพื่อโจมตี นี่เป็นสกิลของมันแน่ๆ ผมต้องหลบให้ได้ ไม่เช่นนั้นคงจะเจ็บมากแน่ๆ ผมใช้สายตาจับจ้องการเคลื่อนไหวของมันเพื่อดูว่าควรหลบไปทางไหน ก่อนจะตัดสินใจกระโดดถอยไปเกือบ 2 เมตร แต่น่าเสียดายที่ยังช้าเกินไป ผมโดนตะปบหน้าอกจนเกิดบาดแผลจนได้ เจ็บชะมัด...

        “-51”

        ค่าความเสียหายที่ปรากฏขึ้นทำให้ผมหมดกำลังใจจะสู้ต่อ ผมรีบใช้สกิลการห้ามเลือดทันที ในเวลาเดียวกันก็ใช้ดาบโจมตีอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง เอาเถอะ ยังไงก็ขอสู้ต่อ ผมฮีลตัวเองได้ แต่เจ้าหมีตัวนี้ฮีลตัวเองไม่ได้ ถึงอย่างไรผมต้องชนะมันอยู่แล้ว!

        เมื่อโจมตีอีกครั้ง เลือดของผมก็น้อยลงเรื่อยๆ โดยที่สกิลฮีลเลือดของผมมีการคูลดาวน์ถึง 6 วินาที ซึ่งมันไม่น่าจะสามารถทนการโจมตีของหมีหนามตัวนี้ได้ ระหว่างที่ผมกังวลเรื่องนี้ เลเวลของผมก็อัปพอดี ผมจึงฮีลเลือดตัวเองทันที จนทำให้ต้องเสียค่า MP ไป 10 พอยต์

        “+100”

        โชคดีที่สกิลการห้ามเลือดของผมเพิ่มเป็นเลเวล 2 แล้ว

        ในเวลานี้เองผมจึงเข้าใจถึงความน่ากลัวของมอนสเตอร์เลเวล 9 ผมโจมตีมันไปเรื่อยๆ ซึ่งใช้เวลา 1 นาทีกว่าเจ้าหมีหนามจะถูกผมโค่นลงในที่สุด หลังจากที่มันถูกผมฆ่าตาย มันก็ทิ้งเงิน 3 เหรียญทองแดงไว้บนพื้น ผมเก็บขึ้นมาก่อนจะดื่มยามานาเพื่อฟื้นพลัง แล้วออกตามหาเจ้าหมีหนามอีกครั้ง

        ……

        ขณะนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่า แต่ก็ยังไม่มีการติดต่อจากหลินหว่านเอ๋อร์ ดูเหมือนว่าเธอเองก็กำลังเก็บเลเวลอยู่ ถ้าอย่างนั้นผมก็จะยังไม่ออกจากระบบ ก็ดีเหมือนกัน รอให้ถึงเลเวล 9 ค่อยว่ากันใหม่

        เวลาสามทุ่ม หลังจากที่แสงสีทองปรากฏขึ้น ผมก็เข้าสู่เลเวล 9 พอดี และแน่นอนว่าผมยังคงเพิ่มคะแนนที่ได้รับจากเลเวลที่เพิ่มขึ้นไปที่พลังโจมตีเหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะผมอยากได้การโจมตีที่รุนแรงขึ้น

        ผมเดินผ่านศพของเจ้าหมีหนามเพื่อไปต่อ ทว่าทันใดนั้นด้านหน้าของผมก็มีกลิ่นอายแห่งแรงอาฆาตที่กระหายเลือดเกิดขึ้น

        กรร กรร!

        พวกแมลงต่างพากันบินว่อนบริเวณที่มีร่างของมนุษย์นอนอยู่ซึ่งอยู่เหนือหน้าผาหินสีฟ้า คู่กับร่างของหมีป่าซึ่งมีแสงสีทองอยู่รอบตัวนอนอยู่ใกล้กัน โดยที่บนหัวของหมีป่ามีตัวอักษรปรากฏ

        [ราชันหมีหนาม] (มอนสเตอร์ระดับบอส)

        เลเวล :10

 

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 2 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 16.09 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
10 เมื่อ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.38 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 10 ดาบหนาม

 

        ฉึก!

        ผมปักดาบที่พื้นก่อนนั่งลงเงียบๆ พลางคิดว่าควรทำอย่างไรกับบอสของหมู่บ้านเริ่มต้นตัวนี้ ดูเหมือนว่าการได้เจอกับบอสตัวนี้ถือว่าเป็นเรื่องยาก แถมยังไม่มีใครจัดการมันได้ จากที่ผมสำรวจมาเจ้านี่ต้องเก่งที่สุดในบรรดามอนสเตอร์ทั้งหมดของหมู่บ้านสุนัขฟางแน่ ถ้าผมฆ่ามันได้ละก็ คงจะได้ไอเท็มดีๆ เป็นแน่ ไม่ลุยไม่ได้แล้วสิเนี่ย

        แต่… ผมจะฆ่ามันยังไงดีล่ะ? ใช้เกราะผ้าแล้วโจมตีเหมือนก่อนหน้านี้งั้นหรือ?

        ……

        ผมจ้องดูดวงดาวบนฟ้าก่อนจะมองไปที่บอสตัวนั้น ผมตัดสินใจแล้ว... ใช่ว่าผมจะไม่สามารถฆ่ามัน เพียงแต่ผมต้องใช้ข้อได้เปรียบจากพื้นที่ ร่างกายของเจ้านี่มีขนาดใหญ่ และขาของมันก็ไม่ถือว่ายาวมากนัก สกิลการโจมตีก็มีจำกัด บางทีผมอาจใช้ประโยชน์จากโพรงต้นไม้ใหญ่ด้านขวานั่น โดยการเข้าไปหลบในนั้นแล้วจัดการมันซะ?

        ฮึบ

        ผมลุกขึ้นยืน เอาละ ลองลุยดูก็แล้วกัน ไม่ลองไม่รู้!

        ทันทีที่ผมลุกขึ้นก็มีเสียงหนึ่งดังจากด้านหลัง

        “ไงเพื่อน นายจะจัดการเจ้านั่นคนเดียวเหรอ?”

        ให้ตายเถอะ มีคนอยู่แถวนี้ด้วยแฮะ...

       ผมที่ถือดาบหันหลังไปมอง เห็นคนยืนอยู่ 5 คนซึ่งแต่ละคนต่างมีเลเวลอยู่ที่ 8-10 และหนึ่งในนั้นมีสัญลักษณ์หัวหน้าทีมลอยอยู่ที่แขน ผู้เล่นเลเวล 10 เป็นอะไรที่หาได้ยากแถวนี้

        ID :ซีฉู่ป้าหวาง[1] ผู้เล่นเลเวล 10 (นักดาบฝึกหัด) 

        ……

        แค่เห็นชื่อก็รู้แล้วว่าหัวรุนแรง ด้านหลังเขายังมีอีก 4 คน ซึ่ง 2 คนในกลุ่มนั้นเล่นอาชีพนักเวทเลเวล 9 อีกคนเป็นบาร์บาเรียน ส่วนอีกคนเป็นอัศวินผู้มาพร้อมกับหอกยาว คนพวกนี้ดูแปลกๆ ที่ไม่มีฮีลเลอร์อยู่ในกลุ่มแม้แต่คนเดียว

        ซีฉู่ป้าหวางเดินมาด้านหน้าแล้วมองผม ทันใดนั้นก็แสยะยิ้ม “นี่เพื่อน นายนี่น่าสนใจดีนะ เป็นฮีลเลอร์แต่ดันถือดาบ จุ๊ๆๆ นี่นายอัปค่า STR[2] ไปเท่าไรเนี่ยถึงได้มีพลังขนาดนี้? แต่ช่างเถอะ ต่อให้ใช้ดาบได้ แต่ก็ยังไม่สามารถฆ่าบอสระดับ 10 ด้วยตัวคนเดียวได้อยู่ดี”

         

        ผมมองกลุ่มคนเหล่านั้นโดยไม่พูดอะไร

        ซีฉู่ป้าหวางพูดต่อ “เอางี้ไหม นายมาเข้าร่วมปาร์ตี้พวกเราแล้วจัดการกับบอสนี่ ถ้ามีไอเท็มเป็นเสื้อคลุมดรอปลงมา ฉันจะให้นายกับนักเวทในกลุ่มฉันอีก 2 คนใช้ระบบทอยเต๋าเพื่อรับไอเท็มชิ้นนั้น นายตกลงไหมล่ะ? หรือไม่ก็...”

        ผมยิ้มออกมา “หรือไม่ก็อะไรล่ะ? นี่นายกำลังขู่ฉันเหรอ? พวกนายมากันเป็นกลุ่ม แต่ดันไม่มีฮีลเลอร์อยู่ในทีม ยังไงก็ไม่มีทางสู้บอสได้หรอก พวกนายเองก็น่าจะรู้ดีนี่”

        ซีฉู่ป้าหวางแสดงสีหน้าน่ากลัวแวบหนึ่งก่อนยิ้มออกมา “นายอย่าคิดมากสิ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย ฉันหลิวอิงถึงแม้จะไม่ใช่สุภาพบุรุษอะไร แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะไปแย่งฆ่าบอสใครหรอกนะ นายลองคิดดูสิ ลำพังนายคนเดียวฆ่ามันไม่ได้หรอก พวกฉันก็จัดการไม่ไหวถ้าไม่มีฮีลเลอร์อยู่ในปาร์ตี้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ เรามาอยู่ปาร์ตี้เดียวกันแล้วร่วมมือกันฆ่ามันไม่ดีกว่าหรือ? ว่าแต่... สกิลฮีลเลือดของนายเลเวล 2 แล้วใช่ไหม? ถ้าเลเวล 1 มันฮีลได้แค่ 50 พอยต์ ยังไงก็สู้บอสนี่ไม่ได้อยู่ดี”

        ผมพยักหน้า “อื้อ เลเวล 2 แล้ว แต่... ฉันมีเงื่อนไขอยู่หนึ่งข้อ นายต้องตกลงกับฉันก่อน ถ้านายไม่ตกลง ต่อให้นายข่มขู่ฉัน ฉันก็ไม่ยอมร่วมมือกับนายหรอก...”

        ซีฉู่ป้าหวางหัวเราะร่า “ได้สิ ถ้ามันดีกว่าการฆ่านาย นายก็ลองพูดมาว่าต้องการอะไร ถ้าไม่ได้มากมายเกินไปนัก ฉันจะยอมรับข้อเสนอของนาย”

        “ได้”

        ผมมองซีฉู่ป้าหวางก่อนจะหันไปมองอัศวินข้างเขาพร้อมยิ้มออกมา “ฉันไม่ได้ต้องการไอเท็มเสื้อคลุม ถ้ามีไอเท็มเสื้อคลุมดรอปลงมาฉันจะให้พวกนาย สิ่งที่ฉันต้องการคือดาบ นายเองก็เห็นว่าอาวุธที่ฉันใช้คือดาบ สิ่งที่ฉันต้องการมีแค่นี้ ถ้ามีดาบดรอปหลังจากจัดการกับบอสได้ นายต้องใช้วิธีการทอยเต๋าเพื่อหาเจ้าของ ตกลงไหมล่ะ?”

        ซีฉู่ป้าหวางเงียบไป หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ถึงแม้ว่าฉันจะมีอาชีพที่ต้องใช้ดาบ แต่ในเมื่องานอดิเรกของนายคือสายบู๊ระยะประชิด งั้นก็ตกลง ถ้าดาบดรอปลงมา เราก็มาทอยเต๋ากันว่าใครจะได้ไป เอาละ ตอนนี้นายเข้าปาร์ตี้กับเราได้แล้ว”

        “อื้ม”

        ……

        ในเวลาอันรวดเร็ว ผมก็เข้ามาอยู่ในปาร์ตี้ของซีฉู่ป้าหวาง โดยภายในกลุ่มมีสมาชิก 6 คน ซึ่งพร้อมสำหรับการสังหารบอสแล้ว ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็พูดคุยรายละเอียดข้อตกลงกันใหม่ ว่าหากดาบถูกดรอปลงมา ผมจะเข้าร่วมการทอยเต๋าเพื่อหาเจ้าของ แต่ถ้าเป็นเสื้อคลุมผมจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับไอเท็มชิ้นนั้น ซึ่งดูเหมือนว่าเจ้านี่คงจะไม่อยากให้ผมได้อะไรเลยสักอย่างสินะ แต่โอกาสที่จะได้ดาบก็ไม่ได้มีมากนักหรอก

        “เอาละ ไปลุยกันเถอะ!” ซีฉู่ป้าหวางถือดาบเหล็กในมือซึ่งเป็นของที่คล้ายกับของเขา ก่อนจะออกคำสั่งว่า “ตูหลี นายไปล่อบอสให้เข้ามาตีนายนะ ส่วนนักเวทสองคนโจมตีบอส อัศวิน นายใช้ท่าดาบหนักจัดการกับมัน ส่วนฉันจะโจมตีแบบคอมโบ ส่วนนายเซียวเหยาจื้อจ้าย นายตามประกบตูหลี ช่วยฮีลเลือดให้เขา อย่าให้ถูกบอสจัดการล่ะ”

        “เข้าใจแล้ว”

        พระงั้นเหรอ? เจ้าหนุ่มบาร์บาเรียนซึ่งดูเหมือนจะอายุราวๆ 24 ปีถือคทาพุ่งไปด้านหน้า ก่อนฟาดราชันหมีหนามตัวนั้นอย่างรวดเร็ว

        แฮ่!

        “-8”

        ช่างเป็นการดาเมจที่เบาจริงๆ อาชีพพระในเกมนี้มีพลังป้องกันและเลือดเยอะที่สุด คนจะเรียกอาชีพนี้กันว่า ’มนุษย์เกราะ’ เป็นอาชีพที่จะเก่งกาจในช่วงหลังๆ แต่ขณะนี้พลังโจมตีของเขาโคตรน่าสังเวชจนน่าขำ

        โฮก...

        บอสกระโดดลงจากผาหินสีฟ้าแล้วใช้กรงเล็บตะปบใบหน้าของพระผู้นั้นอย่างแรง จนค่าความเสียหายเด้งขึ้นมา

        “-74”

        “ให้ตายสิ...” ซีฉู่ป้าหวางสบถออกมา “ตูหลี นายเพิ่มพลังป้องกันกับเลือดของนายไป 5 พอยต์แล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมโดนสร้างค่าดาเมจถึง -74 พอยต์จากการโจมตีแค่ครั้งเดียวหา? หรือว่าการป้องกันของนายไปอยู่บนตัวหมาหมดแล้ว?!”

        พระถอยออกมาด้วยความรวดเร็วก่อนตะโกนกลับไป “การโจมตีของบอสรุนแรงเกินไป ไม่ใช่เพราะการป้องกันของฉันมันแย่ ฉันมีเลือดอยู่แค่ 500 พอยต์ เซียวเหยาจื้อจ้าย นายจัดการฮีลให้ฉันดีๆ ก็แล้วกัน”

        “รู้แล้วๆ”

        ตอนที่บอสเริ่มโจมตีครั้งที่สอง ผมก็เพิ่มเลือดให้พระคนนั้นอีก 100 พอยต์ ซึ่งมันช่วยบรรเทาวิกฤติที่เกิดขึ้นได้เพียงเล็กน้อย

        ซีฉู่ป้าหวางสบถด้วยความโมโหก่อนใช้ดาบฟาดไปข้างหน้าพร้อมกับเกิดม่านแสงสีทองลอยอยู่บนใบมีด ‘ฉัวะๆ’ เสียงดาบดังขึ้นติดต่อกันสองครั้ง นี่เป็นสกิลคอมโบซึ่งดูจากค่าความเสียหายแล้วน่าจะเป็นสกิลเลเวล 2

        “-58”

        “-61”

        ไม่ต้องเสียเวลาคิดเยอะ เจ้านี่คงจะอัพค่า STR ไปกับพลังโจมตีทั้งหมดแน่ๆ

        ในเวลาเดียวกันนักเวทอีก 2 คนก็เริ่มร่ายเวทไฟจนเกิดเปลวเพลิงลุกโชน ‘สวบๆ’ เลือดของบอสลดลงไปเกือบ 100 พอยต์อย่างรวดเร็ว ซึ่งเลือดของมันมีอยู่ถึง 3,000 พอยต์ เห็นได้ชัดว่าอาชีพนี้สามารถสร้างความเสียหายให้บอสได้มากที่สุด

        “สวบ!”

        “+100”

        ผมฮีลเลือดให้พระอีกครั้ง จากนั้นก็เข้าไปใกล้ตัวบอสพร้อมหยิบดาบเพื่อทลองโจมตีมัน อืม… ทดสอบพลังโจมตีของตัวเองดูหน่อยก็แล้วกัน ว่ามันจะสร้างความเสียหายได้สักเท่าไร

        “-21”

        ซีฉู่ป้าหวางแสดงท่าทางตกตะลึง “ให้ตายสิ... พลังโจมตีแรงเหมือนกันนี่หว่า นายนี่เป็นฮีลเลอร์ที่ประหลาดดีนะ...”

        บอสเหวี่ยงอุ้งมือของมันจนผลักพระกระเด็นไป ซีฉู่ป้าหวางรีบเข้ามาแทนตำแหน่งของพระผู้นั้นก่อนจะถูกบอสโจมตีเข้าอย่างจัง จนเลือดของเขาลดลงไป -90 พอยต์ เขารีบตะโกนบอกทันที “เซียวเหยาจื้อจ้าย ไม่ต้องฮีลฉัน นายไปฮีลให้พระก่อน ถ้าเกิดพลาดปล่อยให้พระตาย รูปแบบของทีมเราคงวุ่นวายแน่ๆ”

        ผมพยักหน้าก่อนฮีลต่อไป

        ……

        ถึงแม้การโจมตีของบอสจะดุเดือดและอันตราย แต่พลังป้องกันของพระก็ดูเหมือนจะสูงมาก รวมถึงการฮีลของผมที่ส่งไปให้พระนั่น จนทำให้การโจมตีของบอสถูกต้านไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ภายในเวลาไม่ถึง 2 นาทีเลือดของบอสก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนนี้เหลือเพียง 7% เท่านั้น

        “เฮ้...”

        ซีฉู่ป้าหวางถือดาบแล้วปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของผมก่อนจะส่งสายตาอันตรายมา อะไรกัน? นี่เขากำลังจะฆ่าผมหรือนี่?!

        “ไปตายซะ ไอ้บอสบ้า!”

        ใบมีดของหมอนี่ส่องแสงสีทองอีกรอบก่อนจะโจมตีต่อเนื่องถึงสองครั้ง โอ้โฮ! ไอ้หมอนี่คิดจะจัดการบอสกับผมในคราวเดียวกันเลยสินะ? ไอ้สารเลวเอ๊ย นี่นายคิดจะกำจัดฉันโดยอาศัยช่วงชุลมุนสินะ เจ้าเล่ห์จริงๆ ไอ้บ้าเอ๊ย!

        ฟุ่บ...

        ผมรีบกระโดดหลบไปด้านหลังราวๆ 2 เมตร ก่อนที่ตัวอักษร ‘MISS’ จะลอยขึ้นมา จนซีฉู่ป้าหวางต้องตกตะลึงจนตาค้าง ในเวลาเดียวกันเลือดของพระก็ลดลงเหลือต่ำกว่า 200 พอยต์ เขาจึงตะโกนขึ้นว่า “เซียวเหยาจื้อจ้าย นายยืนทำบ้าอะไรอยู่วะ รีบฮีลให้ฉันได้แล้ว!”

        ผมยังคงยืนนิ่ง ทันใดนั้นบอสก็ใช้กรงเล็บตะปบลงมาสองครั้ง ทำให้อัศวินคนนั้นตายลงทันที ขณะเดียวกันนั้นพระที่ไม่ได้รับการฮีลจากผมก็เริ่มร้อนใจ

        ……

        ราวกับว่าเข้าใจความคิดของผม เจ้าซีฉู่ป้าหวางที่จัดการผมไม่สำเร็จยิ้มพร้อมกับกล่าวขอโทษผม “โทษทีนะ เมื่อกี้ฉันมือลั่นน่ะ...”

        ผมแอบด่าในใจ “มือลั่น? ถุย! ทำไมแกไม่มือลั่นตัดเจ้าหนูของแกแทนวะ?”

        ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ผมก็ฮีลเลือดให้พระ ในเวลาเดียวกันก็ถือดาบวิ่งไปหาบอสโดยพยายามห่างจากเจ้าซีฉู่ป้าหวาง เพราะถ้าโดนไอ้หมอนั่นโจมตีเข้าละก็ แม้ไม่ตายก็คงพิการนั่นแหละ

        ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที บอสก็เปล่งเสียงร้องก่อนจะล้มตัวลง

        กริ๊งๆๆๆ...

        ไอเท็มกับเหรียญดรอปลงมาที่พื้นอย่างรวดเร็ว ว้าว บอสนี่ใจกว้างดีแฮะ ดรอปเงินออกมาเยอะแยะเชียว

        ตอนนี้ผมที่ยืนอยู่ใกล้บอสมากที่สุดใช้สายตากวาดมองไปรอบๆ ก็เห็นว่ามีดาบดรอปลงมาจริงๆ มันเป็นดาบยาวซึ่งมีแสงส่องประกายอยู่รอบๆ ผมรีบยื่นมือไปคว้าดาบยาวนั่นอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกับที่ระบบเริ่มทอยเต๋า ผมจึงรีบตอบตกลงทันที และผมก็ทำคะแนนได้ถึง 99 พอยต์อย่างสวยงาม

        ดูเหมือนว่าคนอื่นๆ ต่างตกใจกับสถานะของดาบยาวนี้เช่นกัน

        [ดาบหนาม] (อุปกรณ์เหล็กดำ)

        พลังโจมตี :21-35

        STR (ค่าโจมตีพื้นฐาน) : +3

        เลเวลที่สามารถใช้งานได้ : 8

        ……

        ใครจะไปคิดว่าจะมีดาบดรอปลงมาจริงๆ แถมยังมีเหรียญรวมๆ กันอีก 100 เหรียญทองแดงดรอปลงมาด้วย ถือว่าเป็นลาภลอยไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ

        “หน็อยแน่!”

        ซีฉู่ป้าหวางมองมาด้วยความโกรธก่อนชักดาบในมือพร้อมคำราม “เวรเอ๊ย ฆ่ามันซะ!”

        ดูเหมือนว่าหางของไอ้หมอนี่จะโผล่ออกมาแล้วสินะ หึ! ทันใดนั้นมันก็ใช้สกิลคอมโบเพื่อจัดการผมทันที

        ผมรีบถอยไปอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนจะหลบไม่พ้น

        “MISS”

        “-71”

        ในเวลาเดียวกัน นักเวทอีกสองคนก็เริ่มร่ายเวทไฟเพื่อจัดการกับผม และแน่นอนว่าผมหลบมันไม่ได้

        “-81”

        “+100”

        “-77”

        ผมรีบฮีลตัวเองก่อนกระโดดหนีเข้าไปในป่า ซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าพวกนั้นจะตามมาติดๆ ในใจผมก็แอบชื่นชมสกิลการฮีลของตัวเองที่ทำให้เอาตัวรอดมาได้ แต่แล้วก็รู้สึกว่าด้านหลังมีลมเย็น ปะทะเข้ามา เป็นเพราะเจ้าซีฉู่ป้าหวางเป็นนักดาบ การเคลื่อนไหวของมันจึงไวกว่าผมมาก เจ้านั่นใช้ดาบฟาดลงมาที่หลังของผมอย่างรวดเร็ว

        “-88”

        ความเจ็บปวดแล่นมาจากด้านหลังพร้อมกับภาพตรงหน้าที่ตัดไป ตายสิครับ รออะไรล่ะ...

        ……

        ฟึบ!

        ผมมาโผล่ที่สุสานบริเวณใกล้เคียงกับตำแหน่งที่ตาย และผมจะต้องรีบไปที่ศพตัวเองเพื่อฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ผมฆ่าบอสตายก็เลยได้อัปเป็นเลเวล 10 แต่ดันมาถูกไอ้บ้านั่นฆ่า เลเวลของผมจึงลดลงเหลือเลเวล 9 แทน

        คนอื่นๆ ภายในปาร์ตี้ยังคงยืนที่เดิม พร้อมกับเสียงของเจ้าซีฉู่ป้าหวางที่ตะโกนอย่างเดือดดาล “เซียวเหยาจื้อจ้าย เลิกมุดหัวแล้วออกมายกเลิกระบบทอยเต๋าเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นนายจะไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนของพวกฉัน!”

        ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ก่อนพูดขึ้น “พวกนายไม่เหมาะจะเป็นเพื่อนฉันหรอก ดาบนี่เป็นของฉันแล้ว พวกนายก็ไปทอยเต๋าให้ได้ 100 พอยต์สิ ถ้าทำไม่ได้ก็หุบปากไปเลย!”

        อย่างที่คิดไว้ พวกบ้านั่นเริ่มทอยเต๋ากันจริงๆ

        ซีฉู่ป้าหวาง : 41 พอยต์

        อัศวิน : 91 พอยต์

        ติ๊ง!

        ข้อความจากระบบ :ผลลัพธ์จากการทอยเต๋า ผู้เล่นเซียวเหยาจื้อจ้ายได้รับ [ดาบหนาม]

        ……

        หึๆ! และแล้วดาบระดับเหล็กดำก็เข้ามาอยู่ในคลังเก็บสินค้าของผม ถึงแม้เลเวลจะลดไป 1 ระดับ แต่ก็นับว่าคุ้มอยู่ดี!




………………………………………………………………………………………….

        [1] ซีฉู่ป้าหวาง แปลว่าผู้เผด็จการทางตะวันตก

        [2] ค่า STR หมายถึง พลังโจมตีทางกายภาพ

 

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 2 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 16.12 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
11 เมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.07 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 11 คนดื้อรั้น

 

        ขณะที่ผมยังอยู่ในร่างวิญญาณ ก็รีบวิ่งไปยังจุดที่บอสถูกฆ่าก่อนหน้านี้ โดยที่เจ้าซีฉู่ป้าหวางยังคงยืนเฝ้าศพอยู่ ดูเหมือนเจ้านี่คงกำลังรอฆ่าผมหลังจากฟื้นคืนชีพเพื่อชิงดาบหนามแน่ๆ         

        หึ ผมไม่สนใจหรอกว่ามันจะเฝ้าร่างผมอีกนานแค่ไหน เพราะผมก็จะรอ มาดูกันซิว่าระหว่างเจ้านี่กับผมใครจะมีความอดทนมากกว่ากัน         

        ……         

        ขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นก่อนที่สัญญาณจะถูกเชื่อมเข้ามาในเกมอัตโนมัติ หลินหว่านเอ๋อร์โทรมาหาผมแล้ว         

        “หลี่เซียวเหยา?” เสียงของหลินหว่านเอ๋อร์นี่น่าฟังชะมัดยาดเลย         

        “ว่าไงครับคุณหนู?” ผมถามขึ้น         

        หลินหว่านเอ๋อร์ยิ้ม “ฉันกับเยว่เอ๋อร์จะลงไปกินข้าว นายมารอพวกฉันที่ด้านล่างได้เลย...”         

        “ครับ ขอเวลา 5 นาทีนะ”         

        “อื้อ รีบมาล่ะ”         

        ระหว่างที่มองไอ้พวกบ้าซีฉู่ป้าหวางที่ยังคงรอผมคืนชีพ ผมก็อดสะใจขึ้นมาไม่ได้ ฉันไปกินข้าวก่อนนะเจ้าพวกทึ่ม พวกแกรออยู่นี่แหละไม่ต้องรีบร้อน หึๆ! ออกจากเกมตอนอยู่ในร่างวิญญาณนี่แหละ ปลอดภัยดี!         

        ผมถอดหมวกก่อนหันไปมองเจ้าแว่นที่อยู่บนเตียงฝั่งตรงข้าม ร่างของเจ้านั่นยังคงกระตุกสั่น คงกำลังสู้กับมอนสเตอร์อยู่สินะ งั้นฉันไม่กวนล่ะ ไปกินข้าวดีกว่า         

        สาวๆ รอผมอยู่ใต้หอแล้ว ทั้งคู่กำลังยืนคุยกัน พอเห็นผมก็เดินมาหาทันที ตงเฉิงเยว่ลูบท้องตัวเองก่อนบ่นขึ้นว่า “ฉันบอกหว่านเอ๋อร์แล้วว่าจะกินมื้อค่ำ แต่หว่านเอ๋อร์เอาแต่เก็บเลเวลจนดึกขนาดนี้ หิวจะตายแล้วเนี่ย รีบไปหามื้อดึกกินกันเถอะ”         

        ผมยิ้ม “ไปสิ”         

        ห้องอาหารของมหาวิทยาลัยหลิวหัวเปิดตลอด 24 ชั่วโมง เห็นถึงความแข็งแกร่งในการทำเงินของที่นี่ได้ชัดเจนเลยละ         

        เมื่อสั่งอาหารเสร็จ พวกผมก็มานั่งรอที่โต๊ะ ผมที่หิวจนไส้กิ่วถึงกับยัดหมั่นโถวลูกเบ้อเร่อลงไป 7 ลูก ขณะที่สองสาวมองผมตาค้างเมื่อเห็นท่าเขมือบหมั่นโถวขาวนวลของผม พวกผู้ชายที่นั่งกินข้าวอยู่ไม่ไกลก็มองมาเช่นกัน “หมอนั่นโคตรจะไม่สนเรื่องภาพลักษณ์เลยแฮะ ขนาดอยู่ต่อหน้าสาวสวยตั้ง 2 คน ยังกล้ากินมูมมามโดยไม่แคร์สายตาพวกเธอเลยสักนิด”         

        หลินหวานเอ๋อร์มองผมด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “นายไปหิวมาจากไหนเนี่ย กินให้มันช้าๆ หน่อย เดี๋ยวก็ติดคอตายพอดี”         

        ผมพยักหน้าก่อนยกถ้วยซุปดื่มทีเดียวหมดถ้วย ให้ตายเถอะพระเจ้า มีเงินนี่มันดีจริงๆ เลยโว้ย ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้กินของดีๆ แบบนี้มาก่อนเลย ฟินโคตร!         

        ……         

        หลังจากที่ตงเฉิงเยว่กินจนอิ่ม เธอก็หันมายิ้มให้ผม “นี่เซียวเหยา วันนี้นายคงจะไม่ได้อยู่ที่เลเวล 1 แล้วใช่ไหม?”         

        ผมไม่ได้รู้สึกอับอายเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป “อื้อ ตอนนี้เลเวล 9 แล้ว...”         

        “โห... อัปเร็วเหมือนกันนี่ ใช้เวลา 10 ชั่วโมงอัปไปถึงเลเวล 9 แล้ว” ตงเฉิงเยว่พูด         

        หลินหว่านเอ๋อร์แสดงท่าทีไม่สนใจพร้อมกับเล่นโทรศัพท์ในมือ ก่อนจะหันไปหาตงเฉิงเยว่ “ดึกมากแล้ว กลับไปนอนกันเถอะ”         

        แหม ไม่สนใจผมเลยนะคุณหนู         

        ผมจึงถามขึ้นว่า “นี่ตงเฉิง พวกเธอเลเวลเท่าไรแล้วล่ะ?”         

        ตงเฉิงเยว่ยิ้มก่อนจะพูดด้วยสีหน้าภูมิใจ “ตอนนี้ฉันเลเวล 15 แล้ว กะว่าจะเก็บเลเวลต่อจนถึง 20 จะได้ไปเปลี่ยนคลาส ส่วนหว่านเอ๋อร์ตอนนี้เลเวล 16 แล้ว อาชีพแอสซาซินนี่เก็บเลเวลไวชะมัด แม้แต่นักเวทอย่างฉันยังตามไม่ทันเลย”         

        ผมพูด “ตอนนี้พวกเธอออกจากหมู่บ้านเริ่มต้นกันแล้วเหรอ?”         

        “ใช่ พวกเราออกจากหมู่บ้านเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว...” ตงเฉิงเยว่ตอบก่อนจะพูดต่อว่า “จริงสิ ฉันกับหว่านเอ๋อร์เลือกเมืองฝานซูเป็นเมืองหลัก แล้วนายเลือกไว้หรือยัง?”         

        ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบกลับไป “หมู่บ้านเริ่มต้นของฉันห่างจากเมืองปาหวางไม่ไกลเท่าไร ไม่แน่ว่าฉันอาจเลือกเมืองนี้ไปก่อน แล้วค่อยไปหาพวกเธออีกที...”         

        หลินหว่านเอ๋อร์มองผมพร้อมกับยิ้ม “นี่ ฉันว่านายคงไม่อยากจะเจอฉันในเกมมากกว่าละมั้ง?”         

        ร่างของผมพลันกระตุกเล็กน้อย จิตสังหารถูกส่งมาจากแม่สาวงามคนนี้อีกแล้ว ผมรีบยืดตัวตรงก่อนตอบกลับไป “พูดอะไรแบบนั้นครับคุณหนู ที่จริงผมอยากไปเมืองฝานซูเพื่อไปหาคุณกับตงเฉิงจะตาย แต่เส้นทางที่จะไปมีมอนสเตอร์เลเวลสูงเยอะมาก ผมมันก็แค่ฮีลเลอร์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะผ่านมอนสเตอร์พวกนั้นไปได้ยังไง? ถ้าไปคนเดียวมีหวังถูกตะปบตายพอดี ใครจะไปรู้ เลเวลของผมอาจลดฮวบจนต้องกลับไปอยู่หมู่บ้านเริ่มต้นอีกรอบก็ได้...”         

        หลินหว่านเอ๋อร์ยิ้มก่อนจะรีบเม้มปากแล้วพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “อืม งั้นนายก็อยู่เมืองปาหวางไปก็แล้วกัน ถ้าไม่ไหวก็มาหาพวกฉัน”         

        ตงเฉิงเยว่ยิ้มพร้อมกับพูดน้ำเสียงตื่นเต้น “ใช่ๆ ฉันกับหว่านเอ๋อร์จะคุ้มครองนายเอง”         

        หลินหว่านเอ๋อร์ขมวดคิ้วก่อนพูดขึ้น “นี่เยว่เอ๋อร์... ทำไมต้องดีใจขนาดนั้นด้วย”         

        ตงเฉิงเยว่ชะงักพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีแดง “ก็... ก็พวกเราสามารถโจมตีสร้างดาเมจได้นี่นา ถ้าเกิดมีเซียวเหยามาด้วย พวกเราก็จะได้มีฮีลเลอร์อยู่ในกลุ่มไง ถ้าพวกเรารวมตัวกันฉันว่าคงจะเก็บเลเวลได้เร็วขึ้นไม่ใช่เหรอ?”         

        “เหรอ?”         

        หลินหว่านเอ๋อร์มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจ จากนั้นก็ส่งยิ้มหวานละมุน “เอาเถอะ ฉันจะเชื่อที่เธอพูดก็แล้วกัน...”         

        ตงเฉิงเยว่ยกมือแตะหน้าอกตัวเอง “เฮ้อ เกือบไปแล้ว...”         

        “ว่าไงนะ?”         

        “ฉันบอกว่าซุปนี่อร่อยดีนะ”         

        “…”         

        4 ทุ่มกว่าผมส่งสองสาวขึ้นหอพักอย่างปลอดภัย จากนั้นก็เดินย่อยอาหารต่ออีกครู่หนึ่งภายในสวนของมหาวิทยาลัยซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้ว ผมกระโดดขึ้นไปนั่งบนกำแพงชมวิวอย่างเงียบๆ         

        ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลากลางคืน แต่ก็ยังมีคนเข้าออกตลอด มีทั้งนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแล้วก็คนนอก มีทั้งรถปอร์เช่ เฟอร์รารี่ขับไปมา ผมนั่งอยู่ที่เดิมเกือบ 2 ชั่วโมง จนเห็นว่าเที่ยงคืนแล้วจึงเตรียมตัวกลับ ตอนนี้คงไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับสาวๆ แล้วละ         

        แม้ว่าผมจะมีความสุขและสนุกสนานไปกับเกม แต่ถึงอย่างไรหน้าที่หลักของผมก็คือคุ้มกันหลินหว่านเอ๋อร์ตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย และต้องไม่ทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย         

        ระหว่างที่นั่งอยู่บนกำแพงผมเปิดโทรศัพท์เพื่อหาข้อมูลของหลินเทียนหนานและเทียนซินกรุ๊ป อยากจะรู้ว่าพวกเขาทำอะไรถึงได้เข้ามาเสี่ยงกับเรื่องอันตรายมากมาย ถึงขนาดต้องหาคนคุ้มกันให้หลินหว่านเอ๋อร์         

        แล้วหน้าจอโทรศัพท์ก็แสดงข้อมูล         

        เทียนซินกรุ๊ปได้ร่วมมือกับบริษัทล็อคฮีทมาร์ติน ซึ่งมีส่วนในการสร้างเทคนิคสำคัญและได้เรียนรู้เทคโนโลยีการลักลอบระดับสูง อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตแผ่นคอมโพสิต BMI ด้วย ในปี 2015 เทียนซินกรุ๊ปได้แยกตัวออกจากบริษัทล็อกฮีตมาร์ตินอย่างเป็นทางการ และได้เข้าร่วมอุตสาหกรรมทางการทหารของจีนภายใต้การนำของหลินเทียนหนานซึ่งเป็น CEO ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้นำเทคโนโลยีทางการทหารอันทันสมัยที่สุดเข้ามา โดยเริ่มพัฒนากระสุนแบบนาโนซึ่งมีประสิทธิภาพในการเจาะทะลุผ่านรถถังเหล็กได้ อีกทั้งยังเข้าร่วมพัฒนาเครื่องบินรบอันทันสมัยที่สุดของจีนและเครื่องบินตรวจการณ์เตือนภัยล่วงหน้า         

        ระหว่างที่อ่านข้อมูลผมก็ถอนหายใจ คิดไม่ถึงเลยแฮะว่าหลินเทียนหนานจะเป็นคนที่สุดยอดขนาดนี้ ดูจากผลงานแล้ว เขาทำให้อุตสาหกรรมทางการทหารของจีนก้าวหน้าไปไกลอย่างน้อย 10 ปีเลยนะเนี่ย อีกทั้งยังทำให้การทหารของจีนเข้มแข็งขึ้นมากโดยเฉพาะการรบทางอากาศ เป็นเพราะการเข้าร่วมของเทียนซินกรุ๊ป การวิจัยและพัฒนาเครื่องบินรบรุ่นที่ 5 ถึงได้เข้าสู่วาระการประชุมสินะ         

        ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายประเทศต่างพากันอิจฉาเทคโนโลยีของเทียนซินกรุ๊ป แต่เนื่องจากหลินเทียนหนานไม่ใช่คนที่จะเผยจุดอ่อนตัวเองให้เห็นง่ายๆ ถึงมีก็มีแค่เรื่องลูกสาวของเขาที่นับว่าเป็นจุดอ่อนสำคัญ จึงทำให้มีคนต้องการลักพาตัวหลินหว่านเอ๋อร์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีอันทันสมัยของเขา เพราะแบบนี้สินะ สำนักงานรักษาความปลอดภัยจึงได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ถึงกับต้องหาผู้ที่มีความสามารถทางการต่อสู้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่โดดเด่นจนเป็นที่สังเกตเพื่อมาปกป้องหลินหว่านเอ๋อร์ และคนคนนั้นก็คือผมเอง...         

        ผมนั่งถอนหายใจพร้อมกับความรู้สึกที่ว่า ตอนนี้ผมได้รับมอบหมายภารกิจอันยิ่งใหญ่เข้าแล้วสิ         

        ……

        ผมกวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้งและตรวจสอบในป่าซึ่งมีต้นไม้ใหญ่เป็นครั้งสุดท้ายว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ อืม... ไม่มีอะไรแล้วละ         

        “อ๊ะๆ...”         

        ตอนที่ผมมั่นใจว่าทุกอย่างปลอดภัยดีแล้ว ทันใดนั้นในป่าทางฝั่งขวามือของผมก็มีเสียงดังขึ้นเบาๆ ผมรีบหันไปมองแล้วเพ่งดู อืม... ตรงนั้นมีนักศึกษาชายหญิงสองคน... ฝ่ายผู้ชายนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน โดยมีผู้หญิงสวมกระโปรงสั้นนั่งอยู่บนตัวเขา ที่ขาขวาของเธอมีกางเกงในห้อยลงมา อู้ว... สีชมพูด้วยแฮะ... ร่างกายของพวกเขาขยับตามจังหวะโดยที่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวมากมายเท่าไรนัก แต่ก็ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาอย่างต่อเนื่อง         

        ผมกระโดดลงจากกำแพง ทว่าเท้าที่กระทบพื้นทำให้เกิดเสียง แม้จะไม่ดังมาก แต่ก็พอจะทำให้สองคนนั้นได้ยิน ทันใดนั้นพวกเขาก็หันมาทางผมก่อนถามขึ้นว่า “ใครน่ะ!”         

        ผมสะดุ้งก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “เอ่อ แค่ผ่านมาแถวนี้เฉยๆ น่ะ... ขอโทษทีนะที่รบกวน เชิญต่อตามสบายเลย ผมไปละ...”         

        หลังจากที่เท้าของผมสัมผัสกับพื้นหญ้าก็เดินไปอีก 2-3 ก้าวจึงมาถึงถนนซึ่งมีแสงไฟสาดส่อง ถึงตอนนั้นที่ด้านหลังของผมก็เกิดเสียงดังเล็ดลอดตามมาอีกครั้ง โอ้ แม่เจ้าโว้ย ยังมีต่ออีกเหรอวะเนี่ย ความมุ่งมั่นเต็มร้อยจริงๆ เลยเว้ย         

        ……

        ตอนที่กลับมาถึงหอพัก เจ้าแว่นกำลังอาบน้ำอยู่ ผมจึงนั่งรอใช้ห้องน้ำต่อจากหมอนั่น         

        ผมนั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์ของเจ้าแว่นเพื่อเล่นอินเทอร์เน็ตรอไปพลางๆ แล้วก็พบว่าหน้าแรกของคอมพิวเตอร์ เป็นเว็บไซต์ทางการของ Destiny โดยที่ด้านบนมีข้อมูลของผู้เล่นที่มีเลเวลสูงสุด มีอุปกรณ์ดีที่สุด และข้อมูลอื่นๆ อีกเต็มไปหมด         

        แต่สิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่ข้อมูลพวกนั้น เพราะผมอยากได้ข้อมูลที่มีประโยชน์สำหรับผมมากกว่านี้         

        หลังจากดูอยู่นานในที่สุดผมก็เจอแผนที่ ในเกมมีทั้งหมด 7 อาณาจักรใหญ่ โดยที่เซิร์ฟเวอร์จีนจะมีเมืองหลักของจักรวรรดิเป็นเมืองหลักซึ่งนั่นก็คือเมืองเทียนหลิง โดยภายในเมืองจะแบ่งออกเป็น 3 เมืองย่อย คือเมืองฝานซู เมืองปาหวาง และเมืองจิ่วหลี หลังจากผู้เล่นออกจากหมู่บ้านเริ่มต้นแล้ว พวกเขาจะต้องเลือกเมืองใดเมืองหนึ่งเพื่อเป็นเมืองหลักในการตั้งรกราก สำหรับเมืองเทียนหลิงเป็นเมืองที่มีมอนสเตอร์ระดับสูงมาก ซึ่งในตอนนี้ผู้เล่นที่มีระดับสูงที่สุดยังอยู่ที่เลเวล 18 เท่านั้น หากเขาเลือกไปเมืองเทียนหลิงก็ดูเหมือนจะพาตัวเองไปตายเสียมากกว่า ผู้เล่นเลเวล 18 ในเวลานี้ก็ยังไม่สามารถฆ่ามอนสเตอร์เลเวล 70 ได้เช่นกัน         

        ระหว่างนั่งดูแผนที่ ผมก็เห็นว่าหมู่บ้านสุนัขฟางอยู่ใกล้กับเมืองปาหวางที่สุด และอยู่ห่างจากเมืองฝานซู 9,000 กิโลเมตร ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที         

        สักพักเจ้าแว่นก็ออกจากห้องน้ำพร้อมหัวเราะออกมา “หลี่เซียวเหยา วันนี้อัปไปถึงเลเวลไหนแล้ว?”         

        ผมตอบ “เลเวล 9 นายล่ะ?”         

        “เจ้าหนูอัปเร็วเหมือนกันนี่หว่า แป๊บเดียวเลเวล 9 แล้ว ตอนนี้ฉันยังเลเวล 13 อยู่เลย แต่ฉันอยู่เมืองจิ่วหลีแล้ว ว่าแต่นายจะไปตั้งหลักที่เมืองไหนล่ะ? หรือจะมาจิ่วหลีเหมือนฉัน? จะได้ไปเก็บเลเวลด้วยกัน...”        

        ผมกระตุกมุมปาก “ไม่ดีกว่า ตอนนี้ฉันอยู่ห่างจากเมืองจิ่วหลีตั้งไกล ต้องเดินผ่านเขาลูกใหญ่ตั้งหลายสิบลูก แถมต้องข้ามแม่น้ำสายใหญ่อีกหลายสาย ยังไม่ทันจะถึงเมืองคงถูกฆ่าตายจนกลับไปเลเวล 1 แน่ๆ ตอนนี้ฉันอยู่ใกล้เมืองปาหวางมากที่สุด ก็เลยคิดว่าจะไปเมืองนั้นก่อน”         

        เจ้าแว่นหัวเราะออกมา “ก็ได้ รอให้้ลเวลสูงกว่านี้ก็สามารถขี่สัตว์พาหนะได้แล้ว ถึงเวลานั้นอยากไปไหนก็ไปได้แหละ”         

        “อื้อ”         

        ผมดูเวลา ตอนนี้ผมออกจากระบบมาได้ 3 ชั่วโมงแล้ว ลองเข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน

        ……

        ระหว่างที่ระบบกำลังอ่านข้อมูล ทันใดนั้นแสงก็ตัดผ่านเข้ามาก่อนที่ตรงหน้าจะปรากฏสถานที่ที่ราชันหมีหนามถูกฆ่าตายเมื่อก่อนหน้านี้ ผมซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในร่างของวิญญาณ รอบตัวไม่เห็นใครแล้ว แต่เมื่อมองให้ดีก็พบว่า ไอ้ซีฉู่ป้าหวางยังคงถือดาบและแอบอยู่หลังต้นไม้ ส่วนนักเวทอีก 2 คนก็ซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ข้างๆ ให้ตายเถอะ ไอ้พวกบ้านี่แค้นฉันมากไปหรือเปล่าวะเนี่ย? แค่ดาบเล่มเดียวเนี่ยนะ? โคตรน่าอนาถใจเลย         

        ออกจากระบบไปนอนดีกว่า อยากจะเฝ้าก็เฝ้าให้ถึงเช้าไปเลยก็แล้วกัน บาย!

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 16.14 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
12 เมื่อ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.27 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 12 นักหลอมยา

 

 

        วันต่อมาผมตื่นแต่เช้าก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปปฏิบัติหน้าที่         

        ผมซื้ออาหารเช้ามา 3 ชุด ก่อนจะพาตัวเองไปที่หอหญิงแล้วโทรหาหลินหว่านเอ๋อร์ให้ลงมารับอาหารเช้า หลังจากรอไม่กี่นาทีคุณหนูคนสวยก็เดินลงมาจากหอพักในชุดกระโปรงสีฟ้าที่ยาวแค่คืบกับเสื้อเชิ้ตที่กระดุมเสื้อในเวลานี้ให้ความรู้สึกราวกับว่าพร้อมจะปริออกจากกันได้ทุกเมื่อ เนื่องจากความอวบอึ๋มของภูเขาสองลูกที่ดันออกมา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเองก็คงคิดเผื่อไว้แล้วว่าอาจเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จึงใส่เสื้อยืดไว้ด้านในอีกตัวหนึ่งเป็นการป้องกัน         

        ผมยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับมองหญิงสาว ความสวยงามของเธอทำให้ผมอดจับจ้องใบหน้างดงามนั่นไม่ได้ น่าเสียดายที่ผมดันเป็นคนที่เธอไม่ชอบขี้หน้าสักเท่าไร         

        หลินหว่านเอ๋อร์จ้องผม “มองพอหรือยัง? เอาอาหารมาแล้วก็กลับไปเก็บเลเวลสิ นายเป็นคนของฉัน หลังจากนี้ถ้าเลเวลนายยังต่ำอยู่ ฉันคงได้ขายขี้หน้ามากแน่ๆ...”         

        ผมถอนหายใจออกมา “คร้าบ ผมไม่ทำให้คุณผิดหวังหรอก...”         

        “เดี๋ยวก่อน...”         

        หลินหว่านเอ๋อร์พูดขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “นี่หลี่เซียวเหยา ฉันถามหน่อยสิ... ก่อนหน้านี้นายเคยเป็นตำรวจหน่วยพิเศษมาก่อนจริงๆ เหรอ?”         

        ผมชะงักไป “ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”         

        “ฉันก็แค่อยากรู้เฉยๆ ฉันไม่เชื่อคำพูดของหวางซิ่นนั่นหรอกนะว่าคนที่เคยฆ่าคนมาก่อนจะทำตัวหน้าไม่อายเหมือนนายแบบนี้ วันๆ เอาแต่ผลาญเงินชาวบ้าน รูดบัตรซื้อข้าว รูดบัตรเข้าเกม...”         

        ระหว่างที่เธอกำลังพูด ผมก็ก้มมองพื้นด้วยความอับอาย เธอเห็นท่าทางของผมก็ยิ้มออกมา หึๆ อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ที่แท้หลินหว่านเอ๋อร์ยังคงแค้นผมไม่หายเรื่องที่ดันไปเห็นหน้าอกของเธอเมื่อวันนั้น นี่คงจะมีความสุขบนความทุกข์ของผมมากเลยสินะ!         

        ผมยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางอึดอัดใจพร้อมกำหมัดแน่น “คำพูดของหัวหน้าหวาง คุณจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของคุณ ผมแค่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้คุณก็แค่นั้น ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน...”         

        หลินหว่านเอ๋อร์มองมาที่ผม “หืม? โกรธงั้นเหรอ? ขี้น้อยใจขนาดนั้นเลย?”         

        ผมหันไปมองเธอก่อนจะเผยรอยยิ้ม “คุณหนูนี่รู้ดีไปซะทุกเรื่องเลยนะครับ”         

        หลินหว่านเอ๋อร์กระทืบเท้า “ชิ จะไปไหนก็ไปเลย ฉันจะกลับไปเก็บเลเวลต่อแล้ว”         

        ตอนที่เธอกระทืบเท้า ภูเขาสองลูกตรงหน้าก็ขยับไปมาด้วยแรงสั่นสะเทือนเหมือนติดสปริง ผมมองไปยังจุดนั้นด้วยความตื่นตาตื่นใจก่อนรีบพูดขึ้น “คุณหนูเดินระวังๆ หน่อยนะครับ”

         เมื่อเห็นหลินหว่านเอ๋อร์เดินจากไป ผมก็โบกมือลาไล่หลัง จากนั้นกัดซาลาเปาพลางคิดว่าวันนี้จะเอายังไงต่อ หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจว่า เป้าหมายในวันนี้คือต้องออกเดินทางไปยังเมืองปาหวาง เพราะถ้าผมยังหมกตัวอยู่ที่หมู่บ้านเริ่มต้นก็คงตามคนอื่นไม่ทันแน่ ถึงเวลานั้นผมคงตกเป็นขี้ปากชาวบ้านในฐานะไอ้ขี้แพ้แน่นอน!       

  ……         

        เมื่อกลับมาถึงหอพักผมจึงรีบเข้าสู่ระบบทันที         

        ระบบได้ประมวลผลข้อมูลล่าสุดก่อนพาเข้าสู่เกม         

        สวบ!         

        ฉากตรงหน้าสว่างขึ้นอีกครั้ง และยังคงเป็นฉากของป่าไม้หมีป่า เมื่อผมกวาดตามองไปรอบๆ ก็พบว่าซีฉู่ป้าหวางกับพรรคพวกได้ออกไปจากที่นี่แล้ว พวกนั้นคงคิดว่าผมออกจากระบบไปแล้วทำอะไรไม่ได้เลยถอดใจ ในที่สุดผมจึงได้ออกไปเก็บเลเวลที่ในเมืองหลักต่อ ถ้าแค้นนักก็ตามไปล้างแค้นที่เมืองหลักก็แล้วกัน         

        ผมฟื้นคืนชีพอีกครั้งทันที         

        หลังจากที่แสงสีทองสาดเข้ามา ผมก็ยืนเงียบๆ ภายในป่าก่อนจะเปิดหน้าจออุปกรณ์ เยี่ยมเลย ตอนที่ตายถึงแม้จะเสียยามานาไป แต่ของสำคัญๆ ก็ยังอยู่ โล่งอกไปที ผมหยิบดาบหนามมาถือด้วยความภูมิใจ เอาละเจ้าหนู หลังจากนี้ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ!         

        ทันใดนั้นในมือของผมก็ปรากฏดาบยาวที่ส่องแสง         

        [ดาบหนาม] (อุปกรณ์ระดับเหล็กดำ)         

        พลังโจมตี:21-35         

        พลังโจมตีพื้นฐาน :+3         

        เลเวลที่สามารถใช้งานได้ :8         

        ……         

        พลังการโจมตี 21-35 พอยต์ของดาบเล่มนี้เมื่อเทียบกับดาบเก่าที่มีระดับการโจมตีแค่ 1-3 นี่แทบจะคนละเรื่องกันเลย ผมกำดาบแน่นพร้อมกับความรู้สึกราวกับว่ามีพลังบางอย่างเพิ่มขึ้นบริเวณแขน ในเวลาเดียวกับที่ค่าสถานะของผมก็เพิ่มขึ้นด้วย         

        [เซียวเหยาจื้อจ้าย] (ฮีลเลอร์ฝึกหัด)         

        เลเวล:9

        พลังโจมตี :69-83         

        พลังป้องกัน:23         

        HP:180         

        MP :150         

        ค่าเสน่ห์  :0         

        ……         

        พลังการโจมตี 69-83 ถือว่ารุนแรงมาก นักดาบที่อยู่ระดับเดียวกับผมถึงแม้จะเพิ่มพอยต์ทั้งหมดไปกับพลังโจมตี อย่างไรเสียก็ได้แค่ระดับเดียวกับที่ผมมีอยู่ตอนนี้เท่านั้นแหละ อืม... มีดาบหนามนี่แล้ว การเก็บเลเวลของผมก็คงไม่ธรรมดาแน่         

        ผมถือดาบหนามแล้วเดินหน้าต่อ ตอนนี้ EXP ของผมอยู่ที่ 57% หลังจากฆ่ามอนสเตอร์อีกไม่กี่ตัว ก็คงได้อัปเป็นเลเวล 10 แน่ๆ ตอนนี้ผมควรเก็บเลเวลเพิ่มอีกสักหน่อยแล้วค่อยเดินทางไปที่เมืองปาหวาง         

        ระหว่างที่เดินอยู่บนเขา เสียงของหมีหนามเลเวล 9 ก็ดังขึ้น ผมยิ้มก่อนหยิบดาบออกมาทดสอบ ดูซิว่าพลังโจมตี 83 พอยต์มันจะเป็นยังไงบ้าง         

        สวบ!         

        ผมพุ่งไปด้านหน้าก่อนใช้ดาบฟาดหัวของมันเต็มๆ ทันทีที่เกิดเสียงกระทบกัน ตัวเลขค่าเสียหายก็ลอยขึ้นมา และมันก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังจริงๆ ด้วย!         

        “-117”         

        เจ๋งชะมัด โจมตีแบบนี้สิถึงจะน่าสนใจหน่อย         

        ตอนที่ผมกำลังจะถูกเจ้าหมีหนามตะปบ ผมก็ใช้ดาบฟาดมันอีกครั้ง         

        “-114”         

        เจ้าหมีหนามแสดงอาการเดือดดาลพร้อมยกอุ้งมือหมายจะจัดการผม ตอนที่ถูกมันตะปบจนทำให้ค่าดาเมจของผมเด้งขึ้นมา -37 ผมก็ฟาดดาบใส่มันอีกครั้งก่อนที่มันจะลงไปนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น จุ๊ๆ พลังโจมตีเท่านี้ คงไม่มีใครหัวเราะเยาะผมได้แล้วละ         

        ผมเก็บเหรียญทองแดง 4 เหรียญก่อนมุ่งหน้าต่อ หลังจากฆ่าหมีหนามไปได้สิบกว่าตัว แสงก็ปรากฏขึ้นรอบตัวผมพร้อมกับอัปเป็นเลเวล 10 รวมถึงค่าสถานะก็เพิ่มขึ้นอีก 10 พอยต์ และแน่นอนว่าผมใช้พอยต์เหล่านั้นไปกับการเพิ่มพลังโจมตี ตอนนี้พลังโจมตีของผมเพิ่มเป็น 5-5 แล้ว เอาละ กลับหมู่บ้านไปซื้อไอเท็มสักหน่อยแล้วค่อยไปเมืองปาหวางดีกว่า

        ……         

        เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านผมก็ขายเกราะผ้า เกราะหุ้มอาวุธระดับขาวที่ไร้ประโยชน์ออกไป จนทำให้ตอนนี้ผมมีเงินทั้งหมด 2 เหรียญเงิน ถือว่าร่ำรวยแล้วสินะ ผมซ่อมดาบของตัวเองก่อนจะไปที่ร้านยาเพื่อซื้อยามานา สำหรับยาเพิ่มเลือดนั้นเนื่องจากผมเป็นฮีลเลอร์อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้         

        หลังจากที่มาถึงร้านยา ผมก็เปิดตารางขึ้นมา ทว่าในใจผมก็แทบแตกสลายลงเดี๋ยวนั้น         

        [ยามานา LV 1 ] :ฟื้นฟู 50 MP  ราคา 5 เหรียญทองแดง/ขวด         

        [ยามานา LV 2 ] :ฟื้นฟู 100 MP  ราคา 50 เหรียญทองแดง/ขวด         

        [ยามานา LV 3 ] :ฟื้นฟู 150 MP ราคา 5 เหรียญเงิน /ขวด         

        ……         

        อะไรวะเนี่ย เงินที่ผมมียังซื้อยามานาเลเวล 3 ไม่ได้เลยเนี่ยนะ? เฮ้อ งั้นก็ซื้อยามานาเลเวล 1 ไปก่อนก็แล้วกัน คงจะใช้ได้จนถึงเมืองปาหวางแหละ         

        พอเดินมาถึงทางออกของหมู่บ้าน ก็มีชายชราเดินมาส่งผมที่ประตู โดยที่เหนือศีรษะของเขามีตัวอักษรลอยอยู่ด้านบนว่า ‘หัวหน้าหมู่บ้าน’ เขาคือคนที่ออกมาส่งมือสมัครเล่นนี่เอง ชายชรายกมือลูบหัวผมพลางกล่าวทั้งน้ำตา “เจ้าหนู เจ้าเติบโตพอจะออกเดินทางจากหมู่บ้านแล้ว ข้าดีใจกับเจ้าด้วย เจ้าคือความภาคภูมิใจของพวกเรา หลังจากนี้เจ้าจะกลายเป็นนักผจญภัยที่โดดเด่น และสามารถช่วยอาณาจักรเทียนหลิงจัดการกับศัตรูได้แน่ๆ”         

        ผมพยักหน้า “ครับ หัวหน้าหมู่บ้าน”         

        “เจ้าหนู ข้ามีจดหมายแนะนำ 3 ฉบับ เจ้าจงเลือกมันไปหนึ่งฉบับเถอะ...”         

         ทันใดนั้นตรงหน้าผมก็ปรากฏตัวเลือก 3 ข้อ เป็นจดหมาย 3 ฉบับที่ให้เลือกตามเมืองที่ผมต้องการจะไป โดยหากไปถึงเมืองที่เลือกไว้ผมจะสามารถไปหาอาจารย์ประจำสายอาชีพของตัวเองได้ และยังสามารถเลือกเรียนวิชาเสริมในอาชีพนั้นๆ ได้อีกด้วย         

        ผมเลือกเมืองปาหวางอย่างไม่ลังเล ชายชรารีบโบกมือก่อนพูดกับผมว่า “ไปเถอะเจ้าหนู ไม่ว่าอนาคตเจ้าจะไปอยู่ที่ไหน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเพียงนักรบธรรมดาๆ คนหนึ่ง หรือเป็นผู้เก่งกาจ เจ้าก็อย่าได้ลืมวันนี้ ว่าเจ้าคือเด็กน้อยที่มาจากหมู่บ้านเล็กๆ ของพวกเรา และเป็นความภาคภูมิใจของเราตลอดไป...”         

        “พูดมากชะมัด...” ผมพึมพำในใจ หลังจากหยิบจดหมายแนะนำเมืองปาหวางแล้ว ผมก็เริ่มออกเดินทางทันที

        …… 

        เมืองปาหวางตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของอาณาจักรมนุษย์ทั้ง 7 และเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับเขตลึกลับทางเหนือที่สุดด้วย นอกจากนี้ยังเป็นเสมือนป้อมปราการด่านแรกของทางตอนเหนือซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกเมืองนี้ ต้องแบบนี้สิถึงจะท้าทาย และที่สำคัญก็คือมอนสเตอร์ที่อยู่รอบๆ เมืองปาหวางนี้แข็งแกร่งที่สุดในสามเมืองย่อยด้วย หากเก็บเลเวลที่นี่ก็จะก้าวหน้ากว่าที่อื่นๆ แน่         

        หลังจากตั้งค่าไปที่เมืองปาหวางซึ่งอยู่บนแผนที่แล้ว ผมก็เริ่มออกเดินทางทันที ในเวลานั้นผมเห็นผู้เล่นไม่น้อยกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองปาหวางเช่นเดียวกัน ดูเหมือนจะเป็นผู้เล่นเลเวล 10 สินะ  คนเหล่านั้นต่างเดินด้วยท่าทางรีบเร่ง เพราะเกรงว่าหากช้าไปกว่านี้มีหวังถูกผู้เล่นคนอื่นๆ แย่งมอนสเตอร์ไปแน่ ที่จริงแล้วจากที่ผมพิจารณาดู มอนสเตอร์ที่อยู่รอบๆ เมืองหลักนี้ดูเหมือนจะมีจำนวนมากกว่าหมู่บ้านเริ่มต้น นั่นเป็นเพราะตอนแรกเกมนี้วางแผนไว้ว่าสามารถบรรจุผู้เล่นได้ถึง 100 ล้านคน แต่ตอนนี้มีการเปิดให้เข้าเล่นได้เพียง 1 ล้านคน ดังนั้นถ้าไม่รีบจัดการให้เลเวลตัวเองสูงกว่าคนอื่น ละก็ ถึงตอนนั้นคงได้อยู่รั้งท้ายแน่ๆ แต่สำหรับผมแล้วคิดว่าตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เพราะจะเป็นการรนหาที่ตายเปล่าๆ          

        ห่างออกไปไม่ไกลมีนักดาบคนหนึ่งสวมเกราะหนักซึ่งเป็นอุปกรณ์ระดับขาวมากับฮีลเลอร์สวมเกราะผ้าที่ในมือถือคทาและอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนหม้อยา นี่สินะถึงจะเรียกว่าฮีลเลอร์ที่แท้จริง ดูเหมือนจะมีพลังมากกว่าผมด้วยแฮะ         

        นอกจากนี้ยังมีผู้เล่นอีกหลายคนที่เลือกเผ่าพันธุ์เอลฟ์แห่งสายลมกำลังลอยอยู่กลางอากาศ ซึ่งอาชีพของพวกเขามีทั้งนักธนู นักเวท และฮีลเลอร์ สำหรับเอลฟ์แห่งสายลมซึ่งมีอาชีพที่สามารถบินได้ถือว่าเป็นที่นิยมมาก ผู้เล่นมากกว่า 35% เลือกที่จะเล่นเป็นเอลฟ์แห่งสายลม แต่ผมไม่เลือก เพราะการบินอยู่กลางอากาศเป็นเรื่องง่ายที่จะได้รับบาดเจ็บ อีกอย่างพลังโจมตีและพลังป้องกันของเอลฟ์สายลมก็ถือว่าด้อยมาก ถึงแม้จะมีเวทมนตร์และสามารถโจมตีระยะไกลได้ แต่มันก็ยังไม่ตอบโจทย์ผมอยู่ดี

        ……         

        การเดินทางไปยังเมืองปาหวางพร้อมกับพวกผู้เล่นใหม่นั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยอันตรายเท่าไรนัก เพราะมอนสเตอร์ส่วนใหญ่ถูกคนพวกนั้นจัดการไปก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากเดินทางไปได้ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ผมก็เห็นเมืองอันสูงตระหง่านที่บริเวณเขตชายแดน ด้านหน้าเมืองมีมีดแกะสลักหินยักษ์ลอยอยู่ด้านบน อันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองปาหวาง คงจะเป็นดาบปาหวางที่คนเล่าลือ หรือไม่ก็อาจเป็นอาวุธในตำนาน         

        เมื่อเข้ามาในเมืองแล้ว ผมก็เดินทางไปหาอาจารย์ประจำสายอาชีพของตัวเองทันที         

         ณ ริมสระน้ำมรกต มีเอลฟ์สายลมถือคทาอยู่ราวสิบกว่าคนยืนออกันอยู่บริเวณนั้น ซึ่งพวกเขาล้วนเล่นอาชีพฮีลเลอร์ หนึ่งในนั้นมี NPC เลเวล 50 ยืนอยู่ตรงกลางและกำลังแนะนำอาชีพ         

        ผมตรงไปด้านหน้าก่อนหยิบจดหมายแนะนำออกมา แล้วกล่าวอย่างสุภาพ “อาจารย์ นี่เป็นจดหมายแนะนำของผม ผมเป็นนักผจญภัยเดินทางมาจากหมู่บ้านสุนัขฟาง ได้โปรดรับผมเป็นศิษย์ของท่านด้วย”         

       อาจารย์เมื่อหันมาเห็นดาบหนามในมือผมก็แสดงสีหน้าตกตะลึง “สวัสดีพ่อหนุ่ม หลังจากนี้ไปเจ้าคือฮีลเลอร์ฝึกหัดของเมืองปาหวาง และจะเป็นความรุ่งเรืองให้กับอาณาจักรต่อไป”

        ……         

        พูดจบช่องตารางก็ปรากฏขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเมนูสกิลการฝึกฝน หลังจากกดเข้าไปดูผมก็พบว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถเรียนรู้ได้         

        [สกิลบทกวี] :เพิ่มการโจมตี 1% ผู้เล่นจะต้องมีเลเวล 10 และเป็นสายอาชีพฮีลเลอร์ หากต้องการเรียนรู้สกิลนี้จะต้องใช้ 1 เหรียญเงิน         

        เป็นสกิลสนับสนุนที่ไม่เลวเลยแฮะ พลังโจมตีของเลเวล 1 จะเพิ่ม 1% หากอัปถึงเลเวล 10 ก็จะสามารถเพิ่มการโจมตีได้ 10% ซึ่งก็เท่ากับว่าสกิลดาบแห่งความโกลาหลของผมจะสามารถเพิ่มพลังโจมตีได้ 10% สกิลนี้นับว่าหายากมากๆ          

        พลัน 1 เหรียญเงินก็ลอยออกจากกระเป๋าไปอย่างรวดเร็ว ให้ตายสิ เจ็บปวดหัวใจจริงจริ๊ง        

        ……         

        หลังจากบอกลาอาจารย์ ผมก็ออกไปเก็บเลเวลต่อ แต่ผมยังไม่อยากรีบร้อนออกไปตอนนี้ เพราะยังมีเรื่องต้องจัดการให้เสร็จเสียก่อน!         

        ผมต้องเรียนวิชาเสริมเกี่ยวกับการผลิต… เพราะผมต้องการเป็นนักหลอมยาเพื่อปรุงยามานา!

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 16.11 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
13 เมื่อ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2563 17.03 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 13 ชะเอมเทศ

 

        หลังจากสำรวจอาชีพนักหลอมโอสถแล้ว ผมก็เห็นสัญลักษณ์เล็กๆ ปรากฏขึ้นบนแผนที่ ภายในป่าเล็กๆ นอกเมืองปาหวางเป็นสถานที่ของ NPC ที่สอนวิชานี้ให้ผมได้

        เห็นเช่นนั้นผมก็ถือดาบหนามวิ่งออกไป พิกัดของ NPC ระบุไว้ว่าอยู่ในป่า แต่ไปถึงมันกลับกลายเป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่า

        ผมยืนงงอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก็รีบเปิดกระทู้ตอบปัญหาของเกม ก่อนหาข้อมูลเกี่ยวกับการหลอมโอสถ ภายในเวลาอันรวดเร็วผมก็เจอกระทู้ที่พูดถึงเรื่องนี้

        [คำถาม] :NPC นักหลอมยาอยู่ที่ไหน? ทำไมฉันถึงหาไม่เจอ?

        [คำตอบ] :แม่งเอ๊ย ปล่อยให้ฉันหาอยู่ได้ทั้งวัน ตอนหลังเพิ่งจะมารู้ว่านักหลอมยานั่นไม่ได้อยู่ตามตำแหน่งที่ระบุไว้ มันอยู่ในป่านอกเมืองปาหวางตรงประตูทางทิศเหนือโน่น มีถึง 11 ตำแหน่งที่ NPC จะโผล่มา แถมทุกๆ 15 นาทีมันจะเปลี่ยนสถานที่ด้วย โคตรเซ็งเลย!

        ……

        อย่างนี้นี่เอง ในเมื่อไม่อยู่ที่นี่ ก็ออกไปหาที่อื่นต่อแล้วกัน

        หลังจากเดินวนอยู่ในป่าเล็กๆ เป็นเวลา 10 นาที ในที่สุดก็ได้พบกับ NPC ที่กำลังงีบอยู่ใต้ต้นแปะก๊วยโดยมีชื่อลอยอยู่เหนือศีรษะ ‘นักหลอมโอสถหมี่เฟ่ย’

        ผมเดินไปยืนตรงหน้าก่อนจะโค้งทำความเคารพ “สวัสดีครับท่านอาจารย์ ผมอยากเรียนวิชาหลอมโอสถ”

        ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่มีการตอบรับใดๆ เมื่อเงยหน้าก็พบว่านักหลอมโอสถได้หายไปแล้ว อ้าวเฮ้ย! ไปไหนแล้ววะเนี่ย?!

        ผมออกตามหาอีกครั้ง ผ่านไป 10 นาทีก็พบนักหลอมโอสถหมี่เฟ่ยอยู่อีกมุมหนึ่งของป่า ผมรีบตรงเข้าไปแล้วพูดว่า “สวัสดีครับท่านอาจารย์ ผมอยากเรียนวิชาหลอมโอสถ”

        หมี่เฟ่ยเงยหน้าพร้อมหรี่ตามอง “เจ้าหนู อยากเป็นนักหลอมโอสถจริงๆ เหรอ?”

        “ครับ”

        “ดี” หมี่เฟ่ยตอบ “อยากเป็นนักหลอมโอสถที่ยอดเยี่ยมจะต้องมีปัญญาเฉียบแหลม หากเจ้าตอบคำถาม 3 ข้อของข้าถูกต้องทั้งหมด ข้าจะให้โอกาสเจ้าเรียนรู้วิธีหลอมโอสถ หากเรียนวิชาสำเร็จ เจ้าก็จะได้ใบรับรองคุณสมบัติของนักหลอมโอสถจากข้า”

        “ครับ ถามมาได้เลย”

        หมี่เฟ่ยหัวเราะหึๆ ก่อนเริ่มคำถามแรก “บนโลกใบนี้ รถอะไรที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้?”

        ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบกลับไป “กังหันลม![1]

        “ถูกต้อง เอาละ คำถามต่อไป เจ้าจะใช้ใบไม้ปิดท้องฟ้าทั้งหมดได้อย่างไร?”

        ผม “ก็เอาใบไม้มาปิดตาสิครับ แค่นี้ก็มองไม่เห็นท้องฟ้าแล้ว”

        หมี่เฟ่ยถามต่อ “คำถามสุดท้าย... มีหนอนอยากจะข้ามแม่น้ำ แต่ที่นั่นไม่มีสะพาน มันจะข้ามแม่น้ำได้อย่างไร?”

        ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็รอให้มันกลายเป็นผีเสื้อ ก็สามารถบินข้ามแม่น้ำได้แล้ว”

        “หึๆ ไม่เลวนี่...” หมี่เฟ่ยยืดตัวก่อนมองผมแล้วถามต่อ “เจ้าอยากเป็นนักหลอมโอสถจริงๆ ใช่ไหม?”

        “ครับ”

        “ดี” หมี่เฟ่ยหยิบพลั่วขนาดเล็กออกมาก่อนจะพูดต่อ “นักหลอมโอสถที่ดีต้องมีพละกำลังในการเก็บสมุนไพร ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของป่าแห่งนี้มีต้นชะเอมเทศอยู่ เจ้าไปที่นั่นแล้วนำชะเอมเทศมาให้ข้า 10 ต้น ข้าจึงจะสอนเจ้า แต่ภายในป่านั่นมีปีศาจตัวน้อยน่ารังเกียจอยู่ จงระวังตัวให้ดี”

        ติ๊ง!

        ข้อความจากระบบ :ท่านต้องการรับภารกิจ [งานของนักหลอมโอสถ] หรือไม่?

        ผมกดตกลงก่อนที่รายละเอียดของเควสต์จะปรากฏขึ้นตรงหน้า เควสต์นี้ผมต้องรวบรวมชะเอมเทศ 10 ต้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ที่น่ากลัวคือผมไม่รู้เลยว่ามอนสเตอร์ในป่านั่นอยู่เลเวลไหน แต่ช่างมันเถอะ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที!

        ……

        ผมถือพลั่วไว้ก่อนกล่าวลานักหลอมโอสถเพื่อมุ่งหน้าไปยังป่าเล็ก ผ่านไป 10 นาทีผมก็มายืนอยู่หน้าป่าผีเสื้อ ที่นี่เงียบสงบมาก เหล่าผีเสื้อโบยบินละลานตา

        ผมกำดาบหนามแน่นก่อนเดินเข้าป่าอย่างระมัดระวัง เดินไปได้ไม่กี่ก้าวมอนสเตอร์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ค้างคาวสีเขียวตัวหนึ่งห้อยหัวอยู่บนต้นไม้ มันกระพือปีกบินตรงมาหาผม

        [ค้างคาวแวมไพร์] (มอนสเตอร์ทั่วไป)

        เลเวล :12

        พลังโจมตี :55-62

        พลังป้องกัน :24

        HP :400

        สกิล : [ดูดเลือด (LV-1)]

        ข้อมูลมอนสเตอร์ :สัตว์ร้ายระดับต่ำของแผ่นดินใหญ่แห่ง Destiny ค้างคาวแวมไพร์สามารถดูดค่าพลังชีวิตได้ และมักจะสร้างความวุ่นวายขึ้นในป่า ทำให้ทั้งชาวนาและเหล่านักฆ่าต่างต้องปวดหัว ค่าพลังชีวิตของคนส่วนใหญ่ต่างถูกพวกมันดูดจนตาย

        ……

        เห็นค้างคาวแวมไพร์แล้วผมก็อดขำไม่ได้ ให้ตายสิ กระจอกชะมัด!

        ผมถือดาบพุ่งใส่มอนสเตอร์ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันคงเป็นการโจมตีธรรมดาที่รุนแรงที่สุด ฉัวะ! สิ้นเสียงดาบที่แทงทะลุท้องของมัน เจ้ามอนสเตอร์น้อยขนาดเท่าลูกบอลเปล่งเสียงร้องพร้อมกับเลือดที่ลดลง -97 พอยต์ การโจมตีของผมในตอนนี้นับว่าแข็งแกร่งมากทีเดียว

        มันเริ่มกระพือปีกก่อนอ้าปากกว้างกัดไหล่ของผม ขณะโจมตีก็ดูดเลือดไปด้วย 50%

        “-43”

        “+21”

        ผมไม่สนใจว่ามันจะโจมตีผมตรงไหน แต่ผมยังคงโจมตีมันต่อไปอย่างดุเดือด หลังจากจัดการมันได้ผมก็ยกมือขึ้นห้ามเลือดตัวเองก่อนฟื้นฟูเลือดเพิ่มขึ้นอีก 100 พอยต์ เลือดของผมตอนนี้กลับมาเต็มหลอดเหมือนเดิมแล้ว ขณะเดียวกันเจ้าค้างคาวก็เปล่งเสียงร้องก่อนจะล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้น “กริ๊งๆ” เสียงไอเท็มดรอปเป็นเงิน 5 เหรียญทองแดงและการ์ดปริศนาสีหยก ผมหยิบขึ้นมาดูแล้วก็ต้องตกตะลึง

        [การ์ดค้างคาวแวมไพร์] :ไอเท็มประเภทการ์ด หลังจากได้รับของชิ้นนี้แล้ว ผู้เล่นสามารถจับมอนสเตอร์ตัวนี้ไปเป็นสัตว์เลี้ยงของท่านได้

        ……

        “สัตว์เลี้ยง?”

        ผมรู้สึกตกใจ เนื่องจากเมื่อทุกคนเริ่มเล่นเกมแล้ว ผู้เล่นสามารถมีสัตว์เลี้ยงได้ถึง 3 ตัวโดยการจับสัตว์เลี้ยงนั้นๆ ด้วยตัวเอง ทว่าเนื่องจากเกมเพิ่งเปิดให้บริการ จึงยังไม่มีผู้เล่นคนใดมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเอง ตอนที่ผมออกจากเมืองปาหวาง คนจำนวนมากกว่าหนึ่งพันคนที่ผมเห็นต่างก็ยังไม่มีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเอง

        ผมกดใช้งาน “ฟึ่บ” ปรากฏแสงขึ้นตรงหน้าพร้อมตารางการ์ดของผมซึ่งมีรายชื่อค้างคาวแวมไพร์ใส่เพิ่มเข้าไป เมื่อเปิดดูก็เห็นรายละเอียดต่างๆ ไม่เลวแฮะ... ท่านต้องเรียกใช้การ์ดปิดผนึกเพื่อจับค้างคาวแวมไพร์เลเวล 1 แต่มอนสเตอร์ที่ท่านจับจะต้องเป็นมอนสเตอร์ระดับ 1 เท่านั้นจึงจะสามารถเรียกใช้งานได้

        ตอนนี้ผมยังไม่มีการ์ดปิดผนึกจึงได้แต่เดินหน้าต่อไป ไม่นานก็เห็นผลสีเขียวมรกตภายในป่า ผมอดดีใจไม่ได้ เพราะในที่สุดก็เจอต้นชะเอมเทศแล้ว สมุนไพรเลเวล 1!

        ผลสีเขียวๆ ขึ้นเต็มต้น อีกทั้งด้านบนถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างยามเช้า ดูไปแล้วก็น่าอร่อยดีเหมือนกันแฮะ ผมหยิบพลั่วออกมาขุดรากด้วยความระมัดระวัง ขณะที่ขุดอยู่นั้นข้างหูผมก็ได้ยินเสียงดัง

        ติ๊ง!

        ข้อความจากระบบ :ยินดีด้วย ท่านได้เก็บไอเท็ม [ผลชะเอมเทศ] +1 สำเร็จแล้ว

        ……

        หลังจากได้มา 1 ต้นผมก็รีบขุดต้นที่อยู่ข้างๆ ต่ออย่างรวดเร็ว

        ผมถือดาบหนามพร้อมเดินตามหาต้นชะเอมเทศต่อ จากนั้นไม่นานเจ้าค้างคาวแวมไพร์ 2 ตัวก็บินเข้ามาใกล้ ดูเหมือนว่าผมจะถูกรุมสินะ

        มุมปากของผมกระตุกขึ้น น่าสนุกดีนี่ มาเจอกันสักตั้งเป็นไง!

        สวบ!

        ผมพุ่งไปข้างหน้าพร้อมฟาดดาบไปที่ค้างคาวพวกนั้นจนค่าดาเมจของมันเด้งขึ้นมา -178 พอยต์ หลังจากที่พวกมันถูกผมโจมตีจนต้องล่าถอย ผมก็ได้พบความลับข้อหนึ่ง ภายในเกมนี้แฝงกลยุทธ์โจมตีเอาไว้ โดยการโจมตีหนึ่งครั้งจะทำให้ร่างถอยออกไปหรือเกิดการชะลอ ซึ่งกระทบต่อการตอบสนอง ในเวลาเดียวกันถือเป็นโอกาสให้ตัวเองในการโจมตีอีกครั้ง

        “ฉัวะ!”

        “-91”

        ผมใช้ดาบแทงสวนจากด้านล่างทำให้การโจมตีของเจ้าค้างคาวชะงักไป ความรวดเร็วในการโจมตีของดาบหนามไม่ได้ถือว่ามากนัก โดยใช้การโจมตี 1.5 วินาทีต่อครั้ง ตอนที่ผมใช้ดาบครั้งที่ 3 เจ้าค้างคาวก็เปล่งเสียงร้อง แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด ยังไม่ทันที่มันจะได้โจมตีกลับก็ถูกผมฆ่าตายเสียก่อน

        ยังเหลือค้างคาวอีกหนึ่งตัว สมองของผมครุ่นคิดเรื่องการจู่โจม การทำให้ชะงักและการชะลอตัว ดูเหมือนว่าเทคนิคเหล่านี้เมื่อนำมาเชื่อมโยงกันแล้วเพียงพอจะทำให้เกิดการจู่โจมแบบต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือว่าจะเป็นไปตามสโลแกนของเกมที่แจ้งไว้ว่าแก้ไขด้วยการเรียกใช้สกิลอย่างต่อเนื่อง?

        จุ๊ๆ น่าสนใจดีแฮะ

        ……

        เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วผมก็รวมรวบต้นชะเอมเทศได้ 9 ต้น และหลังจากที่ผมขุดต้นที่ 10

        ติ๊ง!

        ข้อความจากระบบ : ท่านได้เรียนรู้สกิลเก็บเกี่ยวสมุนไพรสำเร็จแล้ว

        สกิลเก็บเกี่ยวสมุนไพรเป็นสกิลจำเป็นสำหรับนักปรุงยาและนักหลอมโอสถ ในที่สุดผมก็ได้มาสักที นักปรุงยาจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างยาเพิ่มเลือด ส่วนนักหลอมโอสถจะเกี่ยวข้องกับการสร้างยามานาเป็นหลัก ทั้งสองส่วนนี้แตกต่างกัน แต่มันก็เป็นอาชีพที่สามารถทำเงินได้ดีทั้งคู่

        ผมค่อนข้างมั่นใจในสายตาของตัวเอง ตอนนี้ผมสังเกตว่าแต่ละครั้งที่ผู้เล่นอัปเลเวลนั้นจะเพิ่มค่า HP ได้ 10 พอยต์ แต่สกิลที่เพิ่มขึ้นจำเป็นต้องใช้ค่า HP มากขึ้นด้วยเช่นกัน เหมือนกับสกิลห้ามเลือดของผม เลเวล 1 ต้องใช้ค่า MP 5 พอยต์ ถ้าเป็นสกิลห้ามเลือดเลเวล 10 จะต้องใช้ค่า HP ถึง 50 พอยต์ นี่ยังถือว่าเป็นสกิลเลเวลน้อยมากนะ รอให้ผู้เล่นเลเวลถึง 50 ก่อนเถอะ แม้แต่การใช้สกิลเลเวล 1 ก็ยังต้องใช้ค่า MP ตั้ง 20 พอยต์ ถ้าเลือกใช้เลเวล 10 ยิ่งต้องใช้ค่า MP ถึง 200 พอยต์แน่ะ นักดาบเลเวล 50 หากไม่มีพลังวิญญาณจะต้องใช้ MP 550 พอยต์ หากไม่กินยาเพิ่มพลังก็จะไม่สามารถเล่นต่อได้ เมื่อมานั่งคิดๆ ดูแล้วโอกาสทางธุรกิจนี่มีไม่จำกัดเลยนะเนี่ย

        ตอนนี้ผมมีเงินเก็บ 8,000 หยวน แต่เงินจำนวนนี้ยังไม่สามารถทำอะไรได้ ส่วนหนึ่งเพราะผมอยากก่อตั้งทีมจ่านหลง อีกส่วนหนึ่งต้องแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายให้น้องสาวสำหรับเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ลำบากชะมัด อย่างไรเสียผมก็ต้องหาวิธีเก็บเงินให้ได้ไวๆ แล้ว

        เอาละ สกิลหลอมโอสถจะเป็นเส้นทางสู่ความร่ำรวยก้าวแรกของผม ถึงแม้ว่ามันอาจทำให้เก็บเลเวลได้ช้าลง แต่ถึงอย่างไรสกิลหลอมโอสถนี้ก็ต้องสูงขึ้นให้ได้!

        ……

        เมื่อกลับมาที่ป่าเล็กผมก็ไปหานักหลอมโอสถหมี่เฟ่ยก่อนส่งมอบชะเอมเทศ 10 ต้นให้เขา

        “โฮะๆ เจ้าหนูนี่เก่งจริงๆ สามารถปฏิบัติภารกิจที่ยากลำบากนี้ได้สำเร็จ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้ากลายเป็นนักปรุงยาผู้เฉลียวฉลาดและเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ เจ้าจะสามารถไปได้ทั่วทุกแห่งในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นใต้มหาสมุทรหรือยอดเขาสูง เจ้าจะได้ค้นพบจุดที่ลึกลับที่สุดของทวีป และสะสมสมุนไพรอันล้ำค่ายิ่งเพื่อหลอมโอสถที่เยี่ยมยอดที่สุด...”

        หมี่เฟ่ยตบบ่าของผมก่อนจะปรากฏแสงสว่าง ทันใดนั้นที่ใต้ชื่อตัวละครของผมก็มีฉายาใหม่แสดงขึ้น ‘นักหลอมโอสถฝึกหัด’ พร้อมๆ กับปรากฏชื่อสกิลใหม่ของผมด้วย [สกิลปรุงยา] หึๆๆ ไม่เลวเลยแฮะ เส้นทางในการพึ่งพาตัวเองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

        ……

        หมี่เฟ่ยมองผมก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้เจ้าได้เป็นนักหลอมโอสถแล้ว แต่... เจ้าหนู... เจ้าเป็นนักผจญภัยของเมืองปาหวางแล้ว ทำไมถึงไม่ไปเมืองหลักเพื่อรับตราประจำเมืองล่ะ?”

        “ตราประจำเมือง?” ผมถามด้วยความแปลกใจ

        “เฮ้อ เจ้าเด็กโง่...” หมี่เฟ่ยลูบหัวตัวเอง “เป็นนักผจญภัยของเมืองปาหวางแล้ว ตอนนี้เจ้าสามารถไปที่เมืองหลักเพื่อหาเจ้าเมืองและยืนยันตัวตนของเจ้า หลังจากนั้นเจ้าจะได้รับของขวัญด้วยนะ...”

        “ว่าไงนะ!”

        ผมรีบกลับเข้าไปในเมืองทันที ข้อมูลในเกมก่อนหน้านี้ไม่เห็นกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้เลย ใครจะไปรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย ดูเหมือนว่าผู้เล่นในเมืองปาหวางเองก็แทบไม่มีใครรู้

         

         

        ………………………………………………………………………………………….

        [1] กังหันลม ในภาษาจีนคำว่ากังหันลมมีตัวอักษร 车 อยู่ในนั้นซึ่งแปลว่ารถ

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 16.02 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
14 เมื่อ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2563 19.10 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 14 ปาหวางเลือดแห่งสังหาร

 

        นอกเมืองปาหวางมีผู้เล่นจำนวนมากกำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์ ตรงประตูเข้าเมืองมีหลายคนเริ่มซื้อขายไอเท็มกัน เสื้อคลุมอุปกรณ์ระดับขาวเลเวล 8 ถูกตั้งราคาไว้ที่ 5 เหรียญเงิน ซึ่งผมไม่คิดว่าจะมีใครซื้อหรอกนะ เสื้อคลุมที่มีพลังป้องกัน 5 พอยต์ ไม่คุ้มกับเงินที่ต้องจ่ายเลย ตอนนี้เงินถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าต้องจ่ายเงินซื้อ ผมว่าไปซื้อยามานาเพื่อออกไปเก็บเลเวลข้างนอกยังจะดีกว่า

        ร้านขายยา ร้านตีเหล็ก และสนามฝึกซ้อมเป็นแหล่งที่มีผู้คนมารวมตัวกันมากมาย หากเดินไปด้านหน้าอีกนิด ถนนที่จะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลักกลับไม่มีคนผ่านไปเลย มีเพียงผมซึ่งถือดาบในมือ ดูเหมือนว่าทุกคนต่างรีบร้อนออกไปเก็บเลเวลกันหมด จึงไม่มีใครสนใจจะเดินทางไปเมืองหลักของปาหวาง

        ……

        ผมเหยียบขั้นบันไดสีเลือดมุ่งไปยังพระราชวังด้านบน โดยตลอดทางที่เดินขึ้นไปมีเหล่าทหารสวมเกราะเหล็กสีดำขนาบทั้งสองฝั่ง ด้านบนของราชวังมีชายที่ดูน่าเกรงขามผู้หนึ่งยืนถือดาบ ซึ่งคนคนนั้นคือเจ้าแห่งเมืองปาหวาง ขณะเดียวกันเขายังเป็นหนึ่งในสามของเจ้าชายผู้มีชื่อเสียง ซึ่งไม่ว่าจะกล่าวถึงด้านใด ก็นับว่าเป็นคนยิ่งใหญ่คนหนึ่งทีเดียว

        เมื่อเดินไปหยุดยืนตรงหน้าผมก็คุกเข่าพร้อมพูดกับเจ้าแห่งเมืองปาหวาง “ท่านเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ข้าต้องการเข้าร่วมกับท่านในฐานะนักผจญภัยของเมืองปาหวาง”

        เจ้าเมืองซึ่งมีหนวดเคราเอามือแตะดาบก่อนมองมาที่ผม “เจ้าเด็กหนุ่ม เจ้าเต็มใจจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของเมืองปาหวางหรือ เจ้ายินยอมจะร่วมต่อสู้ไปกับพวกเราหรือ? ”

        ผมพยักหน้า “ครับ ท่านเจ้าเมือง”

        “เยี่ยมมาก เข้ามาใกล้ๆ สิ ข้าจะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นนักผจญภัยของเมืองปาหวางนับตั้งแต่บัดนี้! ”

        ตุบ! เจ้าเมืองวางมือบนบ่าของผม เอ่อ... ทำไมมันหนักขนาดนี้วะเนี่ย! ฮีลเลอร์ตัวเล็กๆ อย่างผมต้องมารับน้ำหนักมือที่รวมกับเกราะมือนั่นอีก ช่างน่าสังเวชจริงๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นข้างหู

        ติ๊ง!

        ข้อความจากระบบ :ยินดีด้วย ท่านได้เข้าร่วมกับเมืองปาหวาง และกลายเป็นนักผจญภัยของเมืองนี้แล้ว ท่านได้รับอนุญาตให้ใช้ม้วนกระดาษเคลื่อนย้ายมายังเมืองปาหวางได้ และท่านยังได้รับตราประจำเมืองของเมืองปาหวาง [ปาหวางเลือดแห่งสังหาร] ด้วย

        ……

        สวบ!

        ตราสัญลักษณ์รูปดาบที่อาบด้วยเลือดปรากฏขึ้นบนไหล่ของผม มันเป็นสัญลักษณ์ของผู้เล่นที่อยู่ในเมืองปาหวาง ในเวลาเดียวกันมันยังเพิ่มค่าพลังให้ผมด้วย

        [ปาหวางเลือดแห่งสังหาร] :เพิ่มพลังโจมตีและพลังป้องกัน 3% ให้กับผู้สวมใส่

        จุ๊ๆ เลือกเมืองปาหวางก็ไม่เลวเหมือนกันแฮะ ไม่รู้ว่าเมืองฝานซูกับเมืองจิ่วหลีจะเป็นยังไงบ้าง แต่กลับไปถามหลินหว่านเอ๋อร์กับตงเฉิงเยว่ก็คงจะรู้

        หลังจากลงทะเบียนเสร็จแล้ว ผมก็รีบออกไปทันที

        ตอนที่อยู่หน้าประตูเมืองผมเห็นกลุ่มคนนั่งเปิดแผงลอยพลางตะโกนว่า “เร่เข้ามาๆ รับซื้อการ์ดค้างคาวแวมไพร์จ้า ใครมีการ์ดเข้ามาได้เลย...”

        การ์ดค้างคาวแวมไพร์งั้นหรือ?

        ผมเปิดกระเป๋าดูก่อนจะพบว่า ผมฆ่าเจ้าค้างคาวไป 20 กว่าตัว แถมยังได้การ์ดมาถึง 2 ใบ ผมใช้ไปแล้ว 1 ใบ ตอนนี้เหลืออยู่ในกระเป๋า 1 ใบ ลองเข้าไปดูหน่อยแล้วกันว่าเป็นยังไง ชายหนุ่มคนนี้ดูอายุราวๆ 20 ปี ID คือ [พ่อค้าจันทราหมายเลข 4] ผู้เล่นเลเวล 13 อืม... ชื่อแปลกเป็นเอกลักษณ์ดีนี่

        ผมไปยืนตรงหน้าแล้วถามเจ้าหนุ่มว่า “เฮ้ น้องชาย นายจะซื้อการ์ดค้างคาวแวมไพร์ไปทำอะไรน่ะ? ”

        พ่อค้าหนุ่มยิ้ม “ความลับทางธุรกิจจ้ะ”

        ผมชี้หน้าเขา “แหม เป็นความลับขนาดนั้นเลยเหรอ ขี้โม้ชะมัด! นายจะเอาไปปิดผนึกค้างคาวแวมไพร์ แล้วเอามาขายเป็นสัตว์เลี้ยงให้คนอื่นต่อสินะ? ”

        พ่อค้าทำหน้าตกใจพร้อมเบิกตากว้าง “นะ... นาย... นายรู้ได้ไงน่ะ? ”

        ผมจ้องอีกฝ่าย “ใช้ขนจมูกคิดก็ยังเดาได้เลยไอ้น้อง! ฉันมีการ์ดค้างคาวแวมไพร์อยู่ใบหนึ่ง นายจะให้เท่าไรล่ะ? ถ้าราคาเหมาะสมฉันจะขายให้ แต่ถ้านายให้ราคาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ฉันจะเอาไปจับค้างคาวแวมไพร์แล้วเอามาขายที่นี่ หึๆ ถึงเวลานั้นเราคงกลายเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกัน ที่จริงไอ้ฉันก็เป็นคนค้าขายเหมือนกัน แต่ฉันไม่ได้อยากจะขายการ์ดใบนี้เท่าไรหรอก”

        ได้ยินผมพูดถึงการ์ดใบนั้นเจ้าหนุ่มนั่นถึงกับตาลุกวาวทันที “พี่ชายมีการ์ดด้วยเหรอ? พวกเราออกไปฆ่าค้างคาวตั้ง 4 ชั่วโมง ตายไป 30 กว่าตัวก็ยังไม่เจอการ์ดสักใบเลย ทำไมนายถึงโชคดีขนาดนี้เนี่ย? ”

        ผมตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น จริงเหรอวะเนี่ย? นี่ผมโชคดีขนาดนั้นเลย?

        ผมหยิบการ์ดออกมาโบกไปมา “เฮ้ อันนี้ใช่ไหมล่ะ? ”

        “ให้ตายเถอะ มีจริงๆ ด้วย! นายจะขายเท่าไร? ขายให้ฉันเถอะ เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะน้า...”

        “อย่ามาทำเป็นตีสนิท เสนอราคามา! ”

        เจ้าหมอนั่นพยักหน้าก่อนชูนิ้วขึ้น 5 นิ้ว “50 เหรียญทองแดง”

        ผมยิ้ม “งั้นฉันไปเก็บเลเวลก่อนละ บาย”

        “เฮ้ เดี๋ยวก่อนสิ...” เจ้าหมอนั่นดึงแขนผม “อย่าเพิ่งรีบร้อนสิพี่ชาย ถ้าไม่พอใจราคาที่เสนอไป ก็ตกลงกันใหม่ได้”

        ผมยิ้มก่อนจะชูขึ้นมา 5 นิ้ว “ฉันขอเท่านี้...”

        “5 เหรียญเงินเหรอ?! ” เจ้าหมอนั่นชะงักไป

        ผมพยักหน้า “ใช่ 5 เหรียญเงิน นายบอกว่าพวกนาย 30 กว่าคนฆ่าค้างคาวพวกนั้นไม่ใช่เหรอ ภายในหนึ่งชั่วโมงแต่ละคนก็คงได้เงินจากการตีค้างคาวอย่างน้อยๆ 1 เหรียญเงิน ถ้านำมารวมกันแล้วพวกนายก็น่าจะได้ถึง 30 เหรียญเงินต่อชั่วโมง การ์ดใบนี้ฉันขายให้นาย 50 เหรียญเงิน นั่นเป็นเพราะฉันเห็นว่าพวกนายก็เจ๋งดี มันคงไม่ได้มากมายอะไรหรอก ว่าไงล่ะ ตกลงซื้อในราคานี้ไหม? ถ้าไม่โอเค ฉันจะได้ไปเก็บเลเวลต่อ”

        เจ้าหมอนั่นแสดงสีหน้าลำบากใจ ทว่าสิ่งที่ผมคิดไว้กลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อเจ้าหมอนั่นดันพยักหน้าตอบ “ก็ได้! 5 เหรียญเงิน ฉันซื้อก็ได้”

        หลังจากซื้อขายเสร็จสิ้นผมก็ได้ 5 เหรียญเงินมาไว้ในครอบครอง

        ผมหัวเราะออกมา “งั้นฉันไปละนะ บ๊ายบาย”

        ……

        ผมรีบเดินไปร้านค้าทันทีก่อนเปิดตารางสินค้าดูของที่จำเป็นต้องซื้อ ซึ่งก็คือวัตถุดิบในการหลอมโอสถ

        LV-1 [โอสถชะเอมเทศ] :ฟื้นฟู 50 MP โดยใช้ผลชะเอมเทศ 3 ชิ้น และขวดเปล่า 1 ขวด

        LV-2 [โอสถใบไม้สีเงิน] :ฟื้นฟู 100 MP โดยใช้หญ้าใบไม้สีเงิน 4 ชิ้น น้ำยาปลุกจิตวิญญาณ 2 ขวด หม้อหลอมโอสถ 1 ใบ

        LV-3 [โอสถดวงดาราเจ็ดดวง] :ฟื้นฟู 200 MP โดยใช้หญ้าดวงดาราเจ็ดดวง 3 ชิ้น น้ำยาปลุกจิตวิญญาณ 3 ขวด หม้อหลอมโอสถ 1 ใบ

        ……

        ทั้งขวดเปล่าและหม้อหลอมโอสถต่างเป็นไอเท็มที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว ผมซื้อขวดเปล่า 100 ขวด หลอมผลชะเอมเทศ 100 ผลก็ทำให้สกิลหลอมโอสถเพิ่มเป็นเลเวล 2 ได้แล้ว ขวดเปล่าถูกขายในราคาใบละ 2 เหรียญทองแดง ส่วนหม้อหลอมโอสถมีราคาใบละ 20 เหรียญทองแดง ผมเลยซื้อมา 10 ใบ จากนั้นก็ซื้อการ์ดปิดผนึกซึ่งมีราคา 1 เหรียญเงินต่อใบ โดยผมตัดสินใจซื้อมา 2 ใบ เอาละ... หมดตูดอีกแล้ว... เฮ้อ ให้ตายเถอะ กินแกลบอีกแล้วโว้ย!

        เมื่อออกจากประตูทิศตะวันออกของเมืองปาหวาง ผมก็มุ่งหน้าไปยังป่าซึ่งแสงอาทิตย์กำลังสาดส่อง ป่าหนาทึบนี้รายล้อมอยู่ทั่วเมืองปาหวาง และเต็มไปด้วยมอนสเตอร์ระดับต่ำเดินป้วนเปี้ยนอยู่ พวกมันเป็นมอนสเตอร์ประเภทสัตว์ป่าและหนอนแมลง โดยไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับผู้เล่นเท่าไรนัก จึงเหมาะกับผู้เล่นเลเวล 10-20 ที่ต้องการจะเก็บเลเวล นอกจากนี้มันยังเป็นบ่อเงินบ่อทองสำหรับผมอีกด้วย

        ผมถือดาบวิ่งเข้าไปในป่าทึบ เป้าหมายของผมในเวลานี้คือเก็บผลชะเอมเทศเพื่อเพิ่มสกิลหลอมโอสถให้เป็นเลเวล 2 โอสถชะเอมเทศเลเวล 1 ช่วยฟื้นฟูพลังเวทได้ 50 พอยต์ ซึ่งทำให้ผมใช้สกิลฮีลได้ 5 ครั้ง แต่ต้องคูลดาวน์ถึง 30 วินาทีก่อนจะใช้งานได้อีกครั้ง ซึ่งยังไม่พออยู่ดี จึงจำเป็นต้องใช้โอสถใบไม้สีเงินเลเวล 2

        ภายในป่ามีต้นชะเอมเทศมากมาย แต่ต้องฆ่าค้างคาวแวมไพร์เสียก่อนจึงจะเก็บผลชะเอมเทศได้ ฆ่าก็ฆ่าวะ ถือซะว่าเก็บเลเวลไปพลางๆ ก็แล้วกัน

        “ฉัวะ”

        เจ้าค้างคาวลงไปนอนกองกับพื้นพร้อมกับแสงสีทองที่เปล่งประกายออกมา ตอนนี้ผมกลายเป็นฮีลเลอร์เลเวล 11 แล้ว

        ก่อนจะฆ่าค้างคาวทุกครั้ง ผมจะตรวจสอบเลเวลของพวกมันตลอด ถ้าเป็นค้างคาวเลเวล 1 ก็ปิดผนึกมันได้เลย จนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นมีใครมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเองเลยสักคน สัตว์เลี้ยงแต่ละตัวล้วนมีราคาแพง แม้สถานะของตัวมันจะไม่ได้สูงมากก็ตาม แต่ถึงอย่างไรมันก็สามารถทำเงินได้ไม่น้อย และนั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการ

        แต่น่าเสียดายชะมัดที่ฟ้าไม่เป็นใจให้ผมเท่าไร เพราะตั้งแต่ตีค้างคาวมาผมยังไม่เห็นเลเวล 1 โผล่ออกมาสักตัว

        หลังจากผ่านไป 1 ชั่วโมงกว่าๆ ผมก็มานั่งใต้ต้นไม้พร้อมกับเริ่มหลอมโอสถ เมื่อใช้ขวดเปล่าครบทั้ง 100 ใบ ติ๊ง! LV+1 สกิลหลอมโอสถของผมในเวลานี้ขึ้นเป็นเลเวล 2 แล้ว

        ……

        ผมลุกขึ้นดูระดับของตัวเองซึ่งตอนนี้เลเวล 12 แล้ว จากนั้นก็เดินทางต่อเพื่อหาสมุนไพรหญ้าใบไม้สีเงินอันเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ต้องมีสำหรับหลอมโอสถเลเวล 2

        เบื้องหน้าเป็นป่าลึกลับ บนพื้นมีผลชะเอมเทศกระจายเกลื่อน แต่ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ในความสนใจของผมอีก ผมเดินไปข้างหน้าเกือบ 10 เมตร ทันใดนั้นดวงตาของผมก็เป็นประกายเมื่อเห็นพืชสีเงินส่องแสงอยู่แถวๆ รากต้นไม้ มันคือหญ้าใบไม้สีเงินที่ผมกำลังตามหานั่นเอง เยี่ยมมาก ไม่คิดว่าจะหาเจอง่ายๆ แบบนี้

        ผมถือดาบเดินตรงไปพลางหัวเราะด้วยความสบายใจ ทว่าขณะที่กำลังจะก้มเก็บ ผมก็ได้ยินเสียงร้องของอะไรสักอย่างพร้อมกับที่มันพุ่งลงมายังต้นไม้ที่ผมยืนอยู่

        พรวด!

        ทันใดนั้นเลือดก็พุ่งออกจากหัวของผม โอ๊ย ให้ตายเถอะ ถูกซุ่มโจมตีจนได้

        “-71”

        เจ้าตัวที่โจมตีผมคือนกสีเงินตัวเล็กๆ แม้รูปร่างของมันจะเล็กกระจิริด แต่พลังโจมตีนับว่ารุนแรงมาก ปากแหลมๆ ของมันเหมือนจะถูกเคลือบด้วยเงิน ถ้าถูกโจมตีก็คงเจ็บไม่น้อย

        [นกขนสีเงิน] (มอนสเตอร์ทั่วไป)

        เลเวล :15

        พลังโจมตี:55-80

        พลังป้องกัน:19

        HP:550

        สกิล : [โจมตีด้วยขนนก]

        ข้อมูลมอนสเตอร์ :นกขนสีเงินเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ป่าฝน นกโลหะเหล่านี้มีความเร็วและพลังโจมตียอดเยี่ยม พวกมันทำหน้าที่พิทักษ์หญ้าใบไม้สีเงินของป่าฝนแห่งนี้ ซึ่งทำให้นักสะสมสมุนไพรเกลียดมันเข้ากระดูกดำ

        ……

        เพราะเป้าหมายสามารถบินได้ จึงทำให้วิถีดาบที่ฟาดออกไปไม่ค่อยแม่นยำเท่าไรนัก พรวด! แต่ผมก็ยังสร้างความเสียหายให้มันได้ถึง -112 พอยต์ พลังโจมตีของมันสูงก็จริง ทว่าการป้องกันกลับน้อยมาก ถึงแม้ว่ามันจะสามารถฆ่าศัตรูได้ฉับพลัน แต่มันเองก็ถูกฆ่าตายได้รวดเร็วไม่ต่างกัน

        เจ้านกขนสีเงินที่ถูกโจมตีเปล่งเสียงร้องด้วยความโกรธ มันกระพือปีกพร้อมโจมตีติดต่อกัน 2 ครั้ง ซึ่งการโจมตีของมันทำให้ผมเจ็บปวดแทบขาดใจ และต้องฮีลเลือดให้ตัวเองติดต่อกันถึง 3 ครั้งจึงจะห้ามเลือดไม่ให้ลดลงได้ โชคดีชะมัดที่ผมเป็นฮีลเลอร์สายบู๊ที่จัดว่าใช้ได้ หากผมเป็นนักดาบแล้วถูกเจ้านี่เล่นงานละก็ ต่อให้มีสองชีวิตก็ไม่รอดแหงๆ

        พรวด!

        ผมฟาดดาบอีกครั้งก่อนที่ปลายดาบจะทะลุร่างมันเต็มๆ ทำให้มันตกลงมานอนตายกับพื้นในที่สุด

        กริ๊งๆๆ ...

        เจ้านกนี่ใจกว้างชะมัด ให้เงินมาตั้ง 11 เหรียญทองแดงแน่ะ เยี่ยมไปเลย นอกจากได้เงินแล้ว ค่า EXP ยังเพิ่มขึ้นเยอะเลยด้วย เจ้ามอนสเตอร์เลเวล 15 นี่แจ๋วจริงๆ

        ……

        ผมก้มลงเก็บหญ้าใบไม้สีเงินก่อนเข้าไปในป่าลึกต่อ

        ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ทุกๆ ครั้งจะต้องตรวจสอบให้ดีก่อนว่ามีนกขนสีเงินเฝ้าอยู่หรือไม่ หากเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปเหมือนตอนแรกอาจถูกพวกมันโจมตีอีก ถึงตอนนั้นผมคงได้ซี้แหงแก๋แน่ๆ

        หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ท้องฟ้าเริ่มมืด เวลาในเกมเข้าสู่ช่วงกลางคืน

        ผมเงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นแสงสีเงินระยิบระยับอยู่กลางไม้ใหญ่ เจ้านกขนสีเงินอีกแล้ว ทว่าเมื่อผมกวาดสายตาก็สังเกตเห็นเลเวลของมันเข้า ร่างของผมก็ชะงักไปทันที เฮ้ย! นี่มันนกขนสีเงินเลเวล 1 ที่สามารถจับเป็นสัตว์เลี้ยงได้นี่นา

        [นกขนสีเงิน]

        เลเวล :1

        คำแนะนำ :สามารถปิดผนึกได้

         

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 16.01 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
15 เมื่อ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 17.11 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 15 นกขนสีเงินที่มีราคา

 

        มอนสเตอร์เลเวล 1 ถือเป็นสิ่งหายากสำหรับเกมนี้ น่าเสียดายที่ตารางการ์ดของผมมีแค่ค้างคาวแวมไพร์ แต่ไม่มีนกขนสีเงิน จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย?!

        ระหว่างที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ผมก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะยอมเดินจากไปด้วยความเสียดาย

        ไว้ก่อนแล้วกัน ยังไงผมก็ต้องจัดการเก็บเจ้านกขนสีเงินนี้ให้ได้

        ……

        ช่วงที่เดินไปมาอยู่ในป่า ผมก็เก็บหญ้าใบไม้สีเงินพร้อมกับฆ่านกขนสีเงินไปพลาง แม้ว่าการฆ่ามอนสเตอร์จะเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่สำหรับผมมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร เมื่อเทียบกับตอนที่ปฏิบัติภารกิจในเขตชายแดนซึ่งต้องเดินทางในทะเลทราย 36 ชั่วโมงเพื่อตามล่าพวกค้ายาเสพติดโดยไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน เทียบกับตอนนั้นแล้ว สถานการณ์ในเกมตอนนี้ที่กำลังทดสอบความอดทนก็เปรียบได้กับอยู่บนสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น

        5 ชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนโกหก ตอนนี้ก็ 2 ทุ่มกว่าแล้ว ไม่รู้ว่าผมใช้เวลาไปกับการฆ่าเจ้านกขนเงินไปกี่ตัวแล้วเหมือนกัน ตอนนี้เลเวลของผมได้เดินทางมาถึง 15 แล้ว ไอเท็มระดับขาวที่ใช้สำหรับสวมใส่ก็มีถึง 5 ชิ้น แต่ผมกลับใส่ไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว ขณะนี้ผมมีเงินอยู่ 7 เหรียญทอง น่าเสียดายที่ความทนทานของอาวุธผมเหลือไม่ถึง 10% แล้ว ผมจึงตัดสินใจกลับเมืองเพื่อซ่อมแซมก่อนจะมาเก็บเลเวลต่อ

        “แกวกๆ …”

        ทันใดนั้นเสียงของเจ้านกขนสีเงินก็ดังขึ้นพร้อมดาบหนามในมือที่ฟาดใส่ศัตรู “ชิ้ง! ” ทำให้เจ้านกนั่นลงไปนอนแอ้งแม้ง ในเวลาเดียวกันไอเท็มก็ดรอปลงมาถึง 2 ชิ้น ชิ้นแรกเป็นเสื้อคลุมสีเขียว ส่วนอีกชิ้นเป็นการ์ดที่ผมต้องการพอดี หัวใจของผมแทบหยุดเต้น การใช้เวลาจัดการกับมอนสเตอร์พวกนี้เป็นเวลากว่า 5 ชั่วโมงในที่สุดผมก็ได้มันมาครอบครอง ให้ตายเถอะ เจ๋งสุดๆ ไปเลยโว้ย!

        ผมก้มเก็บไอเท็มเหล่านั้นโดยเลือกเก็บการ์ดที่ถูกดรอปลงมาเป็นชิ้นแรก มันคือการ์ดนกขนสีเงินจริงๆ ด้วย ผมใช้มันทันทีแล้วมันก็เข้าไปเพิ่มอยู่ภายในสมุดรวมการ์ดของผม เมื่อเปิดดูผมก็เห็นค่าสถานะการป้องกันของมัน

        [นกขนสีเงิน]

        พลังโจมตี:★★★☆

        พลังป้องกัน :★★

        HP:★★☆

        ความเร็ว:★★★★

        MP :★☆

        สกิล : [บินโฉบ]

        ……

        พลังโจมตี 3.5 ดาวกับความเร็ว 4 ดาว คุณสมบัตินับว่าเหมาะสมเอาไว้เป็นสัตว์เลี้ยงประเภทโจมตี ภายในเกมนี้เจ้านี่คงเป็นสัตว์เลี้ยงโจมตีที่เจ๋งที่สุดในตอนนี้แล้วกระมัง แต่น่าเสียดายที่พลังป้องกันกับพลังเวทของมันน้อยไปหน่อย ถ้าถูกโจมตีคงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ช่างมันเถอะ แค่ให้มันช่วยเจ้าของเก็บเลเวลได้ก็พอ เพราะไม่มีใครฝากชีวิตตัวเองไว้กับสัตว์เลี้ยงจริงๆ หรอก

        หลังจากดูการ์ดใบนั้นเสร็จผมก็ยกเสื้อคลุมสีเขียวขึ้นมาดูต่อ เฮ้ย เจ๋งดีนี่!

        [เสื้อคลุมขนสีเงิน] (อุปกรณ์ระดับดำ)

        ประเภท :เสื้อคลุม

        พลังป้องกัน :30

        ค่าโจมตีพื้นฐาน :+4

        เลเวลที่สามารถใช้งานได้ :15

        ……

        เสื้อคลุมถือเป็นไอเท็มที่ไม่จำกัดอาชีพในการใช้ นั่นหมายความว่ามันไม่ได้มีค่าสถานะสูงไปกว่าประเภทที่จำกัดอาชีพ แต่สำหรับผมซึ่งมีพลังป้องกันแค่ 29 พอยต์ การได้มันมาเพิ่มถึง 30 พอยต์ก็ทำให้ผมอึดขึ้นเป็นสองเท่า ถือว่าเป็นของที่ดีมาก

        หลังจากสวมใส่ ด้านหลังของผมก็เกิดลมสีเขียวลอยออกมาจนทำให้ดูโปร ในเวลาเดียวกันสถานะของมันก็ทะยานสูงขึ้นมากเช่นกัน

        [เซียวเหยาจื้อจ้าย] (ฮีลเลอร์ฝึกหัด)

        เลเวล :15

        พลังโจมตี :101-112

        พลังป้องกัน :59

        HP :240

        MP :210

        ค่าเสน่ห์ :0

        ……

        พลังป้องกัน 59 พอยต์ ถือว่าทำให้ผมรองรับการจู่โจมได้มากขึ้นพอสมควรนะเนี่ย อย่างน้อยภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้มันก็ทำให้ผมดีใจแทบบ้า ผมถือดาบแล้วกลับไปยังพิกัดที่ระบุไว้เมื่อ 5 ชั่วโมงก่อนเพื่อตามหาเจ้านกขนสีเงินเลเวล 1 ตัวนั้น ขอร้องละ อย่าเพิ่งถูกใครจับหรือถูกฆ่าตายไปก่อนนะ เจ้านกนั่นเป็นของฉัน ใครกล้าฆ่ามัน ฉันจะจัดการกับพวกมันให้หมดเลยคอยดู!

        เมื่อมาถึงใต้ต้นไม้นั้นผมก็ก้มลงมอง และเป็นไปอย่างที่คิด เจ้านกนั่นยังอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย

        ผมรีบหยิบการ์ดปิดผนึกกับ 1 เหรียญเงินออกมา ทั้งหมดมีแค่ 2 ใบเท่านั้น ตอนที่การ์ดของผมจับไปที่เจ้านกตัวนั้น มันก็เปล่งเสียงร้อง พร้อมกับที่บนการ์ดปิดผนึกปรากฏค่าเฉลี่ยความสำเร็จในการปิดผนึกออกมา 27.4%!

        ให้ตายเถอะวะ มอนสเตอร์เลเวลต่ำขนาดนี้ แต่ทำไมโอกาสได้มาถึงน้อยขนาดนี้ละเนี่ย? ตอนนี้ผมมีการ์ดปิดผนึกแค่ 2 ใบเท่านั้น ขอร้องละ ช่วยส่งโชคมาให้ฉันทีเถอะ

        สวบ!

        ทันใดนั้นการ์ดปิดผนึกก็เกิดลำแสง 7 เส้นสาดส่องลงมาจากฟากฟ้าก่อนจะล้อมรอบตัวเจ้านกน้อยตัวนั้น ทว่าแสงกะพริบเพียงไม่กี่วินาที การปิดผนึกก็ขึ้นข้อความว่า FAIL

        อะไรวะเนี่ย!

        ผมเดือดดาลขึ้นมาทันที ส่วนเจ้านกตัวนั้นดูท่าจะไม่พอใจเช่นกัน ร่างของมันหมุนอยู่กลางอากาศครู่หนึ่งก่อนจะพุ่งโจมตีแล้วตะปบหน้าผากของผมจนเกิดค่าเสียหาย -14 พอยต์ นี่คือผลที่ได้รับจากการโจมตีของเจ้านกขนสีเงิน แม้แต่เลเวล 1 ยังสามารถทำให้เลือดของผมลดลงไปได้มากขนาดนี้ ความสามารถของมันดูเหมือนว่าหากใช้เพื่อทำลายการป้องกัน ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากเลยนะเนี่ย

        ระหว่างที่กำลังรับมือการโจมตีของเจ้านกน้อย ผมก็หยิบการ์ดปิดผนึกใบที่ 2 ออกมา นี่เป็นการ์ดใบสุดท้ายของผมแล้ว!

        สวบ!

        การ์ดลอยขึ้นก่อนจะคลุมร่างของเจ้านกน้อยตัวนั้น พร้อมกับผมที่เริ่มใช้พลังปิดผนึกอย่างต่อเนื่อง เจ้านกพยายามสลัดตัวเองให้หลุดจากการปิดผนึก มีหลายครั้งที่มันเกือบถูกดูดเข้าไปในวงเวท ทว่ามันก็พยายามดีดตัวเองออก ช่วงสุดท้ายฝ่ามือผมชุ่มไปด้วยเหงื่อและคอยภาวนาในใจตลอดเวลา ‘เจ้านกน้อยหยุดดิ้นทีเถอะโว้ย ฉันสัญญาว่าจะเลี้ยงแกด้วยอาหารเลิศรสที่สุดเท่าที่โลกใบนี้มีเลย’

        ในที่สุดดูเหมือนว่าคำอธิษฐานจะเกิดผล เพราะทันใดนั้นลำแสงสายหนึ่งก็สว่างวาบแล้วเจ้านกน้อยเลเวล 1 ก็หายไป จากนั้นช่องเก็บสัตว์เลี้ยงก็ปรากฏรูปเจ้านกขนสีเงินขึ้นมา

        ติ๊ง!

        ข้อความจากระบบ :ยินดีด้วยท่านได้ปิดผนึก [นกขนสีเงิน] สำเร็จแล้ว ท่านเป็นผู้เล่นคนที่ 3 ที่สามารถปิดผนึกสัตว์เลี้ยงได้สำเร็จ ท่านจะได้รับรางวัลจากภารกิจในครั้งนี้ด้วยค่า EXP 2,000 พอยต์และค่าเสน่ห์ +1

        ……

        สวบ!

        แสงสีทองที่คุ้นเคยส่องสว่างขึ้นรอบๆ เวลานี้เลเวลของผมเพิ่มเป็น 16 แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าการปิดผนึกสัตว์เลี้ยงจะทำให้ได้รับค่า EXP เพิ่มขึ้นด้วย! แถมยังได้ค่าเสน่ห์อีกตั้ง 1 พอยต์ แม้ว่าผมจะยังไม่รู้ว่ามันมีไว้เพื่ออะไรก็เถอะ แต่จะต้องเป็นของดีแน่ๆ

        เมื่อเปิดตารางสัตว์เลี้ยงแล้วผมก็ดึงค่าสถานะของเจ้านกขนสีเงินดู อืม... ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย

        [นกขนสีเงิน]

        เลเวล :1

        พลังโจมตี:★★★☆

        พลังป้องกัน :★★

        HP :★★☆

        ความเร็ว :★★★★

        MP :★☆

        สกิล: [โจมตีด้วยขนนก]

        ค่าความเป็นเลิศ :47%

        ……

        ผมเริ่มจะเข้าใจข้อมูลเหล่านี้แล้ว ค่าสถานะของพวกมันจะถูกจัดอยู่ในรูปดาว โดยที่เจ้านกขนสีเงินต่างก็อยู่ในระดับนี้ทั้งหมด แต่รูปร่างของพวกมันจะแตกต่างกัน เจ้านกที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้มีค่าความเป็นเลิศ 47% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงระดับของเจ้านกขนสีเงิน ว่าแต่ค่าความเป็นเลิศ 47% นี่มันมีประโยชน์ยังไงกันนะ?

        ผมจึงเปิดกระทู้แล้วค้นหาคำว่า ค่าความเป็นเลิศของสัตว์เลี้ยง

         

        [ค่าความเป็นเลิศ] :กำหนดความผันผวนของคุณสมบัติของสัตว์เลี้ยง โดยทั่วไปแล้วค่าสถานะปัจจุบันของสัตว์เลี้ยงจะเท่ากับ [ค่าสถานะพื้นฐาน] x [1+ เปอร์เซ็นต์ค่าความเป็นเลิศ] ค่าความเป็นเลิศของสัตว์เลี้ยง 1 ตัวจะกำหนดข้อดีข้อเสียของมัน

        ……

        เข้าใจแล้ว คุณสมบัติที่แท้จริงของนกขนสีเงินของผมคือ 1.47 เท่าของคุณสมบัติพื้นฐาน สัตว์เลี้ยงที่มีค่าความเป็นเลิศ 100% จะเทียบเท่ากับค่าความเป็นเลิศ 0% จากสัตว์เลี้ยงที่มีค่าความเป็นเลิศ 200% ให้ตายเถอะ นี่แปลว่าถ้าค่าความเป็นเลิศของสัตว์เลี้ยงต่ำก็ทำอะไรไม่ได้เลยสิเนี่ย!

        ผมตรวจสอบเจ้านกขนสีเงินตรงหน้าอีกครั้ง ก็พบว่าเจ้านกตัวนี้อยู่ในระดับกลางจนถึงต่ำ ซึ่งทำให้ความกระตือรือร้นในการได้ปิดผนึกสัตว์เลี้ยงของผมมอดดับไป แต่ก็ช่างมันเถอะ ดาบหนามในตอนนี้ก็ใช้งานไปเยอะแล้ว กลับเมืองไปซ่อมอาวุธเสียหน่อยดีกว่า ตอนนี้ในกระเป๋ามีหญ้าใบไม้สีเงินเกือบล้นแล้วด้วย ผมไม่ได้อยากเอาของเหล่านี้ไปหลอมหรอกนะ ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นค่าของมัน แต่เป็นเพราะผมไม่มีเงิน ตอนนี้ผมต้องการขายมันแลกเงินเพื่อยกระดับให้สูงขึ้น

        ……

        แต่เนื่องจากการวาร์ปกลับเมืองต้องใช้เงินถึง 1 เหรียญทอง ซึ่งผมไม่มีปัญญาหาเงินซื้อมันได้แน่นอน ผมก็เลยตัดสินใจวิ่งกลับเมืองแทน

        เมื่อวิ่งกลับไปที่เมืองแล้ว ผมก็ซ่อมอุปกรณ์ต่างๆ ตรงลานทางฝั่งประตูทิศเหนือนั้นครึกครื้นเป็นอย่างมาก คนมากมายเปิดแผงลอยขายไอเท็มที่ตัวเองหามาได้ โดยมีสินค้าหลากหลายละลานตาไปหมด

        “ขายเกราะอุปกรณ์ระดับขาวเลเวล 9 จ้า พลังป้องกัน 40 พอยต์ อาชีพอัศวิน นักดาบ พระใช้ได้หมดจ้า ซื้อตอนนี้ให้ราคา 1 เหรียญเงินเท่านั้น ใครที่เดินผ่านแถวนี้แวะมาดูก่อนได้จ้า พลาดแล้วจะเสียดายเด้อ”

        “ขายโอสถชะเอมเทศจำนวนมาก ขวดละ 4 เหรียญทองแดงเท่านั้นนะจ๊ะ ถูกกว่าไปซื้อกับ NPC อีกนะ ซื้อให้แฟนสาวที่เป็นฮีลเลอร์ได้ แต่ถ้ายังไม่มีแฟนก็เอาไปให้แฟนคนอื่นได้น้า! ”

        “ขายมีดอุปกรณ์ระดับเหล็กดำเลเวล 5 จ้า พลังโจมตี 12-15 ค่าความเร็ว +1 คนที่เล่นอาชีพแอสซาซินต้องเข้ามาดูนะ ขายถูกๆ เลยจ้า แต่ถ้ามีเงินไม่ถึง 20 เหรียญเงินก็ไม่ต้องเข้ามาคุยนะ เสียเวลาทำมาหากินจ้า”

        ……

        ผมดูของในกระเป๋าตัวเอง ดูเหมือนไม่มีอะไรที่สามารถขายได้เลยแฮะ ผมจึงไปซื้อหม้อต้มยามาหลอมยามานาเลเวล 2 ออกมา 50 ขวด แต่ละขวดคิดว่าจะขายในราคา 40 เหรียญทองแดง ซึ่งถูกกว่าราคาที่ NPC ขายอยู่

        จากนั้นผมก็วางเจ้านกขนสีเงินตรงหน้าและแสดงค่าสถานะของมันก่อนจะตะโกนว่า “สัตว์เลี้ยงปิดผนึก เพิ่งจับมาสดๆ ร้อนๆ เลยคร้าบ สัตว์เลี้ยงตัวนี้มาพร้อมกับพลังโจมตีและความเร็ว มีสกิลโจมตีด้วยขนนก ถือเป็นราชาแห่งสัตว์เลี้ยงสายโจมตีที่ดีที่สุดในตอนนี้เลยนะคร้าบ มาก่อนได้ก่อน เร่เข้ามาประมูลราคากันได้เลยคร้าบ”

        หลังจากพูดจบคนก็เริ่มมาออกันที่ร้านของผมพร้อมกับเริ่มเสนอราคา

        นักดาบเลเวล 11 ที่สวมอุปกรณ์ระดับขาวพูดขึ้น “เฮ้เพื่อน 80 เหรียญทองแดงขายไหม? ”

        ทันใดนั้นฮีลเลอร์เลเวล 15 อีกคนหนึ่งก็แทรกตัวเข้ามา “พ่อหนุ่ม ฉันอยากได้จัง 40 เหรียญเงินสนใจไหม? ขายให้ฉันเถอะ นายมีแฟนหรือเปล่าเนี่ย ถ้าไม่มี สนใจจะยกให้ฉันไหม? ”

        ผู้คนที่อยู่แถวนั้นหัวเราะเสียงดังจนทำให้ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน ต่อให้สวยปานนางฟ้า แต่ถ้าต้องแลกกับเจ้านกขนสีเงินที่มีค่าความเป็นเลิศ 100% ผมก็ไม่ยอมหรอกนะ

        ผู้คนยังคงเปิดราคาอย่างต่อเนื่อง แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่มีใครเสนอราคาถึง 1 เหรียญทองสักคน หรืออาจเป็นเพราะตอนนี้ยังเป็นช่วงเริ่มต้นเกม คนที่มีเงินต่างก็เอาเงินไปซื้อยา อีกอย่างมอนสเตอร์ก็ดรอปเหรียญแค่ไม่กี่เหรียญ การจะได้เงิน 1 หมื่นเหรียญเงินไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ราคาภายในใจของผมอย่างน้อยๆ คือ 5 เหรียญทอง ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่ขายหรอก

        ……

        รออยู่นาน 20 นาที ในที่สุดก็มีนักแม่นปืนหนุ่มเดินเข้ามา บนบ่าของเขามีแสงสีดำลอยอยู่ด้านบน นั่นเป็นเกราะข้อมืออุปกรณ์ระดับเหล็กดำ แถมเจ้านี่ก็เลเวล 18 และ ID ของเขาคือ ‘ไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะ’ อู้ว! ดูเหมือนว่าเถ้าแก่จะมาแล้วสินะเนี่ย

        เมื่อเจ้านี่เห็นนกขนสีเงิน ดวงตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา แต่ทันใดนั้นก็รีบข่มความรู้สึกทางสายตาเอาไว้ เจ้านี่ดูเป็นมืออาชีพดีแฮะ คงจะมากดราคาสินะ!

        ผมพยักหน้าก่อนจะยิ้มออกมา “เฮ้เพื่อน สนใจของชิ้นไหนเอ่ย? ”

        “เจ้านกขนสีเงินตัวนี้ราคาต่ำสุดอยู่ที่เท่าไร? ขอราคาเป็นธรรมด้วยนะ” ไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะถามขึ้น

        ผมเลียริมฝีปาก “นี่เป็นของที่ใครๆ ก็อยากได้ ราคาในใจตอนนี้คือ 5 เหรียญทอง ถ้าต่ำกว่านี้ฉันไม่ขาย นายก็น่าจะรู้นะว่าช่วงเริ่มเกมแบบนี้หากมีสัตว์ตัวนี้ละก็ การเพิ่มเลเวลของนายคงจะสูงมากเลยละ เรื่องนี้นายคงรู้ดีนะ ราคานี้ถือว่าคุ้มค่ากับการได้ไปครอบครองแน่นอน”

        ไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะพยักหน้า “เข้าใจแล้ว รอแป๊บ พี่ใหญ่ฉันกำลังมาที่นี่แล้ว”

        ……

        เพียงไม่นานก็มีนักดาบเลเวล 18 ถือดาบแทรกตัวเข้ามากลางฝูงชนก่อนจะเดินตรงมาที่แผงลอยของผมพร้อมหัวเราะร่า “เมืองปาหวางมีสัตว์เลี้ยงด้วยเหรอเนี่ย? ฮ่าๆๆๆ โชคดีชะมัดเลยนะเนี่ย ฉันจะซื้อของชิ้นนี้! ”

        ผมพูด “เถ้าแก่ ของชิ้นนี้ราคา 5 เหรียญทอง”

        “5 เหรียญทอง? บ้าไปแล้ว! ” ทันใดนั้นอีกฝ่ายก็ชะงักไป แล้วเสียงทุ้มต่ำก็ร้องดัง “เฮ้ย แกเองเหรอวะ! ”

        ผมเงยหน้าขึ้นด้วยอาการตกตะลึง นี่มันเจ้าซีฉู่ป้าหวาง คู่อริหมายเลข 1 ของฉันนี่หว่า...

        สวบ!

        ผมรีบเก็บแผงลอยก่อนยิ้มเหยๆ “ไม่ขายละ”

        “นี่ เดี๋ยวก่อนสิ...” ไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะฉุดผมเอาไว้ “พี่ชาย... อย่าให้เรื่องส่วนตัวมากระทบกับธุรกิจสิ พี่ใหญ่ของเราอยากได้สัตว์เลี้ยงนี่มากเลยนะ เมื่อกี้นายบอกว่าจะขาย 5 เหรียญทองไม่ใช่เหรอ งั้นพวกเราตกลงที่ราคานี้แหละ...”

        ผมขมวดคิ้วก่อนเอนหลังพิงกำแพงพลางกอดอกพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าต้องขายของชิ้นนี้ให้เจ้านี่ละก็ ฉันขอขายราคา 20 เหรียญทอง ถ้าน้อยกว่านี้แม้แต่ทองแดงเดียวฉันก็ไม่ขาย ว่าไง ยังอยากได้อยู่ไหมล่ะ? ”

         

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
16 เมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2563 18.38 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 16 หนังสือม้วนกระดาษของมนุษย์

 

       “20 เหรียญทองแกบ้าไปแล้วเหรอวะ?” ซีฉู่ป้าหวางพูดอย่างฉุนเฉียว แต่เขากลับไม่ได้พุ่งตัวใส่ผม ดูเหมือนเจ้าหมอนี่จะอยากได้นกขนสีเงินจริงๆ แฮะ

        ทันใดนั้นไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะก็เข้าไปกระซิบ “พี่อิง เราต้องซื้อนะ พี่บอกเองไม่ใช่เหรอว่า ถ้าเราอยากยืนอยู่จุดสูงสุดของเมืองนี้เราต้องนำหน้าคนอื่นๆ พี่ดูสิ จำนวนคน อุปกรณ์ เลเวลของพวกเราต่างล้ำหน้ากว่าคนอื่น แล้ว แต่ตอนนี้เรายังไม่มีสัตว์เลี้ยงเลย ตอนนี้ทั้งเมืองยังไม่มีใครมีสัตว์เลี้ยงตัวนี้เลย หากเราซื้อมันไปละก็ เราจะกลายเป็นคนแรกของเมืองปาหวางที่มีสัตว์เลี้ยงเลยนะพี่”

        ซีฉู่ป้าหวางกัดฟันพูด “แต่… แต่ราคา 20 เหรียญทองมันแพงเกินไป เจ้าบ้านั่นตั้งใจขูดรีดกันชัดๆ!”

        ไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะยิ้ม “โธ่พี่ คนอย่างพี่ยังสนใจกับอีแค่เงิน 20 เหรียญทองอีกเหรอเดี๋ยวผมจัดการให้เอง...”

        ซีฉู่ป้าหวางพยักหน้า “อืม”

        ……

        ไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะหันกลับมามองผมพร้อมกับยิ้มให้แล้วพูดว่า “นี่เซียวเหยาจื้อจ้าย งั้นก็เอาตามราคาที่นายว่าเลยแล้วกัน 20 เหรียญทองใช่ไหม ได้ งั้นพวกเราซื้อในราคานี้แหละ แต่ขอเวลา 10 นาทีนะ พวกเราต้องไปรวบรวมเงินกันก่อน นายเองก็น่าจะรู้ว่าผู้เล่นแต่ละคนในตอนนี้ต่างก็มีเงินมากสุดแค่ไม่กี่เหรียญเงิน ราคา 20 เหรียญทองถือเป็นจำนวนที่มากพอตัวเลย”

        ผมพยักหน้า “อืม ฉันให้เวลาพวกนาย 10 นาทีเท่านั้นนะ”

        “ได้เลย”

        ในเวลานั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น คนที่โทรหาผมย่อมไม่พ้นแม่สาวสวยคนเดิม หลินหว่านเอ๋อร์นั่นเอง

        “นี่หลี่เซียวเหยา พวกฉันหิวแล้ว”

        “คร้าบๆ ตอนนี้ผมยังออกจากเกมไม่ได้ ขอเวลาอีก 10 นาทีนะ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะรีบลงไปรอใต้หอ แป๊บนึงนะครับคุณหนู”

        “โอเค ให้ไวเลย”

        หลังจากวางสาย ผมก็นั่งรอพวกนั้น ไม่ถึงสิบนาทีไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะก็วิ่งกลับมาพร้อมนำเงินจำนวน 20 เหรียญทองซึ่งส่องแสงแวววาวมอบให้ผม โอ้โฮ คุ้มค่าจริงๆ เลยนะเนี่ย

        หลังจากการแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น เจ้านกน้อยก็จากผมไปพร้อมกับเงินจำนวน 20 เหรียญทองที่มาอยู่ในมือผมแทน

        ……

        ทันทีที่เจ้าซีฉู่ป้าหวางได้สัตว์เลี้ยงไปมันก็พยายามฆ่าผมทันที แต่เนื่องจากในเมืองเป็นเขตปลอดภัย เจ้านั่นจึงไม่สามารถทำอะไรผมได้ หลังจากโดนผมจ้องหน้าด้วยสายตาอาฆาตครู่หนึ่ง มันก็ถือดาบเดินจากไป คงจะไปเก็บเลเวลให้เจ้านกน้อยนั่นสินะ เพราะตอนนี้ถ้านกขนสีเงินไม่มีเลเวลสูงขึ้น มันก็ทำอะไรไม่ได้

        สถานการณ์ของผมง่ายขึ้นเยอะเลย ตอนนี้ผมสามารถซื้อหม้อปรุงยาได้ไม่จำกัด หญ้าใบไม้สีเงินในกระเป๋าก็มีเพียงพอ แค่ไม่มีหม้อปรุงยาเท่านั้น ตอนนี้ผมมีเงินแล้ว และหม้อปรุงยาก็มีราคา 20 เหรียญเงินต่อใบ น้ำยาปลุกจิตวิญญาณราคาขวดละ 10 เหรียญทองแดง หลังจากเลเวลเพิ่มถึงเลเวล แล้วค่อยว่ากัน โอสถยาเลเวล ราคา 50 เหรียญทองแดงถือว่าทำเงินไม่ได้มากเท่าไร เพราะแค่ต้นทุนก็ปาเข้าไป 40 เหรียญทองแดงแล้ว แต่ถ้าเป็นโอสถยาเลเวล ของ NPC จะอยู่ที่ เหรียญเงิน [1] นี่จึงจะสามารถทำเงินได้ ……

        ผมนั่งอยู่มุมหนึ่งที่ลานกว้างของเมืองเพื่อหลอมโอสถถึง 300 ครั้ง และในที่สุดกระเป๋าไอเท็มของผมก็เต็มไปด้วยโอสถใบไม้สีเงินเลเวล ในเวลาเดียวกันเสียงระบบก็แจ้งเตือน หลังจากใช้เงินไป 120 เหรียญเงิน สกิลหลอมโอสถก็อัปเป็นเลเวล จนได้

        ติ๊ง!

        ประกาศจากระบบ ยินดีด้วย สกิลหลอมโอสถของท่านได้เพิ่มเป็นเลเวล แล้ว เนื่องจากท่านเป็นผู้เล่นคนแรกที่สามารถก้าวถึงสกิลหลอมโอสถเลเวล ท่านจะได้รับค่าเสน่ห์ +เป็นรางวัลในครั้งนี้

        ได้ค่าเสน่ห์เพิ่มมาอีก คะแนนแล้ว เยี่ยมไปเลย!

        แม้แต่การอัปเวลของสกิลก็ยังได้รับรางวัลเป็นค่าเสน่ห์ด้วยแฮะ เยี่ยมเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้หลินหว่านเอ๋อร์จะได้รับค่าเสน่ห์ไปเท่าไรแล้ว ไม่รู้ว่าระบบจะประกาศว่า ‘ยินดีด้วย เนื่องจากท่านมีรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม แถมยังมีหน้าอกหน้าใจขนาด D34 ที่โดดเด้ง รับไปเลยรางวัลค่าเสน่ห์ +5’ หรือเปล่านะ...

        ถ้าเป็นแบบนั้นจริง นั่นคงบ้าไปแล้ว

        ……

        ระหว่างที่ยืนอยู่กลางลานกว้าง ผมก็เริ่มตะโกนขายของต่อ “เร่เข้ามาๆ โอสถยาเลเวล เพิ่งออกจากเตาสดๆ ร้อนๆ เลยคร้าบ ฟื้นฟู HP 100 พอยต์ ขวดละ 30 เหรียญทองแดงเท่านั้น ใครสนใจก็แวะมาซื้อเลยเด้อ ของมีจำนวนจำกัดจ้า”

        หลังจากป่าวประกาศ ก็มีกลุ่มคนเดินมาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งถือกริชในมือ เธอแทรกตัวแล้วจ้องมาทำเอาผมถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ทันใดนั้นเองเสียงบางอย่างก็ดังวนเวียนอยู่ข้างหู “เป็นเพราะเห็นเธอเพียงคนเดียว ยังไงก็ลืมความงามบนใบหน้านี้ไม่ได้ ใฝ่ฝันเหลือเกินว่าจะมีสักวันหนึ่งที่ได้พบกันอีกครั้ง ทว่านับแต่นี้ต่อไปก็คงมีแค่ฉันที่คิดถึงอยู่เพียงลำพัง...”

        “นี่นาย!”

        เสียงเรียกปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ เธอกำลังจ้องผมด้วยสายตาแปลกๆ “นายนี่พิลึกชะมัด สรุปจะขายหรือไม่ขายเนี่ยยาเวล นี่ขายขวดละ 30 เหรียญทองแดงใช่ไหม?”

        ผู้หญิงคนนี้สวยจริงๆ เธอสวมเสื้อเกราะหนังที่ทำจากอุปกรณ์ระดับขาว ส่วนโค้งเว้าบนร่างก็สุดแสนจะน่าประทับใจ ในมือยังมีกริชหนึ่งเล่มที่ดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์ระดับเหล็กดำ ใบหน้ารูปไข่ของแม่นางก็สวยเด่นเป็นสง่า อืม… เอาไปเลย คะแนน ในตอนนั้นเองผมก็เห็นตัวอักษรลอยอยู่เหนือศีรษะของเธอ ดูเหมือนมันจะกำลังเตือนคนอื่นๆ ว่าอย่ามายั่วโมโหเธอเชียว จุ๊ๆ กุหลาบงามย่อมมีหนามแหลมสินะ

        ID : [เยว่ชิงเฉี่ยน] เลเวล 19 (แอสซาซินฝึกหัด)

        ……

        แอสซาซินเลเวล 19 สามารถจัดการกับฮีลเลอร์เลเวล 15 ได้สบายๆ แบบนี้ไม่คุ้มเลยแฮะ จะอย่างไรก็ปฏิบัติต่อเธอดีๆ หน่อยดีกว่า

        บนหน้าผมปรากฏรอยยิ้มสดใส ผมก้มหน้าก่อนตอบกลับไป “ใช่คร้าบ ขวดละ 30 เหรียญทองแดงเท่านั้น คนสวยรับกี่ขวดดีครับ?”

        เยว่ชิงเฉี่ยนยิ้ม “นายมีเท่าไรฉันก็เอาเท่านั้นแหละ”

        ผมตรวจสอบของในกระเป๋าก็พบว่ามีทั้งหมด 300 ขวด โดยที่ผมต้องสำรองเไว้ใช้เอง 50 ขวด “ตอนนี้ผมมี 250 ขวด จะเอาหมดเลยหรือเปล่า?”

        “เอามาหมดนั่นแหละ”

        “โอเค”

        ผมเปิดหน้าจอแลกเปลี่ยนสินค้าก่อนจะใส่ยาทั้งหมด 250 ขวดลงไปในนั้น ต่อมาแม่สาวคนสวยก็นำเงิน 75 เหรียญเงินวางลงบนหน้าจอแลกเปลี่ยนพร้อมยิ้มหวาน “ขอบใจนะ”

        “ยินดีคร้าบ”

        ผมหมุนตัวเตรียมเดินออกไป ทว่าถูกเธอเรียกเอาไว้ “เดี๋ยวก่อนสิ นายคือเซียวเหยาจื้อจ้ายสินะ?”

        “อื้อ มีอะไรเหรอ?” ผมหันกลับไปถาม

        เยว่ชิงเฉี่ยนพยักหน้าก่อนยิ้มออกมา “นี่ ช่วยรับเพื่อนหน่อยสิ หลังจากนี้ถ้าฉันอยากได้ยามานาระดับสูง ฉันจะติดต่อนาย เพราะยังไงฉันก็ต้องใช้มันตลอด”

        ผมแปลกใจ “เธอเป็นแอสซาซิน จะเอายาไปทำอะไรเยอะแยะ?”

        เยว่ชิงเฉี่ยนยิ้ม “จริงสิ ลืมแนะนำตัวไปเลย ที่จริงฉันเป็นหนึ่งในสมาชิกของกิลด์ปรากในเกม Destiny ตำแหน่งรองหัวหน้ากิลด์ ว่าแต่นายเคยได้ยินชื่อกิลด์นี้ไหมล่ะ?”

        ผมพยักหน้า “เคยได้ยินมาเหมือนกัน เคยได้ยินตอนเล่นเกม Conquer Online ว่ามีกิลด์นี้อยู่ อยู่ในสิบอันดับต้นๆ ของทั้งประเทศเลย”

        “อื้อ ใช่แล้วละ นายสามารถหลอมโอสถเลเวล ได้ สกิลการหลอมโอสถของนายตอนนี้คงเลเวล แล้วสินะหลังจากนี้เราจำเป็นต้องใช้ยาเลเวล อีกเยอะเลยล่ะ... เอางี้... นายมาอยู่กิลด์เดียวกับพวกฉันไหมมาเป็นนักปรุงยามือหนึ่งให้กิลด์ของเรา แล้วก็...”

        หญิงสาวแย้มยิ้ม “พวกเรามีสวัสดิการให้เยอะแยะเลยน้า”

        ผมถอนหายใจขณะหักห้ามใจกับข้อเสนอล่อใจที่เพิ่งได้ยิน “ไม่ดีกว่า ฉันชอบไปไหนมาไหนคนเดียว ไม่อยากผูกมัดอยู่กับกิลด์คนอื่น อีกอย่างกิลด์ปรากใหญ่ขนาดนั้นคงมีกฎข้อห้ามเต็มไปหมด ฉันว่าฉันเหมาะจะทำอะไรคนเดียวมากกว่า”

        เยว่ชิงเฉี่ยนทำหน้ามุ่ยก่อนหัวเราะด้วยความเสียดาย “ก็ได้ๆ ถ้านายไม่อยากเข้ากิลด์ ฉันก็ไม่บังคับ หลังจากนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็ติดต่อฉันมานะ”

        “อื้อ ขอบใจนะ”

        “อื้อ งั้นฉันไปก่อนล่ะ...” เยว่ชิงเฉี่ยนหันหลังเตรียมเดินออกไป ทว่าทันใดนั้นเธอก็หันมาอีกครั้งพร้อมกับยิ้ม “นี่ เซียวเหยาจื้อจ้าย ฉันจำนายได้แล้วนะ หลังจากนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว นายห้ามลืมเด็ดขาดล่ะ...”

        “อืม”

        ……

        ผมยังยืนอยู่ที่เดิมเพื่อเรียกจิตใจให้กลับมาสงบอีกครั้ง

        กิลด์ปรากเป็นกิลด์ระดับต้นๆ แถมยังมีผู้หญิงหน้าตาน่ารักเอ่ยปากชวนให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกิลด์อีก รอยยิ้มพราวเสน่ห์และน่าหลงใหลของเธอคงทำให้ฮีโร่จำนวนไม่น้อยยอมเข้าร่วมในกิลด์สินะ แต่น่าเสียดายที่มันทำอะไรผมไม่ได้ ไม่กี่วันมานี้ผมใช้เวลาอยู่กับหลินหว่านเอ๋อร์และตงเฉิงเยว่ตลอด ผู้หญิงสวยระดับนี้เมื่อมาอยู่ด้วยกัน ความงามระดับทำลายล้างนั่นทำให้ผมมีภูมิคุ้มกันอย่างดีเลยละ

        เมื่อดูเวลาตอนนี้ก็ครบ 10 นาทีพอดี ผมเลยรีบออกจากระบบทันที

        พอวิ่งมาถึงหอหญิงก็เห็นหลินหว่านเอ๋อร์กำลังมองผมพร้อมกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ “หลี่เซียวเหยา! นายปล่อยให้พวกฉันรอตั้ง 11 นาที!”

        ตงเฉิงเยว่ยิ้ม “คงมีเรื่องด่วนในเกมเลยออกมาไม่ได้แหละ ไม่งั้นคงไม่ปล่อยให้เธอรอแบบนี้หรอก”

        ผมเดินมาด้านหน้าพร้อมกับพูด “โทษทีนะ เมื่อกี้กำลังติดพันอยู่ในเกมน่ะ”

        หลินหว่านเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็พูดแขวะ “เหรอ คนที่เพิ่งจะเลเวล 10 มีเรื่องยุ่งต้องทำด้วยเหรอหรือว่าต้องเอาเวลาไปช่วยสาวๆ เลเวล เก็บเลเวลล่ะ?”

        ผมกระแอมทีหนึ่ง “คุณหนูคิดมากไปแล้วครับ ผมก็แค่นั่งหลอมยามานาเลเวล อยู่ แถมเมื่อกี้ก็เพิ่งทำการซื้อขายกับลูกค้าก็แค่นั้น...”

        “หลอมยา?” หลินหว่านเอ๋อร์เบิกตากว้าง “นายทำเควสต์เรียนสกิลปรุงยาผ่านแล้วเหรอ?”

        “ใช่ครับ ทำไมเหรอหรือว่าคุณยังทำไม่สำเร็จ?”

        หลินหว่านเอ๋อร์หน้าแดงขึ้นด้วยความอายจนไม่กล้ามองผม ท่าทางของเธอในเวลานี้ทำให้หัวใจผมสั่นไหวเสียอย่างนั้น ถ้าเธอเป็นแบบนี้ไปตลอดก็คงจะดีแฮะ

        ตงเฉิงเยว่ยิ้มพร้อมกับพูดแหย่ “หว่านเอ๋อร์อยากเรียนวิชาหลอมยานะ แต่ดันตอบคำถามผิดหมดทั้งสามข้อเลย คงต้องรอพรุ่งนี้แหละถึงจะมีโอกาสได้ตอบใหม่อีกรอบ”

        ผมพยายามกลั้นขำเพราะกลัวเผลอหัวเราะออกมา ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงถูกฆ่าตายแน่ๆ

        เหมือนว่าหลินหว่านเอ๋อร์จะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ “อยากหัวเราะก็เชิญเถอะ ไม่ต้องมากลั้นขำเลย...”

        ผมเช็ดน้ำตาที่รื้นออกมา “เปล่าสักหน่อย ผมว่าคุณหนูฉลาดจะตาย ระบบต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ เลยถึงทำให้คำตอบผิดหมดทุกข้อ”

        “ฉันก็ว่าต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ”

        ตงเฉิงเยว่ “เฮ้อ... ฉันว่าไอคิวของฉันคงถูกพวกเธอดึงลงไปอีกไม่นานนี้แน่ๆ แต่เอาเถอะ รีบไปหาอะไรกินกันได้แล้ว”

        ……

        ทันทีที่อาหารถูกวางเรียงบนโต๊ะ พวกผมก็เขมือบทุกอย่างตรงหน้าทันที

        “นี่หลี่เซียวเหยา มอนสเตอร์รอบเมืองปาหวางเป็นยังไงบ้างมีอะไรพิเศษหรือเปล่า?” หลินหว่านเอ๋อร์ถามก่อนพูดต่อ “ฉันไม่ได้หมายถึงมอนสเตอร์เลเวล 15 ขึ้นไปนะ ฉันหมายถึงที่ต่ำกว่าเลเวล 15 น่ะ เพราะฉันรู้ว่ายังไงนายก็คงตีมอนสเตอร์ที่สูงกว่า 15 ไม่ได้อยู่แล้ว...”

        มุมปากผมกระตุก “ตอนนี้ผมเลเวล 15 แล้ว”

        ตงเฉิงเยว่อ้าปากค้าง “โห นี่นายอัปเลเวลเร็วเหมือนกันนะเนี่ย ผ่านไปแป๊บเดียวก็เลเวล 15 แล้วเหรอ!”

        ผมยิ้ม “ถึงผมจะไม่เคยไปเมืองจิ่วหลีกับเมืองฝานซู แต่คิดว่าน่าจะไม่ต่างอะไรกันมาก แต่จุดเด่นของปาหวางก็คงเป็นตราประจำเมืองปาหวางเลือดแห่งสังหารนั่นแหละ เพราะมันสามารถเพิ่มพลังการโจมตีและพลังป้องกันได้ถึง 3% เลยนะ”

        “หาในเมืองมีตราประจำเมืองที่เพิ่มค่าสถานะได้ด้วยงั้นเหรอ?” หลินหว่านเอ๋อร์ถามด้วยความแปลกใจ

        ผมได้ยินเช่นนั้นก็แปลกใจ “อย่าบอกนะว่าคุณยังไม่ได้ไปลงทะเบียนเพื่อรับตราประจำเมืองน่ะ?”

        “ยังไม่ได้ไปเอาเลย”

        ผมเปิดโทรศัพท์เพื่อค้นหาข้อมูลทันที “ตราประจำเมืองฝานซู ผู้เล่นทุกคนจะได้รับไอเท็มม้วนกระดาษมนุษย์ ประสิทธิภาพของไอเท็มชิ้นนี้คือสามารถดูดซับพลังงานของเวลาออนไลน์ได้ และเปลี่ยนเป็นค่า EXP ให้กับผู้เล่นนั้นๆ หมายความว่าคนที่อยู่ในเมืองฝานซูจะสามารถเก็บเลเวลได้เร็วกว่าเมืองอื่นๆ”

        หลินหว่านเอ๋อร์ก้มหน้ากินก่อนพูดต่อ “เดี๋ยวกลับไปเอาม้วนกระดาษมนุษย์ดีกว่า น่าโมโหชะมัด ก็ว่าทำไมตอนที่เราสู้กับอัศวินบาร์บาเรียน เจ้านั่นถึงได้มีหนังสือลอยอยู่บนแขน”

        ตงเฉิงเยว่ “……”

        
  

………………………………………………………………………………………….

        [1] เกี่ยวกับค่าเงินใน Destiny เทียบได้ดังนี้

        - ค่าเงิน เหรียญทอง = 100 เหรียญเงิน = 10,000 เหรียญทองแดง

 

         

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
17 เมื่อ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2563 17.09 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 17 หญ้าดวงดาราเจ็ดดวง

 

        เช้าวันรุ่งขึ้น

        ภายในเมืองปาหวาง ผู้คนต่างพากันยืนออที่ตลาดบริเวณประตูทิศตะวันออก ผมถือดาบหนามที่เพิ่งนำไปซ่อมมุ่งหน้าออกนอกเมือง เช้านี้ผมต้องอัปให้ถึงเลเวล 18 ให้ได้ จากนั้นก็รีบเก็บให้ถึงเลเวล 20 โดยเร็วที่สุดจึงจะสามารถเปลี่ยนอาชีพได้ หลังจากผู้เล่นเปลี่ยนอาชีพแล้วจะสามารถเรียนรู้สกิลของอาชีพนั้นๆ ได้ เช่นอาชีพฮีลเลอร์ พวกฮีลเลอร์ฝึกหัดจะสามารถเรียนรู้สกิลการห้ามเลือด สกิลบทกวี แต่หลังจากเปลี่ยนอาชีพ ฮีลเลอร์จะสามารถเรียนรู้สกิลรักษาชีวิตและสกิลการไหลเวียนของเลือด สำหรับสกิลรักษาชีวิตเลเวล 1 จะฟื้นฟู HP ได้ 150 พอยต์ ส่วนเลเวล 2 จะฟื้นฟูได้ 300 พอยต์ ซึ่งถือว่ามีความสามารถในการเพิ่มเลือดได้มากกว่าสกิลการห้ามเลือดถึง 3 เท่า!

        เมื่อออกจากประตูเมืองแล้วผมก็สำรวจแผนที่ เนื่องจากผมไม่สามารถเก็บเลเวลโดยไม่มีจุดมุ่งหมายได้ ช่วงเวลาที่เก็บเลเวลผมจะสะสมสมุนไพรเลเวล 3 สำหรับหลอมโอสถเลเวล 3 ไปด้วย ซึ่งยาเลเวล 3 ที่ผู้เล่นหลอมจะสามารถฟื้นฟู HP ได้ 200 พอยต์ ในขณะที่ยาเลเวล 3 จาก NPC ฟื้นฟูได้เพียง 150 พอยต์ อีกทั้งยังถูกขายในราคาที่แพงถึง 5 เหรียญเงินต่อขวด ดังนั้นยาที่ได้รับการหลอมจึงเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการ ผมจึงต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ ตั้งแต่ที่เยว่ชิงเฉี่ยนซื้อยาของผมเมื่อคราวนั้น ผมก็ไม่เห็นว่าในเมืองปาหวางจะมีใครที่มีสกิลการหลอมโอสถถึงเลเวล 3 เลยสักคน บางทีผมอาจเป็นคนแรกก็ได้ นี่แหละจึงเป็นโอกาสอันดีในการทำธุรกิจของผม

        ……

        [โอสถดวงดาราเจ็ดดวง] :ฟื้นฟู HP 200 พอยต์ (ใช้หญ้าดวงดาราเจ็ดดวง 3 ชิ้น น้ำยาปลุกจิตวิญญาณ 3 ขวด เตาหลอม 1 ใบ)

        โอสถเลเวล 3 ใช้วัตถุดิบหลัก คือหญ้าโอสถดวงดาราเจ็ดดวงซึ่งมีอยู่ทั่วป่าฝน มีหุบเขาเล็กๆ ชื่อว่าหุบเขาดวงดาราเจ็ดดวง หากไม่มีอะไรผิดแผกไปจากเดิม ที่นั่นจะมีหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงเยอะที่สุด และอยู่ห่างจากเมืองหลักออกไปประมาณ 30 นาที สถานที่ที่ห่างไกลขนาดนั้น ผู้เล่นทั่วไปต่างก็ไม่เต็มใจจะเดินทางไป แต่ถ้าจะเดินทางไปจริงๆ ก็คงต้องไปเป็นกลุ่ม เพราะหากไปเพียงลำพังก็มีโอกาสถูกมอนสเตอร์โจมตีระหว่างทางได้

        สายลมพัดผ่านป่าจนใบไม้พลิ้วไปมาทำให้เกิดเสียงซ่าๆ ผมกำลังเดินผ่านเส้นทางเล็กๆ เข้าไปในป่า ตอนนี้ผมเลเวล 16 แล้ว และมาพร้อมกับการสวมใส่ไอเท็ม ตอนนี้ค่าสถานะของผมคือ HP 250 พอยต์ และค่าการโจมตี 117 พอยต์ คิดดูแล้วก็น่าจะพอให้สามารถเดินทางไปยังหุบเขาดวงดาราเจ็ดดวงได้

        ระหว่างทางผมพยายามหลีกเลี่ยงไม่เผชิญหน้ากับเจ้านกขนสีเงินเลเวล 15 ในเวลานี้ผมแบกดาบหนามไว้บนหลัง ท่าทางจึงดูน่าขำไม่น้อย เพราะแทบจะไม่มีผู้เล่นคนไหนที่สวมใส่เสื้อคลุม แต่ดันแบกดาบหนักให้เห็นเลยสักคน

        หลังจากเดินอยู่นาน 20 กว่านาที เมื่อผมเงยหน้าก็เจอกับปากทางเข้าหุบเขามรกต ซึ่งบนแผนที่ระบุไว้ว่าเป็นหุบเขาดวงดาราเจ็ดดวง ที่นี่แหละ!

        ขณะที่ผมกำลังวิ่งไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากในป่า “ถึงหุบเขาดวงดาราเจ็ดดวงแล้ว นี่เป็นกิจกรรมของปาร์ตี้ [1] เราครั้งแรกเลยนะ ห้ามทำพลาดเด็ดขาด!”

        มีคนมา หลบก่อนดีกว่า!

        ผมรีบกระโดดไปหลบหลังพุ่มไม้ และก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ มีกลุ่มคนกำลังเดินออกจากป่า ทั้งหมดมีจำนวน 10 คน นำหน้าโดยหัวหน้าปาร์ตี้ที่มาพร้อมกับดาบยาว บนตัวสวมเสื้อเกราะสีเทามันวาว... ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ไอ้คนที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีนั่นเอง เจ้าซีฉู่ป้าหวางนักดาบฝึกหัด เลเวล 19! ด้านหลังของเจ้านั่นดูเหมือนจะเป็นคนของมัน และหนึ่งในนั้นก็มีไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีเอลฟ์จันทราอาชีพนักธนู 2 คน ซึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศห่างออกไปประมาณ 10 กว่าเมตรสำรวจพื้นที่แถวนี้อยู่

        ผมแอบดูสถานการณ์เงียบๆ

        บนแขนของเจ้าซีฉู่ป้าหวางมีเงาสีเงินลอยอยู่ซึ่งก็คือเจ้านกขนสีเงินที่ซื้อไปจากผมนั่นเอง ตอนนี้มันเลเวล 16 แล้ว ดูเหมือนว่าการอัปเวลของเจ้านกนี่จะรวดเร็วเหมือนกันนะเนี่ย

        ……

        “นี่เสี่ยวจู [2] นายแน่ใจนะว่าในหุบเขาจะมีบอสจริงๆ น่ะ?” ซีฉู่ป้าหวางถาม

        ไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะพยักหน้า “แน่ใจสิพี่ใหญ่ เมื่อเช้าประมาณ 6 โมง เพื่อนของผมถูกบอสจัดการที่นี่แหละ มอนสเตอร์ของหุบเขาดวงดาราเจ็ดดวงมีเลเวลสูงมาก พวกเราก็ต้องระวังตัวมากๆ อีกอย่างฮีลเลอร์ที่เราพามาก็ถือว่าน้อยไปนิด”

        “หืม?” ซีฉู่ป้าหวางมองฮีลเลอร์ 2 คนที่อยู่ข้างๆ “ฮีลเลอร์ 2 คนนี่ยังน้อยอีกเหรอ?”

        ไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะยิ้ม “จะพูดยังไงดีล่ะ เอาเป็นว่าถ้าต้องการจะฆ่าบอส ฮีลเลอร์มีความจำเป็นสูงมาก เพราะการห้ามเลือดจะต้องเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่วินาที ไม่งั้นคนที่ได้รับบาดเจ็บอาจตายจากการเสียเลือดได้ ผมเห็นบันทึกของพวกพี่คราวก่อน ฮีลเลอร์ที่ชื่อเซียวเหยาจื้อจ้ายนั่นถือว่าห้ามเลือดได้ยอดเยี่ยมมาก ถ้าฮีลเลอร์สาวสวยของเรา 2 คนนี้ควบคุมความสามารถได้แบบเขาละก็ ต่อให้ฆ่าบอสเลเวล 20 ก็ไม่มีปัญหาแน่นอน”

        ซีฉู่ป้าหวางหัวเราะพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต “หยุดพูดถึงเจ้านั่นสักที ถ้าฉันเจอมันอีกครั้ง ฉันจะตัดหัวมันให้กระเด็นหลุดจากบ่า ไอ้บ้านั่นดันแย่งดาบหนามไป แถมเป็นดาบที่มีพลังโจมตีตั้ง 35 พอยต์ ดูดาบในมือฉันตอนนี้สิ มีแค่ 21 พอยต์เอง!”

        ไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะถอนหายใจ “พี่ใหญ่ หากเราอยากจะเป็นใหญ่ที่สุดในเมืองปาหวางจริงๆ ละก็ เราจำเป็นต้องเปิดรับสมาชิกที่มีศักยภาพเหมือนเซียวเหยาจื้อจ้ายนั่นนะ แม้เขาจะไม่ได้มีความสามารถระดับยอดเยี่ยมและเหนือกว่าคนอื่นๆ แต่เขาก็สามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อไปถึงจุดนั้นได้ พี่เองก็น่าจะรู้ว่ากิลด์ปราก กิลด์หลงเสียงต่างก็มาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองปาหวาง ศัตรูของเราถือว่ามีเยอะมากจริงๆ ถ้าดูจากจำนวนคน 200 กว่าคนของพวกเรา ดูเหมือนว่าจะยังไม่เพียงพอจะสู้กับพวกนั้นได้หรอกนะ”

        ซีฉู่ป้าหวางพยักหน้า “อืม ฉันจะระวังก็แล้วกัน แต่เจ้าเซียวเหยาจื้อจ้ายนั่นฉันจะต้องจัดการมันให้ได้ คอยดู!”

        ไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะ “...”

        ……

        กลุ่มคนพวกนั้นเดินเข้ามาในหุบเขา ผมที่แอบมองจากไกลๆ ยังเห็นเงาของคนพวกนั้นปรากฏอยู่ ในขณะที่เอลฟ์จันทราอาชีพนักธนูกำลังสำรวจบริเวณรอบๆ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายมากที่เขาจะเห็นที่ซ่อนตัวของผม ผมรู้ดีว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากับดาบของเจ้าซีฉู่ป้าหวาง คงไม่มีทางเอาชนะเจ้านั่นได้แน่ๆ แถมตอนนี้อีกฝ่ายยังมีพวกอีกตั้ง 9 คน ขืนสู้ก็เท่ากับรนหาที่ตายเปล่าๆ

        หลังจากรออยู่ 10 นาทีผมก็ถือดาบหนามมุ่งหน้าไปยังหุบเขาดวงดาราเจ็ดดวง แผนที่ของหุบเขาแห่งนี้ใหญ่มาก ถ้าลัดเลาะไปเก็บหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ก็เหมือนกับคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า ‘ออกนอกบ้านแม่ให้ออกไปทำอะไรก็ทำ เก็บประสบการณ์ให้เยอะๆ แบบนี้แหละถึงจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว!’

        ผมเหยียบก้อนกรวดกองหนึ่งก่อนเดินเข้าไปในหุบเขา เมื่อเดินเข้าไปแล้ว พอเงยหน้าก็พบว่าภายในหุบเขามีลมเย็นๆ พัดผ่าน อีกทั้งยังมีมอนสเตอร์เลเวลสูงจำนวนไม่น้อย ห่างออกไปไม่กี่เมตรผมเห็นหมาป่าตัวใหญ่ซึ่งถูกปกคลุมด้วยขนสีแดง แถมยังมีเลเวลสูงอีกด้วย

        [หมาป่า] (มอนสเตอร์ทั่วไป)

        เลเวล:18

        พลังโจมตี:77-100

        พลังป้องกัน:30

        HP :500

        สกิล: [กรงเล็บฝ่าวายุ (LV-2) ]

        แนะนำมอนสเตอร์ :หมาป่าเป็นสัตว์ร้ายที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร โดยปกติแล้วมันมักจะฆ่ามนุษย์และสัตว์ตัวอื่นๆ แม้ผู้พิทักษ์ของเมืองปาหวางจะส่งกองทัพมาจัดการกับพวกมัน แต่เจ้าหมาป่าพวกนี้ก็ยังคงออกมาอาละวาดบริเวณรอบเมืองปาหวาง

        ……

        จากที่เห็นสถานะของมอนสเตอร์ตัวนี้ทำให้ผมตกตะลึงไปชั่วขณะ เจ้าสัตว์ชนิดนี้ไม่ควรจะไปโจมตีมัน ผมควรเดินอ้อมไปจะดีกว่า การโจมตี -100 พอยต์เป็นอะไรที่ผมไม่สามารถป้องกันได้ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจกระชับดาบหนามในมือก่อนจะเดินข้ามพุ่มไม้ไป ระหว่างที่เดินลัดเลาะไปทางขวาเพื่อเข้าไปในหุบเขา ผมก็พยายามหลบหลีกมอนสเตอร์นับร้อยที่อยู่ในป่า

        ไกลออกไปบนพื้นดินซึ่งเต็มไปด้วยหญ้าเปิดโล่ง เจ้าซีฉู่ป้าหวางและคนอื่นๆ ก็กำลังจัดการกับมอนสเตอร์อยู่ ซีฉู่ป้าหวางเปล่งเสียงคำรามด้วยความโกรธพร้อมกับดาบในมือที่สาดประกายแสงสีทองถึงหกสาย สวบๆ! ก่อนจะโจมตีเจ้าหมาป่าอย่างต่อเนื่องถึงสองครั้ง จนทำให้เลือดของมันลดลงไปเกือบ -300 พอยต์ ให้ตายเถอะพระเจ้า นักดาบที่ใช้พลังอย่างสุดกำลังนี่เจ๋งดีแฮะ โดยเฉพาะสกิลโจมตีต่อเนื่องของเจ้านั่นช่างสวยงามและทรงพลังจริงๆ น่าอิจฉาชะมัด!

        ขณะเดียวกันเมื่อหันกลับมาดูสกิลของตัวเอง นอกจากสกิลดาบแห่งความโกลาหลแล้ว ถ้าต้องการสกิลโจมตีหลักๆ ก็ทำได้เพียงต้องสร้างมันขึ้นเองเท่านั้น แต่การสร้างสกิลก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากไม่มีความเข้าใจรวมถึงการปฏิบัติก็ไม่สามารถสร้างมันได้ อีกทั้งดูเหมือนว่าในเกมตอนนี้จะมีแค่ 2-3 คนเท่านั้นที่สร้างสกิลของตัวเองได้

        แต่ก็ช่างมันเถอะ หาเงินก่อนดีกว่า มองในแง่ดี ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ถือเป็นช่วงนาทีทองของผมนั่นแหละ...

        กลุ่มของพวกซีฉู่ป้าหวางยังคงเก็บเลเวลอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผมเดินไปทางทิศตะวันตกของหุบเขาเพื่อเก็บหญ้าที่พื้นเงียบๆ เวลาผ่านไปไม่นาน บนหินภูเขาตรงหน้าก็เกิดแสงแวววาวจนทำให้ผมใจเต้นแรง เยี่ยมไปเลย ในที่สุดผมก็เจอหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงแล้ว ผมถือดาบแล้ววิ่งไปอย่างรวดเร็ว เป็นไปอย่างที่คิดไว้เลย ระหว่างหินภูเขามีสมุนไพรที่ส่องแสงเจ็ดสีอยู่ตรงหน้า ลักษณะเหมือนผลองุ่นที่กำลังแขวนอยู่ มันคือหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงเลเวล 3 จริงๆ ด้วย!

        หลังจากเก็บหญ้าใบไม้สีเงินได้จำนวนมาก สกิลเก็บสมุนไพรของผมก็เพิ่มเป็นเลเวล 3 ในที่สุด ผมหยิบพลั่วขึ้นมาขุดรากของหญ้าดวงดาราอย่างระมัดระวัง ซึ่งนี่คือหลักการพื้นฐานของการรวบรวมสมุนไพร ของเหลวที่อยู่ในพืชจะถูกทิ้งไว้ที่ราก ส่วนที่ถูกนำไปใช้ปรุงยาจึงเป็นรากเสียส่วนใหญ่ สำหรับองุ่นเจ็ดสีของหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงตรงหน้านี้ ผมว่าจะขุดไปให้หมดเลย

        หลังจากขุดทุกอย่างขึ้นมาแล้วเสียงจากระบบก็ดังขึ้น

        ติ๊ง!

        ข้อความจากระบบ : ยินดีด้วย ท่านได้เก็บสมุนไพร [หญ้าดวงดาราเจ็ดดวง] 2 ชิ้นสำเร็จแล้ว

        และเป็นไปอย่างที่คิดไว้ หลังจากเก็บสมุนไพรขึ้นมาผมก็ได้รับของถึง 2 ชิ้น อืม... งั้นขุดต่อไปดีกว่า ดูเหมือนว่าแผนการขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ในการหลอมโอสถเลเวล 3 ของผมจะอยู่ไม่ไกลแล้ว!

        ……

        ระหว่างที่ผมขุดรากของหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงอยู่นั้น ก็เกิดเสียงดังขึ้นด้านหลังทำให้ผมต้องรีบหันกลับไปดู พระเจ้า ห่างจากด้านหลังผมไปประมาณ 10 เมตรตอนนี้มีหมาป่าตัวหนึ่งโผล่ออกมา มันกำลังจ้องผมด้วยสายตาโกรธแค้นและพร้อมจะฆ่าผมให้ตาย!

        ชิ้ง! ผมรีบชักดาบหนามก่อนจะเรียกใช้สกิลดาบแห่งความโกลาหลเพื่อโจมตีศัตรู สกิลนี้ช่วยเพิ่มพลังโจมตีขึ้นจากเดิม 10% ซึ่งทำให้พลังโจมตีเป็น 11.7 พอยต์ หลังจากที่มีการเพิ่มระดับให้สูงขึ้นรวมถึงไอเท็มต่างๆ พลังการโจมตี 10% นี้ถือเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นสาเหตุที่ทำให้สกิลที่ถูกสร้างขึ้นเองอย่างสกิลดาบแห่งความโกลาหลของผมอยู่ในระดับ SS ซึ่งระดับ SS นั้นต่ำกว่าระดับ SSS ก็จริง แต่ก็ยังถือว่าเป็นสกิลระดับเทพไม่ใช่หรือ?

        ผมโจมตีไปที่หัวของเจ้าหมาป่าทำให้เกิดเสียงกระทบดังขึ้น

        “-142!”

        ช่างเป็นการโจมตีที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ในเวลาเดียวกันกรงเล็บของเจ้าหมาป่านั่นก็เกิดพลังงานสีแดงเลือดลอยขึ้นมา ดูเหมือนว่าสกิลกรงเล็บฝ่าวายุ เลเวล 2 จะออกมาแล้วสินะ แล้วมันก็โจมตีที่ไหล่ของผมอย่างแรง โอ๊ย ปวดแสบปวดร้อนจริงโว้ย ช่างเป็นความรู้สึกราวกับมีก้อนอิฐอยู่บนไหล่อย่างไรอย่างนั้น ในเวลาเดียวกันเลือดของผมก็ลดลงไป -119 พอยต์

        ผมยืดแขนแล้วใช้สกิลห้ามเลือดเพื่อฟื้นฟูเลือด 100 พอยต์ พร้อมกับโจมตีหมาป่าอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ดูเส้นทางการโจมตีของมันแล้ว ผมก็รีบหลบหลีกอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่เพียงพอ เพราะผมยังไม่สามารถหลบการโจมตีได้ ทำให้เลือดของผมลดลงอีก -71 พอยต์

        ผมหลบการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทว่ามีแต่ความล้มเหลวซ้ำซาก ในที่สุดผมจำต้องยอมรับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น ความเร็วของหมาป่าตัวนี้สูงมากจริงๆ อย่างไรก็เหนือกว่าผมอยู่ดี ความสามารถของผู้เล่นนั้นถูกจำกัดด้วยคุณสมบัติที่มี เอาเถอะ ไม่หนีแล้วดีกว่า ก้มหน้ายอมรับความจริงก็แล้วกัน

        ……

        เสียงคำรามของหมาป่าดังขึ้นพร้อมกับร่างของมันที่ลงไปนอนกองอยู่บนพื้นก่อนที่เหรียญจะดรอปลงมา

        ทันใดนั้นผมก็พบว่าคุณสมบัติของหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงติดอยู่บนผาหิน ดังนั้นถ้าผมเดินผ่านบริเวณผาหินก็ถือว่าไม่เป็นไรแล้ว ตราบใดที่โชคของผมยังไม่หมด ผมก็คงไม่ต้องไปเจอกับกลุ่มของเจ้าซีฉู่ป้าหวางนั่น

         

         

        

        ………………………………………………………………………………………….

        [1] ปาร์ตี้ คือการรวมกลุ่มกันของผู้เล่นเพื่อทำเควสต์หรือเก็บเลเวลร่วมกัน

        [2] เสี่ยวจู แปลว่าเจ้าหมูน้อย

         

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
18 เมื่อ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2563 17.07 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 18 โลกนี้มันช่างแคบจริงๆ

 

        ตอนนี้ผมยังคงอยู่ในหุบเขา และยืนอยู่บนซากศพของหมาป่าตัวใหญ่ที่เพิ่งถูกฆ่าตาย

        ผมเปิดเมนูสกิลหลอมโอสถขึ้นมาก่อนเลือกเมนูหลอมโอสถดวงดาราเจ็ดดวง โดยเลือกวัตถุดิบหญ้าดวงดาราเจ็ดดวง 3 ชิ้น น้ำยาปลุกจิตวิญญาณ 3 ขวด และหม้อหลอมโอสถอีก 1 ใบ หลังจากนั้นก็หลอมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเสียงจากระบบก็ดังขึ้น

        ติ๊ง!

        ข้อความจากระบบ :ยินดีด้วยท่านได้หลอม [โอสถดวงดาราเจ็ดดวง] สำเร็จแล้ว ระดับความชำนาญในการหลอมโอสถ +1 เนื่องจากท่านเป็นคนแรกที่หลอมโอสถดวงดาราเจ็ดดวงสำเร็จ ท่านจะได้รับรางวัลค่าเสน่ห์ +1

        ……

        เยี่ยมเลย ได้ค่าเสน่ห์เพิ่มขึ้นอีก 1 พอยต์แล้ว แม้จะไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์ยังไง แต่มันต้องเป็นของดีแน่ๆ ถึงอย่างไรผมก็ไม่มีทางเป็นคนแรกที่แตะเลเวล 20 หรือมีสกิลโจมตีเลเวล 3 ได้อยู่แล้ว ดังนั้นอย่างน้อยถ้าผมได้เป็นคนแรกที่เป็นนักหลอมโอสถก็ยังดี

        หลังจากวางโอสถดวงดาราเจ็ดดวงแล้ว ผมก็หยิบดาบหนามออกมาเพื่อมุ่งหน้าจัดการกับเจ้าหมาป่าและเก็บสมุนไพรต่อ การได้รับผลตอบแทนสองต่อนี่ช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลยแฮะ

        หลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมง หญ้าดวงดาราเจ็ดดวงก็ถูกบรรจุอยู่ในกระเป๋าเก็บไอเท็มถึง 112 ชิ้น แต่ถ้าผมต้องการจะอัปเลเวลสกิลหลอมโอสถให้ถึงเลเวล 4 หญ้าดวงดาราเจ็ดดวงที่ผมมีในตอนนี้ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี เพราะหากจะอัปเป็นเลเวล 4 ผมจะต้องมีค่าความชำนาญ 1,000 พอยต์ แถมยังต้องมีหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงถึง 3,000 ชิ้น นอกจากนี้ยังต้องมีเตาหลอมและน้ำยาปลุกจิตวิญญาณอีกมาก กระบวนการพวกนี้ถือเป็นการใช้ทรัพยากรทางการเงินและเสียค่าเหนื่อยอย่างมากกว่าจะประสบความสำเร็จ นี่คือเหตุผลที่กิลด์ใหญ่หลายๆ กลุ่มต้องการผู้เล่นที่ชำนาญในการผลิตเฉพาะทาง หากไม่มีทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรการผลิต พวกเขาก็ไม่สามารถจะพัฒนาสกิลของตัวเองได้

        ข้อได้เปรียบของผมคือสามารถโจมตีและฮีลตัวเองได้ แม้ว่ามันจะเปลืองโอสถในการเพิ่มพลังเวท แต่ผมสามารถผลิตมันได้ด้วยตัวเอง ห่วงโซ่การบริโภคทั้งหมดล้วนอยู่ในมือผม อีกอย่างหลังจากที่ผมขายเจ้านกขนสีเงินออกไป ทำให้ผมมีเงินถึง 20 เหรียญทอง ซึ่งเงินจำนวนนี้ถือเป็นเงินลงทุนให้กับผมเพื่ออัปเลเวลสกิลหลอมโอสถของตัวเองให้แตะถึงเลเวล 4 สำหรับตอนนี้เงินมูลค่า 20 เหรียญทองเป็นจำนวนที่ไม่มีใครสามารถเทียบผมได้เลย!

        ……

        หลังจากเดินหน้าต่อ ในที่สุดผมก็มาถึงใจกลางหุบเขาดวงดาราเจ็ดดวง เมื่อตรงไปอีกหน่อยผมก็พบว่าหญ้าที่มีเริ่มน้อยลง แถมยังได้ยินเสียงร้องของหมาป่าดังไม่ขาดสาย ตอนที่ปีนขึ้นไปบนเนินเขาเตี้ยๆ ได้เพียงครู่ ผมก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าในทันที เพราะมันคือหมาป่าเลเวล 18 ไม่ต่ำกว่า 100 ตัว พวกมันกำลังเงยหน้าร้องโหยหวน หนึ่งในนั้นมีราชันหมาป่าที่มีขนสีทองอยู่ด้วย มันคือบอสราชันหมาป่าเลเวล 20 เป็นบอสระดับทองกำลังนั่งด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย ด้านหลังของมันคือถ้ำขนาดใหญ่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นถ้ำของเจ้าราชันหมาป่าแน่นอน

        ผมเลียริมฝีปากพร้อมกับสมองที่เริ่มประมวลผล เจ้าราชันหมาป่ามีลูกน้องคอยเฝ้าอยู่มากมาย การปรากฏตัวของเจ้าพวกนี้ทำให้ผมล้มเลิกความคิดที่จะฆ่ามัน แต่จะว่าไปแล้ว ในถ้ำนั้นต้องมีของดีอยู่แน่ๆ อาจเป็นสมุนไพรเจ๋งๆ ทว่า... หากผมเดินเข้าไปแบบนี้ ยังไม่ทันถึงปากถ้ำ มีหวังคงถูกเจ้าพวกนั้นเขมือบเอาเสียก่อน ถึงอย่างไรก็น่าจะมีผาหินให้ผมปีนขึ้นไปดูได้บ้างแหละน่า?

        เมื่อเจอผาหินผมก็รีบปีนขึ้นไปทันที และพบว่าตัวเองเริ่มเข้าใกล้ถ้ำราชันหมาป่าแล้ว อีกทั้งหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงก็เริ่มมีจำนวนมากขึ้นด้วย นี่ช่างทำให้จิตใจของผมกระชุ่มกระชวยจริงๆ เลย ผมเก็บหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงอย่างต่อเนื่อง ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาทีก็พบว่าในกระเป๋าไอเท็มมีหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงมากกว่า 100 ชิ้นแล้ว

        “ครึก!”

        ผมปักดาบหนามที่หน้าผาหินอย่างระมัดระวังพร้อมกับขุดหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงตรงหน้าด้วยความตั้งใจ ประหนึ่งชายหนุ่มที่กำลังดูแลแฟนสาวของตนอย่างไรอย่างนั้น

        “ซ่าๆ ...”

        ขณะกำลังขุดหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงอยู่ เศษตะกอนบริเวณรากก็ไหลลงมาก่อนจะร่วงลงไป เฮ้ย นี่ผมขุดจนมันกลวงหมดแล้วเหรอวะเนี่ย?

        ผมแปลกใจมากพร้อมกับมองเข้าไปในรูที่มีแสงสว่างเบาบาง เล็ดลอดออกมา พบว่ามันคือภายในถ้ำของราชันหมาป่านั่นเอง ดูเหมือนว่าผมจะมีโอกาสเข้าไปในถ้ำแล้วสิเนี่ย! บอสเลเวล 20 ระดับทอง ภายในถ้ำของมันต้องมีกล่องสมบัติมากมายแน่ๆ ถ้าได้ลองเปิดกล่องพวกนั้นดู ผมจะได้รับอาวุธระดับตำนานบ้างหรือเปล่านะ?

        ใจผมเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ หึๆ โอกาสมาถึงมือพี่แล้วสินะ!

        ผมถือดาบหนามไว้ในมือก่อนจะเริ่มขุดบริเวณผาหินอีกครั้ง ถ้ำตรงหน้าดูเหมือนจะใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ดินที่อยู่บริเวณยอดด้านบนถูกผมขุดออกมา และมันก็กำลังจะหล่นลงไปข้างล่างพร้อมกับรูที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ

        กึก!

        ตอนที่ดาบของผมปะทะกับชั้นหินจนเกิดเสียงดัง ก้อนหินเท่าลูกฟุตบอลก็ทำท่าจะร่วงลงมา พร้อมกับเสียงร้องของเหล่าหมาป่า “โบร๋ว!” ทำให้ถ้ำเริ่มสั่นสะเทือนคล้ายกับจะพังลงมาให้ได้ ช่วงที่ผมกำลังตกตะลึงอยู่นั้น พอสังเกตให้ละเอียด เป็นเพราะเขาลูกนี้อ่อนแอเกินไป มันเหมือนกับปราสาทของเด็กๆ ที่คลอนแคลนไปมาระหว่างที่ผมกำลังขุดมัน และดูเหมือนว่าหากผมยังขุดต่อไป ถ้ำอาจพังลงมาทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้น

        ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก

        ผมรีบหลบหลังก้อนหินทันทีก่อนจะแอบมอง ห่างออกไปด้านหน้ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมา ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าพวกซีฉู่ป้าหวางนั่นแหละ ในที่สุดเจ้าพวกบ้านั่นก็จัดการกับมอนสเตอร์ได้สำเร็จจนมาถึงที่นี่สินะ ตอนนี้เจ้าซีฉู่ป้าหวางเลเวล 20 แล้ว ให้ตายเถอะ นักดาบเลเวล 20 นี่น่ากลัวชะมัด!

        ดูเหมือนว่าเจ้าพวกนี้คงจะมาฆ่าราชันหมาป่าสินะ

        ปาร์ตี้ของเจ้าพวกนี้นับว่าสมบูรณ์แบบมาก เนื่องจากประกอบด้วยพระ 2 คนซึ่งมีเลเวล 19 ผู้มาพร้อมกับพลังการป้องกันและค่า HP ที่สูงมาก อีกทั้งยังมีนักเวท 2 คนที่คอยโจมตีศัตรู เอลฟ์สายลมผู้มีอาชีพนักธนู 2 คน และเป็นนักแม่นปืนอีก 1 คน เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขายังมีฮีลเลอร์มาช่วยฮีลเลือดอีก 2 คนด้วย ดูเหมือนว่ากลุ่มคนพวกนี้จะสามารถฆ่าบอสเลเวล 20 ระดับทองได้อย่างไม่มีปัญหาเลยแฮะ

        ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตัดสินใจว่าไม่ควรยุ่งกับคนพวกนี้ รอให้ผมเข้าไปในถ้ำได้ก่อนค่อยว่ากันต่อ ตอนนี้ผมเห็นแล้วว่าในถ้ำมีหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงมากมาย ซึ่งเป็นของที่ผมต้องการ เป้าหมายของผมตอนนี้คือการหลอมโอสถดวงดาราเจ็ดดวง ไม่ใช่แย่งบอสจากเจ้าพวกนั้น หากผมทำลายแผนการของพวกมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับผมสักนิด อันที่จริงผมก็ไม่ใช่พวกเจ้าคิดเจ้าแค้นด้วย แม้ว่าเจ้าซีฉู่ป้าหวางนั่นจะทำร้ายผมเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ผมจะเอาชีวิตน้อยๆ ไปเสี่ยงกับพวกเขาเพื่ออะไรล่ะ? หึ รอให้มีสกิลโจมตีระดับ SSS ก่อนเถอะ หลังจากสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้สกิลของตัวเองได้แล้ว ค่อยเจอกัน หึ ถึงเวลานั้นผมจะจัดการไอ้หมอนี่ให้เละเลย คอยดูเถอะ!

        ……

        ผมกระโดดเข้าไปในถ้ำของราชันหมาป่า ทันใดนั้นหมาป่าตัวที่อยู่ใกล้ผมที่สุดก็พุ่งใส่ ผมรีบชักดาบหนามออกมาจัดการกับมันทันที ผมพยายามมองไปรอบๆ กลับพบว่าทัศนวิสัยในยามนี้แย่เหลือเกิน ทุกอย่างมืดมิดไปหมด หลังจากผ่านไปได้ครึ่งนาที ความสามารถในการมองเห็นจึงกลับมา ผมกวาดตามองรอบๆ อย่างละเอียดอีกครั้งก่อนพบว่าภายในถ้ำยังมีหมาป่าอีกหลายตัว และบนกำแพงหินก็เต็มไปด้วยหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงที่ส่องแสงระยิบระยับ ทำเอาผมแทบน้ำลายหก โอ๊ย! ล่อตาล่อใจเหลือเกิน ให้ตายเถอะ!

        ผ่านไป 5 นาที ผมก็จัดการกับหมาป่านับ 10 ได้สำเร็จ ถึงแม้การโจมตีของพวกมันจะรุนแรงถึงชีวิต แต่ผมก็ควบคุมเลือดของตัวเองไม่ให้ตายจากการโจมตีของมันได้ ฮีลเลอร์สายบู๊อย่างผมที่สามารถฮีลและโจมตีได้ ช่างยอดเยี่ยมเกินกว่าจะมีใครมาล้มล้างได้จริงๆ !

        เมื่อจัดการกับหมาป่าเสร็จ ผมก็หยิบพลั่วออกมาเริ่มเก็บหญ้าดวงดาราเจ็ดดวง ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงดูเหมือนจะไม่หลงเหลือหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงให้เก็บอีก ขณะที่ในกระเป๋าไอเท็มตอนนี้มีหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงเกือบ 2,000 ชิ้น การเก็บเกี่ยวของผมนี่นับว่าสุดยอดจริงๆ! ตอนนี้ขาดอีกเพียงเล็กน้อยก็สามารถอัปเลเวลสกิลหลอมโอสถให้เป็นเลเวล 4 ได้แล้ว แต่น่าเสียดายที่ในนี้ไม่หลงเหลืออะไรให้ผมเก็บอีกต่อไป

        ผมเดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็พบว่าภายในถ้ำไม่มีสมบัติซ่อนอยู่เหมือนอย่างที่คิดไว้ แต่กลับเต็มไปด้วยหัวกะโหลกมนุษย์ แถมยังมีกองอึส่งกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียน ให้ตายเถอะ เป็นถึงราชันหมาป่าเสียเปล่า ดันมาปล่อยของตรงที่ที่ตัวเองนอนเนี่ยนะ?

        ……

        หลังจากที่พบว่าไม่มีอะไรแล้ว ผมก็ตัดสินใจเดินออกจากถ้ำ ดูเหมือนว่าภารกิจของผมใกล้จะเสร็จสิ้นแล้วสินะ

        ระหว่างที่กำลังเดินออกไป ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงการต่อสู้อันดุเดือด ซึ่งพอจะเดาได้ว่าเป็นเสียงโจมตีอย่างต่อเนื่องที่เต็มไปด้วยความแหลมคมและชัดเจน ผมแอบมองจากกำแพงหินก็พบว่าหมาป่ามากกว่า 100 ตัวถูกคนพวกนั้นฆ่าตาย และบัดนี้เจ้าซีฉู่ป้าหวางก็กำลังโจมตีบอส พระซึ่งถือกระบองเป็นอาวุธก็โจมตีราชันหมาป่าระดับทองเช่นกัน ใบหน้าของเขายามนี้เต็มไปด้วยร่องรอยของกรงเล็บนับสิบแห่ง ขณะที่ฮีลเลอร์ก็ฮีลเลือดอย่างต่อเนื่อง โดยมีนักเวทคอยโจมตีศัตรูอย่างบ้าคลั่ง เจ้าราชันหมาป่าตัวนี้มีค่าเลือดอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นพอยต์ และตอนนี้เลือดของมันก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าอีกไม่เกิน 5 นาที บอสคงไม่พ้นถูกคนพวกนี้ฆ่าตายแน่ๆ

        ระหว่างที่ยืนอยู่ในถ้ำก็มาคิดได้ว่า ตอนนี้ผมอยู่ใกล้กับคนพวกนั้นมากเกินไปแล้ว ถ้าออกไปจะต้องมีคนเห็นผมแน่ๆ ไม่ได้การละ ผมจะให้พวกนั้นเห็นไม่ได้ ไม่งั้นถูกฆ่าตายแน่ๆ รอก่อนดีว่า พอเจ้าพวกนั้นกำจัดราชันหมาป่าลงได้ก็คงไปจากที่นี่เองแหละ ถึงเวลานั้นค่อยออกไปก็ยังไม่สาย พวกนั้นมีจำนวนเยอะกว่า ขณะที่ผมมีแค่คนเดียว ถ้ารอได้ก็รอไปก่อนแล้วกัน...

        ……

        “กรร!”

        เสียงคำรามอันบ้าคลั่งของราชันหมาป่าดังขึ้น พร้อมกับกรงเล็บที่โจมตีอย่างต่อเนื่อง พระที่ถูกมันโจมตีจนเลือดลดลงเหลืออยู่เพียง 20% แต่ในที่สุดก็ถูกช่วยไว้ได้จากการฮีลของฮีลเลอร์ ส่วนเจ้าบอสนั่นไม่สามารถฮีลเลือดได้ จึงทำให้เลือดของมันลดลงมาเหลือเพียง 10% เท่านั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเหลือค่า HP แค่ 1,000 พอยต์แล้วสินะ

        “ฮ่าๆ ใกล้แล้ว รีบจัดการมันเถอะ!”

        ซีฉู่ป้าหวางหัวเราะดังลั่น “เมื่อฆ่าราชันหมาป่าตัวนี้ได้ คงจะมีไอเท็มระดับทองชิ้นแรกของเกมหล่นลงมาให้ได้ชื่นใจแน่ๆ!”

        ไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะถือปืนไฟยิงบอสก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ก็พูดเป็นเล่นไป ตอนนี้อาวุธระดับเงินชิ้นแรกยังไม่โผล่ออกมาสักชิ้น แถมยังไม่เห็นปรากฏขึ้นมาในเซิร์ฟเวอร์ด้วย ดีที่สุดก็คงจะเป็นเมืองฝานซูนั่นแหละที่มีคนได้อาวุธระดับเขียวไปแล้ว ถ้าหวังจะได้อาวุธระดับทอง ดูเหมือนว่าจะยากนะพี่ใหญ่”

        ซีฉู่ป้าหวาง “ฮ่าๆๆๆๆ รอให้มันตายก่อนเดี๋ยวก็รู้เองแหละ”

        ในเวลานั้นเองราชันหมาป่าสีทองก็ระเบิดเสียงร้องด้วยความโกรธ พร้อมกับที่ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยม่านแสงสีเลือด

        ……

        “เวร เจ้าบอสนี่คลั่งไปแล้วเหรอวะเนี่ย?” ซีฉู่ป้าหวางตกตะลึงจนใบหน้าถอดสี

        ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ เจ้าบอสนั่นจะวิ่งเข้ามาในถ้ำ!

        ไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ สิวะเบิกตากว้าง “มันไม่ได้คลั่งหรอกพี่ แต่มันกำลังจะหนีต่างหาก รีบตามมันไปเร็วเข้า!”

        อย่าว่าแต่เจ้านั่นเลย ผมเองก็ตกใจเหมือนกัน เพราะการเคลื่อนไหวของเจ้าหมาป่าตัวนี้เร็วมาก และมันก็วิ่งผ่านร่างผมเข้าไปในถ้ำ ขี้ขลาดตาขาวชะมัด สู้ไม่ได้ก็เลยจะหลบเข้าถ้ำเนี่ยนะ?

        ……

        ซีฉู่ป้าหวางที่วิ่งตามเข้ามาเห็นผมก่อนที่ใบหน้าของมันจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง “ให้ตายเถอะ ไอ้บ้าเซียวเหยาจื้อจ้ายอยู่ที่นี่เอง หึ จัดการมันเลย!”

        ฟึบ!

        คมดาบพลันสั่นสะท้านพร้อมกับแสงที่ส่องประกายอยู่โดยรอบ สกิลโจมตีแบบคอมโบของเจ้านั่นถูกเปิดใช้งานแล้ว

        ……

        สวบๆ

        ดาบในมือของเจ้านั่นโจมตีผมอย่างรุนแรง ซึ่งผมทำได้แค่หลบหลีกการโจมตีอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับถอยออกมา ทว่าทันใดนั้นตัวอักษร MISS ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผมสามารถหลบหลีกการโจมตีแรกได้แล้ว นี่เป็นผลจากการฝึกฝนของผมเมื่อก่อนหน้านี้ ผมคงต้องใช้เส้นทางการหลบหลีกนี่แหละ!

        “MISS!”

        “-145!”

        ดาบในมือของเจ้านั่นฟาดลงมา ทั้งที่ผมกำลังจะกระโดดหนีไปได้แล้วแท้ๆ ให้ตายเถอะ พลังโจมตีของเจ้านี่รุนแรงเกินไปแล้ว หากโดนโจมตีติดต่อกันถึง 2 ครั้ง ผมคงได้ลงไปนอนตายอยู่ที่พื้นอีกแน่ๆ!

        ……

        “ครืนๆ”

        เสียงหินที่คุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับหมาป่า 2 ตัวที่พุ่งใส่ซีฉู่ป้าหวางจากด้านหลัง ผมตกตะลึงขึ้นทันใด ดูเหมือนว่านาทีทองจะลอยมาหาผมแล้ว!

         

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
19 เมื่อ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2563 19.16 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 19 กริชแดงโลหิต

 

        กรร!

        หมาป่า ตัวพุ่งมาจากด้านหลังของเจ้าซีฉู่ป้าหวาง คงเป็นเพราะเจ้านี่อยู่ใกล้ที่สุดจึงตกเป็นเป้าหมายแรกของพวกมันไปโดยปริยาย หลังจากที่เลือดของผมถูกฮีลอีกครั้ง ผมก็ใช้ดาบหนามฟาดเจ้าหมอนั่น เกิดแรงสั่นสะเทือนพร้อมกับใบมีดพุ่งไปด้านหน้าหมาย

        พรวด!

        “-95!”

        เลือดของเจ้าหมอนั่นลดลงไปส่วนหนึ่ง หมาป่า ตัวที่อยู่ด้านหลังยกกรงเล็บฟาดเจ้าหมอนั่นด้วยสกิลโจมตีเลเวล ตอนนี้ร่างของซีฉู่ป้าหวางเต็มไปด้วยเลือดพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีม่วง ตอนนี้มันรู้ตัวแล้วว่ากำลังเสียเปรียบจึงตัดสินใจถือดาบแล้วหนีไปด้านหลังพร้อมกับตะโกน “ฮีลให้ฉันที!”

        ฮีลเลอร์ คนรีบตามมาติดๆ เพื่อฮีลให้เจ้าหมอนั่น ให้ตายสิวะ ถ้าเลือดของเจ้านี่ได้รับการฮีล ผมคงไม่สามารถฆ่ามันได้แล้วสิ

        ผมถือดาบวิ่งไปที่ซีฉู่ป้าหวาง ขณะที่หนึ่งในฮีลเลอร์กำลังจะฮีลให้มัน ผมซึ่งตามไปติดๆ จึงตัดสินใจใช้ดาบฟันคอของฮีลเลอร์คนนั้นทันที

        พรวด!

        “-274!”

        การโจมตีนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับฮีลเลอร์ที่ถูกผมฆ่าตาย

        ติ๊ง!

        ข้อความจากระบบ ท่านได้ฆ่าผู้เล่น [ละอองสายฝน] ค่าบาปของท่านเพิ่มขึ้น 100 พอยต์ และท่านกลายเป็น ‘ผู้เล่นรายชื่อแดง’

        ……

        ซีฉู่ป้าหวางแสดงอาการเดือดดาล “แก! ไอ้สวะเซียวเหยาจื้อจ้าย!”

        ผมไม่สนใจคำพูดของเจ้าหมอนั่น หลังจากที่รับการโจมตีจากดาบของมันผมก็รีบฮีลเลือดให้ตัวเองทันที พร้อมกับใช้ดาบหนามแทงกลางอกของฮีลเลอร์อีกคนจนเกิดดาเมจถึง -161 พอยต์ เกราะผ้าบริสุทธิ์และสกิลวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีไม่สามารถต้านทานการโจมตีของผมได้ หลังจากหยุดการโจมตีไป 1.5 วินาที ผมก็โจมตีอีกครั้ง ฮีลเลอร์สาวเมื่อเห็นการโจมตีของผมก็อ้าปากค้างก่อนจะถูกผมฆ่าตายโดยไม่ทันจะได้ฮีลเลือดให้ตัวเอง

        ปัง!

        เสียงปืนดังขึ้นจากนอกถ้ำ พร้อมกับร่างของไอ้หมูน้อยวิ่งเร็วๆ สิวะที่วิ่งเข้ามาพร้อมปืนไฟในมือก่อนยิงมาที่ผมจนเลือดลดลงไป -74 พอยต์ ในเวลาเดียวกันเจ้าซีฉู่ป้าหวางก็โจมตีผมอีกครั้งด้วยพลังการโจมตีอันรุนแรง

        “-111!”

        ผมรีบถอยหลังไปตั้งหลักเพื่อฮีลเลือดให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง แล้วใช้ข้อได้เปรียบจากความคุ้นชินในพื้นที่โดยวิ่งเข้าไปในถ้ำ ในขณะที่กลุ่มของเจ้าซีฉู่ป้าหวางยังคงตกตะลึงอยู่ท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมจนมองไม่เห็น นี่แหละโอกาสของผมที่จะเริ่มลงมือ!

        “พี่ใหญ่...”

        เอลฟ์สายลมอาชีพนักธนูวิ่งตามเข้ามาด้านใน ผมใช้โอกาสที่คนเหล่านี้มองไม่เห็นดึงดาบออกมาฟาดไปด้านหน้า ดาบของผมแทงกลางอกของหนึ่งในนักธนูจนเลือดของเขาลดลง ถึงจะใช้การฮีลเลเวล ก็ไม่สามารถกู้กลับมาได้แล้วละ จากนั้นผมก็รีบถอยหลังออกมา ตอนนี้ผมฆ่าพวกมันไปถึง คน พอแล้วละ ถ้ามากกว่านี้สงสัยว่างานจะงอกแน่ๆ

        การมองเห็นของซีฉู่ป้าหวางกลับมาอีกครั้ง เจ้านั่นถือดาบฟาดมาที่ผมด้วยความโมโห “ไอ้สวะเซียวเหยาจื้อจ้าย! แกหยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ ฉันต้องบดขยี้แกจนกลายเป็นเถ้าถ่านให้ได้!”

        มุมปากของผมกระตุก ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็อย่าหาว่าผมไม่ปรานีก็แล้วกัน หึๆ

        ตุบ!

        ผมกระโดดขึ้นไปบนกำแพงก่อนไปยังจุดที่มุดเข้ามาก่อนหน้านี้ ขณะที่ด้านล่างเจ้าพวกซีฉู่ป้าหวางยังคงตามมาติดๆ

        ……

        เมื่อออกมาจากถ้ำ สายตาของผมก็พร่ามัวเนื่องจากโดนแสงแดดที่ส่องลงมา ผมหันกลับไปแล้วใช้ดาบฟันหินสีเขียวซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ยึดถ้ำนี้เอาไว้ พังพินาศแน่พวกแก หึๆ!

        ตึง!

        ทันทีที่ดาบของผมฟาดไปที่ยอดเขา หินเหล่านั้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับหินด้านบนที่กลิ้งถล่มลงมาอย่างรุนแรง

        ตูมๆๆ

        ภูเขาแทบพังทลายในชั่วพริบตา พร้อมกับถ้ำของราชันหมาป่าที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันฟุ้งกระจายอันเกิดจากหินที่ถล่มลงมา ตอนนี้ถ้ำได้ถูกภูเขาปิดทับแล้ว ร่างของผมสั่นจากแรงสะเทือนอยู่นาน ในเวลาเดียวกันเสียงร้องจากด้านในถ้ำก็ดังขึ้น หึๆ เจ้าซีฉู่ป้าหวาง ไอ้หมูน้อยรีบวิ่งเร็วๆ เข้าสิวะ และคนอื่นๆ ต่างก็ถูกฝังอยู่ในนั้นและเผชิญหน้ากับความตาย

        ในเวลาเดียวกันเสียงจากระบบก็ดังขึ้น

        ติ๊ง!

        ประกาศจากระบบ : [ราชันหมาป่า] บอสระดับทองตัวแรกได้ถูกผู้เล่น xxxx ฆ่าตายสำเร็จด้วยวิธีการพิเศษ ผู้เล่นท่านนี้จะได้รับค่าเสน่ห์ พอยต์จากความสำเร็จในครั้งนี้

        ……

        ผู้เล่น xxxx นั่นใครวะผมคิดในใจอยู่นานก่อนเปิดค่าสถานะขึ้นมาดู เฮ้ย! มีค่าเสน่ห์ พอยต์แล้ว! ที่แท้ก็หมายถึงผมนี่เอง เฮ้อ น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เป็นคนฆ่ามันกับมือ ค่า EXP ของผมก็เลยไม่ขึ้น ไม่งั้นป่านนี้ผมคงเลเวล 20 ไปแล้วมั้งเนี่ย แต่ไม่แน่ อาจกระโดดเป็นเลเวล 22 เลยก็ได้นะ

        ซีฉู่ป้าหวางและคนอื่นๆ ถูกฆ่าตายแล้ว พวกเขาต้องใช้เวลาถึง 10 นาทีจึงจะคืนชีพ ไม่ได้การละ ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ผมต้องจัดการให้เสร็จ

        ผมถือดาบหนามวิ่งไปที่ร่างของราชันหมาป่า เจ้าบอสนั่นยังไม่ดรอปไอเท็มเลย ผมไม่สามารถปล่อยมันทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะนี่เป็นผลงานจากการใช้กลยุทธ์อันชาญฉลาดของผมนะเนี่ย

        ผมรีบไปหาศพของบอสนั่นด้วยความยากลำบาก ตามหาอยู่ นาที ในที่สุดผมก็เห็นขนสีทองซึ่งอยู่ในกองหินที่ฝังอยู่ด้านบนนั้น หลังจากขุดลงไปจึงพบศพของเจ้าราชันหมาป่า ผมรีบพลิกร่างของมันก่อนจะพบไอเท็ม ชิ้นพร้อมเงิน เหรียญทอง วู้! รวยแล้วโว้ย

        หลังจากหยิบเหรียญขึ้นมาแล้ว ผมก็หันไปมองไอเท็มที่ถูกดรอปลงมา หนึ่งในนั้นเป็นกริชสีแดงแวววาว ส่วนอีกชิ้นเป็นเกราะป้องกันส่วนอกระดับเขียว ไม่เลวแฮะ จากนั้นผมก็เปิดหน้าต่างเพื่อดูค่าสถานะของไอเท็มทั้งสองชิ้น

        [กริชแดงโลหิต] (อุปกรณ์ระดับเขียว)

        พลังโจมตี:55-90

        ความเร็ว:+5

        ความสามารถอื่นๆ เพิ่มโอกาสโจมตีศัตรูให้ตายได้ในครั้งเดียว 0.1%

        เลเวลที่สามารถใช้งานได้ :20

        [เกราะป้องกันส่วนอกสีเขียว] (อุปกรณ์ระดับเขียว)

        พลังป้องกัน :17

        ค่าพลังพื้นฐาน:+4

        เลเวลที่สามารถใช้งานได้ :20

        ……

        ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้รับอุปกรณ์ระดับเขียวถึง ชิ้น ถึงแม้มันจะไม่ใช่อุปกรณ์ระดับเงิน [1] แต่ก็แข็งแกร่งกว่าระดับเหล็กดำอยู่นะเนี่ย อีกอย่างนี่เป็นอุปกรณ์ระดับเขียวเลเวล 20 เลยนะ ถือว่าเป็นอุปกรณ์ในตำนานได้เลย หึๆ รวยแล้วโว้ย!

        ผมนำไอเท็มทั้งสองใส่เข้าไปในกระเป๋าก่อนจะถือดาบแล้วออกไปจากที่นี่ ระหว่างที่กำลังเดินเลียบภูเขาเพื่อเข้าไปในป่าก็คงเป็นเวลาที่พวกซีฉู่ป้าหวางฟื้นคืนชีพอีกครั้งแล้ว แต่ถึงอย่างไรคนพวกนั้นก็หาเขาไม่เจอหรอก เพราะหุบเขาดวงดาราเจ็ดดวงใหญ่ซะขนาดนี้ พวกเขาไม่มีทางแยกกันออกตามหาผมด้วย เพราะที่นี่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์เลเวล 18-20 ขืนแยกกันก็มีแต่ตายสถานเดียว

        ทว่าบอสและไอเท็มที่ถูกดรอปล้วนถูกผมขโมยมา แถมยังทำให้พวกนั้นเลเวลลดลงจากเดิม ด้วยนิสัยบ้าคลั่งของเจ้าซีฉู่ป้าหวางดูเหมือนว่ามันคงเกลียดผมเข้ากระดูก และไม่ยอมปล่อยผมให้อยู่อย่างสงบสุขแน่

        และก็เป็นไปอย่างที่คิด ผ่านไปไม่ถึง นาที เจ้าบ้านั่นก็ใช้ระบบกระจายเสียงให้ได้ยินทั่วทั้งเซิร์ฟเวอร์

        ติ๊ง!

        ประกาศจากระบบ (พูดโดยผู้เล่น ID: ซีฉู่ป้าหวาง) เซียวเหยาจื้อจ้าย! วันนี้แกทำได้แสบมากนะ แกไม่ได้ทำให้ฉันโกรธแค่คนเดียว ตอนนี้แกถูกหมายหัวให้กลายเป็นศัตรูกับกิลด์สงป้าเฟิงหยินแล้ว! ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ ฉันจะตามแกไปทั่วทุกหนแห่ง แล้วแกจะต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำกับพวกฉันในวันนี้!

        การใช้ระบบประกาศแบบนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมาก แต่ต้องแลกกับเงิน หมื่นหยวนต่อครั้งเลยนะ จุ๊ๆ ดูเหมือนว่าเจ้าบ้านี่จะรวยใช่เล่นนะเนี่ย

        ตอนนี้ชื่อของผมถูกติดเป็นสีแดงเพราะฆ่าผู้เล่นในเกม ผมยังคงจัดการฆ่ามอนสเตอร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการฆ่ามอนสเตอร์แต่ละตัวจะสามารถลดค่าบาปได้ พอยต์ ดังนั้นตอนนี้ผมต้องฆ่าหมาป่าให้ได้ 300 ตัว จึงจะกลับไปเป็นปกติ แต่ก็ช่างมันเถอะ ที่จริงผมเองก็ต้องทำแบบนี้อยู่แล้ว เนื่องจากผมอยากฆ่ามอนสเตอร์เพื่อเก็บไอเท็มและเพิ่มเลเวลไปพร้อมๆ กัน

        ……

        หลังจากเดินไปไม่นาน เสียงติ๊งจากระบบก็ดังขึ้น เอ๋มีข้อความถูกส่งมาจากเพื่อนแฮะ เพื่อนของผมในเวลานี้มีแค่คนเดียวเท่านั้นก็คือเยว่ชิงเฉี่ยนที่ทำให้หัวใจผมเต้นรัว เธออยู่ในกิลด์ปรากในฐานะรองหัวหน้า

        “นี่เซียวเหยา นายไปทำอะไรมาน่ะทำไมเจ้าคนที่อยู่กิลด์สงป้าเฟิงหยินนั่นถึงโกรธเหมือนหมาบ้าแบบนั้นได้?” เธอถามขึ้น

        ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบกลับไป “ก่อนหน้านี้พวกเราทะเลาะกันนิดหน่อยตอนอยู่ที่หมู่บ้านเริ่มต้นน่ะ แล้วเพิ่งจะมีเรื่องกันอีกแถวๆ เมืองป้าหวาง”

        “เลเวลของนายไม่ลดลงเลย แถมชื่อยังเป็นสีแดงอีก อย่าบอกนะว่านายฆ่าพวกนั้นน่ะ?” เยว่ชิงเฉี่ยนถาม

        “อื้อ ฉันแค่ฆ่าฮีลเลอร์ไปสอง แล้วก็นักธนูอีกหนึ่ง”

        เธอดูเหมือนจะตกตะลึงเป็นอย่างมาก “ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย ถ้าฉันจำไม่ผิด นายเองก็เป็นฮีลเลอร์เหมือนกัน แต่ทำไมถึงมีพลังโจมตีที่สามารถฆ่าพวกนั้นได้ล่ะอีกอย่าง... ตอนที่ฉันเจอนายครั้งก่อนนายก็พกดาบเป็นอาวุธด้วย เป็นฮีลเลอร์ที่เน้นสร้างดาเมจหรือไง?”

        ผมยิ้ม “ก็ฉันไม่อยากทำเหมือนชาวบ้านเขานี่ ก็เลยเล่นเป็นฮีลเลอร์สายบู๊ด้วยการอัปค่าสถานะพลังโจมตีทั้งหมดเลย”

        “ก็ว่าทำไม... นายนี่แปลกชะมัดเลย เอ้อ จริงสิ สกิลหลอมโอสถของนายไปถึงไหนแล้ว?”

        “เลเวล แล้ว ตอนนี้เริ่มหลอมโอสถเลเวล แล้วละ”

        “เยี่ยมเลย” เยว่ชิงเฉี่ยนส่งอีโมชันหน้ายิ้มกลับมาก่อนพูดต่อ “งั้นฉันขอสั่งออร์เดอร์ล่วงหน้าเลยแล้วกันนะ ฉันขอโอสถยาเลเวล อย่างน้อย 1,000 ขวด นายสามารถหลอมให้ได้หรือเปล่า?”

        ผมตอบไปอย่างรวดเร็ว “อื้อ ไม่มีปัญหา 1,000 ขวดใช่ไหมแต่โอสถดวงดาราเจ็ดดวงฟื้นฟูได้ 200 MP มากกว่าที่ NPC ขายถึง 50 MP เลยนะ ดังนั้นราคาของมันจะอยู่ที่ เหรียญเงินต่อขวด ราคาเท่ากับที่ซื้อกับ NPC อันนี้ฉันขอบอกเธอไว้ล่วงหน้าเลยนะ จะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง”

        “อื้อ ไม่มีปัญหา งั้นฉันขอตัวก่อน ไม่รบกวนแล้ว ระวังตัวด้วยล่ะ ถ้านายถูกฆ่าตอนที่ชื่อติดสีแดง ไอเท็มของนายจะดรอปจากกระเป๋าเยอะกว่าปกติ”

        “อื้อ สบายใจเถอะ เอ้อจริงสิ ฉันมีของอยู่ ชิ้น เธอสนใจหรือเปล่า?”

        “อะไรล่ะ?”

        ผมรีบนำกริชแดงโลหิตพร้อมเกราะป้องกันส่วนอกสีเขียวออกมาพร้อมกับส่งภาพให้อีกฝ่ายดู ไม่นานอีกฝ่ายก็ส่งคำเชิญเพื่อพูดคุยผ่านเสียงโดยตรง

        “ว้าว อาวุธระดับเขียวพวกนี้นายไปเอามาจากไหนเนี่ย?” เสียงของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

        ผมยิ้ม “ความลับทางธุรกิจ ถ้าฉันบอกก็ทำธุรกิจไม่ได้สิ ว่าแต่เธอสนใจของพวกนี้หรือเปล่าล่ะ?”

        “สนใจสิ กริชระดับเขียวเลเวล 20 นี่คงจะเป็นเล่มแรกของเซิร์ฟเวอร์เลยนะเนี่ย เอาๆๆๆ นายเสนอราคามาสิ ขอราคาเป็นมิตรหน่อยน้า”

        “ได้สิ..” ผมเงียบไปครู่หนึ่ง “กริชแดงโลหิตเป็นไอเท็มอาวุธ ฉันขายให้เธอ เหรียญทอง ส่วนเกราะป้องกันส่วนอกสีเขียวฉันขอ เหรียญทองแล้วกัน ทั้งหมด เหรียญทอง ตกลงไหม?”

        อีกฝ่ายตอบกลับด้วยสายตาเป็นประกาย “ตกลง!”

        “เยี่ยมเลย งั้นฉันขอไปจัดการกับชื่อแดงของฉันให้เป็นปกติก่อนนะ ถ้ากลับไปแล้วเดี๋ยวจะติดต่อเธอไปอีกครั้ง”

        “อื้อ” เยว่ชิงเฉี่ยนยิ้มก่อนกล่าวต่อ “เซียวเหยา นายนี่จริงใจจังเลยนะ”

        “ขอบใจนะ อันที่จริงเธอเองก็เหมือนกัน”

        “ใช่ ดูเหมือนว่าพวกเราจะเป็นคนดีนะเนี่ย”

        “…”

        

        

…………………………………………………………………………………………………………

        [1] ระดับของอุปกรณ์ภายในเกมจะถูกเรียงลำดับดังนี้

        อุปกรณ์ระดับขาว -อุปกรณ์ระดับเหล็กดำ -อุปกรณ์ระดับเขียว -อุปกรณ์ระดับทองแดง -อุปกรณ์ระดับเงิน -อุปกรณ์ระดับทอง -อุปกรณ์ระดับม่วง -อุปกรณ์ระดับจักรพรรดิ -อุปกรณ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ -อุปกรณ์ระดับนักบุญ -อุปกรณ์ระดับเซียน -อุปกรณ์ระดับมหากาพย์

 

         

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
20 เมื่อ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2563 17.19 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 20 ถังทองถังแรก

 

        ฉัวะ!

        เมื่อดาบหนามในมือของผมฟันคอเจ้าหมาป่า หัวของมันก็ร่วงไปกองกับพื้นพร้อมปรากฏแสงสีทองอันคุ้นตา ไม่รู้ว่าผมจัดการกับหมาป่าพวกนี้ไปเท่าไรแล้ว รู้ตัวอีกทีเลเวลของผมก็อัปถึงเลเวล 19 ห่างจากเลเวล 20 อีกไม่ไกล ถึงตอนนั้นผมก็สามารถเปลี่ยนคลาสได้ และตอนนี้กระเป๋าเก็บไอเท็มของผมมีไอเท็มระดับขาวเยอะแยะ แต่น่าเสียดายที่ระดับการป้องกันของมันยังต่ำไปหน่อย

        ผมเปิดหน้าจอสกิลขึ้นมา ตอนนี้ดูเหมือนจะยังไม่มีผู้เล่นคนไหนสามารถสร้างสกิลด้วยตัวเองได้ ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะทักษะของพวกเขามีน้อยมาก อีกอย่างถ้ามันสร้างกันได้ง่ายๆ เกมนี้คงวุ่นวายน่าดู

        เมื่อศึกษาระบบอย่างรอบคอบแล้วก็ทำให้ผมได้รู้บางอย่างมากขึ้น สกิลคอมโบเป็นสิ่งที่ช่วยในเรื่องการโจมตี การป้องกัน และหลบหลีก แถมยังทำให้ศัตรูถอยจากจุดเดิมได้ด้วย จากผลชะงักนั้นจะทำให้ศัตรูไม่สามารถป้องกันการโจมตีหรือหลบหลีกได้ชั่วขณะ ซึ่งมันทำให้ผมสามารถโจมตีจุดอ่อนของศัตรูได้โดยตรง แม้ในชีวิตจริงผมจะสามารถโจมตีอย่างต่อเนื่องได้ แต่สำหรับในเกมแล้วการได้สกิลคอมโบมานั้นถือเป็นเรื่องยาก ไม่ว่าจะด้วยพลังที่มี มุมในการโจมตีหรือแม้แต่จังหวะล้วนต้องคำนวณให้พอดี ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีโอกาสสร้างสกิลขึ้นได้

        ……

        ระหว่างที่ต่อสู้กับหมาป่า ผมก็นึกถึงเรื่องในอดีตตอนฝึกวิทยายุทธ์กับตาเฒ่า วิชาที่ผมได้เรียนรู้จากเขาเป็นเรื่องง่ายๆ นั่นก็คือการโจมตีเพื่อปราบคู่ต่อสู้ ตอนนั้นตาเฒ่าไม่ได้มอบชื่อของท่าดาบนั่นให้ผม ดูเหมือนว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ เพราะเทคนิคดาบนี้ไม่มีสูตรหรือรูปแบบตายตัวเลยสักอย่าง

        สวบ!

        ดาบหนามของผมพุ่งไปด้านหน้าพร้อมตัดคอของหมาป่าอีกครั้ง ผมวาดดาบก่อนจะส่งหมัดซ้ายไปด้านหน้า หลังจากผ่านไป 1.5 วินาที ผมก็ม้วนตัวกลับมาพร้อมโจมตีอย่างสุดแรงไปที่หัวของหมาป่านั่น การแทง ตัด และเฉือนเป็นสิ่งที่ผมถนัดที่สุดในการโจมตีแบบคอมโบ แต่น่าเสียดายหลังจากที่ใช้วิธีเหล่านั้นซ้ำๆ ก็ยังไม่สามารถสร้างสกิลได้

        แต่ก็ช่างเถอะ รอให้ผมอัปเลเวลได้ก่อนค่อยว่ากันใหม่

        อีกอย่างตอนนี้ผมรู้ดีว่าการโจมตีแบบต่อเนื่องเป็นการโจมตีแบบธรรมดา แม้ว่ามันจะตรงกับการสร้างสกิล แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ดี รอให้ได้เรียนรู้สกิลโจมตีในเกมให้ได้ก่อนค่อยผสมสกิลเหล่านั้นเข้าด้วยกันเพื่อสร้างสกิลคอมโบ หลังจากนั้นการโจมตีก็คงแข็งแกร่งมาก ถึงเวลานั้นมันคงช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ได้มากทีเดียว

        ระหว่างที่ฆ่าหมาป่าผมก็เก็บหญ้าดวงดาราเจ็ดดวงไปพลางๆ หลังผ่านไป ชั่วโมงก็พบว่าเป็นช่วงเที่ยงแล้ว และค่า EXP ของผมในเวลานี้ก็อยู่ที่ 94% เหลืออีกนิดเดียวผมก็จะเลเวล 20 สักที

        ……

        ตอนนี้ชื่อของผมกลับมาเป็นปกติแล้ว ในเวลาเดียวกันผมก็ได้ยินเสียงกลุ่มผู้เล่นดังขึ้น พวกนั้นมากัน คน ล้วนแล้วแต่เลเวล 18-20 พวกเขามองผม ทว่าไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะจัดการฆ่าหมาป่าตรงหน้า ผมเองก็ไม่ได้สนใจคนเหล่านั้น จึงถือดาบแล้วเดินต่อไป ภายในกระเป๋าเก็บไอเท็มของผมตอนนี้มีหญ้าดวงดาราเจ็ดดวง 3,200 กว่าชิ้นแล้ว ซึ่งได้จากการรวบรวมในวันนี้เพียงวันเดียว จำนวนที่มีอยู่เพียงพอจะทำให้สกิลหลอมโอสถของผมอัปเป็นเลเวล ได้แล้ว ถึงเวลานั้นผมคงจะเป็นผู้เล่นคนแรกที่มีสกิลหลอมโอสถเลเวล 4

        หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ผมก็เดินทางกลับมายังเมืองปาหวาง เมื่อซ่อมอาวุธเสร็จแล้วผมก็ส่งข้อความหาเยว่ชิงเฉี่ยน “ชิงเฉี่ยน ฉันกลับมาที่เมืองแล้วนะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่ตลาดทางประตูตอนเหนือของเมือง ถ้าเธอจะมาเอากริชกับเกราะก็มาหาฉันที่นี่นะ”

        “ติ๊ง!”

        ทันใดนั้นข้อความก็ถูกส่งกลับมา “อื้อ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

        สวบ!

        ไกลออกไปผมเห็นแสงที่เกิดจากการใช้วาร์ป พร้อมกับปรากฏร่างที่มีส่วนเว้าโค้งของแอสซาซินสาว เยว่ชิงเฉี่ยนนี่เอง

        “เฮ้ เซียวเหยา!”

        เธอโบกมือทักทายผมจากระยะไกลก่อนวิ่งมาหาพร้อมกับกริชในมือ “กริชของฉันเป็นอาวุธระดับดำเลเวล ดูเหมือนว่ามันจะตกกระป๋องแล้วสิเนี่ย”

        ผมมองเธอด้วยท่าทางตกใจ “เมื่อกี้... เธอใช้วาร์ปกลับเมืองเหรอ?”

        “อื้อ”

        “ต้องใช้เงินถึง เหรียญทองต่อครั้งเลยนะ”

        เยว่ชิงเฉี่ยนกระตุกยิ้มเผยให้เห็นความงดงามราวกับดวงจันทร์อันเพริศแพร้ว “ก็แค่เงิน เหรียญทอง กิลด์ปรากของฉันมีสมาชิก 2,000 กว่าคนที่หาเงินอยู่ในเมืองปาหวาง และคนที่อยู่ในตำแหน่ง 100 คนแรกต่างสามารถใช้เงินได้อย่างอิสระ อีกอย่างเซียวเหยาจื้อจ้ายเองก็เป็นเพื่อนคนสำคัญของฉัน ขอแค่นายเรียกฉันจะรีบมาทันทีเลย”

        ผมหน้าแดง “ก็แค่รู้สึกเสียดายแทนเธอนิดหน่อยน่ะ แต่ก็เอาเถอะ แลกเปลี่ยนของกันเลยดีกว่า”

        “อื้อ”

        ผมเปิดหน้าเมนูซื้อขายก่อนจะนำกริชและเกราะวางลงไปในช่อง ส่วนเยว่ชิงเฉี่ยนก็นำเงิน เหรียญทองใส่ในช่องแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกัน ให้ตายเถอะ กิลด์ปรากนี่ร่ำรวยชะมัด

        ทันใดนั้นผมก็ถามด้วยความสงสัย “นี่ชิงเฉี่ยน กิลด์ปรากของพวกเธอมีกี่คนเหรอ?”

        เยว่ชิงเฉี่ยนกะพริบตาก่อนยิ้มบางๆ ออกมา “จากที่ลงทะเบียนตอนนี้มีทั้งหมด หมื่นคน แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ซื้อหมวกเกมกันเลย มีแค่ 2,700 กว่าคนเท่านั้นแหละที่เข้ามาเล่นเกมนี้ในช่วงเปิดเซิร์ฟเวอร์ ทุกคนในกิลด์อยู่ที่เมืองปาหวางทั้งหมด และดูเหมือนว่าตอนนี้ผู้เล่นที่อยู่ในเมืองนี้ซึ่งมีอยู่ หมื่นกว่าคนจะมีคนของกิลด์เราถึง 2,700 กว่าคนเลยนะ”

        ระหว่างที่พูด เยว่ชิงเฉี่ยนก็มองผมพร้อมกับยิ้ม “นี่เซียวเหยา นายเองก็มาอยู่กิลด์เดียวกับฉันสิ ตอนนี้นายมีบาปติดตัวแล้ว แถมยังไปสร้างบาปกับพวกหมาบ้าอย่างกิลด์สงป้าเฟิงหยินนั่นอีก อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวจะตาย ถ้านายมาอยู่กิลด์ปราก ฉันจะได้ไปบอกหัวหน้ากิลด์ให้ช่วยจัดการพวกนั้นแทนนายไงล่ะ”

        คำพูดของเธอทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อยเลยแฮะ แต่ทันใดนั้นผมก็กำจัดความคิดที่จะเข้าร่วมกิลด์ปรากไปในทันที “ไม่เอาดีกว่า ฉันอยากอยู่คนเดียวน่ะ อีกอย่างฉันก็ไม่เหมาะที่จะอยู่ใต้คำสั่งของใครด้วย”

        เยว่ชิงเฉี่ยนพูดต่อว่า “นายดูสิ ตอนนี้นายเลเวล 19 แล้ว อีกแป๊บเดียวก็เลเวล 20 แถมยังสามารถเปลี่ยนคลาสได้อีก ถึงตอนนั้นนายจะได้เรียนสกิลรักษาชีวิตและการไหลเวียนของเลือด ถึงเวลานั้นนายจะกลายเป็นสมาชิกคนสำคัญของกิลด์เราเลยนะ”

        ผมหัวเราะออกมา “ไม่เอาน่า ชิงเฉี่ยน ถ้าเธอยังคะยั้นคะยอฉันมากกว่านี้ ฉันอาจคิดว่าเธอเป็นพวกขายประกันก็ได้นะ”

        เยว่ชิงเฉี่ยนหัวเราะราวกับเสียงระฆังที่สดใส “ก็ได้ๆ งั้นก็ตามที่นายว่าแล้วกัน ว่าแต่ตอนนี้นายเริ่มหลอมโอสถดวงดาราเจ็ดดวงแล้วเหรอ?”

        “ใช่ เธอจะดูฉันหลอมที่นี่ หรือค่อยกลับมาเอาดีล่ะ?”

        สวบ! เยว่ชิงเฉี่ยนดึงกริชออกจากข้างเอวก่อนโบกไปมาตรงหน้า “การโจมตีของกริชแดงโลหิตนี่สูงมากเลยนะเนี่ย งั้นฉันขอออกไปตีมอนสเตอร์สักหน่อยแล้วกัน รอให้นายหลอมใกล้เสร็จแล้ว ทักฉันมาอีกทีแล้วกันนะ”

        “อื้อ ได้สิ”

        ……

        หลังจากที่เยว่ชิงเฉี่ยนออกไปแล้ว ผมก็รีบหยิบวัตถุดิบและอุปกรณ์หลอมยาออกมาทันที การหลอมยาเลเวล แต่ละครั้งจะต้องใช้น้ำยาปลุกจิตวิญญาณ ขวด และเตาหลอมยาอีก ใบ ทั้งหมดคิดเป็นเงิน 50 เหรียญทองแดง ซึ่งเท่ากับ 0.5 เหรียญเงิน แต่ของพวกนี้สามารถขายออกไปได้ เหรียญเงิน ซึ่งถือว่าได้กำไรมหาศาลเลยละ หึๆ โอกาสในการทำเงินมาถึงมือผมแล้ว

        ผมเปิดตารางการหลอมโอสถขึ้นมาก่อนใส่วัตถุดิบลงไป

        ประกาศจากระบบ ท่านหลอม [โอสถดวงดาราเจ็ดดวง] ขวดสำเร็จแล้ว ค่าความชำนาญสกิลหลอมโอสถ +1

        ประกาศจากระบบ ท่านหลอม [โอสถดวงดาราเจ็ดดวง] ขวดสำเร็จแล้ว ค่าความชำนาญสกิลหลอมโอสถ +1

        ประกาศจากระบบ ท่านหลอม [โอสถดวงดาราเจ็ดดวง] ขวดสำเร็จแล้ว ค่าความชำนาญสกิลหลอมโอสถ +1

        ประกาศจากระบบ ท่านหลอม [โอสถดวงดาราเจ็ดดวง] ขวดสำเร็จแล้ว ค่าความชำนาญสกิลหลอมโอสถ +1

        ……

        ค่าความชำนาญของผมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากหลอมโอสถไปได้ ชั่วโมง ในที่สุดกระเป๋าไอเท็มของผมก็เต็มไปด้วยโอสถดวงดาราเจ็ดดวง พร้อมเสียงจากระบบที่ดังขึ้น

        “ติ๊ง!”

        ข้อความจากระบบ ยินดีด้วย ท่านได้เรียนรู้สกิลหลอมโอสถเลเวล แล้ว เนื่องจากท่านเป็นผู้เล่นคนแรกที่ได้รับสกิลหลอมโอสถเลเวล ท่านจะได้รับค่า EXP 4,000 พอยต์ และค่าเสน่ห์ +2

        สวบ! แสงสีทองพุ่งออกจากร่างของผมพร้อมกับเลเวลที่กลายเป็นเลเวล 20 ตอนนี้ผมสามารถเปลี่ยนคลาสได้แล้ว!

        ค่าสถานะที่ได้มาถูกเติมไปยังค่าพลังโจมตีพื้นฐานเช่นเดิม พร้อมกับสถานะรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้น

        [เซียวเหยาจื้อจ้าย] (ฮีลเลอร์ฝึกหัด)

        เลเวล:20

        พลังโจมตี:126-137

        พลังป้องกัน:64

        HP:290

        MP:260

        ค่าเสน่ห์:7

        ……

        ผมหลอมยาอย่างต่อเนื่อง ในเวลาเดียวกันก็ส่งข้อความหาเยว่ชิงเฉี่ยนเพื่อเรียกให้เธอมารับของ ตอนที่เธอเดินเข้ามาทางประตูฝั่งทิศเหนือ การหลอมโอสถก็เสร็จพอดี

        “เสร็จแล้วเหรอ?”

        “อื้อ เธอจะเอาหมดทั้ง 3,000 ขวดเลยใช่ไหม?”

        “ใช่ รอเงินแป๊บนะ”

        “อื้อ”

        ผ่านไปไม่กี่นาที ชายหนุ่มเผ่าเอลฟ์สายลมเลเวล 21 ก็บินลงมาพร้อมคันธนูในมือ ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนคลาสเป็นนักธนูเรียบร้อยแล้วสินะ ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าเงินก่อนส่งเงินให้กับเยว่ชิงเฉี่ยนพร้อมกับหันมายิ้มให้ผม “นี่คือฮีลเลอร์ใช้ดาบที่เธอพูดถึงสินะไม่เห็นจะเหมือนอย่างที่เธอเล่าเลย...”

        มุมปากผมกระตุก “หวัดดี...”

        “ไง... ฉันไปก่อนนะ ปาร์ตี้กำลังต้องการฉัน”

        เขาถือธนูก่อนจะลอยตัวบินออกจากเมือง จุ๊ๆ เป็นเอลฟ์สายลมนี่ก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย บินก็ได้วิ่งก็ได้

        ……

        ผมเปิดตารางซื้อขายก่อนจะวางสินค้าลงไป 3,000 ขวด โดยทำการซื้อขายติดต่อกัน ครั้ง ในแต่ละครั้งสามารถขายได้มากสุด 600 ขวด เยว่ชิงเฉี่ยนจ่ายเงินอย่างระมัดระวัง โดยแต่ละครั้งเธอได้เติมเงินลงไป 30 เหรียญทอง และทั้งหมดเป็นราคา 150 เหรียญทองต้องจ่ายให้ผม ตอนนี้ผมมีเงิน 150 เหรียญทองอยู่ในมือ ก่อนหน้านี้ที่ผมใช้เงิน 15 เหรียญทองเพื่อซื้อเตาหลอมโอสถและน้ำยาปลุกจิตวิญญาณ เมื่อเทียบกับเงินที่ได้กลับมาถือว่าเป็นเงินก้อนโตเลยละ

        ผมแสดงท่าทางพึงพอใจอย่างมากจนทำให้เยว่ชิงเฉี่ยนพูดขึ้นว่า “เซียวเหยา ดูเหมือนว่าตอนนี้นายจะกลายเป็นผู้เล่นในเมืองปาหวางที่ร่ำรวยที่สุดเลยมั้งเนี่ย คิดไว้หรือยังว่าจะเอาเงินพวกนี้ไปทำอะไร?”

        ผมถอนหายใจ “เกมนี้สามารถนำเงินในเกมแลกเปลี่ยนเป็นเงินจริงๆ ได้ใช่ไหม?”

        “อื้อ ได้สิ นี่นายอยากจะขายเงินพวกนี้เหรอเนี่ย?”

        “ใช่ ถ้าเทียบกับเงินจริงๆ แล้วก็สามารถทำเงินได้มากโขเลยนะ”

        “ก็ใช่ ถ้าเทียบกับบนเว็บฉางป่าวเก๋อ [1] ดูเหมือนว่าเงิน เหรียญทองในเกมจะเทียบเท่ากับ 20 หยวนนะ [2] จำนวนเงิน 150 เหรียญทองที่นายมีก็น่าจะแลกได้ไม่น้อย นี่นายมีเรื่องต้องใช้เงินขนาดนั้นเลยเหรอ?”

        ผมพยักหน้ากลับไป “อื้อ เรียกว่าขาดทุนทรัพย์มากเลย ตอนนี้ในกลุ่มเพื่อนตั้งฉายาให้ฉันว่าเทพยาจกด้วยนะ”

        “พรวด! งั้นฉันขอให้หลังจากนี้นายมีเงินเยอะๆ ก็แล้วกันนะเทพยาจก”

        “อื้อ”

        ……

        หลังจากที่เยว่ชิงเฉี่ยนได้โอสถไปแล้ว เธอก็ยังหันมามองผม “นี่เซียวเหยา ตอนนี้นายเลเวล 20 แล้ว ฉันว่านายไปทำเรื่องเปลี่ยนคลาสดีกว่านะ เดี๋ยวฉันช่วยนายทำเควสต์เอง”

        ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เป็นเพราะผมไม่อยากได้รับความช่วยเหลือจากใครจึงตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไร ฉันว่าฉันสามารถทำเควสต์ด้วยตัวเองได้ ถ้าไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวฉันค่อยเรียกเธอก็แล้วกัน เธอเป็นถึงรองหัวหน้าของกิลด์ปรากเลยนะ จะให้ฉันรบกวนเธอบ่อยๆ ได้ยังไงเล่า”

        “ฮิๆ โอเคๆ งั้นก็ตามที่นายว่าแล้วกัน ฉันไปละ”

        พูดจบเยว่ชิงเฉี่ยนก็หมุนตัวเดินจากไป ส่วนผมก็เปิดเว็บไซต์ก่อนจะเข้าไปในระบบของฉางป่าวเก๋อ มันคือเว็บไซต์ซึ่งเป็นเหมือนกับสถานที่ค้าขายเสมือนจริงที่ถูกรวมเข้าด้วยกัน ผมกวาดตามองอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่ามีคนขายเงิน เหรียญทองต่อ 30 หยวน [3] แต่ผมไม่โลภขนาดนั้นหรอก ผมกดตกลงโดยใช้เงิน 100 เหรียญทองเพื่อแลกกับเงิน 2,500 หยวน [4] หวังว่าจะมีคนซื้อนะ

        ……

        หลังจากทำการฝากขายแล้ว ก็ถึงเวลาไปเปลี่ยนคลาสสักที! สกิลเลเวล 20 อาชีพฮีลเลอร์จ๋า พี่มาแล้ว!

        

………………………………………………………………………………………….

        [1] เว็บฉางป่าวเก๋อ คือ เว็บสำหรับซื้อขายธุรกรรมทางการเงิน

        [2] 20 หยวน มีค่าประมาณ 100 บาทไทย

        [3] 30 หยวน มีค่าประมาณ 160 บาท

 

        [4] 2,500 หยวน มีค่าประมาณ 12,500 บาท

 

____________________________________________

เพื่อน ๆ รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้บ้าง ลองคอมเมนท์ลงมาได้ที่ด้านล่างนะ ^^

แวะไปเก็บเลเวลแบบหามรุ่ง เวลกระฉูดแซงทุกคนได้ที่ลิงค์ข้างล่างเลยนะ

https://www.kawebook.com/story/3076

หรือเข้าไปติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

หน้า จาก 2 ( 30 ข้อมูล )
แสดงจำนวน ข้อมูลต่อแถว

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา