องค์ประกอบของ CSOC ในการตรวจจับภัยคุกคามแบบเชิงรุก

admeadme

ขีดเขียนชั้นมอปลาย (126)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:128
เมื่อ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 16.42 น.

สร้างเกราะป้องกันให้เองค์กรด้วย CSOC และการตรวจจับแบบเชิงรุก

เมื่อภัยไซเบอร์มักซ่อนตัวอยู่ในพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตรวจจับยาก CSOC หรือ Security Operation Center จึงต้องยกระดับการทำงานด้วยแนวทาง Proactive Detection ที่ครอบคลุมและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถล่วงรู้และจัดการความเสี่ยงได้ก่อนที่เหตุร้ายจะเกิด เพราะทุกวินาทีที่ระบบขององค์กรหยุดชะงัก อาจหมายถึงความเสียหายมหาศาลหรือความเชื่อมั่นที่หายไปในพริบตา นี่จึงเป็นเหตุผลที่องค์กรไม่ควรพึ่งพาการป้องกันแบบตั้งรับอีกต่อไป บทความนี้จะพาไปรู้จักองค์ประกอบของ SOC ในการตรวจจับเชิงรุกเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่า CSOC กับการตรวจจับเชิงรุกเป็นการลงทุนด้านความปลอดภัยที่คุ้มค่าอย่างไร

 

CSOC กับการตรวจจับเชิงรุกมีองค์ประกอบสำคัญอะไรที่ต้องรู้บ้าง?

ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยไซเบอร์ หรือ CSOC (Cyber Security Operation Center) ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่เฝ้าระวังเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการตรวจจับภัยคุกคามเชิงรุก (Proactive Detection) ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อโดยไม่แสดงความผิดปกติที่ชัดเจน โดยการทำงานของ CSOC ในลักษณะนี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เครื่องมือด้านความปลอดภัยที่ทันสมัย รวมถึงกระบวนการที่ออกแบบมาเพื่อค้นหาความเสี่ยงก่อนที่จะกลายเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อองค์กร ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญหลายด้านที่ทำให้ CSOC สามารถรับมือกับภัยคุกคามล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพดังนี้

 

Threat Hunting

Threat Hunting  ถือเป็นหนึ่งในภารกิจเชิงรุกหลักของ CSOC ที่มุ่งเน้นไปยังการค้นหาพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายหรือความผิดปกติในระบบเครือข่ายองค์กร แม้จะยังไม่มีการแจ้งเตือนจากระบบอัตโนมัติ การทำ Threat Hunting จึงต้องใช้ความชำนาญของนักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยร่วมกับเครื่องมือขั้นสูง เพื่อวิเคราะห์ log พฤติกรรมผู้ใช้ รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ในระบบ และทำให้สามารถระบุร่องรอยของภัยคุกคามที่อาจแฝงตัวอยู่ได้ การดำเนินการลักษณะนี้จะช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองได้เร็วขึ้น ทั้งลดโอกาสการโจมตีที่อาจสร้างความเสียหายรุนแรง

 

ใช้ข้อมูล Threat Intelligence

CSOC ที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องใช้ข้อมูล Threat Intelligence อย่างต่อเนื่องเพื่อรับข้อมูลภัยคุกคามใหม่ ๆ จากแหล่งภายนอก ไม่ว่าจะเป็นฐานข้อมูลมัลแวร์ IP อันตราย หรือเทคนิคการโจมตีล่าสุด การนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลภายในขององค์กรจะช่วยให้ทีมสามารถคาดการณ์รูปแบบการโจมตีล่วงหน้า และปิดช่องโหว่ได้ก่อนที่จะถูกใช้ประโยชน์จริง นอกจากนี้งยังช่วยให้การตอบสนองภัยคุกคามมีข้อมูลสนับสนุนที่ชัดเจน ลดเวลาในการวิเคราะห์ และเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินขององค์กรด้วย

 

Behavioral Analytics

CSOC ใช้การวิเคราะห์พฤติกรรม (Behavioral Analytics) เพื่อสังเกตความผิดปกติในการใช้งานระบบ เช่น พฤติกรรมของผู้ใช้หรือเครื่องที่เปลี่ยนไปจากปกติ การล็อกอินนอกเวลาทำการ การดาวน์โหลดข้อมูลจำนวนมากที่ผิดปกติ หรือแม้กระทั่งการใช้โปรแกรมที่ไม่เคยใช้งานมาก่อน โดย ระบบวิเคราะห์พฤติกรรมเหล่านี้ขับเคลื่อนด้วย Machine Learning หรือ AI ซึ่งจะเรียนรู้ข้อมูลจากในอดีตเพื่อตรวจจับภัยคุกคามที่ไม่สามารถระบุได้ด้วยกฎเกณฑ์แบบเดิม ๆ 

 

Automation & Orchestration

เมื่อมีเหตุการณ์ความปลอดภัยเกิดขึ้น เวลาคือสิ่งสำคัญที่สุดในการลดผลกระทบ CSOC สมัยใหม่จึงเลือกใช้ระบบ Automation และ Orchestration อย่าง SOAR (Security Orchestration, Automation and Response) เข้ามาช่วยจัดการขั้นตอนต่าง ๆ แบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือน การปิดกั้นการเข้าถึง หรือการวิเคราะห์ log ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทำให้สามารถลดภาระของทีมงาน และตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้ภายในไม่กี่วินาที ประสิทธิภาพในการป้องกันภัยคุกคามจึงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


เมื่อภัยไซเบอร์ไม่หยุดพัฒนา การรอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยแก้ไขอาจเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงเกินไป องค์กรจึงต้องมี CSOC ที่ทำหน้าที่ตรวจจับแบบเชิงรุกเข้ามาช่วยปกป้องข้อมูล ระบบ และชื่อเสียงอย่างรัดกุมด้วยการผสานแนวทางอย่าง Threat Hunting, ข้อมูล Threat Intelligence, การวิเคราะห์พฤติกรรม และระบบอัตโนมัติ องค์กรที่มี SOC จะสามารถรับมือกับภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงเชิงธุรกิจ รวมถึงเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าและพาร์ตเนอร์  ดังนั้นหากองค์กรคุณยังไม่มีระบบป้องกันเชิงรุกนี้ การลงทุนใน SOC Security เป็นอีกทางเลือกที่น่าพิจารณาในยุคที่ทุกวินาทีคือโอกาสในการป้องกันความเสียหาย

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา