[นิยายแปล] อรุณสวัสดิ์ลุ้นรัก คุณสามีสุดเลิฟ ตอนที่ 30 (06/07/2563) โดย kawebook (มาใหม่!)

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:93
เมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 14.33 น.

อรุณสวัสดิ์ลุ้นรัก คุณสามีสุดเลิฟ

 

 

เธอ...ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนกระต่ายน้อยอันใสซื่อบริสุทธิ์

เธอ...เพียงต้องการหาแฟนดีๆ สักคนเพื่อจะใช้ชีวิตไปด้วยกันจนแก่เฒ่า

ทว่า...ความฝันของเธอต้องพังทลายลง เพราะถูกแฟนที่คบกันมาสี่ปีทรยศหักหลัง

เอาเถอะ...อย่างไรเสียเราก็ไม่สามารถบังคับใครให้มารักเรา หรือเราไปรักใครได้

 

ในขณะที่เธอกำลังสิ้นหวัง...

เขา...ก้าวเข้ามาในชีวิตของเธอด้วยท่าทีอันสุขุมแตกต่างจากคนอื่น

"เธอ...เธอนั่นแหละ ไปจดทะเบียนสมรสกัน"

"อะไรนะ?"

 พี่ชาย...เรายังไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ

-----------------

 

เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ :  Beijing Canlin Cultural Broadcasting Co.,LTD ( 17K )

ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทยถูกต้องโดย : Glory Forever Co.,LTD (สนพ.กวีบุ๊ค)

ประพันธ์โดย : 怡芊芊

แปลภาษาไทยโดย :  Sherlyn

-----------------

หากสนใจในนิยายของเราสามารถเข้าไปดูต่อได้ที่

https://www.kawebook.com

เว็บอ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปล นิยายจีน นิยายญี่ปุ่น นิยายรัก นิยายY แฟนตาซี จำนวนมาก | กวีบุ๊ค

แก้ไขครั้งที่ 38 โดย Kawebook เมื่อ6 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 19.50 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
1 เมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 14.36 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 1 ผู้ชายทรยศที่ฉันรัก

 

 โรงเรียนอนุบาลสองภาษาซินเล่ย ณ เมือง A

         

        เสียงของหยาดฝนเม็ดเล็กๆ เริ่มเบาลง ใบไม้ที่ฉ่ำวาวของต้นแมกโนเลียหน้าประตูทางเข้าแลดูเขียวชอุ่มกว่าทุกที เหล่ากองทัพเด็กน้อยส่งเสียงเจี้ยวจ้าวพากันขึ้นรถของตนเอง

         

        ซูหรงหรงที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มยืนอยู่ใต้ต้นแมกโนเลียอันสูงตระหง่าน มือหนึ่งถือร่ม อีกมือก็โบกไปมาเพื่อบอกลาเหล่านักเรียนตัวน้อยของเธอ

 

        ถึงแม้ว่าหน้าตาท่าทางหรือแม้กระทั่งขนคิ้วของเธอจะแสดงออกถึงความอบอุ่นใจ ทว่าตัวเธอกลับรู้ดีว่าหัวใจของเธอนั้นตอนนี้มันออกวิ่งไปไกลกว่าหมื่นกิโลแล้ว

 

        วันนี้เป็นวันเกิดแฟนสุดที่รักที่คบหาดูใจกันมาถึงสี่ปี ‘กู้แหยนเจ๋อ

 

        ซูหรงหรงอุตส่าห์ใช้เวลาหลายวันในการตระเตรียมของขวัญวันเกิดให้เขา เธอวางแผนว่าจะรีบไปมอบให้เขาทันทีหลังเลิกเรียน แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเธอเอาเสียเลย เพราะทันทีที่เลิกเรียนฝนก็ดันตกลงมา

         

        เมื่อส่งนักเรียนกลุ่มสุดท้ายเสร็จ ซูหรงหรงรีบคว้าของขวัญแล้วออกวิ่งไปที่บ้านกู้แหยนเจ๋อแทบจะทันที

 

        ณ อพาร์มเม้นสุดหรูซินหลินหย้วน

 

        ซูหรงหรงขึ้นลิฟท์มาจนถึงชั้น 18 เธอที่เตรียมจะกดกริ่งหน้าประตูก็ชะงักลงเมื่อพบว่าประตูบานนั้นยังเปิดแง้มอยู่ไม่ได้ปิดสนิท

 

        ทำไมไม่รอบคอบเอาเสียเลย?

 

        กู้แหยนเจ๋อมักจะบอกเสมอว่าเธอเป็นคนสะเพร่า ดูเหมือนเขาก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือไง

 

        แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เธอจะได้แอบเข้าไปแล้วก็เซอไพรส์เขาให้ตกใจไปเลย

 

        ซูหรงหรงอมยิ้มอย่างซุกซน เธอกอดของขวัญของเธอไว้แน่นก่อนจะค่อยๆ ย่องเข้าไปภายใน

 

        ภายในกล่องของขวัญที่ถูกห่ออย่างปราณีตสวยงามนั้นคือนาฬิกาทรายสีชมพูที่เป็นสัญลักษณ์ของความรักของพวกเขา แถมภายในนาฬิกาทรายยังฝังรูปภาพของทั้งสองลงไปด้วย

 

        เมื่อเข้าประตูมาแล้ว เธอพบว่าภายในห้องรับรับแขกยังไม่มีการวางเค้กหรืออาหาร

 

        หรือเขาจะรอเธออยู่กันนะ?

 

        หัวใจของซูหรงหรงเต็มไปด้วยความรักอันเปี่ยมล้น

 

        เธอค่อยๆ ย่องไปทางห้องนอนของเขาอย่างช้าๆ ช้า ช้า...ก่อนจะหยุด กึก! อยู่หน้าประตูห้อง

 

        ราวกับโดนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาที่ตัวของเธอ

 

        ภายในห้องนอนนั้น...’กู้แหยนเจ๋อ’ คนรักของเธอ กับ ‘เฉินหย่าถิง’ เพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ…ทั้งสองคนกำลังนัวเนียอยู่!

 

        ภาพที่ปรากฏตรงหน้าดูน่าขยะแขยงสะอิดสะเอียน จนเธอไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป

 

        กู้แหยนเจ๋อที่เพิ่งสังเกตุเห็นการปรากฏตัวของซูหรงหรงรีบเอาผ้าห่มคลุมร่างกาย ก่อนจะเอ่ยทั้งที่ยังหอบ

 

        “ซูหรงหรง ฟังฉันอธิบายก่อน...”

         

         “ฉันเห็นชัดเจนหมดแล้ว! ”

         

         ซูหรงหรงปัดมือของเขาที่ยื่นมาจะกอดเธอออก ดวงตาที่แดงก่ำของเธอเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาที่พร้อมจะไหลลงมา

 

         “หรงหรง...”

         

         กู้แหยนเจ๋อคว้าตัวซูหรงหรงเข้ามากอด แต่ซูหรงหรงพยายามจะดิ้นออกจากวงแขนนั้น เมื่อดิ้นไม่หลุดเธอจึงใช้ฟันกัดเข้าที่ท่อนแขนของเขา

 

         “โอ้ย... ”

         

         กู้แหยนเจ๋อปล่อยตัวเธอแทบจะทันทีราวกับถูกไฟฟ้าช๊อต ซูหรงหรงที่ยังตั้งตัวไม่ทัน ร่วงลงไปกองกับพื้น พลันนาฬิกาทรายที่ถืออยู่ในมือก็หล่นแตกเสียงดัง

 

         ราวกับสวรรค์จงใจ รูปคู่ของพวกเขาทั้งสองฉีกขาดออกจากกันเป็นสองส่วน

 

         “...ซูหรงหรง ยัยบ้า! ”

         

         เฉินหย่าถิงที่อยู่ในเหตุการณ์รีบเอาผ้าคลุมตัวก่อนจะรุดไปหากู้แหยนเจ๋อแล้วตรวจสอบบาดแผล ในขณะเดียวกันซูหรงหรงที่ตั้งสติได้ก็ตะโกนกลับไป

 

        “เธอนั่นแหละที่บ้า! ”

 

        กู้แหยนเจ๋อมองท่าทีที่กังวลของเฉินหย่าถิง เขาถอนหายใจ ก่อนจะใช้มือบีบมือของเธอเบาๆ เพื่อปลอบประโลมให้เธอคลายกังวล จากนั้นเขาก็หันมาพูดกับซูหรงหรง

 

        “ซูหรงหรง...ไหนๆ วันนี้เธอก็เห็นทั้งหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าฉันสารภาพกับเธอไปเลยแล้วกัน”

         

        เมื่อได้เห็นใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกผิดของกู้แหยนเจ๋อ มันทำให้ซูหรงหรงตระหนักได้ว่า

 

        นี่คือใบหน้าของลูกชายคนที่สองของเครือธุรกิจกู้กรุ๊ปที่มักจะล้อเล่นกับศักดิ์ศรีของผู้อื่นอยู่เสมอ และนี่เป็นครั้งที่สองในรอบสี่ปีที่เธอได้เห็น

 

        ครั้งแรก คือตอนที่เขาแสดงออกว่ารักแต่ตัวเอง

         

        ช่างน่าขำเสียจริง !

 

         “หรงหรง...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดเรื่องนี้กับเธอ ฉันกับถิงถิงเริ่มคบกันตั้งแต่เดือนที่แล้ว ฉันแค่ไม่ได้บอกเธอ เพราะกลัวเธอจะเสียใจ...”

         

        กู้แหยนเจ๋อพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็รู้สึกร้อนรนใจจนทนไม่ได้เมื่อได้เห็นสายตาของซูหรงหรงที่จ้องมาที่เขาอย่างผิดหวังและกล่าวโทษ ขนตาที่ยาวเป็นแพรของเธอรื้นไปด้วยน้ำตา

 

         “แหยนเจ๋อ...”

         

        เฉินหย่าถิงที่ยืนดูท่าทีอยู่รีบใช้มือรั้งตัวกู้แหยนเจ๋อแล้วดันตัวขึ้นมายืนข้างเขา สายตามองต่ำลงมาที่ซูหรงหรงก่อนจะเอ่ย

 

        “ซูหรงหรง...ฉันทนเห็นสารรูปน่าสมเพชของเธอตอนนี้ไม่ไหวแล้ว เลิกทำตัวเป็นคนน่าสงสารเถอะยะ จะแสดงอะไรนักหนา! ”

         

        นี่คือคำพูดของเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันหรือนี่?

 

        เพื่อนสนิทที่นอนกับแฟนของฉัน แล้วยังมาด่าทอฉันในเรื่องที่ตัวเองเป็นคนก่อขึ้น?

 

        “เธอมันก็เป็นเสียแบบนี้ ทำตัวแอ๊บแบ๊วไร้เดียงสา นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว เธอคิดจะรักษาความบริสุทธิ์ของเธอไปชั่วชีวิตหรือยังไง เธอกับแหยนเจ๋อคบกันมาตั้งสี่ปี สี่ปีที่ผ่านมาเธอทำให้เขาได้มากสุดก็แค่จับมือและจูบ! ”

         

        คำพูดแทงใจนี้ทำให้มือของกู้แหยนเจ๋อที่เตรียมจะเอื้อมไปดึงตัวของซูหรงหรงชะงักลง ก่อนจะเก็บกลับมาไว้ที่เดิม

 

 

 

 

______________________

สามารถเข้าไปติดตามนิยายเรื่อง "อรุณสวัสดิ์ลุ้นรัก คุณสามีสุดเลิฟ" แบบก่อนใครได้ที่

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

หรือเข้าไปพูดคุยกับเราที่ได้ที่ Facebook Fanpage

 

https://www.facebook.com/kawebook/

แก้ไขครั้งที่ 2 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.40 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
2 เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 14.00 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 2 การตอบโต้ของเจ้ากระต่ายน้อย

 

 

        “ส่องกระจกชะโงกดูเงาตัวเองหน่อยสิซูหรงหรง นอกเหนือจากความบริสุทธิ์ของเธอแล้ว เธอคิดว่าเธอมีค่าอะไรที่จะมายืนเคียงข้างกู้แหยนเจ๋ออย่างนั้นเหรอ”

         

        เฉินหย่าถิงถอยกลับมาหากู้แหยนเจ๋อ ก่อนจะบรรจงจับไปที่แขนข้างที่มีรอยฟันกัดจนม่วงช้ำ

         

        “ดูสิว่าเธอทำอะไรลงไป”

         

        ผู้หญิงก็ร้าย ผู้ชายก็เลว...ซูหรงหรงไม่ได้รับเอาคำพูดเหล่านั้นเข้ามาในหัวสมอง เธอปล่อยให้เสียงเหล่านั้นทะลุเข้ามาและทะลุออกไป

         

        เดือนเดียว...แค่เดือนเดียว!

         

        คุณค่าของความรักสี่ปีมันเทียบอะไรกับความมักมากทางกายไม่ได้เลยหรือ แค่เดือนเดียวพวกเขาก็มีอะไรกันแล้ว

         

        มีอะไรกันแล้วก็ชั่งหัวพวกเขาสิ มันไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อย จะมานั่งโทษตัวเองทำไมกัน

         

        การมองเห็นคุณค่าของตนเองเปรียบดั่งการเห็นคุณค่าของอัญมณี นี่แหละที่เขาเรียกว่าการรักตัวเองไม่ใช่เหรอ

         

        แถมตอนนี้ เธอก็ยังได้เห็นธาตุแท้ของผู้ชายทรยศที่เธอรักอีกด้วย เธอควรจะขอบใจการรักตัวเองของเธอไม่ใช่หรืออย่างไร?

         

        “พอแล้ว!”

         

        ซูหรงหรงยันตัวลุกขึ้นมา ตัวของเธอเล็กและเตี้ยกว่าเฉินย่าถิงมาก แต่ถึงกระนั้นแววตาของเธอก็วาวโรจน์ไปด้วยความโกรธแค้นที่พร้อมจะระเบิดอารมณ์ออกมาได้ทุกเมื่อ

         

        “อะไร? เธอคิดจะทำอะไรไม่ทราบ....หรือเธอคิดจะแย่งเขา? ผู้หญิงหน้าด้านไร้ยางอาย หน้าตาก็ไม่สวย หน้าอกหน้าใจก็ไม่มี ผู้หญิงอย่างเธอ...”

         

        เพียะ!

         

        เสียงตบดังลั่น ลูกตาดำของเฉินหย่าถิงแทบจะหลุดออกมาตามแรงมือ เธอเอามือจับบนหน้าที่ตอนนี้กลายเป็นสีแดงไปแล้วครึ่งหนึ่ง สายตาของเธอจับจ้องไปที่ซูหรงหรงที่กำลังโกรธเกรี้ยวราวกับเสือดาวตัวน้อย

         

        “เธอทำอะไรของเธอ!”

         

        กู้แหยนเจ๋อผลักซูหรงหรงออกแล้วปรี่เข้ามากอดตัวของเฉินหย่าถิง แววตาของเขาแสดงท่าทีโกรธและรังเกียจอย่างชัดเจน

         

         

         

        ซูหรงหรงถูกแรงผลักจนเซตุปัดตุเป๋เอามือจับโต๊ะตัวที่ใกล้ที่สุดเพื่อพยุงร่างกายไม่ให้ล้มลง เท้าของเธอที่ใส่เพียงรองเท้าแตะบางๆ เหยียบเข้ากับเศษนาฬิกาทรายที่แตกละเอียด เลือดสีแดงฉานค่อยๆ ซึมออกมาจากเศษแก้วที่ทิ่มแทงเข้าไปภายในเท้าคู่น้อยนั้น

         

        “เป็นแค่ชู้แล้วยังทำท่าหยิ่งยโสได้เหรอ! การตบครั้งนี้ถือว่าฉันเป็นตัวแทนของเมียหลวงทุกคนที่ได้สั่งสอนเมียน้อยอย่างเธอ”

         

        ซูหรงหรงอดกลั้นต่อความเจ็บปวดที่เท้าแล้วฉุดตัวเองให้ลุกขึ้นก่อนจะเอ่ย

         

        เมื่อซูหรงหรงพูดจบ เธอก็เชิดหน้าขึ้นอย่างมั่นใจก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินออกไป แผ่นหลังของเธอที่ผอมบางกลับดูแข็งแกร่ง เธอก้าวขายาวๆ เพื่อเดินผ่านเศษแก้วที่กระจายเกลื่อนอยู่บนพื้น

         

        เรื่องราวทั้งหมดนี้...ก็คงจะเหมือนกับแก้วที่แตกไปแล้ว ไม่มีหนทางที่จะซ่อมให้มันกลับคืนมาเหมือนเดิมได้

         

        ถ้าหมดรักกันแล้ว...ก็แยกทางกันเถอะ

         

        เธอจะอ่อนแอต่อหน้าพวกเขาไม่ได้ เธอจะไม่ยอมให้พวกเขาดูถูกเธอ !

         

        ถึงแม้ตัวจะก้าวผ่านประตูมาแล้ว แต่ก็ยังได้ยินเสียงอันน่ารังเกียจของเฉินหย่าถิงตะโกนด่าไล่หลัง

         

        “เธอคิดว่าตัวเองเป็นเมียหลวงอย่างนั้นเหรอ เธอพิสูจน์ได้มั้ยล่ะว่าเธอเป็น!”

         

        ซูหรงหรงรีบจ้วงเดินเข้าไปในลิฟต์ ทันทีที่ประตูปิดลง น้ำตามากมายก็พรั่งพรูออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสาร

         

        เมื่อก่อนเวลาเห็นเพื่อนอกหักร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง เธอมักจะคิดเสมอว่าเพื่อนของเธอมันโง่ เธอมักจะเตือนสติเพื่อนเธอตลอดว่าไม่ควรจะเสียน้ำตาให้กับผู้ชายห่วยๆ แต่แล้วเมื่อถึงคราวของตัวเธอเอง เธอเพิ่งจะรู้ว่าเธอไม่สามารถบังคับน้ำตาให้หยุดไหลได้เลย

         

        ตึง!

         

        ในขณะที่ซูหรงหรงกำลังร้องไห้ อยู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงลิฟต์ดังขึ้น

         

        ซูหรงหรงที่หน้าซีดเผือดเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก...

         

        ทันทีที่เงยหน้าขึ้น สายตาของเธอก็สบเข้ากับดวงตาคมเข้มของชายหนุ่มคนหนึ่ง ผู้ชายที่ดูท่าทางหล่อเหลาคนนั้นเอามือทั้งสองข้างใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง สายตาที่ดูเฉียบคมของเขาที่มองมาเหมือนกำลังพินิจพิจารณาเธออยู่ ก็แน่ล่ะสิ...สภาพเธอตอนนี้ร้องไห้อย่างกับคนบ้า ไม่ว่าใครก็คงจะเห็นเธอเป็นตัวประหลาด

         

        ซูหรงหรงรู้สึกทั้งเศร้าทั้งเซ็งอย่างบอกไม่ถูก เธออาศัยเวลาช่วงอึดใจใช้มือปาดน้ำตาแล้วเดินออกมาจากลิฟต์

         

        ขายหน้าจริงๆ ลืมได้ยังไงกันว่าต้องมีคนขึ้นลิฟต์

         

        เมื่อกลับถึงบ้าน ซูหรงหรงที่อาการเริ่มดีขึ้นแล้วยกมือขึ้นมาทำท่าสาบานก่อนจะพูดว่า

         

        “นายมันไม่ได้วิเศษมาจากไหนหรอกกู้แหยนเจ๋อ คอยดูนะ...ฉันจะหาผู้ชายที่ดีกว่านายร้อยเท่าพันเท่าให้ได้!”

         

        ...

         

        หลังจากเก็บตัวอยู่ที่บ้านมาครึ่งเดือน ซูหรงหรงอยู่ๆ ก็วิ่งเข้าไปในห้องครัวแล้วตะโกนเสียงดัง

         

        “แม่คะ หาสามีให้หนูหน่อย!”

         

        ไม่มีเหตุผลที่ต้องมานั่งร้องไห้เสียใจอีกต่อไป แม่คลอดเธอออกมาไม่ใช่เพื่อให้เธอมานั่งร้องไห้ให้กับผู้ชายเสียหน่อย

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

 

แก้ไขครั้งที่ 3 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.41 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
3 เมื่อ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 16.07 น.

 เล่มที่ 1 บทที่ 3 จดหมายนัดบอร์ดจากกองทัพ

 

        นี่เป็นการเริ่มต้นหาคู่ครั้งใหม่ในสัปดาห์ที่สองของซูหรงหรง

         

        วันนี้ซูหรงหรงที่แต่งตัวสวยงามราวกับกุลสตรีนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามเธอคือผู้ชายรูปร่างผอมกะหร่องที่กำลังจิบกาแฟและใช้สายตามองเธอขึ้นๆ ลงๆ เหมือนคนที่กำลังพิจารณาซื้อสินค้าสักชิ้นหนึ่งอยู่

         

        “คือว่า...ฉันคิดว่า...พวกเราไม่เหมาะสมกัน”

         

        ซูหรงหรงที่กำลังคิดจะลุกขึ้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย

         

        “เอ๊ะ นั่นซูหรงหรงไม่ใช่เหรอ”

         

        เสียงหวานที่ฟังดูไพเราะดังมาแต่ไกล ไม่ต้องมองหน้า เธอก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร

         

        เฉินหย่าถิง !

         

        ท่าทีของซูหรงหรงดูสงบเยือกเย็นขึ้นมาอย่างฉับพลัน เฉินหย่าถิงที่พ่ายแพ้ให้แก่เธอคราวที่แล้วรีบปรี่เข้ามาทางซูหรงหรงอย่างจงใจ

         

        ความจริงแล้วเฉินหย่าถิงนับว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง รูปร่างของเธอสามารถดึงดูดสายตาคู่ดูตัวของซูหรงหรงได้ไม่ยาก ถ้าให้พูดตามสถานการณ์ตอนนี้ เหมือนเขาจะโดนสะกดไปเรียบร้อยแล้วเสียมากกว่า

         

        “นี่หรงหรง ฉันพูดกับเธอจริงๆ นะ ว่าถึงแม้เธอจะอกหัก แต่เธอก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องรีบเร่ขายตัวเองเลยนี่ แต่ก็นะ ฉันว่ายังไงเธอก็ขายไม่ออกหรอก”

         

        “เอาอย่างนี้มั้ยล่ะหรงหรง ฉันช่วยเธอหาผู้ชายสักสองสามคนดีมั้ย รู้สึกว่าสายตาในการเลือกคนของเธอมันค่อนข้าง...”

         

        กู้แหยนเจ๋อที่ได้ทีก็เย้ยหยัน วงแขนตวัดโอบเฉินหย่าถิงเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ดวงตาบ่งบอกถึงความพึงพอใจ

         

        มันจะมีอะไรที่มีความสุขไปกว่าการเห็นผู้ชายที่เคยรักได้พบเจอกับคนที่เลวสมกันแบบนี้อีกหรือ?

         

        ไม่ว่าไปที่ไหนก็เจอแต่พวกเขา ถึงแม้จะผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนั้นมา แต่มันก็ยังคงเจ็บอยู่ลึกๆ แถมตอนนี้ก็ยังได้มาเห็นภาพบาดตาที่คนทั้งคู่กำลังพลอดรักกันอย่างโจ่งแจ้ง...ไม่กลัวฟ้าผ่ากันหรือไงนะ?

         

        ซูหรงหรงหยิบเงินออกมาจากกระเป๋า 100 หยวน ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ

         

        “หลบไป...”

         

        “...หมาตัวผู้ตัวเมีย”

         

        ซูหรงหรงที่กำลังจะเดินผ่านพวกเขาไปกระซิบขึ้นมาเบาๆ

         

        “แก!”

         

        เฉินหย่าถิงโกรธจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เธอจูงมือกู้แหยนเจ๋อออกไป

         

        …

         

        แสงอาทิตย์ยามเช้าเริ่มทอแสงลงมาตกกระทบที่ต้นปอปลาร์ เงาของใบไม้พลิ้วไหวไปมาอยู่ที่ขอบหน้าต่าง

         

        “นี่อะไร?”

         

        จ้านอี้หยางเงยหน้าออกจากกองเอกสารแล้วมองไปยังการ์ดเชิญสีแดงที่อยูในมือของพลทหารตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย

         

        “นี่...นี่คือการ์ดเชิญครับ”

         

        พลทหารที่ถูกบุคคลผู้ซึ่งเป็นที่น่าเกรงขามและขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดนามจ้านอี้หยางคนนี้ถาม ทำให้ใจเริ่มสั่นจนเต้นรัวด้วยความกลัว กลัวเสียจนคำที่พูดออกมาเริ่มตะกุกตะกัก

         

        “การ์ดเชิญอะไร?”

         

        คิ้วของจ้านอี้หยางขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ น้ำเสียงที่ไม่แสดงออกถึงความเบิกบานใจแล้วยังเต็มไปด้วยความข่มขวัญเอ่ยขึ้น

         

        “รีบพูดออกมาให้ชัดเจน อย่าอ้ำๆ อึ้งๆ”

         

        พลทหารตื่นตกใจกลัวกับอารมณ์ฉุนเฉียวของจ้านอี้หยาง เขายืนตัวตรงแน่ว ก่อนจะรายงานออกมารวดเดียวจบ

         

        “รายงานท่านพลเอก หัวหน้าเหล่าทัพมีคำสั่งว่า เนื่องจากบริเวณเขตกองทัพเรามีพลทหารชายโสดเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้ จึงออกคำสั่งให้จัดงานนัดบอร์ดหาคู่ให้กับพลทหารที่ยังโสด โดยเชิญหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานมาร่วมงานที่กองทัพของเราครับผม”

         

        “หัวหน้าเหล่าทัพยังกำชับอีกว่า ท่านพลเอกจะต้องเข้าร่วมงานดังกล่าว หากไม่ร่วมงานถือว่าเป็นการขัดคำสั่ง จะต้องได้รับโทษตามกฎของกองทัพ เน้นย้ำอีกครั้งว่า พลทหารทุกคนต้องเข้าร่วมงาน จบการรายงานครับ!”

         

        พลทหารได้เห็นใบหน้าที่เรียบเฉยยิ่งกว่าตอนแรกของจ้านอี้หยางแล้วยิ่งหวาดกลัว จนทำให้เขารีบพูดรีบเดินออกมาจากห้องทำงานของจ้านอี้หยาง

         

        ความจริงแล้วพลทหารไม่กล้าบอกว่างานนัดบอร์ดครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อจ้านอี้หยางโดยเฉพาะ

         

        จ้านอี้หยางเป็นนายพลที่นับว่าเยี่ยมยอดคนหนึ่ง เขาทำงานอย่างหนักเพื่อกองทัพ ฝีมือของเขานับว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างยิ่ง เรื่องเดียวที่น่าเสียดายคือเขายังไม่มีวี่แววว่าจะแต่งงานแม้ว่าอายุจะปาเข้าไป 30 ปีแล้วก็ตาม

         

        ผู้หญิงข้างกายสักคนเขาก็ไม่มี หัวหน้าเหล่าทัพพากันเดือดเนื้อร้อนใจแทนเขาเสียเหลือเกิน เขาไม่ควรจะทุ่มทุกอย่างให้กับกองทัพจนพลาดโอกาสที่ดีในชีวิตไป ดังนั้นการนัดบอร์ดจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด

         

        จ้านอี้หยางชายตามองการ์ดเชิญที่พลทหารเมื่อครู่ทิ้งไว้ให้อย่างไม่แยแส

         

        ถึงแม้ว่าตอนนี้อายุของเขาจะเข้า 30 ปีแล้ว แต่ทั้งชีวิตของเขาก็มอบให้กับการทำงานในกองทัพ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาไม่คิดจะเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระพวกนี้ ในหัวเขาคิดเพียงแค่พอถึงเวลาก็แต่งงานกับผู้หญิงสักคนแล้วก็มีลูกด้วยกันก็พอ

         

        ในเมื่อครั้งนี้เป็นคำสั่งของหัวหน้าเหล่าทัพเขาก็จะปฏิบัติตาม แต่ว่า...จะหาผู้หญิงที่ใช่เจอหรือไม่นั้น เขาไม่รับประกัน

         

        จ้านอี้หยางโยนการ์ดเชิญลงลิ้นชักอย่างไม่ใส่ใจ เขาละสายตามาดูรายงานเกี่ยวกับการทหารต่อและทำราวกับว่าคำเชิญเข้าร่วมงานนัดบอร์ดไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าไรนัก

         

        …

         

        ในขณะเดียวกัน ซูหรงหรงกำลังนอนแผ่หลาบนโซฟาอย่างเกียจคร้าน

         

        “นี่มันอะไร?”

         

        ซูหรงหรงเพ่งพินิจการ์ดเชิญที่อยู่ในมือแล้วเอ่ยถามแม่ของตนด้วยความสงสัย

 

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.45 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
4 เมื่อ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 13.14 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 4  ชายชาติทหาร (1)

 

        “การ์ดเชิญนี้ป้าเป็นคนเอามาให้แม่”

         

        แม่ของซูหรงหรงตอบพลางหยิบผักขึ้นมาเพื่อเตรียมอาหารเย็น ก่อนจะเอ่ยต่อ

         

        “ลุงเขยรู้จักกับคนในเขตกองทัพ นี่เป็นโอกาสดีมากเลยนะ เพราะกองทัพจัดงานนัดบอร์ดหาคู่ขึ้นมา พอได้ยินว่าลูกอยากจะหาแฟน ป้าเขาก็เลยรีบไปเอาการ์ดเชิญมาให้ใบหนึ่ง แถมยังบอกอีกว่าพลทหารน่ะน่าฝากชีวิตไว้กว่าพวกผู้ชายทั่วๆ ไปตั้งเยอะ”

         

        “เขตกองทัพ? เหล่าชายชาตินักรบ?”

         

        ซูหรงหรงมองการ์ดเชิญที่ถืออยู่ในมือแล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง ภายในหัวตอนนี้มีแต่ภาพทหารในฝันของตน

         

        อา...ร่างกายที่กำยำแข็งแรง ผิวกล้ามที่แวววาวสุดเซ็กซี่ คิดได้แค่นี้ น้ำลายก็แทบจะไหลออกมาจากปาก ผุดลุกนั่งขึ้นมาบนโซฟาอย่างตื่นเต้น

         

        “คุณพี่ทหารขา!”

         

        จะต้องเป็นเหมือนเจ้าชายแน่ๆ

         

        ซูหรงหรงจินตนาการถึงภาพพลทหารของกองทัพเกาหม่าต้าเมื่อได้พบเข้ากับเจ้าขี้ขลาดกู้แหยนเจ๋อ เธอหลุดยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้

         

        ซูหรงหรงทุ่มเงินมากมายเพื่อการหาคู่ในครั้งนี้ เมื่อวันงานมาถึง เธอบรรจงแต่งหน้าอย่างสวยงาม

         

        เพื่อไม่ให้ชุดที่เพิ่งซื้อมาใหม่เปื้อนเลอะเทอะก่อนจะไปถึงงาน เธอลงทุนจ้างแท็กซี่เพื่อให้ไปส่งเธอที่เขตกองทัพ

         

        “ว้าว ทำไมปีนี้ผู้หญิงโสดเยอะขนาดนี้เนี่ย”

         

        หลังจากจ่ายเงินแล้ว ซูหรงหรงมองเข้าไปยังเขตกองทัพที่ตอนนี้ถูกประดับประดาไปด้วยของตกแต่งและผู้คน บรรยากาศดูครึกครื้นกว่าเทศกาลโคมไฟเสียอีก

         

        ซูหรงหรงและสาวโสดคนอื่นถูกเชิญเข้าไปในห้องประชุมแห่งหนึ่ง เมื่อกรอกเอกสารเสร็จแล้วก็รอการขานลำดับหมายเลขของตน

         

        รอแล้วรอเล่า ในที่สุดก็ถึงตาเธอเสียที

         

        ซูหรงหรงรวบกระโปรงแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมโปรยยิ้มเหมือนคนโง่ เธอเดินตามทหารนายหนึ่งเข้าไปในห้องที่คล้ายกับห้องสัมภาษณ์ชั่วคราว

         

        บรรดาชายหนุ่มที่สวมเครื่องแบบทหารนั่งเรียงรายกันอยู่ภายใน

         

        “สวัสดีค่ะทุกคน”

         

        เมื่อพลทหารออกไปจากที่นั่นแล้ว ซูหรงหรงลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับเพื่อทำความเคารพผู้สัมภาษณ์ตรงหน้าพร้อมกับยิ้มหวาน

         

        “ซูหรงหรง...”

         

        ผู้สัมภาษณ์จ้องมองมาที่เธออย่างพิจารณา ก่อนจะเอ่ยต่อ

         

        “...ความสูงของเธอน่าจะไม่ถึง 165 เซนติเมตร ขอโทษด้วย แต่เรามีข้อกำหนดว่าผู้หญิงที่จะเข้าร่วมจะต้องสูงมากกว่าหรือเท่ากับ 165 เซนติเมตร เชิญเธอกลับไปได้”

         

        เมื่อฟังผู้สัมภาษณ์พูดจบ ดวงตาของเธอที่ปกติเป็นสีขาวเริ่มแดงก่ำขึ้น น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาที่ขอบตา สร้างความตกใจให้กับผู้สัมภาษณ์ เธอเริ่มเปล่งเสียงสั่นๆ

         

        “ฉันรู้สึกเจ็บปวดมากที่ความสูงของฉันไม่ตรงตามความต้องการของพวกคุณ ฉันไม่คิดเลยว่าพวกคุณจะเอาเรื่องนี้มาตัดสินคน”

         

        เมื่อพูดจบน้ำตาของซูหรงหรงก็ไหลลงมาเป็นทาง

         

        ปกติแล้วผู้สัมภาษณ์มักจะสงบนิ่งอยู่เสมอ ผู้สัมภาษณ์ที่กำลังจะกล่าวด้วยเสียงเรียบเย็นถูกห้ามจากหัวหน้าเหล่าทัพ

         

        “นี่คืองานหาคู่ ไม่ใช่สนามฝึกรบ”

         

        เมื่อซูหรงหรงได้ฟัง เธอรู้สึกได้ว่าเธอเหมือนกำลังถูกกลั่นแกล้ง

         

        “พวกคุณทำไมถึงรังแกคนอื่นแบบนี้”

         

        ซูหรงหรงใช้มือปาดน้ำตาก่อนจะเอ่ยต่อ

         

        “ตั้งแต่ฉันเป็นเด็ก ฉันรักและเคารพเหล่าทหารเสมอ เพราะพวกคุณเป็นผู้ปกป้องประเทศ ฉันรู้สึกเหมือนกับพวกคุณเป็นซูปเปอร์แมนที่สามารถทำได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นฉันเลยอยากแต่งงานกับทหาร พอฉันรู้ว่าพวกคุณจัดงานหาคู่ฉันก็รีบมาที่นี่ พวกคุณจะตัดฉันออกจากการคัดเลือกเพียงเพราะฉันความสูงไม่ถึงอย่างนั้นเหรอ นอกจากเรื่องความสูง ฉันคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง ฉันทำอาหารได้ ฉันเก็บกวาดทำความสะอาดเป็น ฉันไม่เคยที่จะกลัวเหงาเวลาต้องอยู่คนเดียว ฉันมั่นใจว่าฉันจะเป็นช้างเท้าหลังที่ดีให้กับสามีได้อย่างแน่นอน หากเขาออกไปเป็นแนวหน้าในสนามรบปกป้องประเทศชาติ ฉันก็จะเป็นแม่บ้านที่ปกป้องคนในครอบครัวรวมถึงลูกๆ ฉันจะไม่มีวันทำให้เขาพะวงหน้าพะวงหลัง ฉันจะต้องเป็นภรรยาและแม่ที่ดีให้กับเขา “

         

        ซูหรงหรงโพร่งออกไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอีกครั้ง

         

        “แม่สาวน้อย ขอบคุณมาที่เธอสนับสนุนพวกเราเหล่าทหารมาตลอด แต่อายุเธอยังน้อย เธออาจจะยังไม่เข้าใจว่าการเป็นภรรยาของทหารจะต้องแบกรับอะไรไว้บ้าง”

         

        ผู้สัมภาษณ์ที่ถูกหัวหน้าเหล่าทัพยั้งไว้ เอ่ยปากอย่างนุ่มนวล

         

        แม้ว่าจะได้ฟังคำพูดของซูหรงหรงแล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจที่จะให้เธอกลับไป และไม่คิดหวังจะให้เธอเข้ามาแต่งงานเป็นภรรยาของทหาร

         

        ...

         

        เมื่อถูกพูดถึงขนาดนี้แล้ว ซูหรงหรงยังจะพยายามต่อไปไหมนะ?

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.46 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
5 เมื่อ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 12.56 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 5 ชายชาติทหาร (2)

 

        “แม้ว่าอายุฉันจะยังน้อย แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าความคิดความอ่านของฉันจะยังเป็นเด็ก”

         

        ซูหรงหรงพูดพลางสูดน้ำมูกเข้า ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงอันแข็งกร้าว

         

        “ฉันรู้ดีที่สุดว่าตอนนี้ฉันกำลังทำอะไรอยู่ ฉันเป็นคุณครูของโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ฉันมักจะพูดกับนักเรียนของฉันเสมอว่า...จะต้องตั้งเป้าหมายให้กับชีวิตตนเอง และจะต้องใช้กำลังที่มีในการทำตามความฝัน ...และความฝันของฉันก็คือการได้แต่งงานและเป็นภรรยาของทหาร ฉันอยากจะเป็นภรรยาที่จะไม่ทำให้สามีต้องมาพะวงหน้าพะวงหลัง สิ่งที่ทำให้พวกคุณหนักใจตอนนี้มันไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด”

         

        ผู้สัมภาษณ์มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทั้งห้องตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบ

         

        “พวกคุณคิดว่าสาวน้อยคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? จะให้เธอผ่านมั้ย?”

         

        “กฎระเบียบนั้นตายตัว แต่คนเรานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่พลิกแพลงได้ตลอดเวลา ฉันคิดว่าเด็กคนนี้เหมาะสมดีมาก แม้ว่าอายุจะไม่มาก แต่ก็เป็นคนมีเหตุมีผลและเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นอย่างดี แล้วยิ่งดูจากความเคารพที่เธอมีให้กับทหารอย่างพวกเรา อีกทั้งความคิดที่อยากจะเป็นภรรยาของทหาร พวกเราคงจะไม่เอาเรื่องเล็กน้อยมาตัดสินความหวังอันยิ่งใหญ่ของเธอหรอกใช่หรือไม่”

         

        “สาวน้อยคนนี้เป็นคุณครูโรงเรียนอนุบาล ทุกวันจะต้องอยู่กับเหล่าเด็กน้อย จิตใจคงจะอบอุ่นดีงามมากแน่นอน อีกอย่างหนึ่งหน้าตาก็สะสวย แค่ฉันเห็นหน้าเขา ฉันก็ให้เขาผ่านเข้าไปแล้ว”

         

        ผู้สัมภาษณ์ปรึกษากันอีกครั้ง สุดท้ายก็เปิดไฟเขียวให้ซูหรงหรงผ่านเข้าไปได้ จึงถือว่าเป็นการสิ้นสุดการสัมภาษณ์และเป็นเหมือนการประกาศชัยชนะของซูหรงหรง

         

        “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”

         

        ซูหรงหรงก้มหัวคำนับ

         

        ทันทีที่ออกจากห้องสัมภาษณ์ เธอรีบรุดตัวเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเติมแป้งลงบนหน้า

         

        เมื่อได้มองตนเองในกระจก เธอก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าบูดบึ้งอย่างล้อเลียน ก่อนจะเปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยความขี้เล่น

         

        “ซูหรงหรง...เธอนี่ช่างจะเป็นคนที่มีความสามารถในการแสดง ฉันว่าเธอควรจะได้รับรางวัลออสการ์ประจำปีนี้ ดูสิ...แค่ลงทุนบีบน้ำตาร้องไห้นิดหน่อย ทำตัวเหมือนหมาน้อยน่าสงสารเขาก็ปล่อยเธอผ่านเข้ามาง่ายๆ แล้ว ฮ่าๆ...ทำอาหารก็ได้ เก็บกวาดก็เก่ง ช่างจะกล้าพูด!”

         

        ซูหรงหรงยืนยิ้มแสดงความยินดีกับตัวเองในห้องน้ำที่ไม่มีคนอยู่สักพักใหญ่ เมื่อเติมเครื่องสำอางเสร็จแล้ว เธอก้าวเท้าออกมาด้วยท่าทีสงบนิ่งแบบกุลสตรี จากนั้นก็เริ่มออกเดินหาคู่

         

        เธอเม้มริมฝีปากสีเชอร์รี่ตลอดทางที่เดิน ปาร์ตี้ในครั้งนี้เสมือนงานเลี้ยงของคนชนชั้นสูงที่เธอไม่มีวันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแบบนั้น แต่อย่างไรก็ตาม เธอไม่คิดจะกลับลำเรือตอนนี้ ยังไงซะ เธอก็จะหาผู้ชายที่ดีกว่ากู้แหยนเจ๋อเป็นร้อยเท่าพันเท่ากลับไปให้ได้

         

        เธอจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคและกำจัดผู้หญิงที่ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังคนนั้นออกไป เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็เดินตรงต่อไปที่ประตูสีเขียวเข้มอันใหญ่โต

         

        พอตัวเธอก้าวผ่านประตูเข้ามา เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปดูกลุ่มคนที่กำลังโศกเศร้าเสียใจเพราะไม่ผ่านการคัดเลือก เธอที่พกความมั่นใจมาเต็มร้อยทำท่าส่งจูบไปที่หญิงสาวเหล่านั้น “oh baby, ฉันจะเป็นตัวแทนของพวกเธอไปเลือกหนุ่มๆ ทหาร และสัญญาว่าจะไม่ทำให้พวกเธอผิดหวัง”

         

        ซูหรงหรงกำมือแน่นแสดงออกถึงความมุ่งมั่น

         

        กู้แหยนเจ๋อ เตรียมตัวรอฉันพาแฟนทหารไปจัดการนายก่อนเถอะ ฉันจะทำให้นายเสียดายจนตาละห้อยเลยล่ะ

         

        จากนั้นเธอก็ดันประตูทางเข้าสีเขียวเข้มไปจนสุด จู่ๆ ซูหรงหรงก็ขยับเท้าถอยหลังอย่างรวดเร็ว บรรยากาศมันดูอึมครึมและเคร่งเครียดเกินไป เธอกำกระเป๋าถือใบเล็กๆ ที่เพิ่งซื้อมาในราคาร้อยกว่าบาทจากเว็บไซต์เถาเป่าไว้แน่น

         

        อยู่ๆ เธอก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ถูกส่งออกมาจากที่ไหนสักที่

         

        ให้ตายเถอะ มันควรจะคึกคักกว่านี้หน่อยสิ

         

        ถึงแม้เธอจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ก็รู้สึกหนาวขึ้นมาดื้อๆ ไหล่ของเธอหดเล็กลงตามสัญชาตญาณ ใจของเธอตอนนี้อยากจะหันหลังกลับไปเลยด้วยซ้ำ

         

        “ขอโทษนะคุณผู้หญิง กฎของเราคือผู้ที่มาเข้าร่วมงานไม่สามารถกลับก่อนได้ถ้างานยังไม่จบ”

         

        พนักงานต้อนรับคิดว่าซูหรงหรงจะถอดใจกลับไปแล้วรีบเอ่ยรั้งเธอไว้ก่อนจะฉีกยิ้มให้หนึ่งครั้ง ปฏิกิริยาของซูหรงหรงค่อนข้างรวดเร็ว เธอรีบชักเท้ากลับเข้ามา เธอรวบรวมพละกำลังไว้ที่มือทั้งสองข้าง ก่อนที่เธอจะเยื้องย่างด้วยสะโพกอันอวบอิ่มเข้าไปในงานนัดหาคู่

         

        ช่างมันเถอะ อย่าไปคิดมากเลย อาจจะเป็นเพราะแอร์ที่นี่เปิดอุณหภูมิต่ำเกินไปก็ได้

 

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.47 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
6 เมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 13.45 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 6  จิตใจที่ผลิบาน

 

        ซูหรงหรงก้มๆ เงยๆ หาที่นั่งของตนจากหมายเลขที่เธอได้รับในครั้งแรกที่ลงทะเบียน เธอมองออกไปทุกทิศทุกทางเพื่อสำรวจเหยื่ออันโอชะของเธอ ความตื่นเต้นดีใจนี้ทำให้เธอลืมเรื่องราวก่อนหน้านั้นไปจนหมด

         

        “กู้แหยนเจ๋อ เดี๋ยวนายรอดูผู้หญิงของนายเต้นเป็นเจ้าเข้าเถอะ วะฮ่าๆ”

         

        แค่ได้นึกถึงภาพของกู้แหยนเจ๋อและเฉินหย่าถิงถูกคุณทหารแฟนเธอในอนาคตเหยียบย่ำจนหน้าเขียวหน้าแดง เธอก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้

         

        เหล่าบรรดาผู้หญิงที่นั่งข้างซูหรงหรง พอได้เห็นการกระทำที่แปลกประหลาดจนดูโง่ของเธอก็พยายามที่จะเอาตัวออกห่างแต่ก็ไม่สามารถทำได้ พวกเธอกลัวจะถูกหาว่าเป็นพวกเดียวกันกับซูหรงหรงแล้วโดนคนมองว่าพวกเธอต่ำต้อยด้อยค่า

         

        “อาจเป็นเพราะที่นี่คือป่าใหญ่ นกอะไรก็มีหมดเลย”

         

        ผู้หญิงที่นั่งข้างซูหรงหรงจู่ๆ ก็โพล่งประโยคนี้ออกมา คำพูดที่ดูถูกคนอย่างน่ารังเกียจของเธอไม่เหมาะกับท่าทางที่ดูอ่อนหวานนุ่มนวลของเธอตอนนี้เลยแม้สักนิด

         

        ซูหรงหรงยังคงจับจ้องมองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยเหมือนคนโง่เขลา เธอจินตนาการว่าเธอจะกำลังเดินควงแขนกับทหารหนุ่มแล้วเชิ่ดหน้าเริ่ดๆ อย่างยิ่งยโสผ่านหน้ากู้แหยนเจ๋อไป เธออยู่ในโลกจินตนาการของตนเองจนไม่ได้ยินเสียงคุยกันของคนอื่นๆ

         

        ……

         

        ……

         

        เมื่อถึงเวลาจับคู่ สถานที่ก็ถูกขยับขยายให้ใหญ่ขึ้นจนดูผิดปกติ

         

        หญิงงามทั้ง 40 คนสงบเสงี่ยม มีปฏิกิริยาที่นุ่มนวล แน่นอนว่า...ซูหรงหรงไม่ได้ถูกจำกัดความอยู่ในกลุ่มหญิงงามเหล่านั้น

         

        พิธีกรกล่าวเปิดงานหาคู่อย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังแนะนำผู้ร่วมงานทีละคน และเมื่อประกาศถึงชายที่นั่งอยู่บริเวณหัวมุม ทุกคนในงานจับสังเกตได้ว่าน้ำเสียงของพิธีกรค่อนข้างสั่นอย่างหวั่นเกรง

         

        แน่นอนว่า ทุกคนสามารถรับรู้และเข้าใจสถานการณ์ได้ แต่คนคนนั้นไม่รวมยัยซื่อบื้อซูหรงหรง

         

        ผู้ชายที่อยู่ตรงมุมนั้นคือจ้านอี้หยาง เขาใส่เครื่องแบบทหารสีเขียวธรรมดา แต่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของทหารกล้า ดาวบนไหล่ที่บ่งบอกถึงยศตำแหน่งเขายิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นยิ่งขึ้น

         

        จ้านอี้หยางที่นั่งอยู่ในมุมนั้นกลับกลายเป็นว่าเขากำลังนั่งอยู่ตรงข้ามซูหรงหรง เขาเอ่ยเพียงน้อยนิด ราวกับกำลังแข่งขันอยู่ในสงครามเย็น

         

        เมื่อพิจารณาหน้าตาของจ้านอี้หยาง ตั้งแต่ขนคิ้วที่เรียงตัวกัน ใบหน้าที่คมเข้มรูปไข่ที่ดูมีมิติ พอได้ดูภาพรวมแล้วเขานับว่าเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาแบบที่สาวๆต้องการ

         

        ดูเหมือนสาวๆ ทั้ง 39 คนในสถานที่นี้จะถูกขโมยหัวใจไปตั้งแต่ตอนที่พิธีกรแนะนำตัวเขาแล้ว

         

        เพียงคนเดียวที่ไม่สังเกตเห็นการมีตัวตนของเขานั้นก็คงจะเป็นยัยซื่อบื้อที่เดินฝันหวานผ่านประตูเข้ามาโดยไม่สนใจเขาเลย

         

        จ้านอี้หยางสังเกตเธอมาสักพักหนึ่งแล้ว

         

        เธอคือผู้หญิงที่ร้องไห้ในลิฟท์วันนั้นไม่ใช่เหรอ?

         

        ผู้หญิงคนนี้ไม่แม้แต่จะชายตามองเขาที่มียศระดับนายพล เธอกลับมองไปที่เหล่าพลทหารเหล่านั้น

         

        อา...ดูน่าสนใจดีนี่

         

        จ้านอี้อย่างประสานนิ้วทั้งสิบเข้าด้วยกัน เขาค่อยๆ สำรวจผู้หญิงที่เข้าร่วมงานทีละคนจนครบทุกคน

         

        อย่างไรเสียผู้หญิงที่จะมาแต่งงานแล้วคลอดลูกให้เขาไม่ว่าคนไหนก็สามารถทำได้หมด สุ่มเลือกเอาสักคนก็แล้วกัน

         

        สมองเขาสั่งการแบบนั้น แต่ทว่าสายตาของเขาก็ยังคงมองจ้องไปที่ยัยซื่อบื้อที่เอาแต่จ้องมองไปทางเหล่าพลทหารอย่างโง่เขลา

         

        คิดไปคิดมาจนเหมือนคิดอะไรได้สักอย่าง...แววตาของเขาก็เริ่มเปล่งประกาย

         

        ผู้หญิงโง่เขลา ก็คงใช้วิธีเลือกคู่อย่างโง่เขลาแล้วกลับบ้าน

         

        อยู่ๆ ซูหรงหรงก็รู้สึกเย็นยะเยือกมาจากทางเข้าของประตู แต่เพราะเธออายุยังน้อย เธอจึงคิดได้แค่ตื้นๆ เท่านั้น

         

        ทำไมแอร์ที่นี่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวแบบนี้นะ? เครื่องมือเครื่องใช้ของกองทัพดูจะไม่มีประสิทธิภาพเอาสะเลย

         

        จู่ๆ เธอก็จามขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอเช็ดจมูกก่อนจะเอ่ย

         

        “ใครบังอาจมานินทาลับหลังสาวน้อยผู้น่ารักอย่างฉันกันนะ”

         

        ยังไม่ทันจะได้วิเคราะห์ตัวคนร้าย การดูตัวของคู่ที่หนึ่งก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความคึกคัก

         

        ซูหรงหรงมองไปทางหญิงสาว ที่นำเอาหัวใจสีแดงไปติดที่นายทหารที่ตนเองชอบ

         

        คนที่เธอเล็งไว้ถูกติดหัวใจทีละคนสองคน เหล่าสาวน้อยรวมถึงซูหรงหรงต่างกังวลว่าผู้ชายที่พวกเธอหมายปองจะถูกแย่งไป

         

        ดังนั้น เมื่อถึงคราวที่ซูหรงหรงจะต้องเลือกคู่ เธอแทบจะกระโดดขึ้นไปบนเวที เธอกลัวจะรั้งหัวใจไว้ไม่อยู่กับช่วงเวลาที่จะต้องเลือกหนุ่มหล่อมาสักคน เธอส่งสายตาไปยังพลทหารที่ดูอายุน้อยคนหนึ่งที่เธอเล็งไว้อย่างมีความหวัง

         

        แต่ช่างน่าเสียดาย เมื่อซูหรงหรงส่งสายตาไปให้หนุ่มน้อยคนนั้น เขากลับหันหน้าหนีไปอีกทาง

         

        ซูหรงหรงหัวเราะแล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง

         

        “แหม สงสัยจะเขินล่ะสิ”

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.48 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
7 เมื่อ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 13.11 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 7 ทำไมถึงเป็นตานี่!

 

        การแนะนำตัวระหว่างหนุ่มสาวใกล้จะสิ้นสุดลง ซูหรงหรงค่อนข้างพอใจและรอคอยพิธีกรเรียกเธอไปพบกับทหารหนุ่ม

         

        อ่า...ช่างน่าพอใจจริงๆ ตอนนี้เธอพบพลทหารที่หมายปองจะครองรักแล้ว

         

        แต่แล้ว...เธอก็ต้องผิดหวัง

         

        พลทหารที่เธอเล็งไว้ไม่ได้เลือกเธอ แต่เขากลับเลือกผู้หญิงที่นั่งข้างซูหรงหรง ในตอนที่ได้ฟังผล เธอคิดว่าเธอฟังผิดเสียอีก เธอกัดปากกัดฟันได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของทหารหนุ่มที่เธอคิดว่าขี้อายคนนั้นจากไป

         

        “อะไรกัน...อะไรมันบังตานาย ห้ะ!”

         

        จ้านอี้หยางที่กำลังหลับตาอยู่ ก็ลืมตาขึ้นเพราะได้ยินเสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจของซูหรงหรง เขาลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ หลับไปอีกครั้ง

         

        อะไรทำให้เธอเลิกสนใจนายทหารสุดหล่อคนนั้นกันนะ?

         

        จ้านอี้หยางที่แม้แต่ลืมตายังขี้เกียจ ความขี้เกียจนี้ถ้าจะเรียกว่าเป็นงานอดิเรกของเขาก็คงจะได้ เขาไล่มองดูอย่างผ่านๆ เหล่าสาวสวยต่างพากันถอนหายใจอย่างโศกเศร้า พวกเธอทำได้แค่มอง แต่ไม่อาจสัมผัสเขาได้ พวกเธอมองไปที่เขาอย่างเสียดายแต่ก็ต้องจนใจยอมแพ้แก่ความที่เขาไม่แม้แต่จะแลตามองเธอ

         

        ซูหรงหรงกัดฟัน ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังกลุ่มทหารที่ยังไม่ถูกเลือกคู่ จนในที่สุดเธอสังเกตเห็นจ้านอี้หยาง แต่ก็ถูกรังสีอำมหิตอันเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาทำเอาเสียขวัญ

         

        “เขาคือผู้ชายที่ฉันเจอในลิฟต์วันนั้นนี่? ที่แท้เขาก็เป็นทหารนี่เอง หูย...หน้าตาก็ดูดีแต่ไม่น่าทำท่าทางโหดขนาดนั้นเลย น่ากลัวเกินไป!”

         

        วันนั้นเธอไม่ทันได้ตั้งใจมองหน้าเขาตรงๆ แต่พอวันนี้ได้มาลองพิจารณาอย่างจริงจังแล้ว เพิ่งจะได้รู้ว่าเขาดูเป็นคนที่เย็นชาเสียจนทำให้คนอื่นขวัญเสียเอาง่ายๆ

         

        แต่งกับเขาเหรอ....ไม่มีวัน ถ้าขืนแต่งกับผู้ชายคนนี้มีหวังได้โดนแส้ฟาดทุกวันแน่!

         

        เธอใช้ลิ้นดุนฟันก่อนจะละสายตาจากจ้านอี้หยางอย่างรวดเร็ว เธอเล็งเป้าหมายใหม่ไปยังทหารหนุ่มหล่อที่ยังคงไม่ถูกเลือก

         

        แต่ถึงจะมองไปก็เท่านั้น เพราะนายทหารคนนั้น…ไม่เลือกเธอ

         

        ซูหรงหรงเห็นเหล่าบรรดาทหารและหญิงสาวที่จับกันเป็นคู่ๆ คุยกันอย่างมีความสุข เธอรู้สึกเหมือนน้ำกรดในกระเพาะอาหารมันไหลออกมาเสียจนบีบมวลไปหมด เธอที่โดนปฏิเสธแล้วปฏิเสธเล่าน้ำตารื้นออกมาจนไหลเป็นทาง

         

        แต่ก็ยังดีที่พิธีกรจู่ๆ ก็ประกาศขึ้นทำลายอารมณ์เศร้าของเธอ

         

        “เรายังมีเรื่องสนุกๆ รออยู่ในตอนท้าย ลำดับต่อไปของการนัดเลือกคู่ของเราคือการสุ่มเลือกคู่ พวกเรามาตั้งตารอดูกันเถอะ!”

         

        พิธีกรเดินเข้ามายืนข้างๆ ซูหรงหรงก่อนจะตบบ่าเธอเบาๆ

         

        “สาวน้อย ฉันว่าฉันเห็นอะไรในตัวเธอนะ”

         

        เมื่อพูดจบ พิธีกรก็ผลักซูหรงหรงไปหาจ้านอี้หยาง เธอที่ถูกผลักอย่างไม่ทันตั้งตัว เซถลาเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของจ้านอี้หยางอย่างช่วยไม่ได้

         

        “อ๊ะ...!”

         

        เธอร้องออกมาด้วยความตกใจ

         

        เธอไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด แต่กลับรู้สึกอบอุ่นจากสัมผัสของวงแขนนั้น

         

        สมองของซูหรงหรงยังไม่ทันได้ประมวลผลสถานการณ์ เสียงที่เรียบเฉยและเย็นชาก็ถูกส่งผ่านมาจากบนศีรษะของเธอ

         

        “หยุดร้องซะ!”

         

        จ้านอี้หยางออกคำสั่งใส่เธอเสียงดัง จนทำให้บรรดาผู้นำทั้งหลายหันมาสนใจทางเขา

         

        เขาเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเสียแล้วสิ

         

        ซูหรงหรงที่ถูกจ้านอี้หยางข่มรีบปิดปากแล้วฟังที่เขาพูด แต่ทว่าน้ำตาของเธอก็ยังคงไหลออกมาอยู่ดี เธอควรที่จะระวังและรอบคอบกว่านี้ คราวที่แล้วก็ถูกแฟนและเพื่อนหักหลัง คราวนี้ทหารที่เล็งเอาไว้แม้แต่หน้าเธอ พวกเขาก็ยังไม่มองเลย แถมยังไปคุยกับผู้หญิงคนอื่นหน้าตาเฉย

         

        ซูหรงหรงที่อยู่ในอ้อมแขนของจ้านอี้หยางประมวลสถานการณ์เสร็จแล้วว่าเธอถูกสุ่มเลือกคู่ให้เป็นที่เรียบร้อย อยู่ๆ เธอก็ส่งเสียงร้องไห้ดังลั่น

         

        “ฮืออออ!”

         

        ทำไม...ทำไมถึงเป็นตานี่ล่ะ!

         

        นายทหารคนนี้ดูก็รู้แล้วว่าโหดมาก

         

        อีกอย่าง...อีกอย่างเขาก็ได้เห็นฉันตอนหมดสภาพอย่างไม่มีชิ้นดีที่ลิฟต์วันนั้นแล้วด้วย!

         

        จ้านอี้หยางทำหน้าถมึนทึง

         

        อะไรกัน ตอนแรกที่มองเห็นเขาก็ยังดีๆ อยู่เลย แต่ทำไมพอมาจ้องหน้าเขาแล้วกลับร้องไห้ออกมาเอาเสียดื้อๆ

         

        หน้าตาเขาน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง!

         

        อีกด้าน ท่ามกลางเสียงของเหล่าบรรดาผู้นำ ขณะที่กำลังมองการคัดเลือกรอบที่สอง พวกเขาก็หันเหความสนใจไปที่จ้านอี้หยางและสาวน้อยหน้าสวยที่ดวงหน้าเปรอะไปด้วยน้ำตา พวกเขากำลังเข้าใจว่าซูหรงหรงที่โดนปฏิเสธมานับครั้งไม่ถ้วนก็คงจะถูกจ้านอี้หยางปฏิเสธเช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงร้องไห้ออกมาจนน่าสงสาร

         

        เหล่าผู้นำหันมารวมหัวกันก่อนเริ่มปรึกษาหารือ จากนั้นก็ลงความเห็นกันว่าจะจับคู่ให้จ้านอี้หยางและซูหรงหรง

         

        คนดีก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ!

         

        เพื่อจะทำให้ความปรารถนาของซูหรงหรงที่พึงใจในตัวจ้านอี้หยางสมหวังในความรัก และเพื่อผลสำเร็จในการหาคู่ครองให้กับจ้านอี้หยาง นี่สิเขาเรียกว่า...ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

         

        “แม่สาวน้อย ในเมื่อเธอชอบจ้านอี้หยางขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็แต่งงานกับเขาเถอะ พวกฉันจะจัดงานแต่งนี้ให้เอง!”

         

        “ฮือๆ...”

         

        ไม่...ฉันไม่เอา!

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

แก้ไขครั้งที่ 2 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.49 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
8 เมื่อ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 13.56 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 8 ผู้ชายบุกบ้าน

 

        เช้าของวันถัดมา ทุกคนลอบมองไปที่สิ่งแปลกปลอมซึ่งอยู่ภายในบริเวณนั้น มันคือรถออฟโรดของทหารสีเขียวสองคันที่จอด ณ สวนสาธารณะในซอยอย่างสงสัย

         

        คุณตาคุณยายผู้สูงอายุทั้งหลายกำลังสงสัยว่าในเขตที่พวกเขาอยู่เกิดการก่ออาชญากรรมหรือกำลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ทุกการกระทำรอบๆ บริเวณนั้นหยุดนิ่ง คนที่เดินก็หยุดเดิน มือไม้เริ่มชี้กันพัลวัน สายตาพากันจับจ้องไปที่รถสองคันนั้น

         

        สักครู่ต่อมาก็มีนายทหารคนหนึ่งที่สวมเครื่องแบบทหารเต็มยศลงมาจากรถ

         

        เหล่าบรรดาคุณยายตาลุกวาว

         

        ชายคนนั้นช่างดูสง่างามในเครื่องแบบทหารเต็มยศ ท่วงท่าของเขาช่างดูสุขุมและน่าเกรงขาม ยิ่งเขาเดินออกมายืนด้านหน้ารถออฟโรดของกองทัพนั้นยิ่งทำให้เขาดูน่ากลัวเกรงยิ่งขึ้น

         

        “หนุ่มน้อย มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”

         

        คุณยายที่มือถือพัดสีแดงปรี่เข้ามาถามเขาอย่างตื่นเต้น

         

        จ้านอี้หยางมองไปรอบๆ หมู่บ้านนั้นก่อนจะเอ่ยถาม

         

        “ไม่ทราบว่าตึก 17 ต้องไปทางไหนครับ? ผมมาพบซูหรงหรง”

         

        “อ๋อ ที่แท้ก็มาหาซูหรงหรง”

         

        คุณตาคนหนึ่งแทรกตัวเข้ามาตอบ

         

        “หนูซูหรงหรงน่ะ เป็นเหมือนลูกหลานแท้ๆ ของเรา เธอเป็นเด็กที่มีนิสัยสดใสร่าเริง แถมยังเป็นคุณครูด้วยนะ แล้วก็ยังชอบมาทำให้พวกเราหัวเราะบ่อยๆ ด้วย ฮ่าๆ”

         

        “ใช่ๆ หนูซูหรงหรงเป็นเด็กที่ดีมากจริงๆ ถ้าหลานชายฉันยังไม่แต่งงาน ก็ว่าจะไปขอหนูเขามาเป็นหลานสะใภ้”

         

        เขาเป็นพ่อสื่อหรือไง?

         

        ภายใต้หมวกทหารนั้น จ้านอี้หยางที่เป็นคนฉลาดหลักแหลมและมีสายตาอันเฉียบคมทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างเนือยๆ

         

        “ผมคือว่าที่คู่หมั้นของเธอ”

         

        บรรดาคุณตาคุณยายต่างส่งเสียงฮือฮา แล้วรีบเข้ามาล้อมรอบตัวเขา จากนั้นพาเขาไปยังบ้านของซูหรงหรงและยังไม่วายที่จะกำชับว่าเขาคือว่าที่คู่หมั้นของลูกสาวคนทั้งหมู่บ้าน

         

        “พ่อหนุ่มจะต้องดูแลซูหรงหรงของเราให้ดีๆ นะ พวกเราทั้งหมดรักและเอ็นดูเด็กคนนี้มาก”

         

        “ถูกต้อง ถูกต้องแล้ว แม้ว่าพ่อหนุ่มจะเป็นชายชาติทหาร แต่ถ้ามารังแกซูหรงหรงของเราแล้วล่ะก็ พวกเราจะเป็นคนทวงคืนความยุติธรรมให้เธอเอง”

         

        จ้านอี้หยางฟังไปด้วยแล้วคิดตามไปด้วย เหอะ ผู้หญิงที่ทั้งโง่ทั้งซื่อบื้อเหมือนเด็กไม่ยอมโตอย่างนั้น ยังจะต้องสร้างความลำบากให้พวกคนแก่ดูแลอีก

         

        เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้านของซูหรงหรง จ้านอี้หยางหมุนตัวกล่าวขอบคุณเหล่าผู้สูงอายุก่อนจะหันกลับมากดกริ่งหน้าบ้าน

         

        ผู้ที่มาเปิดประตูคือเหอฮุ้ยหลาน ผู้ซึ่งเป็นแม่ของซูหรงหรง พอเธอได้เห็นนายทหารตัวสูงใหญ่ยืนหน้าประตูบ้านก็ทำให้ตกใจเป็นอย่างมาก

         

        “เกิดอะไรขึ้นกัน คุณเป็นใคร!”

         

        เพื่อนบ้านของเหอฮุ้ยหลานพากันแย่งพูดบอกเธอเรื่องของชายหนุ่มทหารคนนี้ ก่อนที่เธอจะสรุปได้ว่า

         

        ทหารหนุ่มสุดหล่อคนนี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าเพื่อนบ้านคือ...ลูกเขยของเธอ!

         

        จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อซูหรงหรงลูกสาวของเธอเพิ่งจะถูกแฟนหักอกไปเมื่อไม่นานมานี้เอง แล้วนี่ลูกเขยคนนี้มาจากไหน?

         

        แต่ว่า...ลูกเขยคนนี้ก็หล่อจริงๆ ช่างน่ามองเหลือเกิน

         

        แบบนี้ต้องให้แต่งไปเลย!

         

        แม่ของซูหรงหรงหันหลังกลับไปในบ้าน ก่อนจะตะโกนเสียงดัง

         

        “คุณคะ ไปพาซูหรงหรงมา”

         

        ซูหรงหรงที่กำลังสะลึมสะลือเพราะถูกกระชากออกมาจากเตียงนอนมองไปทางเพื่อนบ้านที่ตอนนี้เข้ามานั่งกันเต็มห้องรับแขกแล้วพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น

         

        แม่ของซูหรงหรงลอบมองจ้านอี้หยางเป็นระยะๆ ต้องบอกจริงๆ ว่า นายทหารคนนี้ช่าง....หืม ถ้ามีลูกสาวออกมาจะต้องสวยมากแน่ๆ

         

        “คุณซู หนูง่วงมากเลย...”

         

        ซูหรงหรงที่ยังอยู่ในชุดนอนลายกระต่ายสีชมพูส่งเสียงโอดครวญกับพ่อของตน เธอใช้มือเล็กๆ ของเธอขยี้ตา ก่อนจะอ้าปากหาวเสียจนกว้าง

         

        “หรงหรง สามีหนูมาแล้ว”

         

        ไม่รู้ว่าเป็นเสียงของใครที่เปล่งออกมา

         

        ซูหรงหรงดีดตัวขึ้นด้วยความตกใจ อาร๊าย...เธอยังไม่ได้แต่งงานซะหน่อย

         

        เธอที่เพิ่งหายจากอาการสะลึมสะลือ เริ่มมองภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

         

        ทันใดนั้นเธอก็เห็นจ้านอี้หยางกำลังนั่งอยู่บนโซฟาในบ้านของเธอ

         

        เขาที่ใส่เครื่องแบบทหารเต็มยศ นั่นยิ่งทำให้เขาดูดียิ่งขึ้นไปอีก

         

        ทว่าเขาที่นั่งนิ่งเงียบจนทำให้บรรยากาศเย็นยะเยือกนั้นจ้องมาที่เธอราวกับต้องการจะออกคำสั่ง

         

        บ้าไปแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น!

         

        “นี่นาย...นาย...”

         

        ผู้ชายที่ถูกสุ่มเลือกคู่มาให้เธอทำไมถึงมาอยู่ที่บ้านเธอได้?

         

        จ้านอี้หยางมองไปที่ใบหน้าเล็กของซูหรงหรงซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยความตกใจและสงสัย

         

        เธอที่สวมชุดนอนลายกระต่ายสีชมพูยืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น หญิงสาวที่เอวบางร่างน้อยช่างดูน่าทะนุถนอม

         

        แสงแดดยามเช้าสาดส่องไปที่ดวงหน้าและชุดนอนของเธอ ชุดนอนที่ว่าสดใสแล้วยังดูสดใสน่ามองไม่เท่าหน้าเธอตอนนี้ด้วยซ้ำ

         

        เธอเหมือนกระต่ายตัวน้อยสีขาว ช่างน่าแกล้งเสียจริง

         

        “พวกเธอเข้าไปคุยกันในห้องนอนเถอะ”

         

        แม่ของซูหรงหรงที่มือไวใจเร็ว รีบลากตัวซูหรงหรงมายืนข้างจ้านอี้หยาง

         

        เอ่อ...คุณแม่ นี่กลัวลูกสาวคุณขายไม่ออกหรือไง?

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.50 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
9 เมื่อ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 14.01 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 9 ถูกบังคับให้จดทะเบียนสมรส

 

        ซูหรงหรงลากจ้านอี้หยางเข้ามาในห้องนอนเล็กๆ ของเธอ

         

        ห้องนอนของเธอตกแต่งตามสไตล์ของผู้หญิงหวานแหวว ทั่วทั้งห้องรวมถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เป็นสีชมพู อย่างเช่น เตียงนอนขนาดใหญ่ อ่อ...แล้วก็มีตุ๊กตากระต่ายตัวใหญ่ตัวหนึ่งวางไว้บนนั้น

         

        เหอะๆ เตียงเดียววางกระต่ายได้ถึง 2 ตัวเลยเหรอ

         

        “นี่...นายมาทำอะไรที่นี่ไม่ทราบ"

         

        ซูหรงหรงเลิกคิ้วขึ้นถามคนตรงหน้า ริมฝีปากและสายตาท่าทางที่ส่งมาบ่งบอกถึงความไม่พอใจ

         

        จ้านอี้หยางใช้สายตาอันแหลมคมของเขามองมาที่เธอก่อนจะเอ่ย

         

        “พาเธอไปสำนักงานอำเภอ"

         

        “ห๊ะ?"

         

        ดวงตาของซูหรงหรงเบิกกว้าง ปฏิกิริยาของเธอเต็มไปด้วยความงุนงง

         

        สำนักงานอำเภอ? แต่งงาน? นี่เรื่องจริงเหรอ?

         

        ไม่เอานะ...!

         

        เธอไม่อยากแต่งงานกับคุณทหารที่แค่มองหน้าก็ทำให้รู้สึกหวาดผวาได้แบบเขา

         

        “แต่งงาน!"

         

        แม่ของซูหรงหรงที่กำลังถือผลไม้จะเอาเข้ามาให้ได้ยินเข้ารีบโผล่พรวดเข้ามาในห้อง

         

        ในที่สุด...ลูกสาวของเธอก็จะขายออกแล้ว โอ๊ย น้ำตาจะไหล

         

        “แม่!"

         

        ซูหรงหรงหันไปค้อนใส่จ้านอี้หยางหนึ่งที

         

        จ้านอี้หยางเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เขายังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉย ทว่าแววตานั้นกลับมีรอยยิ้มอยู่ภายใน

         

        เธอไม่สามารถอ่านนัยน์ตาของเขาได้ แต่ถ้าจะให้วิเคราะห์อย่างละเอียด...เธอว่าเขากำลังเยาะเย้ยเสียมากกว่า

         

        ที่แท้คนที่ทำให้เธอรู้สึก “เย็นยะเยือก" ก็คือเขา!

         

        ชิ...เธอคิดอยู่แล้วว่านายคนนี้จะต้องเป็นคนที่ทำให้คนอื่นหวาดผวา !

         

        “ทำไมเธอถึงไม่มาพูดกับน้าเรื่องนี้ล่ะ? หืม?"

         

        จ้านอี้หยางก้าวออกมา กิริยาดูสุภาพอ่อนน้อมชวนให้รู้สึกถึงความอบอุ่น เขากระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปากก่อนจะทำท่าทีสนิทสนมกับซูหรงหรงโดยการเอาผมของเธอทัดไว้ที่กกหู

         

        “ทางฝั่งของผมเตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้วครับ"

         

        “นี่นาย..."

         

        ซูหรงหรงแหงนหน้าขึ้นมอง ริมฝีปากบางของเธอกระตุกยิ้มแหยๆ

         

        ทำไมจ้านอี้หยางเปลี่ยนสีหน้าได้ไวขนาดนี้นะ ตอนแรกผู้ชายคนนี้ยังยิ้มเยาะเย้ยฉันอยู่เลย แค่พริบตาเดียวก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

         

        นี่เขาเป็นทหารจริงๆ หรือเป็นนักแสดงรางวัลออสการ์กันแน่?

         

        อีกด้าน เมื่อแม่ของซูหรงหรงเห็นจ้านอี้หยางปฏิบัติกับลูกของเธออย่างอ่อนโยน อีกทั้งยังตระเตรียมเพื่อจะมาขอซูหรงหรงแต่งงานเรียบร้อยแล้ว

         

        พูดตามความจริง จ้านอี้หยางดูดีว่าเจ้าไก่อ่อนกู้แหยนเจ๋อเป็นร้อยเท่า

         

        จู่ๆ เธอก็ยิ้มออกมา ก่อนจะใช้มือตีก้นของลูกสาวตัวเอง

         

        “ดูทำท่าเขินเข้าสิ"

         

        พอพูดจบก็หันหน้ามาที่กู้อี้หยาง

         

        “พวกเธอคุยกันไปเถอะ ฉันจะไปเตรียมผลไม้มาให้กิน"

         

        คุณแม่...ทำไมจะต้องรีบร้อนขนาดนั้น แล้วเมื่อกี้ที่ถือมาไม่ใช่ผลไม้หรือยังไง

         

        “ขอบคุณครับคุณน้า"

         

        ในขณะที่พูด จ้านอี้หยางรู้สึกได้ว่าซูหรงหรงกำลังมีแผนบางอย่าง เขาที่ไวกว่าใช้มือกดไปที่บ่าของเธอ

         

        ซูหรงหรงรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังจะถูกจ้านอี้หยางจับกิน เธอทำตัวเล็กลงก่อนจะเงยหน้ามองเขา

         

        “นายคิดจะทำอะไร?"

         

        ดวงตาของกระต่ายน้อยช่างน่ารักเสียจริง เต็มไปด้วยจริงใจและใสซื่อราวกับว่ามีใครเอาน้ำใสๆ ไปใส่ไว้ในแววตาของเธอ

         

        เสียงอ่อนหวานที่ส่งมาราวกับกำลังร้องขอบางอย่าง เขาลอบมองคนตรงหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะตอบด้วยเสียงอันเด็ดขาดชัดเจน

         

        “ขอเธอแต่งงาน...”

         

        ตึง!

         

        ผู้ชายคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? ขอแต่งงานเหรอ? ถ้าให้พูดจริงๆมันคือการบังคับแต่งงานชัดๆ!

         

        “เรื่องงานแต่ง..."

         

        ซูหรงหรงกำมือแน่น ท่าทางของเธอเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ เธอสบตาจ้านอี้หยางเหมือนคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมก่อนจะเอ่ยต่อ

         

        “...แต่งหรือไม่แต่ง"

         

        “ต้องแต่ง เธอต้องแต่งงานกับฉัน"

         

        จ้านอี้หยางล่วงรู้ถึงความคิดของซูหรงหรง เธอยังพูดไม่ทันจบเขาก็ปฏิเสธออกไปแทบจะทันที

         

        “นายทำแบบนี้ได้ยังไง!"

         

        ซูหรงหรงแทบจะร้องไห้ออกมา เธอกัดปากจนมันเหมือนจะบวม

         

        “นี่มันเกินไปแล้ว!"

         

        จ้านอี้หยางหยิบจดหมายที่อยู่ในเสื้อของเขาส่งมาให้เธอ รอยยิ้มของเขาดูไม่ร้อนรนเลยสักนิด

         

        “เธอค่อยๆอ่าน อ่านเสร็จแล้วตอบฉันทีว่านี่มันเกินไปตรงไหน"

         

        พูดจบเขาก็ใช้มือลูบผมสีดำขลับของซูหรงหรงคล้ายกับต้องการจะปลอบประโลม

         

        ซูหรงหรงกลับคิดว่าการกระทำของเขาเหมือนกับหมาป่าตัวโตที่ต้องการจะเขมือบหนูน้อยหมวกแดง

         

        เธอเริ่มอ่านจดหมายด้วยใจขุ่นมัว เมื่ออ่านจบเธอก็ชี้นิ้วไปที่หน้าจ้านอี้หยางทันควัน

         

        “นายๆ..."

         

        เธอพูดได้แค่ว่า “นาย" ...จากนั้นก็พูดอะไรไม่ออก

         

        ดวงตาของเจ้ากระต่ายน้อยเริ่มแดงก่ำ แสงแดดสาดส่องเข้ามาที่ดวงตาทั้งสองข้างและดวงหน้าขาวผ่องของเธอ เหมือนกับว่ามีหยดน้ำไหลหลงมากระทบริมฝีปาก จ้านอี้หยางก้มหน้าลงมาหาเธอแล้วขบริมฝีปากบางของเธออย่างไม่รู้ตัว

         

        “นี่สิถึงจะเรียกว่าทำเกินไป"

         

        “..."

         

         

         

        ซูหรงหรงตะลึงงัน

         

        ฝ่ายจ้านอี้หยางก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกสะกด เมื่อก่อนเขาไม่เคยทำอะไรอ่อนไหวแบบนี้เลย

         

        แต่พอเป็นเธอคนนี้...เขากลับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

         

        ขณะที่ซูหรงหรงยังคงตกตะลึง เธอหวนกลับไปนึกถึงเรื่องราวระหว่างเธอกับกู้แหยนเจ๋อ เธอกับกู้แหยนเจ๋อคบกันแล้ว 3 เดือนถึงจะจับมือกัน

         

        จ้านอี้หยางกับเธอเจอกันครั้งที่สอง ก็ถูก...ถูกเขากัดปาก?

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.51 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
10 เมื่อ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 13.52 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 10 กระต่ายน้อยซื่อบื้อ

 

        “นาย...ฉัน...”

         

        ซูหรงหรงอ้าปากค้าง น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอไม่สามารถสรรหาคำด่าออกมาได้ เธอใช้มือทั้งทุบทั้งข่วนไปที่ตัวของเขา

         

        “ฉันไม่อยากแต่งงานกับนาย!"

         

        “หืม?"

         

        จ้านอี้หยางเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับรวบมือทั้งสองข้างของซูหรงหรง

         

        “เธออ่านและเข้าใจเนื้อหาในจดหมายนั่นแล้วใช่มั้ย"

         

        “...”

         

        ซูหรงหรงกัดฟันกรอด

         

        เธออ่านจดหมายฉบับนั้นและทำความเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เนื้อหาในจดหมายเขียนว่า:

         

        ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการเลือกคู่จากงานนัดบอร์ดทุกท่าน กรุณาจัดการแต่งงานเพื่อเป็นสักขีพยาน หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีความประสงค์จะแต่งงาน อีกฝ่ายจะต้องจำยอมและแต่งงานกับอีกฝ่าย หากไม่ปฏิบัติดังกล่าวจะถือว่าเป็นการขัดขืนต่อกฎระเบียบของกองทัพ จะต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด

         

        “เข้าใจแล้ว"

         

        ซูหรงหรงสะอึกสะอื้น เธอกระทืบเท้าไปมาอย่างดื้อดึง

         

        “แต่ฉันไม่อยากแต่งงานกับนายนี่นา"

         

        จ้านอี้หยางจ้องไปที่เธอด้วยสายตาอันตราย เมื่อวานที่เธอไม่เห็นเขามีตัวตนเขาไม่ถือสาอะไร แต่วันนี้ยังจะกล้าปฏิเสธเขาอีก?

         

        พอซูหรงหรงได้เห็นใบหน้าเชือดเฉือนของจ้านอี้หยาง น้ำเสียงที่ใช้ในการพูดก็เปลี่ยนไปทันที

         

        “พี่ชาย นายหน้าตาก็หล่อ จะต้องมีผู้หญิงสวยๆ มาชอบนายเยอะแน่นอน ใช่แล้ว...นายจะต้องหาผู้หญิงที่ดีกว่าฉันคนนี้ได้ชัวร์"

         

        “ฉันไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว"

         

        พอจ้านอี้หยางได้ยินคำว่า “พี่ชาย" หัวใจของเขาก็สั่นไหวราวกับเจ้ากระต่ายน้อยได้เอื้อมมือมาหยิบและขโมยมันไปเสียแล้ว ครู่ต่อมาเขาก็เอ่ยถามเธอ

         

        “ซูหรงหรง ตอบฉันหน่อยสิว่าทำไมเธอถึงอยากไปงานนัดบอร์ดหาคู่?"

         

        “เพื่อจะหาสามีทหารที่สูงยาวเข่าดีและเต็มเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม"

         

        ซูหรงหรงตอบกลับอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว แต่เธอไม่ได้บอกความจริงว่าเธอต้องการพาแฟนใหม่ไปเย้ยกู้แหยนเจ๋อ

         

        “ฉันสูงพอมั้ย?"

         

        ซูหรงหรงเงยหน้ามองเทียบความสูงของเธอกับเขา

         

        “สูงมาก"

         

        จ้านอี้หยางหรี่ตาอันแหลมคมของเขาลง ก่อนจะส่งสายตาพิฆาตไปหาเธอ

         

        “แล้วฉันดูน่าเกรงขามพอมั้ย?"

         

        ซูหรงหรงพยักหน้ารัวๆ

         

        “พอสิ มากเกินไปด้วยซ้ำ"

         

        “ซูหรงหรง!"

         

        จ้านอี้หยางกระชากมือของเธอก่อนจะเอ่ยต่อ

         

        “เธออยากหาผู้ชายตัวสูงและมีอำนาจ แต่ตอนนี้พอเธอเจอแล้ว เธอกลับไม่พอใจ เธอยังต้องการอะไรอีก...ห้ะ?"

         

        ซูหรงหรงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าเธอตกหลุมพรางของจ้านอี้หยางเข้าอย่างเต็มเปา เธอส่งเสียงร้องไห้ออกมาด้วยความโศกเศร้า พยายามที่จะดิ้นเอามือที่เขาจับไว้อยู่ออก

         

        “แต่นายสูงเกินไป ดูน่าเกรงขามเกินไป"

         

        ยังไม่เคยมีใครกล้าปฏิเสธจ้านอี้หยางได้เท่าเธอมาก่อน หน้าตาของเขาตอนนี้ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้น เขาเอ่ยเสียงต่ำ

         

        “เลิกไร้สาระได้แล้ว"

         

        “แต่นายต้องสัญญากับฉันเรื่องนึง"

         

        ซูหรงหรงอยู่ๆ ก็โพล่งประโยคเล่นแง่ขึ้นมา

         

        “พี่ชาย สัญญากับฉันเถอะนะ สัญญาเถอะนะคะ..."

         

        จ้านอี้หยางเลิกคิ้วขึ้น สายตาของเขาสำรวจไปรอบๆ เตียงนอนสีชมพูขนาดใหญ่ของซูหรงหรง เขาเผลอหลุดยิ้มที่มุมปาก

         

        จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีแรงดึงที่มือ จนซูหรงหรงที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเซถลา

         

        “โอ๊ย"

         

        ทั้งสองคนร้องออกมาพร้อมกัน ปรากฏว่าซูหรงหรงล้มลงไปนอนคร่อมบนตัวจ้านอี้หยาง!

         

        ซูหรงหรงเวียนหัวจนลุกไม่ขึ้น ผู้ชายตรงหน้าเธอกลับกลายเป็นผู้ที่ควบคุมสถานการณ์ได้ก่อน

         

        “กรีดร้องมาครึ่งวัน ที่แท้นี่คือจุดประสงค์ของเธอใช่มั้ย"

         

        “คือฉัน...ฉัน..."

         

        ซูหรงหรงกะพริบตาถี่ๆ เธอพูดอะไรไม่ออก

         

        เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น

         

        ตอนแรกก็ยืนอยู่ดีๆ แต่ทำไมอยู่ๆ ก็ล้มลงไปได้

         

        เธอเหลือบมองจ้านอี้หยางสองรอบ แม้แต่เขาที่เป็นทหารซึ่งมีร่างกายกำยำแข็งแรงยังล้มลง

         

        เธอที่อาศัยอยู่ที่นี่มาสิบกว่าปียังไม่เคยเจอเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนเลย

         

        หรืออารมณ์ที่จ้านอี้หยางแสดงออกมาดูรุนแรงเกินไป จนทำให้สิ่งที่แฝงตัวอยู่ในห้องนี้กลัวเขากันแน่?

         

        แหม หรือห้องนี้จะเล็กเกินไป

         

        ขณะที่กำลังครุ่นคิด อยู่ๆ แม่ของซูหรงหรงที่ในมือถือผลไม้ก็โผล่พรวดพราดเข้ามา พอเธอได้เห็นทั้งสองคนนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน แถมมือของลูกสาวตัวเองยังจับแผงอกของลูกเขยไว้อีก

         

        …ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจและน่ายินดีเสียจริงๆ

         

        “ซูหรงหรง...นี่ลูกรุกผู้ชายอยู่เหรอ!? ...ทำต่อเถอะ ทำต่อไปเลย แม่สัญญาว่าจะไม่เข้ามากวนทั้งคู่แล้วจ้ะ ฮ่าๆ"

         

        เมื่อพูดจบ แม่ของเธอหัวเราะอย่างชอบใจก่อนจะช่วยลงกลอนประตู

         

        “ไม่ใช่นะคะ ...แม่...!"

         

        ซูหรงหรงเอื้อมมือออกไปคว้าอากาศ หน้าตาตอนนี้เหมือนคนที่จะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ

         

        จ้านอี้หยางแสดงท่าทีสงบเงียบ เขาหรี่ตาเล็กลงก่อนจะเอ่ยกับซูหรงหรง

         

        “ซูหรงหรง ที่แท้เธอก็จงใจนี่เอง"

 

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.52 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
11 เมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 13.20 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 11 ฉันไม่ใช่ผู้หญิงซาดิสม์นะ

 

        ซูหรงหรงรู้สึกราวกับตนเองเป็นนักโทษที่กำลังรอผู้พิพากษาสั่งลงโทษเธออย่างไรอย่างนั้น

         

        “ว้าก"

         

        เธอร้องออกมาเสียงดัง ก่อนจะทำหน้าตาไร้เดียงสาพิสูจน์คำพูดของตน

         

        “ฉันๆ...ฉันไม่ใช่ผู้หญิงซาดิสม์จริงๆ นะ"

         

        “…”

         

        ถ้าไม่ใช่เพราะจ้านอี้หยางต้องทำหน้าโหดต่อหน้าลูกน้องเป็นปกติ เขาคงจะหลุดหัวเราะเสียงดังออกมาแน่ๆ

         

        ยัยกระต่ายน้อยซูหรงหรงตอนนี้น่าแกล้งมากเสียจริงๆ เขาเริ่มมองเห็นถึงความน่ารักของเธอ

         

        มีใครในที่นี้สามารถร้องไห้ไปด้วยแล้วบอกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงซาดิสม์ไปด้วยได้

         

        “เรื่องนี้มัน…"

         

        จ้านอี้หยางแสร้งทำหน้านิ่งก่อนจะเอ่ยต่อ

         

        “มีทางเดียวที่จะพิสูจน์ได้คือ เธอต้องไปอำเภอแล้วจดทะเบียนสมรสกับฉัน"

         

        ซูหรงหรงเองก็คิดเหมือนกันกับจ้านอี้หยางเรื่องที่จะไปจดทะเบียนสมรส แต่เธอก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าการไปจดทะเบียนสมรสกับเขามันเกี่ยวกับการเป็นผู้หญิงซาดิสม์ของเธอยังไง

         

        จ้านอี้หยางเริ่มเอ่ยวาจาหว่านล้อม

         

        “คิดเอาเองนะซูหรงหรง ว่าจุดประสงค์ในการไปงานหาคู่คืออะไร"

         

        “…"

         

        เหตุผลก็เพราะต้องการหาสามีสุดหล่ออันสูงยาวเข่าดีแถมมีอำนาจเพื่อที่จะไปเย้ยเจ้าไก่อ่อนกู้แหยนเจ๋อ

         

        เคยบอกไปแล้วนี่ ถามซ้ำอีกรอบทำไม?

         

        “ลองดูผลที่ได้จากการหาคู่สิ"

         

        “…"

         

        อืม ผลที่ได้งั้นเหรอ…

         

        “หืม?"

         

        จ้านอี้หยางรู้สึกว่าปฏิกิริยาที่ตอบกลับมาจากซูหรงหรงไม่ถูกต้องนัก เขาหรี่ตาเล็กลงไปอีก

         

        “เธอไม่พอใจกับคู่ที่เลือกได้อย่างนั้นเหรอ?"

         

        “…"

         

        ก็ผู้ชายที่เธอเล็งไว้เขาไม่เลือกเธอนี่นา จะพอใจได้ยังไงเล่า!

         

        เธอไม่กล้าพูดออกมา เธอทำได้เพียงตอบตัวเองในใจเท่านั้น

         

        เพราะท่าทางของจ้านอี้หยางตอนนี้…เรียกว่าสามารถฆ่าคนมือเปล่าได้เลย

         

        เขายังคงจ้องไปที่เธอด้วยสายตาอันตราย จนทำให้ร่างกายของเธอมันรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมา

         

        กลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว…

         

        ซูหรงหรงเม้มกัดริมฝีปาก ก่อนจะตอบออกไปอย่างไม่เต็มเสียงเสียเท่าไร

         

        “พอใจ!"

         

        จ้านอี้หยางเลิกคิ้วขึ้น

         

        “พอใจแค่ไหน?"

         

        ซูหรงหรงที่ไม่ได้เตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้าเริ่มสับสน นี่มันเป็นคำถามที่อันตรายมากจริงๆ

         

        ทว่าสุดท้ายเธอก็ตอบเขาออกไปในที่สุด

         

        “พอใจมาก!"

         

        “เหรอ?"

         

        จ้านอี้หยางผุดลุกขึ้นยืน ซูหรงหรงที่ยังคงแผ่หลาอยู่บนเตียงรีบยืดแขนขึ้น ใบหน้าของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข ทำให้เขาดูเป็นมิตรมากขึ้น

         

        “ทั้งที่ฉันทำให้เธอพอใจได้มากขนาดนี้ ถ้าไม่พาเธอไปแต่งงานมันก็ดูจะเป็นการเสียมายาทต่อความตั้งใจของเธอว่ามั้ย"

         

        “…”

         

        อะไรกัน ทำไมอยู่ๆ ก็วกมาเรื่องแต่งงาน

         

        ซูหรงหรงคว่ำหน้าลงบนเตียงนอนด้วยความรู้สึกที่มีแต่ความเศร้าโศก

         

        เจ้าเล่ห์จริงๆ จ้านอี้หยางเป็นคนเจ้าเล่ห์มากจริงๆ

         

        บนโลกนี้ยังมีคนเจ้าเล่ห์แบบนี้อยู่ด้วยเหรอ พวกศัตรูของเขาคงไม่ได้ตายเพราะปืนอย่างแน่นอน แต่คงตายเพราะความเจ้าเล่ห์เพทุบายของเขานี่แหละ

         

        แต่ว่า…

         

         

         

        เขาที่เป็นคนใจดำอำมหิต อาจจะช่วยเธอจัดการกับกู้แหยนเจ๋อก็ได้

         

        อ๊ะ …ใช่แล้ว! กู้แหยนเจ๋อเป็นคนสารเลวขนาดนั้น ต้องเจอกับคนที่อำมหิตยิ่งกว่าอย่างกู้อี้หยางนี่แหละ

         

        พอจินตนาการถึงกู้แหยนเจ๋อที่ถูกจัดการเสียอยู่มัด น้ำตาของเธอก็เหือดแห้งหายไป

         

        ท่าทีของซูหรงหรงจากโศกเศร้ากลายเป็นซุกซนแทบจะทันที เธอคลานมาที่ขอบเตียง ใบหน้าที่ส่งต่อไปหากู้อี้หยางเต็มไปด้วยความหวัง

         

        “นายจัดการคนได้มั้ย"

         

        จ้านอี้หยางครุ่นคิด ถ้าจะให้เขาไปกำจัดหรือจัดการใครสักคนแล้วล่ะก็ คำตอบก็คือ…

         

        “ได้"

         

        ดวงตาของซูหรงหรงเป็นประกาย เธอเดาว่าจ้านอี้หยางจะต้องเป็นปรมาจารย์ในการจัดการคนอย่างแน่นอน

         

        เธอรู้สึกยินดีปรีดา หน้าตาของเธอตอนนี้ดูมีชีวิตชีวาและยิ่งน่ารักขึ้นไปอีก

         

        “ความสามารถด้านกังฟูของนายเป็นอย่างไรบ้าง"

         

        จ้านอี้หยางนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างไร้การถ่อมตัว

         

        “ทำให้คู่ต่อสู้หยุดหายใจได้โดยไม่ต้องออกแรง"

         

        คุณพระ!

         

        ดวงตาของซูหรงหรงยิ่งเปล่งประกายขึ้นไปอีก

         

        เก่งขนาดทำให้คนหยุดหายใจ ผู้ชายคนนี้ช่างโหดร้ายได้ใจฉันจริงๆ ฮ่าๆๆๆ

         

        ในแววตาของเจ้ากระต่ายน้อยในเวลานี้เปล่งประกายเสียจนสะท้อนเรื่องราวที่ตนเองกำลังจินตนาการออกมาคือ กู้แหยนเจ๋อยืนพิงต้นไม้อย่างหมดแรง ดวงตาของเขาสื่อความหมายบางอย่าง เขาเหนื่อยหอบจนต้องหายใจทางปาก ลิ้นแลบออกมาจนห้อยต่องแต่ง …ส่วนตัวเธอรับบทเป็นราชินีที่สวมมงกุฎไว้บนหัว และกำลังยืนหัวเราะชอบใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าข้างๆ จ้านอี้หยาง

         

        จิตใจของซูหรงหรงตอนนี้เต็มไปด้วยความสุขสมหวังจนหัวเราะออกมาราวกับคนโง่

         

        จ้านอี้หยางเองก็ค่อนข้างพอใจกับปฏิกิริยาตอบกลับของซูหรงหรง เขายีหัวของเธอเล่นด้วยความหมั่นไส้

         

        "ทำไมท่าทางดูมีความสุขจัง หรือว่าพร้อมที่จะไปจดทะเบียนสมรสกับฉันแล้ว?"

         

        “ไปสิ!"

         

        ซูหรงหรงม้วนตัวกลับไปหยิบบัตรประชาชนของตนเองแล้วส่งให้เขา

         

        จ้านอี้หยางรับของจากเธอ เขาส่งยิ้มเล็กๆ ให้กับเธอก่อนจะเอ่ยต่อ

         

        "ไปหยิบสมุดบัญชีมาด้วยสิ"

         

        ซูหรงหรงที่ยังคงอยู่ในห้วงแห่งความสุขทำตามอย่างว่าง่าย

         

        “คุณซู ขอสมุดบัญชีหน่อยค่ะ"

         

        พ่อของซูหรงหรงหยิบสมุดบัญชีมาให้ก่อนจะเอ่ยถาม

         

        "หรงหรง นี่ลูกจะเอาสมุดบัญชีไปทำอะไร"

         

        “…”

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

แก้ไขครั้งที่ 2 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.54 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
12 เมื่อ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 15.14 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 12 ผู้ชายร้ายลึก

 

        ซูหรงหรงหุบยิ้มแทบจะทันที

         

        นั่นน่ะสิ เธอจะเอาสมุดบัญชีไปทำอะไรกัน?

         

        เมื่อครู่จ้านอี้หยางบอกอะไรกับเธอนะ

         

        “คุณอา ซูหรงหรงกับผมจะไปจดทะเบียนสมรสกัน จำเป็นต้องใช้สมุดบัญชีด้วยครับ"

         

        จ้านอี้หยางปรากฏตัวออกมาอย่างถูกจังหวะ เขายืนอยู่ด้านหลังของซูหรงหรงท่าทางราวกับระวังหลังให้เธออยู่ เขาก้าวออกมารับสมุดบัญชีของซูหรงหรงจากพ่อของเธออย่างเกรงใจและถ่อมตน

         

        ทั้งใบหน้าและดวงตาของพ่อซูหรงหรงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

         

        ลูกเขยคนนี้ตัวสูงใหญ่ พอยืนข้างหลังผู้หญิงตัวเล็กๆ ลักษณะของเขาราวกับกำลังปกป้องดูแลคนตรงนั้นอยู่

         

        ดูแล้ว...เป็นคนที่พึ่งพาและไว้ใจได้จริงๆ

         

        แม่ของซูหรงหรงที่ได้ยินข่าวดีรีบเข้ามาสมทบ ดวงตาของเธอเบิกโพลง

         

        “จะจดทะเบียนเหรอ! จะรออะไรกันล่ะลูก ไม่ต้องรอดูฤกษ์ดูยามแล้ว รีบไปกันเถอะ!"

         

        ทั่วทั้งห้องส่งเสียงเอะอะอย่างครึกครื้น ไม่เพียงแต่พ่อแม่ของซูหรงหรงที่ดูมีความสุข แต่ลูกเขยคนนี้เองก็มีความสุขเสียจนแสดงออกนอกหน้า

         

        ยิ่งได้ฟัง แม่ของซูหรงหรงยิ่งมีความสุข เธอยิ่งผลักลูกสาวตัวเองออกไปนอกบ้านราวกับว่าถ้าไม่รีบให้ซูหรงหรงออกไปตอนนี้ ลูกสาวของเธอจะไม่มีวันได้แต่งออกไปอีกเลย

         

        อีกทั้งจ้านอี้หยางเองก็สนับสนุนอยู่ด้านหลัง เขาไม่ลืมที่จะพกบัตรประจำตัวของเขาติดตัวตลอดเวลา

         

        เขาค่อนข้างพอใจกับสถานการณ์ตอนนี้มาก อย่างน้อยเอกสารตัวจริงก็อยู่ในมือของเขา ตอนนี้สิ่งเดียวที่ต้องทำคือพาตัวซูหรงหรงไปที่อำเภอ ถ้าถึงที่หมายแล้วแต่ซูหรงหรงยังไม่ยินยอม เขาลงทุนแบกเธอเข้าไปในอำเภอเสียก็สิ้นเรื่อง

         

        ตอนนี้ซูหรงหรงยังไม่ค่อยจะยินยอม เพราะว่า...

         

        เธอพยายามที่ยับยั้งการผลักไสให้ออกไปนอกบ้านของพ่อแม่เธอ

         

        “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ แม่ พ่อ ฟังที่หนูจะพูดก่อน ฟังก่อนได้มั้ย...”

         

        “ลูกยังจะพูดอะไรอีก? ผู้ชายสุดเพอร์เฟกต์เขามาขอถึงที่ ลูกยังจะต้องการอะไรอีกล่ะ"

         

        แม่ของซูหรงหรงพูดโดยไม่สนใจเสียงโอดครวญของลูกสาว

         

        “แม่...คุณแม่คะ....”

         

        ซูหรงหรงโบกมือไปมาก่อนจะส่งสายตาอ้อนวอนไปที่จ้านอี้หยางเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ

         

        จ้านอี้หยางเม้มปาก และก่อนที่แม่ของซูหรงหรงจะลากตัวลูกสาวออกจากบ้านสำเร็จ เขาก็รีบเอ่ย

         

        “คุณน้า ผมว่าให้ซูหรงหรงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยดีมั้ยครับ"

         

        “...”

         

        ซูหรงหรงพยักหน้าทั้งน้ำตา พี่ชาย...ในที่สุดนายก็เข้าใจในสิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อ น้องหญิงรอคำนี้มานานมากแล้ว

         

        อันที่จริง เขารู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ซูหรงหรงคิดคืออะไร เขาแค่รอดูท่าทีก่อนจะเอ่ยออกมาเท่านั้น

         

        แม่ของซูหรงหรงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าลูกสาวของตนยังอยู่ในชุดนอน เธอรีบเอามือลูบจัดแต่งทรงผมให้ลูกสาว

         

        “ตายแล้ว แม่ให้เวลาลูก 5 นาที รีบไปเปลี่ยนชุดที่สวยที่สุดออกมาซะ"

         

        “รับทราบ"

         

        ซูหรงหรงพยักหน้าก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องนอนตัวเองไป

         

        เมื่อออกมาจากห้อง ซูหรงหรงสำรวจตนเองที่เปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้วอีกครั้ง

         

        เธอสวมชุดเรียบง่าย เธอสวมเสื้อสีเบจ ด้านนอกเป็นเสื้อคลุมสีเขียวลายทหาร ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์สีขาว

         

        ช่างน่าประหลาด ชุดที่เธอใส่ช่างดูคล้ายคลึงกับเครื่องแบบทหารของจ้านอี้หยาง...ช่างดูสมกันเสียจริง

         

        จ้านอี้หยางที่ยืนคอยอยู่ด้านนอก เมื่อได้เห็นการแต่งกายของซูหรงหรง เขาก็หลุดยิ้มออกมาอย่างพอใจ

         

        แม่ของซูหรงหรงเดินออกมาแล้วลูบหัวลูกสาวตัวเองเบาๆ

         

        “ซูหรงหรง ลูกกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ลูกได้เจอคนที่เหมาะสมกับลูกแล้ว รีบไปเถอะ"

         

        เมื่อพูดจบ แม่ของซูหรงหรงก็ผลักตัวลูกสาวออกไปหาจ้านอี้หยาง

         

        “อ๊ะ..."

         

        จบเห่แล้วแน่ๆ ...ซูหรงหรงคำนวณจากแรงผลักและตัวของเธอที่เซถลาเข้าไปหาจ้านอี้หยาง ตัวจ้านอี้หยางมีแต่มัดกล้าม ถ้าหัวของเธอไปชนเข้า ถ้าไม่พิการ จมูกก็คงจะหัก ...จะต้องเจ็บมากแน่ๆ เลย

         

        ทว่า เธอกลับรู้สึกเพียงแรงยึดที่มือ ความเจ็บปวดสักนิดก็ไม่มี

         

        เธอเงยหน้าขึ้นมามองจ้านอี้หยาง ...เธอรู้สึกราวกับกำลังหลงอยู่ในมนต์สะกดของเขา

         

        อันที่จริงแล้ว จ้านอี้หยางเป็นคนที่นับว่าหล่อเหลามากเอาการ ขนคิ้วดำหนาที่เรียงกันอย่างสวยงาม สายตาอันแหลมคม จมูกที่โด่งเป็นสันและริมฝีปากบางราวกับถูกแกะสลักออกมา ทุกอย่างดูสมส่วนเข้ากันจนไร้ที่ติ

         

        ทว่าภายใต้หน้าตาอันหล่อเหลานั้น ก็แฝงไปด้วยท่าทีอันสุขุมและเรียบเฉย จนบางครั้งก็ทำให้คนอื่นตกใจกลัว

         

        ซูหรงหรงเองก็เป็นหนึ่งคนที่หวั่นเกรง เธอรีบเด้งตัวออกจากอ้อมแขนของเขา

         

        “ฉัน...ฉันไม่ได้...”

         

        “ไม่ต้องอธิบายหรอก"

         

        จ้านอี้หยางสำรวจเสื้อคลุมของซูหรงหรง

         

        “ฉันรู้ว่าเธอตั้งใจ"

         

        “…”

         

        ฉันไม่ได้ตั้งใจชนนายจริงๆ นะให้ตายสิ

         

        “ไปเถอะ"

         

        จ้านอี้หยางถือวิสาสะจับมือเจ้ากระต่ายน้อยแล้วพาเธอเดินไปที่ลิฟต์

         

        ขาของเธอก้าวได้สั้นกว่าขาออกจ้านอี้หยางมาก การที่จะเดินไปพร้อมๆ กับเขาได้นั้นช่างเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่งนัก

         

        เธอที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะมาคิดเรื่องพวกนี้ ถูกลากเข้าไปในลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิดออก

         

        “จ้านอี้หยาง นี่พวกเราจะไปแต่งงานกันจริงๆ เหรอ"

         

        “หืม? นี่เป็นสิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่เหรอ?"

         

        “ใครต้องการกันแน่!"

         

        เธอค้อนใส่เขา สายตาเธอจับจ้องไปทางเขาอย่างเอาเรื่อง

         

        “เธอเป็นคนพูดเองว่าเธอพอใจในตัวฉันมากจนไม่รู้จะมากยังไงแล้ว คำว่าพอใจของเธอไม่ได้หมายความว่าอยากแต่งงานกับฉันเหรอ?"

         

        “...”

         

        เอ่อ...พอมาคิดดูดีๆ แล้ว ประโยคนี้ถ้าจะให้คิดแบบนั้น

         

        มันก็คง...ถูกมั้ง?

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.52 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
13 เมื่อ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.45 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 13 สามีของเธอ

 

        ซูหรงหรงอยู่ในห้วงแห่งความงงงันแต่ก็ปล่อยเลยตามเลย เธอถูกเขาจูงมือตั้งแต่ออกจากประตูบ้านจนกระทั่งถึงสนามเด็กเล่นของหมู่บ้าน

         

        เหตุผลที่เธองุนงงนั่นเป็นเพราะเธอไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่ากำลังจะไป...แต่งงาน

         

        ส่วนปล่อยไปเลยตามเลยก็เพราะจ้านอี้หยางกำลังกุมมือเธออยู่

         

        ซูหรงหรงไม่ต้องมองทางก็รู้ว่าต้องไปทางไหน

         

        ตัวของจ้านอี้หยางสูงกว่าเธอ 35 เซนติเมตรน่าจะได้ ด้วยเครื่องแบบทหารเต็มยศที่เขาสวมใส่ ทำให้เขาดูเป็นคนซื่อสัตย์และมีความยุติธรรม อีกทั้งยังทำให้รู้สึกราวกับว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่สามารถทำได้

         

        หรือจะพูดให้ถูก เขาทำให้รู้สึกถึง...ความปลอดภัย

         

        นิ้วมือเรียวเล็กของเธอที่ถูกมือหนาของเขากุมไว้ มันส่งความรู้สึกอบอุ่นไปจนถึงหัวใจ

         

        เธอลอบมองเขา ...ใบหน้าของเขาช่างดูหล่อเหลาหาใครมาเทียบไม่ได้

         

        อึ๋ย ซูหรงหรงแอบคิดในใจ ...ใครที่ได้แต่งงานกับคนแบบนี้ นับว่าคิดไม่ผิด

         

        และผู้หญิงที่คิดไม่ผิดคนนั้นก็คือ...เธอเอง?

         

        ถึงแม้ว่าการเลือกครั้งนี้จะมาจากการสุ่มเลือกคู่และถูกบังคับก็เถอะ

         

        เมื่อเดินใกล้จะถึงสวนสาธารณะกลาง จ้านอี้หยางก็หยุด

         

        ซูหรงหรงที่ถูกบังคับให้หยุดเดินกะทันหันไปเขย่ามือที่ถูกเขาจับเบาๆอย่างประท้วง ก่อนจะเอ่ยแกมเหน็บ

         

        “ทำไมอยู่ๆ ก็หยุดเดิน? เอ๊ะ...หรือนายจะไม่ไปอำเภอแล้ว?"

         

        จ้านอี้หยางไม่ได้ฟังที่ซูหรงหรงพูดเลยสักนิด เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปที่รถของเขา

         

        ท่าทีของเขาตอนนี้ที่อยู่ๆ ก็เงียบลงดูน่ากลัวมาก ซูหรงหรงมองตามสายตาของเขา เธอเอ่ยถามอย่างสงสัย

         

        “หืม? รถทหารสีเขียวสองคันนั้นเป็นของนายเหรอ?"

         

        “อืม"

         

        เขาเอ่ยตอบเบาๆ ราวกับคนไม่เต็มใจ

         

        ซูหรงหรงรู้ถึงสาเหตุที่เขาไม่พอใจแล้ว นั่นก็เพราะรถของเขาตอนนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คน

         

        ถ้าจะตำหนิก็ควรจะตำหนิรถเขามากกว่าที่เด่นมากจนเกินไป

         

        ซูหรงหรงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า คนที่มามุงดูเกินกว่าครึ่งคือเพื่อนเก่าสมัยเรียนของเธอ

         

         

         

        เอ่อ...ในเมื่อสถานการณ์มันเป็นแบบนี้ เธอจะแก้ปัญหาให้เอง!

         

        ซูหรงหรงผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณในการเข้าถึงผู้คน โดยเฉพาะกับเหล่านักเรียนที่น่ารักของเธอ

         

        “ฉันจัดการเอง"

         

        เธอเดินอาดๆ ไปที่รถของเขา

         

        “กลับมา"

         

        จ้านอี้หยางมองเพ่งไปที่รถแต่เขาเห็นเพียงแค่ศีรษะดำๆ ของกลุ่มคนเท่านั้น เขารีบตะโกนร้องเรียกยัยผู้หญิงตัวเล็กเท่ามดอย่างซูหรงหรง

         

        “ฉันไปเอง เธอเดินตามฉันมาก็พอ"

         

        “ไม่ต้อง!"

         

        ซูหรงหรงสะบัดมือจ้านอี้หยางออก ก่อนจะกระโดดขวางหน้าเขาพร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างเพื่อขวางทาง

         

        “ทำไมนายชอบดูถูกคนอื่นห้ะ"

         

        ซูหรงหรงเชิดคางขึ้นอย่างไม่พอใจ ถึงแม้คำพูดของเธอจะดูรุนแรง แต่ในความหมายของการกระทำนั้นช่างตรงกันข้ามกัน

         

        “ฉันจะไปเอง ฉันจะฆ่าไก่โดยไม่จำเป็นต้องใช้ *มีดฆ่าวัวให้นายดู"

         

        เพียงชั่วพริบตา ซูหรงหรงก็วิ่งหนีออกไปแล้ว

         

        ทว่าทันทีที่เธอไป จ้านอี้หยางก็ไม่มีท่าทีจะรั้งเธอไว้อีกครั้ง

         

        ที่จริงผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเองสูง เขาอยากเห็นวิธีของเธอ หากเธอแก้ปัญหานี้ไม่ได้ เขาค่อยยื่นมือเข้าไปทีหลัง

         

        อันที่จริงไม่มีการฆ่าไก่โดยไม่จำเป็นต้องใช้มีดฆ่าวัวอะไรทั้งนั้น

         

        ขณะนี้ซูหรงหรงเดินจนมาถึงกึ่งกลางของกลุ่มคน เธอพูดเสียงหวานว่ารถคันนี้กำลังจะออกไปแล้ว ขอให้ทุกคนหลีกทาง

         

        เธอคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะว่านอนสอนง่ายเหมือนนักเรียนอนุบาลของเธอ

         

        แต่ในความเป็นจริงนั้น เหล่าเด็กอนุบาลของเธอดูจะเลี้ยงง่ายกว่าเพื่อนสมัยมัธยมของเธอเสียอีกดวยซ้ำ

         

        “เธอเป็นใครกัน?"

         

        ผู้หญิงที่แต่งหน้าหนาเตอะคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาประชันหน้ากับซูหรงหรง

         

        “นี่รถเธอเหรอ? ทำมาเป็นสั่งให้พวกเราหลบ เธอพิสูจน์ได้มั้ยล่ะว่ารถพวกนี้เป็นของเธอ"

         

        ซูหรงหรงตะลึงในคำพูดของหญิงสาวคนนี้ ...หรือเธอจะเป็นสาวห้าว?

         

        แต่ว่าเธอน่ะสามารถจัดการเหล่าเด็กน้อยยี่สิบกว่าคนจนร้องไห้มาแล้ว กับแค่สาวห้าว...

         

        โฮะๆ กระจอก

         

        ในขณะที่เธอกำลังจะตอบกลับสาวห้าวคนนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงเรียบดังขึ้นจากทางด้านหลังของเธอ

         

        “รถสามีของเธอ เป็นแบบนี้ได้มั้ย?"

         

        เสียงนั้นดึงดูดความสนใจของเธอ ปกติเมื่อถึงฤดูหนาว ซูหรงหรงมักจะคิดเสมอว่าเธอกำลังถูกแช่แข็ง

         

        แต่กับสถานการณ์ตอนนี้ แม้ร่างกายของเธอจะเย็น แต่หัวใจของเธอกลับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

         

        เมื่อหันหลังกลับ เธอก็เห็นจ้านอี้หยางที่เดินผ่านเหล่าคนมุงเข้ามาหาเธอ

         

        เธอไม่คิดเลยว่าจ้านอี้หยางจะออกมาปกป้องเธอ แถมคำพูดของเขายังจะ...คมบาดใจ

         

        เขาที่สวมชุดเครื่องแบบทหารดูเป็นคนเอาจริงเอาจัง ยิ่งได้มองเห็นใบหน้าอันเรียบเฉยและท่าทางดูสุขุมของเขาแล้วก็สามารถทำให้คนอื่นตกใจกลัวได้ไม่น้อย แล้วยิ่งได้เห็นสัญลักษณ์รูปใบไม้และดาวสีทองที่ประดับบนบ่าของเขาก็ยิ่งรู้สึกน่าเกรงขาม

         

        เหล่ากลุ่มคนหลีกทางให้เขาอย่างไม่รู้ตัว จ้านอี้หยางรีบเดินเข้าไปหาซูหรงหรง

         

         

         

*มีดฆ่าวัวให้นายดู : อย่าทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่

 

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.49 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
14 เมื่อ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.35 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 14 พวกเราไปแต่งงานกันเถอะ

 

        ซูหรงหรงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากลงคอ ภายในดวงตาตอนนี้เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีชมพู

         

        เธอมันบ้าผู้ชาย!

         

        เขาช่างจะเหมือนผู้ชายที่เธอวาดฝันไว้! ชายชาติทหารสุดหล่อ ภายในดวงตาของเขามีแต่เธอ เขาที่แม้จะถูกใครฆ่าก็ไม่ตาย และที่สำคัญคือเป็นผู้ชายที่กู้แหยนเจ๋อกลัวจนปัสสาวะราด

         

        ดังนั้นเมื่อจ้านอี้หยางเดินเข้ามาถึงตัวเธอ ซูหรงหรงรีบคว้ามือของเขา ดวงตาที่เปล่งประกายราวหยดน้ำ สะท้อนแต่เพียงใบหน้าของจ้านอี้หยาง

         

        อ๊าย พี่จ้านของฉัน ทำไมยิ่งมองยิ่ง...ดูดี ช่างเจริญหูเจริญตาเสียเหลือเกิน

         

        ทั้งที่จริงแล้ว...เขาเป็นคนที่น่ากลัวมากก็ตาม!

         

        จ้านอี้หยางแค่ต้องการเป็นที่พึ่งให้ยัยกระต่ายน้อยตกยากเท่านั้น เขาอยากจะให้ยัยกระต่ายน้อยรู้เสียทีว่า การเลือกเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

         

        เมื่อเขาได้ตัวซูหรงหรงแล้วรีบเปิดประตูรถและให้เธอนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ

         

        “ว้าว คุณทหารหล่อจัง!”

         

        หญิงสาวคนหนึ่งกรีดร้องแล้วกระโดดโลดเต้นไปมา

         

        “ทหารเหรอ?”

         

        ชายคนหนึ่งที่ทันสังเกตเห็นดาวบนไหล่ของจ้านอี้หยางเอ่ยขึ้น

         

        “เหมือนจะไม่ใช่แค่ทหารธรรมดานะ”

         

        จ้านอี้หยางค่อนข้างชินกับคำพูดเหล่านี้จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาทำเพียงกวาดสายตาเย็นชาไปทางกลุ่มคนเหล่านั้น ก่อนจะพ่นประโยคหนึ่งออกมา

         

        “พวกคุณ ไสหัวไปซะ!”

         

        คำพูดที่แข็งกร้าวนั้นทำให้ผู้คนตะลึงงันราวกับกำลังจะถูกฆ่า

         

        เหล่าหนุ่มสาววัยรุ่นรีบชักเท้าหนีอย่างฉับพลัน ต่างคนต่างกระจายกันไปคนละทิศคนละทางราวกับนกแตกรัง

         

        จ้านอี้หยางหมุนศีรษะกลับมาก็พบว่าซูหรงหรงเลื่อนกระจกรถลงก่อนจะโผล่หัวออกมานอกรถ

         

        ยัยกระต่ายน้อยหัวเราะอย่างซุกซนก่อนจะเอ่ยกับเขา

         

        “ขึ้นรถเถอะ พวกเราต้องไปจดทะเบียนกันแล้ว”

         

        ไปแต่งงานกับกระต่ายน้อย...เป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ผิดจริงๆ

         

        จ้านอี้หยางกระโดดขึ้นรถ ซูหรงหรงขณะนี้เอาแต่เบนความสนใจมองภายในรถทางนั้นทีทางนู้นที

         

        พอจ้านอี้หยางสตาร์ตรถ ซูหรงหรงก็มองไปรอบๆ รถอีกครั้งอย่างระแวดระวัง แต่เธอก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ จากรถคันนี้ เธอเอามือลูบคางก่อนจะหันมามองหน้าจ้านอี้หยางแล้วเอ่ยกับเขา

         

        “นี่มันรถของกองทัพไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่เห็นจะแตกต่างจากรถธรรมดาเลย”

         

        “มีสิ่งที่ไม่เหมือนกับรถทั่วไปอยู่ เพียงแต่เธอมองไม่เห็น”

         

        “…”

         

        ชิ คนขี้แกล้ง

         

        ซูหรงหรงเบะปาก ในที่สุดเธอก็มองเห็นสิ่งที่แตกต่างจากรถทั่วไป

         

        บรรดาตำรวจจราจรต่างพากันมองมาที่รถของพวกเธอพร้อมกับทำความเคารพ

         

        พวกเขาทำความเคารพถูกต้องตามธรรมเนียม ซูหรงหรงเพิ่งจะได้เห็นการกระทำและใบหน้าที่ดูจริงจังมากของเขาเหล่านั้นเป็นครั้งแรก

         

        เธอเบิกตาโตด้วยความสงสัย ก่อนจะส่งเสียง

         

        “เอ๊ะ?”

         

        เธอหันไปหาจ้านอี้หยาง

         

        “พวกตำรวจจราจรเขาทำความเคารพใครอย่างนั้นเหรอ?”

         

        จ้านอี้หยางเหลือบสายตามองยัยกระต่ายน้อยช่างสงสัยที่นั่งข้างๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ

         

        “เธอไง”

         

        “คิกๆๆๆ...”

         

        ซูหรงหรงหลุดหัวเราะออกมา

         

        “นายกำลังล้อฉันเล่นเหรอ”

         

        จ้านอี้หยางกระตุกยิ้มที่มุมปาก

         

        “ตอนแรกฉันก็คิดว่าเธอจะแยกไม่ออกว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนล้อเล่นเสียอีก”

         

        “เลิกแกล้งคนอื่นได้แล้ว”

         

        ซูหรงหรงเบะปากไม่พอใจ

         

        “ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะ”

         

        จ้านอี้หยางจ้องมองไปที่ซูหรงหรง เขาครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะเอ่ยออกมาสองคำ

         

        “หวังว่า”

         

        “…”

         

        ซูหรงหรงอยากจะร้องไห้ คำพูดของเขาสองคำนี้หมายความว่ายังไง?

         

        ในสายตาของจ้านอี้หยาง เธอดูเป็นคนโง่มากนักเหรอ

         

        เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ อยู่ๆ เธอก็มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว

         

        “จ้านอี้หยาง ถ้านายคิดว่าฉันโง่ แล้วนายมาแต่งงานกับฉันทำไม?”

         

        “ตอบง่ายมาก เพราะฉันชอบคนโง่นิดหน่อยไง”

         

        เขาเอ่ยอย่างเรียบง่าย แต่ใบหน้าที่สื่อออกมาของเขาตอกย้ำว่ามันคือความจริง ไม่จำเป็นที่จะต้องเดาเลยด้วยซ้ำ

         

        “เอ๋? พูดอย่างนี้ก็หมายความว่า ฉันมีความโง่แค่น้อยนิดใช่มั้ย?”

         

        ซูหรงหรงค่อนข้างพอใจ เธอหลุดยิ้มออกมาอย่างน่ารัก

         

        เป็นแค่คนโง่ไม่ใช่คนปัญญาอ่อนเสียหน่อย ไม่ดีตรงไหนกัน? คนฉลาดมักจะมองทุกสิ่งทะลุปรุโปร่งจนละเลยความสนุกของการใช้ชีวิตไปไม่ใช่หรือไงกัน?

         

        เพราะฉะนั้นคนแบบเธอนี่แหละถึงจะดี เพราะถึงจะโง่ ก็โง่แค่นิดเดียว

         

        “เธอ?”

         

        จ้านอี้หยางไล่มองซูหรงหรงอีกรอบ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น

         

        “เธอเป็นคนที่ต่อให้กินยาแขนงไหนก็รักษาไม่หาย”

         

        ซูหรงหรงที่หน้าเปื้อนยิ้มหยุดชะงัก บัดนี้ใบหน้าของเธอราวกับกระจกที่ค่อยๆ เริ่มมีรอยแตก ก่อนรอยนั้นจะขยายวงกว้างขึ้นแล้วส่งเสียงดังเพล้ง

         

        ที่แท้ความหมายที่เขาต้องการจะสื่อคือฉันเป็นคนโง่ที่ไม่มีทางรักษา?

         

        ฮึ่ม!

         

        ซูหรงหรงจ้องเขาด้วยสายตามาดร้าย  เธอข่วนแขนของจ้านอี้หยางที่กำลังบังคับพวงมาลัยรถอยู่ก่อนจะเอ่ยคำพูดทีละคำเน้นๆ

         

        “จ้าน อี้ หยาง นายทำเกินไปแล้ว!”

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.42 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
15 เมื่อ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 13.20 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 15 เธอคือผู้หญิงของฉัน

 

        จ้านอี้หยางมองไปที่มือของซูหรงหรงแล้วเลิกคิ้วขึ้น ภายในใจครุ่นคิด

         

        กระต่ายตัวนี้ดูเหมือนจะไม่กัดคน แต่...ข่วนคนแทนงั้นเหรอ?

         

        เขารีบรับมือของซูหรงหรงเพื่อจะหยุดการกระทำของเธอ

         

        “อย่าเอะอะตอนฉันขับรถ ถ้าเธอยังไม่อยากเป็นม่าย”

         

        หึๆ

         

        ซูหรงหรงร้องหึในลำคอ เธอเบิกตาโพลงอย่างมาดร้ายจ้องไปทางเขา

         

        “พวกเรายังไม่ได้จดทะเบียนกันเลยด้วยซ้ำ ถึงนายจะเป็นอะไรไป ฉันก็ไม่นับว่าเป็นม่ายหรอกย่ะ ดีเสียอีกฉันจะได้รีบไปหาทหารที่หนุ่มกว่านาย หล่อกว่านาย สมน้ำหน้าอยากแกล้งฉันดีนัก หึ!”

         

        จ้านอี้หยางหรี่ตาอันแหลมคมด้วยท่าทางอันตราย เขาจอดรถชิดข้างทางอย่างกะทันหันแล้วดึงเบรกมือขึ้น ในขณะนั้นซูหรงหรงตกใจจนกรีดร้องเสียงดัง มือซ้ายกำลังจะจับหาที่ยึด แต่ก็ไม่ทันการณ์เพราะแรงเหวี่ยงที่รุนแรงของรถ ทำเอาตัวเธอถูกเหวี่ยงไปอยู่ในวงแขนของจ้านอี้หยาง

         

        ทั้งสองมือของเธอทาบอยู่บนแผงอกของเขา

         

        ทว่าริมฝีปากของเธอ...ริมฝีปากของเธอกำลังถูกริมฝีปากของจ้านอี้หยางบดขยี้

         

        จ้านอี้หยางรู้สึกได้ถึงริมฝีปากอันนุ่มนิ่ม แม้เขาจะไม่ช่ำชองในการจูบนัก แต่มันก็หนักแน่นและแฝงไปด้วยความดื้อรั้นอยากเอาชนะ และราวกับว่าจะเน้นย้ำกับซูหรงหรงว่า...เธอเป็นของเขา

         

        ปฏิกิริยาตอบกลับของซูหรงหรงช้าเกินไป เธอที่ตั้งสติได้ดวงตาก็เบิกกว้าง ขนตางอนยาวของเธอปัดอยู่บนหน้าของกู้อี้หยาง

         

        นี่มัน...นี่มันอะไรกัน?

         

        เธอกำลังถูกทหารจูบอยู่บนถนนสาธารณะ?

         

        จ้านอี้หยางรู้สึกได้ว่าซูหรงหรงกำลังคิดฟุ้งซ่าน เขาใช้ริมฝีปากของเขาขบเข้าที่ริมฝีปากของเธอเบาๆ

         

        “โอ๊ย เจ็บ”

         

        ซูหรงหรงขมวดคิ้วแล้วค้อนกลับราวกับต้องการประท้วง

         

        “ถ้าอย่างนั้นก็จำนี่ไว้เป็นบทเรียน”

         

        จ้านอี้หยางประกบปากของเขาเข้ากับปากของเธออีกครั้ง เขาจูบเธออย่างดูดดื่มหลายครั้งจนพอใจจึงถอนตัวเธอออก

         

        “ฟังนะซูหรงหรง ถึงแม้จะยังไม่มีใบทะเบียนสมรส แต่ตอนนี้ถือว่าเธอเป็นผู้หญิงของฉัน เธอจะลองดูก็ได้ แต่อย่างไรเสียในโลกนี้ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องตัวเธอนอกจากฉันอีกแล้ว”

         

        ซูหรงหรงเชิดหน้ามองกู้อี้หยาง

         

        ความเย็นชาของเขาสร้างความหวาดหวั่นให้คนอื่น ประสาทสัมผัสทั้งห้ารับรู้ได้ถึงความรู้สึกข่มเหง

         

        แต่ที่น่าแปลกคือ…เธอกลับไม่กลัวเขาเลยสักนิด

         

        ทว่าหัวใจของเธอตอนนี้...มันกำลังเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ

         

        นี่มันไม่ถูกต้อง เธอจะสูญเสียการควบคุมตัวเองไม่ได้

         

        ทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะความเผด็จการของเขา แม้แต่ตอนที่ประกาศว่าเธอเป็นผู้หญิงของเขาก็ดูเหมือนเป็นการออกคำสั่ง

         

        แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกดีกันนะ?

         

        อีกอย่าง...ทำไมยิ่งมองจ้านอี้หยางก็รู้สึกว่าเขายิ่งหล่อขึ้น?

         

        ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากที่เรียวบาง ยิ่งเวลาที่กระตุกยิ้มยิ่งดูมีเสน่ห์ อยากลองกัดดูสักครั้งจัง

         

        เมื่อเห็นแววตาของยัยกระต่ายน้อยที่ส่งมาหาเขา อารมณ์โมโหชั่ววูบเมื่อครู่ก็ค่อยๆ จางลง

         

        แววตาของเธอช่างดูสงบนิ่ง ราวกับไม่เคยเห็นสิ่งที่ดูมืดมนเหล่านี้มาก่อน เธอสำรวจใบหน้าของเขาอย่างตั้งใจ

         

        มือของเขายังคงประคองเอวเธอไว้ ระยะห่างของคนทั้งสองใกล้กันมาก

         

        เป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ สุดท้ายหัวใจของเขาก็ค่อยๆ เต้นแรงขึ้น

         

        บ้าจริง!

         

               จ้านอี้หยางรีบหลบตาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

         

        เธอแอบสังเกตเห็นอากัปกิริยานั้นของเขา ซูหรงหรงก็เกิดคำถามขึ้น

         

        “จ้านอี้หยาง นายจะ...”

         

        “อะไร?”

         

        จ้านอี้หยางเอ่ยถาม แต่สายตาของเขาเสมองไปที่เท้าของเจ้ากระต่ายน้อย

         

        “พูดตรงๆ สิ!”

         

        “จะ...”

         

        จู่ๆ ในหัวของเธอก็ฉายภาพของกู้แหยนเจ๋อและเฉินหย่าถิง

         

        “อีกหน่อย นายจะนอกใจไปมีผู้หญิงคนอื่นมั้ย?”

         

        “…”

         

        จ้านอี้หยางขมวดคิ้ว ที่แท้ยัยกระต่ายน้อยกำลังกังวลเรื่องนี้

         

        เธอกลัวว่าเขาจะออกนอกลู่นอกทาง ถ้าพูดจริงๆ เธอกำลังสนใจเขาอยู่

         

        ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเสียจริง

         

        ใครบางคนในที่นี้กำลังดีใจจนออกนอกหน้า แต่ท่าทีที่แสดงออกมากลับเย็นชาตรงกันข้ามกับความรู้สึกของตน เขาเอ่ยเพียงสั้นๆ

         

        “ไม่มีเวลา!”

         

        สำหรับเขาผู้หญิงคนไหนๆ ก็เหมือนกัน มีแค่คนเดียวก็พอแล้ว เขาไม่คิดจะออกนอกลู่นอกทาง เขาไม่เคยคิดแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ

         

        “…”

         

        ทว่าความคิดของซูหรงหรงตอนนี้ไม่ได้ไปทิศทางเดียวกับเขา

         

        เอาจริงๆ เธอไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าความหมายของคำตอบของเขาคืออะไร ถ้าเขามีเวลาว่างก็จะไปหาผู้หญิงคนอื่นอย่างนั้นเหรอ?

         

        ตกลงสมองของคุณพี่ทหารคนนี้คิดอะไรกันแน่?

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

แก้ไขครั้งที่ 3 โดย Kawebook เมื่อ5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.54 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
16 เมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2563 13.30 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 16  จดทะเบียนสมรส

 

        ซูหรงหรงจ้องหน้าจ้านอี้หยางอยู่พักหนึ่งโดยไม่เอ่ยอะไร

         

        เธอถือเป็นผู้หญิงคนแรกที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตของจ้านอี้หยาง

         

        เมื่อถูกซูหรงหรงมอง เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาออกคำสั่งเสียงแข็งตามความเคยชิน

         

        “ซูหรงหรง กลับไปนั่งที่ของเธอ”

         

        “โอ๊ะ”

         

        ซูหรงหรงผละตัวออก ก่อนจะดีดตัวกลับไปนั่งที่นั่งข้างคนขับและไม่ลืมคาดเข็มขัดนิรภัย

         

        บัดนี้จิตใจของซูหรงหรงรู้สึกขมุกขมัวอย่างบอกไม่ถูก

         

        เมื่อทั้งคู่เดินทางมาถึงอำเภอ จ้านอี้หยางต้องเรียกเธออยู่หลายรอบ ก่อนเธอจะได้สติกลับคืนมา

         

        เธอลงรถแล้วเดินตามจ้านอี้หยางเข้าไปในอำเภอ ระหว่างทางซูหรงหรงกระตุกแขนเสื้อของเขาเบาๆ

         

        “ปกติแล้ว นายยุ่งมากเลยเหรอ?”

         

        จ้านอี้หยางชะงัก ก่อนริมฝีปากของเขาจะเผยอยิ้มออกมา

         

        “กลัวฉันจะไม่มีเวลาให้เธอเหรอ?

         

        “…”

         

        กลัวนายจะไปมีผู้หญิงอื่นต่างหาก!

         

        จ้านอี้นึกว่าตัวเองทายความคิดของยัยกระต่ายน้อยถูก ใบหน้าของเขายังคงเผยรอยยิ้ม

         

        “ไม่ต้องห่วง ฉันจะพยายามหาเวลากลับบ้าน”

         

        “…”

         

        ซูหรงหรงยังไม่ทันได้มีโอกาสอธิบายก็ถูกจ้านอี้หยางลากเข้าไปด้านใน

         

        คนอื่นๆ เมื่อมองมาคงคิดว่าสองคนนี้เป็นคู่รักหวานชื่นที่กำลังร้อนใจอยากจดทะเบียนสมรส พวกเขาจึงหลีกทางให้ทั้งสองอย่างง่ายดาย

         

        วันนี้เป็นวันดีที่หากดูตามฤกษ์แล้วคู่ไหนที่ได้จดทะเบียนวันนี้ จะไม่มีวันหย่าร้างกัน ฉะนั้นภายในอำเภอจึงมีแต่บรรดาคู่รักเต็มไปหมด

         

        ซูหรงหรงลอบถอนหายใจ คงจะต้องรอคิวนานมากแน่ๆ ตาของเธอสอดส่องมองหาที่นั่งดีๆสักที่หนึ่ง

         

        แต่ที่น่าแปลกก็คือ เมื่อเธอมองออกไป เธอกลับพบว่าผู้คนมากมายกำลังจ้องมาที่เธอ

         

        คู่รักที่อยู่ใกล้ที่สุดกำลังเหลือบมองมาที่จ้านอี้หยางก่อนจะเริ่มซุบซิบ

         

        หญิงคนนึ่งที่กำลังกุมมือแฟนอยู่เอ่ยขึ้น

         

        “อ๊าย ทหารล่ะ ทหาร”

         

        “ยัยโง่”

         

        ชายคนรักผลักหน้าผากของหญิงสาวเบาๆ อย่างหยอกล้อ

         

        “เขาเป็นนายทหาร ระวังเขาจะส่งพลทหารมาจับเธอ”

         

        “ไม่กลัวหรอก ก็ฉันมีนายนี่นา”

         

        หญิงสาวกระแซะตัวเข้าไปในอ้อมกอดของชายคนรักอย่างออดอ้อน

         

        ซูหรงหรงหันกลับมามองคู่ของตน อยู่ๆก็รู้สึกสงสารตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

         

        ชั่วชีวิตนี้เธอไม่มีวันคิดที่จะอ้อนจ้านอี้หยางแน่นอน ถ้าทำแบบนั้นแล้วเขาส่งทหารมาจับเธอขึ้นมาจะทำยังไง?

         

        เมื่อถึงเวลา ผู้ชายสวมชุดสูทก็เดินมาตรงหน้า ซูหรงหรงมองภาพจ้านอี้หยางกับชายคนนั้นจับมือกัน ก่อนจะเชิญเขาเข้าไปในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง

         

        จ้านอี้หยางหันหน้ามามองยัยกระต่ายน้อย ก่อนจะหลุบเสียงต่ำ

         

        “ไปจดทะเบียนกัน”

         

        “เอ๋?”

         

        ซูหรงหรงเอียงศีรษะอย่างสงสัย

         

        “พวกเราไม่ต้องต่อคิวอย่างนั้นเหรอ?”

         

        “...ไม่ต้อง”

         

        จ้านอี้หยางอ้างคำโกหกออกมาคำโต

         

        “ทหารที่มาแต่งงานจะมีสิทธิพิเศษให้ทำเรื่องก่อน”

         

        ซูหรงหรงเริ่มมีความสุขขึ้น

         

        “อภิสิทธิ์พิเศษของทหารนี่ก็ดีเหมือนกันแฮะ”

         

        “เพราะฉะนั้นการเลือกของเธอครั้งนี้นับว่าไม่เลวใช่มั้ยล่ะ”

         

        การเลือกที่จะแต่งงานกับทหาร

         

        เธอมองหน้าจ้านอี้หยางที่เลิกคิ้วขึ้นถามเธอก่อนจะเอียงคอถามเขากลับอย่างสงสัย

         

        “เลือกอะไร?”

         

        “...”

         

        จ้านอี้หยางหลุดยิ้มออกมา นี่เขาเลือกกระต่ายซื่อบื้อมาเป็นภรรยาเหรอ เขาเอามือลูบหัวของเธออย่างเอ็นดู

         

        “ไม่มีอะไร”

         

        ชายที่ยืนอยู่ข้างจ้านอี้หยางเพิ่งจะเคยเห็นท่าทีอบอุ่นของเขาที่เผยออกมา เขาลอบมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของทั้งสองขณะที่ตรวจเอกสารที่จะต้องให้ทั้งคู่เซ็นชื่อ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการจดทะเบียนสมรสแล้ว พวกเขาก็ได้รับสมุดจดทะเบียนสมรสสีแดงกันคนละเล่ม

         

        ซูหรงหรงที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เป็นภรรยา เธอถือสมุดทะเบียนสมรสกลับไปกลับมาเพื่อพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะเอ่ยออกมาสามคำ

         

        “น่าทึ่งมาก”

         

        ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมงคนสองคนยังเป็นแค่คนรู้จักกันธรรมดา แต่เจ้าสิ่งนี้กลับทำให้คนทั้งสองต้องมามีพันธะผูกพันซึ่งกันและกันได้

         

        “วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันหยุดของฉัน เราค่อยมาจัดงานแต่งวันนั้นแล้วกันดีมั้ย?”

         

        จ้านอี้หยางถามความเห็นของเธอ

         

        ซูหรงหรงพยักหน้า เธอเองไม่มีความคิดอะไรจะเสนอแย้ง

         

        “ดีมาก”

         

        จ้านอี้หยางอยากได้ภรรยาที่เชื่อฟังแบบนี้ เขาลูบผมสีดำยาวของเธอเป็นรางวัลตอบแทน

         

        “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะพาเธอกลับบ้าน”

         

        ซูหรงหรงคิดว่ากลับบ้านของเธอ เธอจึงไม่คิดอะไรมาก

         

        เธอปล่อยให้เขากุมมือเธอและพาเดินออกจากสำนักงานอำเภอ

         

        ทว่า...รถที่บอกจะพาเธอกลับบ้าน กลับแล่นเข้าไปในชุมชนแห่งหนึ่งใจกลางเมือง

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
17 เมื่อ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2563 13.28 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 17 กล้ามท้องกำยำกับเจ้ากระต่ายน้อย

 

        ซูหรงหรงมองรถที่กำลังแล่นเข้าไปในชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ก่อนจะร้องทัก

         

        “จ้านอี้หยาง ไม่ใช่ทางนี้นะ นายจำทางผิดหรือเปล่า?”

         

        จ้านอี้หยางหันมามองเธอ

         

        “ฉันดูเป็นคนจำทางผิดหรือไง”

         

        “...” ซูหรงหรงรีบส่ายหัว จ้านอี้หยางเป็นทหาร เขาไม่มีทางจำทางผิดแน่ แต่ว่า...เธอชี้นิ้วไปที่ถนนด้านหน้า

         

        “ครั้งนี้นายน่าจะจำทางผิดแล้ว ไม่เป็นไร นายกลับรถเถอะ ฉันไม่หัวเราะเยาะนายหรอกน่า”

         

        เธอช่างไร้เดียงสาเสียจริง อุตส่าห์พยายามจะช่วยเขาแก้ไขปัญหา

         

        ‘น่ารักจัง’...จ้านอี้หยางกระตุกยิ้มที่มุมปาก เขาไม่แม้แต่จะกลับรถ แต่กลับมุ่งหน้าไปจอดรถที่ใต้ตึกแห่งหนึ่ง

         

        ในที่สุดเหมือนซูหรงหรงจะเพิ่งคิดอะไรได้ เธอมองไปที่ตึกสูงชะลูด ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

         

        “จ้านอี้หยาง นี่คงไม่ใช่...”

         

        “บ้านของเรา”

         

        จ้านอี้หยางเอ่ยเสียงเรียบอย่างเป็นธรรมชาติแต่กลับไปกระตุ้นความสนใจของซูหรงหรงอย่างรุนแรง ความจริงเธอเองก็อยากเห็นบ้านที่เธอจะต้องอยู่กับจ้านอี้หยาง

         

        บ้านที่จ้านอี้หยางอยู่ช่างจะยากต่อการคาดเดา

         

        “อยากขึ้นไปดูมั้ย?”

         

        จ้านอี้หยางเอ่ยถาม “อย่างเอาใจ”

         

        ซูหรงหรงพยักหน้ารัวๆ ‘อยากสิ อยากมากด้วย’

         

        “นี่...กุญแจ ให้เธอ”

         

        จ้านอี้หยางส่งกุญแจและคีย์การ์ดหน้าประตูให้ซูหรงหรง

         

        ซูหรงหรงรับของมาอย่างว่าง่ายก่อนจะรีบกระโดดลงจากรถ

         

        เมื่อเธอมองไปที่หน้าประตู เธอเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังถือของอยู่ด้านหน้าและพยายามหาคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตู เธอออกตัววิ่งไปเปิดประตูให้คุณยายคนนั้น ก่อนจะให้หญิงชราเข้าไปด้านในก่อน

         

        “ขอบคุณนะสาวน้อย”

         

        คุณยายกล่าวขอบคุณอย่างเกรงใจ

         

        “ไม่เป็นไรค่ะ”

         

        ซูหรงหรงเป็นคนที่จิตใจดี เธอช่วยคุณยายถือของเข้าไปไว้ในลิฟต์ จนถึงตอนนี้จ้านอี้หยางยังคงรออยู่นอกประตูดูการกระทำของเธอ เธอเพียงแค่เดินออกมารอเขา

         

        ลิฟต์ขึ้นไปแล้วหลายชั้น จ้านอี้หยางจึงเดินมาหาเธอช้าๆ อย่างจงใจ ซูหรงหรงดูการกระทำของเขาก่อนจะเอ่ยถาม

         

        “ช่วยเหลือประชาชนไม่ใช่หน้าที่ของทหารอย่างพวกนายเหรอ? ทำไมเมื่อกี้นายไม่ไปช่วยคุณยายคนนั้นกัน”

         

        อย่างไรเสีย เขาก็ควรจะมีน้ำใจเดินมาช่วยคุณยายถือของ หรือเขาควรจะมาแย่งของออกจากมือเธอแล้วพูดว่า ฉันถือเอง ไม่ใช่หรือไง?

         

        จ้านอี้หยางกระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนจะกดลิฟต์

         

        “ฆ่าไก่โดยไม่จำเป็นต้องใช้มีดฆ่าวัว”

         

        “...”

         

        ไม่นานลิฟต์ก็มาถึง ซูหรงหรงเดินตามจ้านอี้หยางเข้าไปในลิฟต์ ลิฟต์ขึ้นไปจนถึงชั้น 22 ก่อนจะหยุดกึก

         

        สองแล้วก็สอง ช่างจำง่ายเสียจริง... ซูหรงหรงคิด

         

        รูปแบบของบ้านคือสองห้องสองบันได เมื่อออกมาจากลิฟต์ทางซ้ายมือห้องเบอร์ 2201 คือห้องของเขา จ้านอี้หยางใช้กุญแจไขเปิดประตู ก่อนจะเชื้อเชิญให้ซูหรงหรงเข้าไปก่อน

         

        เมื่อผ่านประตูเข้ามาเธอมีความรู้สึกงุนงงเล็กน้อย

         

        ห้องชุดที่แบ่งออกเป็น 4 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ทั้งห้องใหญ่เสียจนเธอตกใจ การตกแต่งที่ดูทันสมัยดูประหยัดพื้นที่ แสงเริ่มสาดส่องเข้ามาจากทางระเบียงทำให้ทั่วทั้งห้องรับแขกดูสว่างไปหมด ความรู้สึกตอนนี้ช่างอบอุ่นชวนหลงใหล

         

        “ชอบมั้ย”

         

        จ้านอี้หยางเดินมายืนด้านหลังเธอก่อนจะเอ่ยถามอย่างถูกจังหวะ

         

        “นายเอาคำว่า มั้ย ไปโยนทิ้งเถอะ”

         

        ซูหรงหรงหัวเราะร่วนอย่างคนโง่ เธอชอบมากเสียจนอดใจไปเดินลูบคลำโซฟาสีเบจไม่ไหว

         

        “พอตกแต่งเสร็จก็ไม่เคยมีใครมาอยู่ เพราะอย่างนั้นจึงมีแต่เฟอร์นิเจอร์ธรรมดาๆ”

         

        จ้านอี้หยางเดินอ้อมมายืนข้างหน้าเธอก่อนจะยื่นบัตรเอทีเอ็มใบหนึ่งให้

         

        “เธอลองดูเอาแล้วกันว่าอยากตกแต่งอะไรเพิ่ม เธอเอาบัตรใบนี้ไปรูดซื้อได้เลย รหัสคือวันเกิดของฉัน 800710”

         

        “ซื้ออะไรก็ได้เหรอ?”

         

        ซูหรงหรงมองหน้าเขาแล้วถามหยั่งเชิง จ้านอี้หยางพยักหน้าตอบรับ

         

        “อุ้ย นายแพ้เกสรดอกมั้ยล่ะ ฉันอยากปลูกดอกไม้”

         

        “แล้วแต่เธอ”

         

        “ถ้าฉันจะวางเก้าอี้นั่งเล่นที่นอกระเบียง นายคิดว่าไง?”

         

        “ได้สิ ฉันชอบ”

         

        “แล้วก็ อันนั้น...”

         

        “อะไรก็ได้แล้วแต่เธอชอบเลย”

         

        มีความสุขจัง! ซูหรงหรงจ้องหน้าของจ้านอี้หยางอย่างมีความสุข เธอกระโดดโลดเต้นดีใจก่อนจะไปดึงใบหน้าของจ้านอี้หยางให้ต่ำลงแล้วฝังจมูกลงบนแก้มของเขาอย่างลืมตัว

         

        ริมฝีปากอันอบอุ่นและอ่อนนุ่มประทับอยู่บนข้างแก้มของเขา

         

        ราวกับเพิ่งจะรู้สึกถึงการกระทำของตัวเอง ทั้งคู่ต่างพากันชะงักงัน

         

        “ฉัน...”

         

        ซูหรงหรงก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว

         

        “ฉันไม่ได้คิดจะล่วงเกินนายนะ”

         

        ในตอนนั้น ซูหรงหรงคงลืมนึกไปว่าเธอต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกล่วงเกินมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

         

        “ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรเธอนี่”

         

        จ้านอี้หยางตอบกลับ ทว่าใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มจางๆ

         

        คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคำพูดคำจาของเขาจะดีถึงเพียงนี้ ทำเอาความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขาเพิ่มขึ้นไปอีก

         

        “รู้สึกขอบคุณฉันมากเลยใช่มั้ย”

         

        จ้านอี้หยางถาม

         

        “อืม”

         

        เธอพยักหน้าตอบรับ

         

        “พอใจกับห้องนี้มั้ย”

         

        “อืมๆ”

         

        พอใจมากเลยต่างหาก

         

        “ถ้าอย่างนั้นกลับไปเก็บของแล้วมาอยู่กับฉันที่นี่โอเคมั้ย?”

         

        เธอพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก

         

        “อืมๆๆ”

         

        เมื่อได้คำตอบตามที่คิดไว้ จ้านอี้หยางลูบหัวของเธออย่างพอใจ

         

        “เชื่อฟังดีมาก ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปบ้านของเธอกันเถอะ”

         

        พอถึงตอนนี้ ซูหรงหรงเหมือนจะตั้งสติได้ เธออยากจะร้องไห้

         

        “จ้านอี้หยาง นายแกล้งฉันอีกแล้ว”

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
18 เมื่อ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2563 14.43 น.

 

เล่มที่ 1 บทที่ 18 อาศัยชายคาเดียวกัน

 

        เมื่อคิดว่าเธอจะต้องนอนห้องเดียวกันกับจ้านอี้หยาง ซูหรงหรงถึงกับกุมขมับ

         

        ‘นอนห้องเดียวกันก็หมายความว่าจะต้องทำ...อะไรแบบนั้นด้วยสินะ’

         

        สิ่งที่คนรักกันเขาทำ...ด้วยกัน เธอไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก

         

        ถ้าตอนนี้เธอกับเขาต้องทำอะไรแบบนั้น ‘บรึ๋ย ยาก...ที่จะทำอะไรแบบนั้น’

         

        อีกอย่างเธอกับเขาเพิ่งจะรู้จักกันได้เพียงแค่...ไม่ถึงสองวัน

         

        เธอกับกู้แหยนเจ๋อคบกันนานถึง 4 ปี สิ่งที่ทำมากสุดคือจับมือกัน

         

        แท้จริงแล้วสำหรับเธอ คำว่ารักนวลสงวนตัวแทบจะฝังอยู่ในกระดูกดำ เพราะฉะนั้นนี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กู้แหยนเจ๋อสลัดรักเธอทิ้งไปหาเฉินหย่าถิง

         

        แม้ว่าตอนนี้เธอกับจ้านอี้หยางจะนับว่าเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว

         

        แต่ทว่าเธอก็อยากรอให้ผ่านพิธีแต่งงานก่อนที่จะทำเรื่องอย่างว่าพวกนั้นได้

         

        เธอค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับเรื่องแต่งงานมาก เธอคิดเสมอว่าคนสองคนเข้าพิธีแต่งงานกันแล้วจึงจะนับว่าเป็นการแต่งงานกันอย่างแท้จริง

         

        เมื่อกลับถึงบ้าน เธอลากตัวเหอฮุ้ยหลานแม่ของเธอเข้าไปในห้อง ก่อนจะบอกเธอว่าเธอยังจะอยู่ที่นี่ต่อ สุดท้ายเธอก็ถูกแม่เขกหัวเข้าไปหนึ่งทีก่อนจะเอ่ย

         

        “แต่งงานวันแรกเธอก็คิดที่กลับมาอยู่บ้านแล้วเหรอ? ที่นี่ไม่ต้อนรับ กลับไปซะ”

         

        เจ้ากระต่ายน้อยลากกระเป๋าสัมภาระออกมา เธอยืนทำหน้าเศร้าอยู่หน้าบ้าน น้ำตาไหลนองหน้า

         

        เธอเอามือลูบหน้าลูบตา ก่อนจะเอามือปาดน้ำตาทิ้ง

         

        แม่ของเธอช่างจะเป็นเหมือนแม่เลี้ยงใจร้ายที่ไล่ลูกเลี้ยงออกจากบ้าน

         

        พอเธอหันกลับมามองจ้านอี้หยางที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอส่งสายตาขุ่นเคืองให้เขาราวกับต้องการจะด่าว่าเขาคือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้

         

        อันที่จริงจ้านอี้หยางรู้ดีทุกอย่างว่ายัยกระต่ายน้อยต้องการจะส่งสายตาสื่ออะไร

         

        ทว่าเขากลับถือกระเป๋าเดินทางอย่างสบายใจ

         

        “ไปเถอะ กลับบ้านของเรากัน”

         

        ซูหรงหรงอดไม่ได้ที่จะส่งสายตาอาลัยอาวรณ์ไปที่ประตูบ้านของตน จนสุดท้ายเธอก็ถูกจ้านอี้หยางลากออกไป

         

        เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ซูหรงหรงสังเกตเห็นคนที่ใส่เครื่องแบบทหารยืนรออยู่ใต้ตึก จ้านอี้หยางลงจากรถแล้วเดินไปหาเขา นายทหารคนนั้นทำความเคารพจ้านอี้หยางตามระเบียบ ก่อนจะส่งกระเป๋าสัมภาระใบหนึ่งให้เขา จากนั้นเขาพูดกับนายทหารคนนั้นอยู่ 2-3 ประโยค ก่อนที่นายทหารคนนั้นจะทำความเคารพเขาอีกรอบแล้วออกวิ่งไป

         

        หึย พลังทำลายล้างสูงมาก

         

        ซูหรงหรงนั่งคิดในรถ เมื่อเห็นทหารของจ้านอี้หยางแล้ว เธอรู้สึกว่าพวกเขาเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก

         

        เธอถอนหายใจ ก่อนจะลงจากรถแล้วขึ้นไปบนตึกพร้อมๆ กับจ้านอี้หยาง

         

        เมื่อเข้ามาในลิฟต์ มือทั้งสองของซูหรงหรงกำลังจับไปที่สายกระเป๋าที่สะพายอยู่ด้านหลัง

         

        เธอหันหน้าไปหาจ้านอี้หยาง ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องหนึ่งอย่างสนอกสนใจ

         

        “เมื่อกี้นี้แม่ฉันคุยอะไรกับนายอย่างนั้นเหรอ?”

         

        “สั่งให้ฉันดูแลเธอให้ดี เขายกเธอให้ฉันแล้ว”

         

        จ้านอี้หยางพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติที่ใครๆ เขาก็ทำกัน

         

        ซูหรงหรงนึกถึงตอนที่แม่ไล่เธอออกมาจากบ้าน แล้วยังได้เห็นกระเป๋าสัมภาระที่อยู่ในมือของจ้านอี้หยาง

         

        น้ำตาจะไหล!

         

        “แม่น่าจะโยนฉันให้นายมากกว่า”

         

        ช่างเหมือนแม่เลี้ยงใจร้ายจริงๆ

         

        จ้านอี้หยางเผยยิ้มบนใบหน้า เขาใช้มือข้างที่ว่างยีผมของซูหรงหรงอย่างเอ็นดู พอดีกับลิฟต์เดินทางถึงที่หมาย ทั้งคู่พากันเดินออกจากลิฟต์

         

        ซูหรงหรงนำกุญแจออกจากกระเป๋าสะพายแล้วเปิดประตูให้จ้านอี้หยางเข้าไปก่อน

         

        เธอไม่มีโอกาสได้เห็นว่า เมื่อจ้านอี้หยางเข้าประตูมาแล้วรอยยิ้มของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป

         

        จ้านอี้หยางลากกระเป๋าทั้งสองใบเข้ามาในห้อง ซูหรงหรงเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้เอ่ยคำอุทานออกมาก

         

        “อุ้ย”

         

        เธอรีบเข้าไปคว้ากระเป๋าของเธอเองออกมา ก่อนจะหันไปมองหน้าจ้านอี้หยาง

         

        “นายนอนห้องนี้เหรอ?”

         

        “อืม”

         

        จ้านอี้หยางไม่ยิ้มไม่หัวเราะตอบกลับยัยกระต่ายน้อย ก่อนจะลงลึกถึงรายละเอียดคำพูดของตน

         

        “พวกเราอยู่ห้องนี้”

         

        ซูหรงหรงกะพริบตาถี่ๆ ขนตาหนายาวของเธอกระพือไปมา แววตาของเธอบ่งบอกถึงความอึดอัด แก้มทั้งสองข้างบนใบหน้าเรียวเล็กเริ่มแดงระเรื่อ

         

        “ฉันว่า...ฉันอยู่อีกห้องถัดไปดีกว่า ห้องนั้น...นายใช้คนเดียวเถอะ ไม่จำเป็นต้องมาเกรงใจอะไรฉันหรอกน่า ฮ่าๆๆๆ...”

         

        เมื่อพูดจบเธอก็รีบลากกระเป๋าสัมภาระของตนเองชิงเข้าไปในห้องนั้นทันที

         

        จ้านอี้หยางยืนพิงขอบประตูหน้าห้องอย่างสบายใจ เขาเข้ามาแย่งกระเป๋าของซูหรงหรงโดยไม่ต้องออกแรง ใบหน้าของซูหรงหรงที่แดงระเรื่อเป็นทุนเดิมยิ่งแดงมากขึ้นไปอีก

         

        “เธอก็ไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจฉันเหมือนกัน ฉันเองไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไรที่จะใช้ห้องนอนร่วมกับเธออยู่แล้ว”

         

        “แต่...แต่ว่า...”

         

        ซูหรงหรงส่งใบหน้าประหนึ่งคนจะร้องไห้ให้เขา ทันใดนั้นเธอก็ร้องไห้จริงๆ เธอไม่แม้แต่จะเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา จริงๆ แล้วเธอลำบากใจ...

         

        จ้านอี้หยางเหมือนมีความสามารถพิเศษในการอ่านใจคน เขาเอ่ย

         

        “เธอลำบากใจเหรอ? หืม?”

         

        ทั้งแววตาและมุมปากที่อยู่บนหน้าของจ้านอี้หยางปรากฏรอยยิ้ม ทว่าหางตาและท่าทีที่ส่งมากลับดูมุ่งร้าย แม้จะไม่ได้แสดงออก แต่เสียงที่ส่งมาก็ราวกับเสียงขู่ข่มขวัญ

         

        ซูหรงหรงเข้าใจแล้วว่าเธอกำลังเจอกับอะไร...รอยยิ้มของปีศาจ!

         

        แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือ ตอนนี้เธออยู่ในกำมือของปีศาจตนนั้นแล้ว

         

        ‘ฮือ ใครที่ผ่านมาทางนี้ ได้โปรดช่วยฉันด้วย’

         

        ท่าทีของจ้านอี้หยางที่สงบเยือกเย็นนี้ทำให้ซูหรงหรงตัดสินใจที่จะยอมเสียเอกราชของตัวเอง เธอจำยอมก้มหน้าก่อนจะส่ายหัวไปมา

         

        “ไม่ ไม่ได้ลำบากใจ”

         

        ฮือ เธอกำลังถูกบีบบังคับชัดๆ

         

        จ้านอี้หยางพอใจกับคำตอบที่ได้รับก่อนจะยิ้มที่มุมปาก เขาเอามือลูบผมดำยาวสลวยของซูหรงหรง ก่อนจะยื่นกระเป๋าสัมภาระคืนให้เธอ

         

        “ถ้าอย่างนั้นก็เก็บของเถอะ เก็บเสร็จแล้วเราไปกินข้าวกัน”

         

        “…”

         

        ซูหรงหรงน้ำตานองหน้า เธอจำใจลากกระเป๋ามาที่หน้าตู้เสื้อผ้า แต่เมื่อเธอเปิดประตูตู้ออกก่อนจะใช้มือลูบภายในตู้

         

        เอ๋? เธอกลับพบว่าภายในตู้ไม่มีแม้แต่เศษฝุ่น

         

        จ้านอี้หยางมองคนตัวเล็กที่เริ่มจัดเก็บเสื้อผ้า แค่มองเขาก็รู้แล้วว่าเธอกำลังคิดอะไร เขาเอ่ยตอบก่อนที่เธอจะถามคำถาม

         

        “เมื่อวานให้แม่บ้านมาทำความสะอาดไว้แล้ว”

         

        อีกครั้งที่ซูหรงหรงน้ำตาตกใน เมื่อวาน...เมื่อวานเธอยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่จ้านอี้หยางกลับวางแผนทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว

         

        คนคนนี้ช่างน่ากลัวเสียจริง

         

        สัมภาระของทั้งคู่ไม่ได้มากมายอะไร จัดเก็บครู่เดียวก็เสร็จเรียบร้อย

         

        เธอปิดประตูเสื้อผ้าลงก่อนจะหันไปมองจ้านอี้หยางที่ตอนนี้ถือเสื้อผ้าชุดหนึ่งอยู่ในมือและมองมาที่เธอเช่นกัน

         

        เอ๊ะ เธอมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?

         

        ยัยกระต่ายน้อยลูบหน้าลูบตาตัวเอง ก่อนจะจ้องไปที่จ้านอี้หยาง

         

        จ้านอี้หยางค่อยๆ เลิกเสื้อที่สวมใส่ขึ้น ซูหรงหรงยังคงไม่เข้าใจอากัปกิริยานั้น เธอจึงยิ่งเบิกตากว้างมองไปหาเขา

         

        “ฉันจะเปลี่ยนเสื้อ”

         

        จ้านอี้หยางยักไหล่พูดขึ้น

         

        “อ่อ”

         

        ท่าทีของซูหรงหรงที่ส่งไปช่างดูแปลกประหลาด เธอเป็นคนหัวช้า ปฏิกิริยาตอบสนองจึงไม่ไวนัก

         

        จ้านอี้หยางหรี่ตาเล็กลง ในเมื่อยัยกระต่ายน้อยไม่ออกไป ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะ...ถอดต่อหน้าเธอนี่แหละ!

         

        ทันใดนั้น จ้านอี้หยางก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อด้านบนของตัวเองออกทีละเม็ดๆ

 

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
19 เมื่อ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2563 13.52 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 19 กระต่ายติดเบ็ด 

 

        แม้ว่าจ้านอี้หยางจะเป็นทหาร แต่มือของเข้าช่างดูน่าชวนมอง

         

        ผิวของเขาเป็นสีน้ำผึ้ง นิ้วทั้งสิบเองก็ดูเรียวยาว เมื่อมองรวมกันช่างดูสมดุลสวยงามราวกับงานศิลปะประติมากรรม

         

        ท่าทางการถอดเสื้อของเขาช่างดูคล่องแคล่ว แม้จะเป็นการกระทำง่ายๆ แต่คนมองกลับรู้สึกเหมือนกำลังดูการแสดงละคร

         

        มองแล้วมองอีก จนดูเหมือนคนโง่ ความจริงเธอไม่ได้มีความคิดว่าจ้านอี้หยางกำลังถอดเสื้อต่อหน้าเธออยู่ในสมองแม้แต่น้อย

         

        จ้านอี้หยางมองไปที่ดวงตาอันหมกมุ่นของซูหรงหรง เขาค่อยๆ ถอดเสื้อตัวนอกออกอย่างช้าๆ จากนั้นก็ถอดเสื้อยืดทหารสีเขียวตัวใน

         

        เมื่อถึงฉากนี้ ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าของจ้านอี้หยางก็ปรากฏต่อหน้าซูหรงหรง

         

        ดวงตาของเธอเปล่งประกายราวกับยัยกระต่ายน้อยได้พบแครอทสีแดงสด

         

        ร่ายกายท่อนบนของจ้านอี้หยางไม่มีอะไรปกปิดอยู่จริงๆ เธอรู้สึกเหมือนเป็นโรคที่ไม่มียารักษา สายตาของเธอกำลังถูกกล้ามท้องกำยำของจ้านอี้หยางสะกด ราวกับทุกอณูรูขุมขนบนร่างกายของเขากำลังดึงดูดตัวเธอ

         

        ร่างกายของจ้านอี้หยางเหมือนกับนักเพาะกาย ในทุกส่วนของกล้ามเนื้อช่างดูบึกบึน กล้ามเนื้อของเขาราวกับถูกจัดเรียงอย่างพอเหมาะพอดี ผิวสีน้ำผึ้งช่างดูมีเสน่ห์ คนที่ได้มองอยู่ตอนนี้หัวใจกำลังเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ

         

        ร่างกายนี้ช่าง...มีสเน่ห์มากเกินไปแล้ว ต้องฝึกยังไงถึงจะได้หุ่นออกมาแบบนี้นะ อ๊ายยย

         

        ใบหน้าของยัยกระต่ายน้อยตอนนี้แดงก่ำ เธอเผลอเอามือไปทาบไว้บนกล้ามหน้าท้องของเขาอย่างควบคุมไม่อยู่ น้ำลายในปากของเธอไหลออกมาอย่างอดไม่ได้

         

        ช่างดีเหลือเกิน รูปร่างของเจ้าไก่อ่อนกู้แหยนเจ๋อเทียบร่างกายของจ้านอี้หยางไม่ได้เลยสักนิด

         

        เทียบไม่ติดฝุ่น !

         

        “คุณหญิงจ้าน เธอพอใจกับสิ่งที่เห็นนี่ไหม?"

         

        “อื้มๆๆ"

         

        ซูหรงหรงเลียริมฝีปากตนเองก่อนจะพยักหน้ารับ

         

        แต่นาทีต่อมา เธอก็เกิดคำถาม...คุณหญิงจ้าน?

         

        “หืม?"

         

        เธอเงยหน้ามองเขา แต่เมื่อสบตากับเขาตรงๆ เธอก็ต้องก้มหน้าหลบตาอีกครั้ง เมื่อเธอก้มหน้าลงเห็นมือตนเองกำลังวางอยู่ที่กล้ามหน้าท้องของเขา เธอถึงกับร้อง “ว้าย” ก่อนจะกระโดดออกห่างจากเขาหลายก้าว

         

        “นี่พวกเรากำลังทำอะไรกัน?"

         

        จ้านอี้หยางล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำให้ซูหรงหรงตกใจในตอนแรก แต่พอมาได้ยินประโยคที่เธอถาม เขากลับรู้สึกว่าตนเองจะปล่อยยัยกระต่ายน้อยนี้ไปอย่างง่ายดายไม่ได้เสียแล้ว

         

        เขาเอื้อมมือไปลากตัวซูหรงหรงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะค้อมตัวลงมาเผชิญหน้ากับเธอ

         

        “ไม่รู้จริงๆหรือว่าเรากำลังทำอะไร?"

         

        ร่างกายของซูหรงหรงเบี่ยงออกอัตโนมัติ เธอพยายามที่จะ “ไม่สร้างความสัมพันธ์" กับเขา

         

        แต่พอมองจากสถานการณ์ตอนนี้ ร่างกายของเธอกำลังอยู่ในวงแขนของเขา เอวของเธอถูกมือทั้งสองข้างของเขาโอบไว้ เธออยู่ใกล้กับเขามาก...มากเสียจนรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่าย อีกทั้งด้านบนยังเป็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาที่กำลังจ้องมาที่เธออยู่ตอนนี้

         

        หัวใจเธอเต้นรัวจนแทบจะหลุด ราวกับว่าถ้าเธออ้าปาก หัวใจของเธอจะหลุดผ่านออกมาจากช่องทางนั้น

         

        อ๊าย นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย พวกเธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?

         

        เธอส่ายหน้าไปมาเพื่อปฏิเสธว่า เธอไม่รู้จริงๆ

         

        จ้านอี้หยางหรี่ตาเล็กลง เพียงอึดใจ...ริมฝีปากของเขาก็ลงมาทาบทับที่ริมฝีปากของเธอ

         

        การจูบครั้งนี้ไม่ใช่การจูบที่รุนแรง แต่กลับอ่อนหวานชวนน่าหลงใหล จ้านอี้หยางดูดริมฝีปากของเธอราวกับกำลังชิมผลไม้มีค่าที่หายาก

         

        ลมหายใจอุ่นๆ รินรดอยู่บนใบหน้าของเธอจนชวนจักจี้

         

        ซูหรงหรงเริ่มได้สติคืนมา และไม่รู้ว่าเธอไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เธอผลักตัวจ้านอี้หยางออก

         

        จ้านอี้หยางที่ยังไม่ทันตั้งตัว ถูกแรงผลักของเธอดันไปเสียกระเด็น

         

        เขามองแผ่นหลังของซูหรงหรงที่วิ่งหนีออกไปก่อนจะสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปไว้ในกระเป๋ากางเกง...

         

        ไม่เป็นไร อย่างไรเสียตอนนี้ก็จดทะเบียนสมรสไปแล้ว อีกไม่นาน...ก็จะถึงเวลานั้น

         

        ซูหรงหรงใช้เวลาชั่วอึดใจก็วิ่งมาถึงนอกระเบียง เธอใช้มือจับราวระเบียงไว้

         

        แสงอาทิตย์ฤดูใบไม้ผลิช่างอบอุ่น มันสาดส่องมาที่ร่างกายของเธอ เธอรู้สึกว่าแก้มบนใบหน้าร้อนผ่าวยิ่งขึ้นไปอีก

         

        ตกลงเมื่อครู่นี้จ้านอี้หยางจะทำอะไรกันแน่? ทำไมถึงได้...ถอดเสื้อผ้าออกแล้วจูบเธอ! นี่มันยังกลางวันแสกๆ นะ...

         

        อ๊าย ที่สำคัญคือมันยังเป็นช่วงเวลากลางวันอยู่นี่แหละ...

         

        เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองกำลังพบปัญหาใหญ่

         

        ถ้าหากไม่ใช่ตอนกลางวันเธอก็จะยอมเขาอย่างนั้นเหรอ?

         

        ซูหรงหรง...เธอกำลังคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!?

         

        เธอหลุดร้องไห้ออกมา หมดแรงที่จะจับราวระเบียงอีกต่อไป ราวกับกระต่ายเหี่ยวเฉาที่กำลังจะตาย เธอทุบหัวตัวเองหลายทีเพื่อจะได้ดึงสติตัวเองกลับมา

         

        เมื่อจ้านอี้หยางเปลี่ยนชุดเสร็จเขาก็เดินออกมานอกห้อง เมื่อเห็นการกระทำของซูหรงหรง เขาก็ปรี่ตัวเข้าไปคว้าแขนของเธออย่างเป็นธรรมชาติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

         

        “ไปกินข้าวกัน"

         

        พอซูหรงหรงได้ยินเสียงของจ้านอี้หยางที่ไม่มีอาการสำนึกผิด เธอรีบคว้าราวระเบียงไว้แน่นก่อนจะเสหน้ามองไปทางอื่นอย่างไม่กล้าสบตาเขา

         

        “ฉัน...ฉันไม่หิว!"

         

        “ไม่หิว?"

         

        จ้านอี้หยางขมวดคิ้วก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

         

        “ถ้าอย่างนั้นคงต้องยกเลิกจองโต๊ะที่ภัตตาคารฉ่ายเยว่จวี"

         

        แค่เพียงได้ยินสามคำ “ฉ่ายเยว่จวี" เธอก็ลืมเรื่องก่อนหน้าไปทั้งหมด เธอดีดตัวขึ้นมาจ้องหน้าจ้านอี้หยาง

         

        “นายจองโต๊ะไว้ที่ภัตราคารฉ่ายเยว่จวีเหรอ?"

         

        “อืม แถมอาหารก็สั่งไว้หมดแล้วด้วย หมูหันเอย ซาลาเปาไส้ครีมเอย ไก่น้ำแดงเอย...”

         

        ยิ่งฟังรายการอาหาร ดวงตาของซูหรงหรงยิ่งเปล่งประกายขึ้น

         

        ดีมาก จ้านอี้หยางพอใจกับสิ่งตรงหน้า ยัยกระต่ายน้อยติดเบ็ดอีกแล้ว

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ15 มิถุนายน พ.ศ. 2563 13.28 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
20 เมื่อ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2563 13.29 น.

เล่มที่ 1 บทที่ 20 จ้านอี้หยางเป็นของฉัน

      

        เมือง A ณ ภัตราคารอาหารจีนกวางตุ้งฉ่ายเยว่จวี ในปี 1990 ภัตราคารแห่งนี้ได้รับรางวัล ‘ร้านอาหารจีนที่ได้รับเกียรติ’ จากกระทรวงการค้าภายในประเทศ อีกทั้งยังได้รับอนุญาตจากกรมการค้าแห่งชาติให้ยกย่องเป็น ‘โรงแรมระดับพรีเมี่ยมของประเทศ’

         

        แน่นอนว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของซูหรงหรงไม่ใช่รางวัลที่กล่าวมาข้างต้น แต่เพราะจ้านอี้หยางพูดรายชื่อเมนูอาหารเหล่านั้นออกมา คนที่ตะกละอย่างเธอมีหรือจะทนได้

         

        ชื่อเสียงของฉ่ายเยว่จวีนั้นช่างเลื่องลือ การจะจองคิวทานอาหารที่นั่นจะต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ ราคาอาหารก็ค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นเธอจึงไปแค่ไม่กี่ครั้งเพราะกลัวฟุ่มเฟือย

         

        แต่ครั้งนี้จ้านอี้หยางเป็นคนจองโต๊ะ อาหารก็สั่งไว้เรียบร้อยแล้วด้วย และทั้งหมดล้วนเป็นของที่เธอชอบกินทั้งนั้น

         

        แรงดึงดูดนี้...ช่างใหญ่หลวงนัก

         

        ความคิดของเธอแสดงออกมาผ่านใบหน้าและการกระทำทั้งหมด เพียงแต่เจ้าตัวไม่ได้สังเกตเห็นเท่านั้น ในหัวของเธอกำลังคิดซ้ำไปซ้ำมาว่าเธอจะรักษาภาพพจน์ของเธอไว้อย่างไร ในเมื่อเธออยากไปใจแทบขาด แต่บอกเขาไปแล้วว่ายังไม่หิว

         

        ขอพระเจ้าอวยพร ยัยกระต่ายน้อยซูหรงหรงคิดหาข้ออ้างคำโตเพื่อที่จะได้ไปทานอาหาร

         

        เธอดึงปลายเสื้อของจ้านอี้หยางก่อนจะเงยหน้ามองเขา

         

        “จองที่นั่งแล้ว แถมอาหารก็สั่งไว้แล้ว แบบนี้ก็ยกเลิกไม่ได้แล้วใช่มั้ย?"

         

        จ้านอี้หยางแอบดีใจชั่วครู่หนึ่ง

         

        “ไม่ได้"

         

        “ต้องจ่ายเงินแม้จะยกเลิกโต๊ะใช่มั้ย?"

         

        จ้านอี้หยางแกล้งถอนหายใจ

         

        “ใช่ น่าเสียดายจริงๆ"

         

        “อุ๊ย ถ้าเราทำตัวฟุ่มเฟือยจะถูกสวรรค์ลงโทษนะ ทุกๆ วันฉันจะสอนเหล่านักเรียนตัวน้อยให้รู้จักถึงคุณค่าของอาหาร ถ้าฉันไม่นึกถึงคุณค่าอาหารเสียเองก็คงไม่ดี โดยเฉพาะนายที่เป็นทหารยิ่งไม่สมควรฟุ่มเฟือย"

         

        ซูหรงหรงแสดงสีหน้าท่าทางจริงจัง

         

        “ดังนั้น?"

         

        จ้านอี้หยางขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขารอดูท่าทีของซูหรงหรงและทำการเดาประโยคต่อไปของเธอไว้เรียบร้อย

         

        “ดังนั้น ถึงแม้เราจะยังอิ่มอยู่แต่ก็ต้องไปกิน! ไม่ควรจะทิ้งอาหารให้ฟุ่มเฟือย"

         

        โอ้เย ซูหรงหรงหาข้ออ้างและจบมันอย่างสวยงาม เธอคิดในใจอย่างยิ่งผยองว่าตนเองช่างจะมีความสามารถในด้านนี้จริงๆ ฮ่าๆๆๆ

         

        จ้านอี้หยางกระตุกยิ้ม ปล่อยให้เธอดีใจไปกับความคิดของตน

         

        “เธอพูดถูก ไปกันเถอะ"

         

        ซูหรงหรงยังคงดีใจเพราะคิดว่าจ้านอี้หยางหลงเชื่อในสิ่งที่เธอพูดโดยที่เธอไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า ขณะนี้เขากำลังจับมือเธอแล้วพาเธอเดินออกไป เมื่อเดินผ่านโซฟา เขาไม่ลืมที่จะหยิบกระเป๋าสะพายที่เธอเพิ่งจะโยนลงไปเมื่อสักครู่ติดมือมาด้วย

         

        เมื่อเข้าไปในลิฟต์ ซูหรงหรงเพิ่งจะสังเกตว่าจ้านอี้หยางเปลี่ยนชุดที่สวมใส่เรียบร้อยแล้ว

         

        เขาถอดชุดราชการออกไปแล้ว ตอนนี้เขาสวมเสื้อสเวตเตอร์ เสื้อคลุมตัวนอกเป็นสีกากี ส่วนท่อนล่างใส่เป็นกางเกงลำลองสีอ่อน ช่างดูเป็นธรรมชาติและยังดูสะอาดสะอ้านอีกด้วย แม้เสื้อผ้าที่สวมใส่จะไม่ได้หวือหวา แต่กลับดูมีราคาแพง

         

        อีกทั้ง การที่เขาใส่ชุดสบายๆยิ่งทำให้เขาดูดียิ่งขึ้น แท้จริงแล้ว...เขาหล่อเสียจนเหมือนกับเป็นวัยรุ่นสมัยใหม่ที่ร่ำรวยและมีความสามารถในย่านธุรกิจ CBD แห่งนี้

         

        อ๊าย พี่จ้านคนนี้ช่าง...หล่อทุกมุมมอง พอมองแล้วก็ยิ่งอยากมองมากขึ้นไปอีก

         

        เป็นอีกครั้งที่ซูหรงหรงไม่สามารถควบคุมตนเองได้จนเผลอพูดสิ่งที่เธอคิดในใจออกมา

         

        “เวลานายใส่ชุดแบบนี้ช่างดูน่าหลงใหลจริงๆ"

         

        พอพูดจบเธออายจนแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายไปเลย

         

        ซูหรงหรง นี่เธอทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย พูดไปแบบนี้เดี๋ยวเขาก็มีหัวข้อมาล้อเธอเล่นอีก

         

        จ้านอี้หยางรู้สึกดีมาก เขากดลิฟต์ไปที่ชั้นหนึ่งก่อนจะเบนสายตามามองหน้ายัยกระต่ายน้อยที่กำลังเขินอาย

         

        “ทำให้เธอหลงได้ก็พอแล้ว"

         

        ซูหรงหรงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจ้านอี้หยางจะไม่พูดอะไรให้เธออายมากขึ้น เธอมองไปที่ใบหน้าของเขาด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคำขอบคุณ เธอพยักหน้าตอบรับเขา

         

        “ฉันหลงนายไปแล้ว! จริงๆนะ"

         

        เขาส่งสายตาพึงพอใจมาให้เธอก่อนจะยื่นกระเป๋าสะพายไปให้ยัยกระต่ายน้อยแล้วลูบหัวเธอเบาๆ

         

        “งั้นก็ดี"

         

        ซูหรงหรงรับกระเป๋าสะพายลายพุทราสีแดงคืนมา

         

        ครู่ต่อมาเธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนเองพูดอะไรออกไป เธอรีบหันหน้าหนีเข้าหากำแพงลิฟต์อย่างเขินอาย

         

        ขายหน้าจริงๆ วันนี้โรคบ้าผู้ชายกำเริบมากเกินไปแล้ว

         

        นี่หรือว่าเธอโดนจ้านอี้หยางแกล้งอีกแล้ว

         

        ใบหน้าของจ้านอี้หยางตอนนี้เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม เขาเอามือวางไว้บนไหล่ของซูหรงหรง

         

        “หันกลับมานี่ จะถึงชั้นหนึ่งแล้ว"

         

        “ไม่เอา"

         

        ซูหรงหรงเอ่ยเสียงแข็ง ตัวเธอชิดกำแพงราวกับจะฝังร่างกายเข้าไปภายใน

         

        จ้านอี้หยางถอนหายใจก่อนจะค่อยๆหันตัวเธอกลับมาอย่างเบามือ เขาสบตาเธอ

         

        “ถูกฉันทำให้หลงไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย"

         

        ซูหรงหรงที่ผละมือที่ใช้ปิดหน้าออกแล้วทุบเข้าไปที่หน้าอกของจ้านอี้หยาง

         

        “ยังจะพูดอีก!"

         

        จ้านอี้หยางคว้ามือของซูหรงหรงทั้งสองข้างเอาไว้ ในขณะเดียวกันลิฟต์ก็เคลื่อนมาถึงชั้นหนึ่งพอดี เขาลูบหัวเจ้ากระต่ายน้อยไปมา

         

        “เลิกเอะอะได้แล้ว เดี๋ยวเธอไปรอฉันที่ประตูหลัง ฉันจะไปเอารถด้านล่าง โอเคมั้ย?"

         

        ซูหรงหรงเองก็พอรู้เรื่องอยู่บ้างว่าควรจะหยุดโวยวาย เธอตอบ “อืม" ก่อนจะค่อยๆออกเดินไปที่ประตูหลัง

         

        เธอหาจุดที่มีแสงสว่างเพื่อไปยืนรอเขา ที่ว่างที่เธอยืนอยู่สามารถมองเห็นบริเวณรอบเขตเล็กๆ นี้ได้ทั้งหมด

         

        แม้จะดูใหญ่โตแต่กลับเงียบสงบ ราวกับต้องการจะเก็บรักษาไว้ภายใน โดยการตั้งชื่อรองให้คนจำและรักษาชื่อจริงของที่นี่ไว้ ‘เชียนสุ่ยวาน’

         

        พื้นที่สีเขียวของชุมชนนี้ค่อนข้างใหญ่ หากไม่มีตึกสูงระฟ้าตึกนั้น ที่นี่อาจจะกลายเป็นสวนสาธารณะใหญ่ๆ ได้เลยด้วยซ้ำ ซูหรงหรงคิดในใจ

         

        เฮ้อ ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งตอนนี้เธอผ่านเรื่องราวต่างๆ มาเยอะมาก นอกจากเรื่องที่จ้านอี้หยางชอบแกล้งเธอแล้ว เธอยังหาไม่เจอปัญหาที่สองที่เขาทำอะไรให้เธอไม่พอใจ

         

        อีกอย่าง เขาเพียงแค่แกล้งเธอ แต่ไม่ได้ทำร้ายเธอ

         

        จ้านอี้หยาง...

         

        ชั่วขณะนี้ ในหัวของซูหรงหรงมีเพียงแค่...ชื่อของเขา

         

        เมื่อจ้านอี้หยางขับรถออกมาจากโรงเก็บรถ เขาก็เห็นซูหรงหรงยืนเหม่อลอยอยู่ข้างถนน ในเขตชุมชนห้ามไม่ให้ใช้เสียงแตร เขาจึงทำได้เพียงขับรถไปเทียบขอบถนนที่เธอยืนอยู่ก่อนจะลดกระจกเรียกเธอ

         

        “ขึ้นรถ"

         

        ซูหรงหรงได้สติกลับคืนมา เธอเพิ่งจะพบว่าจ้านอี้หยางขับรถคันใหม่ออกมา

         

        แลนด์โรเวอร์สีขาวที่ดูแข็งแรงและเปี่ยมไปด้วยพลังช่างเหมาะสมกับสไตล์ของเขาที่เป็นทหาร

         

        เธอเปิดประตูฝั่งข้างคนขับก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่ง จ้านอี้หยางเตือนให้เธอรัดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย

         

        เมื่อพร้อมแล้ว แลนด์โรเวอร์สีขาวก็มุ่งหน้าไปที่ภัตราคารฉ่ายเยว่จวีทันที

         

        ภัตราคารฉ่ายเยว่จวีตั้งอยู่อยู่ใจกลางเมือง ไม่นานก็มาถึง

         

         

         

        จ้านอี้หยางขับรถไปจอด ณ จุดจอดรถ เขาให้ซูหรงหรงลงจากรถก่อน แล้วให้เธอรอเขาที่หน้าร้าน

         

        ซูหรงหรงส่งเสียง “อื้ม" เป็นการตอบรับอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ค่อยๆ ลงจากรถ

         

        เธอเดินข้ามทางม้าลายเพื่อจะไปยืนรอเขาที่ด้านหน้าร้านอาหาร

         

        เมื่อเดินมาได้เพียงครึ่งทาง สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นเงาของคนสองคนที่เธอคุ้นเคยดี

         

        กู้แหยนเจ๋อและเฉินหย่าถิง!

         

        ทั้งสองกำลังเดินออกมาจากร้านค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง

         

        มือของกู้แหยนเจ๋อโอบอยู่บริเวณเอวของเฉินหย่าถิง ศีรษะของเฉินหย่าถิงอิงแอบอยู่ที่ไหล่กว้างเขา กิริยาของทั้งสองคนราวกับว่าไม่สามารถมีอะไรมาพรากพวกเขาออกจากกันได้ แต่ทว่าภาพดังกล่าวกลับทำให้คนอื่นที่มองเห็นขยะแขยงเสียมากกว่า

         

        มือของทั้งสองเต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย พวกเขาหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างหวานชื่น

         

        ซูหรงหรงที่ยืนมองอยู่กลับพบว่า ตนเองนั้น...

         

        ในตอนที่เธอยังคบกับกู้แหยนเจ๋อ เขาเองก็เคยพาเธอมาเดินเลือกซื้อของ เธอมักจะรังเกียจการที่มาเดินซื้อของโอบเอวกันเช่นนี้ เธอมองว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ควรจะทำในที่สาธารณะ แต่ทว่า...เฉินหย่าถิงกลับสามารถสนองความต้องการให้กับเขาได้ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะชอบอะไรแบบนี้เสียด้วยซ้ำ

         

        สมควรแล้ว มันก็คงเหมือนการเลือกฝาให้กับหม้อ มันจะต้องเลือกชุดที่ใส่กันได้พอดีเท่านั้น

         

        ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าทั้งสองคนนี้ช่างเหมาะสมกัน

         

        ปี๊นนน!

         

        จู่ๆ ก็มีเสียงแตรรถเข้ามาในประสาทหูของเธอ พลันภาพเมื่อครู่ก็มลายหายไป ตัวของเธอถูกกระชากถอยหลังจนหัวของเธอไปพิงอยู่บนหน้าอกที่เธอคุ้นเคย ก่อนที่เธอจะขยับตัวถอยหลังมายืนอยู่บนทางเท้า

         

        “ซูหรงหรง!"

         

        เสียงดุของจ้านอี้หยางทะลุเข้ามาในโสตประสาท

         

        “เธอกำลังคิดอะไรตอนเดินข้ามถนน ทำไมอยู่ๆ ก็ไปหยุดเดินกลางถนนแบบนั้น?"

         

        ซูหรงหรงเงยหน้ามองจ้านอี้หยาง แปลกแต่จริง เธอที่กำลังถูกเขาตะคอก เธอกลับไม่มีความรู้สึกกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย

         

        อาจเป็นเพราะว่า...ที่เขากำลังเป็นบ้าเป็นหลังอยู่นี้ก็เพราะห่วงเธอ

         

        รู้จักกันมาครึ่งวัน เหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นตัวตนของเขา เป็นครั้งแรกหรือเปล่านะที่ได้ยินเสียงเขาโกรธอย่างจริงจัง?

         

        ก่อนหน้านั้นเขามักจะทำตัวสุขุมราวกับเธอเป็นลูกไก่ในกำมือของเขา เขาทำราวกับว่าเขาสามารถจัดการได้ทุกเรื่อง อยากจะแกล้งเธอเมื่อไรก็แกล้ง

         

        แต่ตอนนี้คำพูดของเขากลับเต็มไปด้วยอารมณ์ แต่ทำไมเธอกลับยังทนได้กันนะ?

         

        “จ้านอี้หยาง"

         

        เธอหัวเราะออกมา มือของเธอตวัดกอดแขนของเขา ก่อนจะใช้เสียงหวานพูดกับเขา

         

        “ไปกินข้าวกันเถอะ ฉันหิวแล้ว"

         

        “…”

         

        ความรู้สึกตอนนี้ราวกับเขาเหวี่ยงหมัดด้วยกำลังที่มีทั้งหมดออกไปเต็มแรง ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือผ้าฝ้ายนุ่มๆ จ้านอี้หยางที่อารมณ์สูงปรี๊ดเมื่อสักครู่กลับสงบลงอย่างง่ายดายเพียงเพราะรอยยิ้มบนใบหน้าของซูหรงหรง

         

        การกระทำตอนนี้ของยัยกระต่ายน้อยของเขาช่างน่ารักเสียจริง เธอกำลังยิ้มแล้วหัวเราะอยู่ข้างกายเขา เหล่าพลทหารที่เขาฝึกทั้งกองร้อยก็ไม่สามารถทำให้เขาเย็นลงได้เหมือนเธอ

         

        ช่างเถอะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกพ่ายแพ้

         

        ยัยกระต่ายไม่ใช่ทหารของกองทัพที่เขาดูแลอยู่ อย่างไรเสียเธอก็ไม่มีวันจะทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้เช่นนี้อีก ...ถ้าเขาไม่เปิดโอกาสให้เธอทำ

         

        “ซูหรงหรง!"

         

        จ้านอี้หยางใช้เสียงเข้ม

         

        “รับทราบ!"

         

        ซูหรงหรงพยักหน้าอย่างจริงจังเพื่อจะแสดงออกว่าเธอฟังเขาอยู่

         

        “ต่อไปนี้ถ้าฉันเดินไปไหนเธอจะต้องเดินไปที่นั่น ถ้าฉันจอดรถที่ไหนเธอก็ต้องไปที่นั่นกับฉัน"

         

        ซูหรงหรงแอบคิดในใจ ‘แสดงว่าต่อไปนี้เธอจะต้องเป็นเงาตามตัวจ้านอี้หยางเลยใช่หรือเปล่า?’

         

        เธอหัวเราะก่อนจะตอบ “ค่ะ"

         

        แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกแปลกๆ

         

         

         

        เมื่อครู่นี้เพิ่งจะเห็นกู้แหยนเจ๋อกับเฉินหย่าถิงเดินควงกัน แต่เธอกลับ...

         

        กลับไม่มีความรู้สึกมากมายอะไรออกมา ความรู้สึกที่ออกมาทั้งหมดคงเป็นแค่การได้เห็น...คู่ของหมาตัวผู้ตัวเมียเท่านั้น

         

        พอมามองที่สถานการณ์ตอนนี้ เธอที่กำลังคล้องแขนจ้านอี้หยางอย่างอิสระ กลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก

         

        อ๊าย ที่จริงเธอค้นพบแล้วว่า...พี่จ้านดีกว่านิดหน่อย

         

        ไม่สิ ดีกว่ามากเลยต่างหาก เจ้าไก่อ่อนกู้แหยนเจ๋อนั่นเทียบเขาไม่ติดเลยสักนิด

         

        ดวงตาของจ้านอี้หยางจ้องมาที่ยัยกระต่ายน้อยที่กำลังหัวเราะเหมือนคนโง่

         

        “เธอหัวเราะอะไร?"

         

        “อุ้ย ไม่มีอะไร"

         

        ซูหรงหรงเกาะมือของเขาแน่นขึ้นราวกับแขนของเขาคือหมูหัน

         

        “ฉันคิดถึงหมูหันของฉันแล้ว..."

         

        เมื่อพูดจบเธอเพิ่งจะรู้สึกถึงความไม่ถูกต้อง เธอกำลังเปรียบเทียบจ้านอี้หยางกับหมูอยู่อย่างนั้นเหรอ

         

        ถ้าจ้านอี้หยางรู้เข้า เธอจะถูกเขาฆ่าตายไหมเนี่ย

         

        เมื่อเข้ามาในภัตราคาร จ้านอี้หยางแสดงชื่อของตน สาวสวยที่สวมใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงรีบเชิญทั้งสองไปยังที่นั่งของพวกเขา จ้านอี้หยางสั่งให้เสิร์ฟอาหารทันที สาวสวยร่างบางคนนั้นส่งสายตาหวานซึ้งให้เขาก่อนจะตอบ

         

        “ได้ค่ะคุณผู้ชาย รอสักครู่นะคะ"

         

        “เฮ้อ..."

         

        ซูหรงหรงมองภาพเบื้องหลังของสาวสวยคนนั้นก่อนจะลอบถอนหายใจ

         

        จ้านอี้หยางเหล่สายตามามองเธอ

         

        “เป็นอะไร?"

         

        “ฉันเดานะ..."

         

        ดวงตาของซูหรงหรงเปล่งประกาย ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ

         

        “สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นอยากจะเสิร์ฟให้นายน่าจะเป็นตัวเธอมากกว่าอาหาร อุ้ย สายตาของเธอที่ส่งมาหานายตอนที่บอกให้รอสักครู่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์"

         

        “อ่อ"

         

        จ้านอี้หยางเข้าใจในที่สุดก่อนจะเทชาใส่แก้ว

         

        “ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงทำได้แค่คิด"

         

        “หืม?"

         

        ซูหรงหรงมองเขาอย่างสงสัย

         

        จ้านอี้หยางวางกาน้ำชาลง

         

        “ซูหรงหรง พวกเราจดทะเบียนสมรสกันแล้วไม่ใช่หรือไง?"

         

        “ใช่"

         

        “ถ้าอย่างนั้นฉันเป็นของใคร?"

         

        ซูหรงหรงที่ตกหลุมพรางประกาศขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ

         

        “ของฉัน"

         

        แกะน้อยเอ๋ย นี่เป็นกฎหมายของบ้านเมืองเชียวนะ บ้านเมืองเรามีทหารคุ้มกันปกป้อง เพียงแค่มีเจ้าสมุดทะเบียนสมรสเล่มแดงนั่น ใครคิดจะมาแย่ง คนนั้นมันต้องตาย ฮ่าๆๆๆ

         

        โต๊ะข้างๆ ที่ได้ยินเสียงหัวเราะของซูหรงหรงต่างพากันหันมามองอย่างสงสัย

         

        สำหรับจ้านอี้หยางแล้ว เขาทำเพียงอมยิ้มมองหน้าซูหรงหรง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์

         

        ซูหรงหรงอยากจะบ้าตาย เธอก้มหน้าลง แทบจะมุดตัวเข้าไปในโต๊ะ นี่เธอโดนจ้านอี้หยางแกล้งอีกแล้วหรือนี่...

 

___________________________________________

 

อย่าลืมคอยติดตามเอาใจช่วย"ซูหรงหรง"และว่าที่สามีของเธอด้วยะนะจ๊ะ


หากชอบ "ซูหรงหรง"และ "จานอี้หยาง" สามารถเข้าไปติดตามได้เร็วกว่าใครได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้เลยน้า

 

https://www.kawebook.com/story/3266

 

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ15 มิถุนายน พ.ศ. 2563 13.30 น.
หน้า จาก 2 ( 30 ข้อมูล )
แสดงจำนวน ข้อมูลต่อแถว

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา