เงินหมุนเวียน: หัวใจสำคัญของธุรกิจค้าขาย ไม่ให้สะดุดกลางคัน!
สำหรับพ่อค้าแม่ค้า ไม่ว่าจะขายของออนไลน์หรือมีหน้าร้าน หนึ่งในสิ่งสำคัญที่ต้องมีคือ เงินหมุนเวียน (Working Capital) ไม่ว่าจะซื้อขายเป็นเงินสดทั้งหมดหรือไม่ก็ตาม หากคุณต้องมีการสต็อกสินค้าเพื่อขาย หรือมีบริการที่ยังไม่ได้รับเงินทันที เงินหมุนเวียนยิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีรายรับที่ถูกเลื่อนออกไป เช่น การให้เครดิตลูกค้า การเก็บเงินปลายทาง หรือการขายผ่านตัวแทน เงินหมุนเวียนที่ดีจะช่วยรักษาสภาพคล่องของกิจการ นั่นคือความสามารถในการจ่ายเงินเมื่อถึงเวลาที่ต้องจ่าย
ทำไมเงินหมุนเวียนถึงสำคัญ?
ลองนึกภาพว่าคุณขายสินค้าได้เป็นจำนวนมาก แต่เงินยังไม่เข้าบัญชีทันที หรือคุณต้องจ่ายค่าสินค้าให้ซัพพลายเออร์ก่อนที่จะได้รับเงินจากลูกค้า นี่คือสถานการณ์ที่เงินหมุนเวียนเข้ามามีบทบาทสำคัญ หากไม่มีเงินสำรองไว้เพียงพอ ธุรกิจอาจจะชะงักงัน หรือที่เรียกว่า "หมุนเงินไม่ทัน" ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ได้
คำนวณสภาพคล่องของกิจการง่ายๆ
คุณสามารถคำนวณหาสภาพคล่องหรือสินเชื่อหมุนเวียนที่จำเป็นสำหรับกิจการของคุณได้ง่ายๆ จากเงินลงทุนในลูกหนี้ (เงินที่ลูกค้าค้างจ่าย), สินเชื่อที่ได้รับจากเจ้าหนี้ (เงินที่เราค้างจ่ายซัพพลายเออร์), และเงินลงทุนในสินค้าคงคลัง (รวมค่าขนส่งเข้า) ตามสูตรนี้:
เงินหมุนเวียน = เงินลงทุนในลูกหนี้ – สินเชื่อจากเจ้าหนี้ + เงินลงทุนในสินค้าคงคลัง
ตัวอย่าง: หากคุณให้เครดิตลูกค้า 50,000 บาท ได้เครดิตจากเจ้าหนี้ 200,000 บาท และมีสินค้าคงคลังเพื่อขาย 300,000 บาท เงินหมุนเวียนที่ต้องการ = 50,000 – 200,000 + 300,000 = 150,000 บาท
ถ้ากิจการของคุณมีเงินสำรอง 150,000 บาทอยู่แล้ว ก็ถือว่ามีสภาพคล่องที่ดี แต่หากมีเงินสำรองไม่ถึง หรือกำลังเผชิญภาวะ "หมุนเงินไม่ทัน" คุณจำเป็นต้องมองหาแนวทางแก้ไขทันที
2 แนวทางหลักในการบริหารเงินหมุนเวียน: เร่งรับเข้า ชะลอจ่ายออก
เพื่อรักษาสภาพคล่องของกิจการ มี 2 วิธีหลักที่คุณสามารถนำมาปรับใช้ได้:
- เร่งเงินรับเข้า กู้เงินเปิดร้าน:
- เร่งเก็บเงินจากลูกหนี้: เปลี่ยนจากการรับบัตรเครดิตเป็นการรับเงินสด หรือกระตุ้นให้ลูกค้าชำระเงินเร็วขึ้น
- เร่งระบายสินค้าคงคลัง: จัดโปรโมชั่น ลดราคา หรือจัดรายการส่งเสริมการขาย เพื่อให้ได้เงินสดเข้ามาในร้านเพิ่มขึ้น
- ชะลอเงินจ่ายออก:
- ขอเลื่อนการชำระหนี้: เจรจากับซัพพลายเออร์หรือเจ้าหนี้เพื่อขอขยายระยะเวลาชำระหนี้
- ใช้เช็คชำระหนี้: การใช้เช็คชำระหนี้จะช่วยชะลอการโอนเงินออกจากบัญชีไปได้ระยะหนึ่ง
เมื่อสองแนวทางยังไม่พอ: แหล่งสินเชื่อถูกกฎหมายช่วยเสริมสภาพคล่อง
หากคุณลองปรับใช้ทั้งสองวิธีข้างต้นแล้ว แต่กิจการยังคงมีสภาพคล่องไม่เพียงพอ ถึงเวลาที่คุณจะต้องพิจารณา แหล่งสินเชื่อ ที่ถูกกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้คุณกลายเป็น "แม่ค้าหมุนเงินไม่ทัน" แหล่งสินเชื่อเหล่านี้มีให้บริการจากสถาบันการเงินและธนาคารต่างๆ ซึ่งคุณจะได้รับการคุ้มครองในฐานะลูกหนี้:
- สินเชื่อจากการจำนองบ้านและที่ดิน: ดอกเบี้ยไม่สูงและมีระยะเวลาชำระคืนนาน แต่ขั้นตอนมักจะยุ่งยากและใช้เวลาอนุมัตินาน
- สินเชื่อรถแลกเงิน: ได้เงินสดเป็นก้อนตามมูลค่ารถที่นำไปเป็นหลักประกัน โดยได้รับเป็นเงินก้อน
- บัตรกดเงินสด สินเชื่อ od หรือสินเชื่อส่วนบุคคล: ได้เงินสดรวดเร็ว ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก โดยเฉพาะถ้ามีบัตรเครดิตอยู่แล้วสามารถกดเงินสดมาใช้ได้เลย แต่ควรระวังเรื่องดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงและค่าปรับหากไม่ชำระตามกำหนด
- สินเชื่อ SME: เป็นสินเชื่อที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยโดยเฉพาะ กู้ง่าย ไม่ยุ่งยาก และมีหลากหลายรูปแบบ เช่น สินเชื่อ SME ของธนาคารกรุงไทย ที่มีทั้งสินเชื่อที่ช่วยเสริมสภาพคล่องและวงเงินกู้ที่ผ่อนชำระนาน
ธนาคารกรุงไทย มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อ SME ที่น่าสนใจหลายประเภท เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณไปต่อได้ไม่สะดุด เช่น:
- สินเชื่อคู่ค้าพารวย: วงเงินเบิกเกินบัญชีสูงสุด 3 เท่าของยอดซื้อ สูงสุด 5 ล้านบาท ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน สามารถใช้เงินสดผ่าน Krungthai NEXT และ Krungthai Business ได้ทันที
- สินเชื่อ SME ไซส์เล็ก: เหมาะกับกิจการขนาดเล็กที่ต้องการสินเชื่อไม่เกิน 3 ล้านบาท กู้ง่ายผ่านแอปถุงเงิน ไม่ต้องมีบุคคลหรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน กู้ได้นานสูงสุด 7 ปี
- สินเชื่อ SME ผ่อนนาน 10 ปี: สำหรับธุรกิจที่ดำเนินงานมาแล้วอย่างน้อย 2 ปี ให้วงเงินสูงสุดถึง 10 ล้านบาท
การมีเงินหมุนเวียนที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินธุรกิจ หากคุณกำลังเผชิญปัญหา "หมุนเงินไม่ทัน" การปรึกษาธนาคารเพื่อขอสินเชื่อ SME อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ธุรกิจของคุณเดินหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้