นิ่วในไตเกิดจากอะไร? รวมอาการและวิธีการรักษาที่ทุกคนต้องรู้
นิ่วในไตเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีอัตราการเกิดโรคสูงที่สุดในประเทศ โรคนี้เกิดจากการตกผลึกของแร่ธาตุและสารต่าง ๆ ในไต จนกลายเป็นก้อนหินขนาดเล็กหรือใหญ่ที่เรียกว่า "นิ่ว" ซึ่งนิ่วในไตสามารถก่อให้เกิดอาการปวดรุนแรงและส่งผลกระทบต่อการทำงานของไตได้ในระยะยาว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังได้ในที่สุด
นิ่วในไตเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง?
นิ่วในไตเกิดจากอะไร? นิ่วในไตเกิดจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและสภาพแวดล้อม หากเราเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดนิ่วจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงในการเป็นนิ่วได้ดียิ่งขึ้น โดยสาเหตุหลัก ๆ ของการเกิดนิ่วในไตมีดังนี้
- พฤติกรรมการดื่มน้ำไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีอากาศร้อน ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากและปัสสาวะเข้มข้น ส่งผลให้แร่ธาตุต่าง ๆ ตกตะกอนได้ง่าย
- การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงเกินไป โดยเฉพาะเนื้อสัตว์และอาหารทะเล ซึ่งมีสารพิวรีนสูง ทำให้ร่างกายผลิตกรดยูริคมากขึ้น
- พันธุกรรมและประวัติครอบครัว ผู้ที่มีญาติสายตรงเป็นนิ่วในไตมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าคนทั่วไป
- โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เก๊าต์ ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไป หรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
- การได้รับยาบางชนิดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะยาลดกรดบางประเภทที่มีส่วนผสมของแคลเซียม
อาการของนิ่วในไตที่ไม่ควรมองข้าม
อาการนิ่วในไตมีความหลากหลายและอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจไม่แสดงอาการใด ๆ เลยในระยะแรก โดยเฉพาะเมื่อก้อนนิ่วมีขนาดเล็กและยังไม่เคลื่อนที่ อย่างไรก็ตาม มีอาการสำคัญที่ควรสังเกตดังนี้
ผู้ป่วยนิ่วในไตอาจมีอาการปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะขัด ปัสสาวะบ่อย หรือมีเลือดปนในปัสสาวะ บางรายอาจพบว่ามีตะกอนสีแดงหรือสีน้ำตาลในปัสสาวะ นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และมีไข้ร่วมด้วยได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะร่วมด้วย
บางรายอาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือรู้สึกไม่สบายตัวแบบไม่มีสาเหตุชัดเจน ซึ่งอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นเมื่อนิ่วมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือมีการอุดตันในระบบทางเดินปัสสาวะ ที่สำคัญ หากพบอาการผิดปกติเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง เพราะหากเรารักษานิ่วในไตล่าช้าอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
นิ่วในไตมักปวดบริเวณไหน? สังเกตอย่างไร?
อาการนิ่วในไตที่พบบ่อยที่สุดคือความเจ็บปวด โดยเฉพาะเมื่อก้อนนิ่วเคลื่อนที่หรือมีขนาดใหญ่ขึ้น ผู้ป่วยนิ่วในไตมักมีอาการปวดบริเวณเอวด้านหลัง ใต้ชายโครง หรือท้องน้อย โดยความรุนแรงของอาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน อาการปวดมักเกิดเป็นระยะ ๆ และอาจรุนแรงมากจนทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
อาการของคนเป็นนิ่วจะมีลักษณะปวดแบบบีบ ๆ เป็นพัก ๆ ซึ่งอาจปวดนาน 20-60 นาที แล้วทุเลาลง ก่อนจะปวดซ้ำอีกครั้ง บางครั้งอาการปวดอาจร้าวไปที่ขาหนีบหรือต้นขา โดยเฉพาะในผู้หญิง อาการนิ่วในไตในผู้หญิง มักมีความรุนแรงไม่แตกต่างจากผู้ชาย แต่อาจมีความยากลำบากในการวินิจฉัยมากกว่า เนื่องจากอาการคล้ายคลึงกับอาการปวดประจำเดือน
การรักษานิ่วในไตมีวิธีไหนบ้าง?
การรักษานิ่วในไตมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของก้อนนิ่ว รวมถึงอาการของผู้ป่วย วิธีการรักษาที่แพทย์มักพิจารณามีดังนี้
- การรักษาแบบประคับประคอง
สำหรับนิ่วขนาดเล็ก (น้อยกว่า 5 มิลลิเมตร) แพทย์อาจแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ และรอให้นิ่วหลุดออกมาเอง พร้อมทั้งให้ยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ วิธีสลายนิ่วในไต แบบธรรมชาตินี้อาจใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์
- การสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก
เป็นวิธีที่นิยมใช้สำหรับนิ่วขนาด 5-20 มิลลิเมตร โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงยิงไปที่ก้อนนิ่วเพื่อทำให้แตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วขับออกมาทางปัสสาวะ
- การผ่าตัดส่องกล้อง
ในกรณีที่นิ่วมีขนาดใหญ่หรือการสลายนิ่วด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดส่องกล้องเพื่อนำนิ่วออก วิธีนี้มักใช้ในกรณีที่เกิดภาวะกรวยไตอักเสบร่วมด้วย
- การรักษาด้วยยา
แพทย์อาจให้ยาเพื่อปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างของปัสสาวะ หรือยาที่ช่วยละลายนิ่วบางชนิด ทั้งนี้สำหรับคำถามว่านิ่วในไตรักษาหายไหม? ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องและการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
เป็นนิ่วในไตห้ามกินอะไร? อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
เป็นนิ่วในไตห้ามกินอะไร? เป็นคำถามที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัย การควบคุมอาหารถือเป็นส่วนสำคัญในการรักษาและป้องกันการเกิดนิ่วซ้ำ โดยอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงมีดังนี้
- อาหารที่มีโปรตีนสูง โดยเฉพาะเครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ไต หัวใจ และอาหารทะเลบางชนิด เนื่องจากมีสารพิวรีนสูง ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วยูริก
- อาหารที่มีแคลเซียมออกซาเลตสูง เช่น ผักโขม ใบชา กาแฟ ช็อกโกแลต และถั่วต่างๆ เพราะสารออกซาเลตเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดนิ่วแคลเซียม
- เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม เนื่องจากรบกวนการทำงานของไตและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต
- อาหารที่มีเกลือสูง เพราะโซเดียมจะไปเพิ่มการขับแคลเซียมในปัสสาวะ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดนิ่วแคลเซียม
- อาหารที่มีวิตามินซีสูงเกินไป โดยเฉพาะการรับประทานวิตามินซีเสริมในปริมาณมาก เพราะวิตามินซีจะถูกเปลี่ยนเป็นออกซาเลตในร่างกาย
สรุปนิ่วในไต ทุกสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับโรคนี้
นิ่วในไตเป็นโรคที่พบได้บ่อยและสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยมีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการดื่มน้ำไม่เพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและเกลือสูง รวมถึงปัจจัยทางพันธุกรรม อาการที่พบบ่อยคือปวดบริเวณเอวด้านหลัง ปัสสาวะผิดปกติ และอาจมีเลือดปนในปัสสาวะ การรักษามีหลายวิธีขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของก้อนนิ่ว โดยสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันและรักษาโรคนิ่วในไตคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการดื่มน้ำให้เพียงพอและการควบคุมอาหาร
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้