ทำความเข้าใจประกันรถยนต์มีกี่ประเภท ต่างกันอย่างไรบ้าง

ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท แต่ละประเภทเหมาะกับใคร และเลือกซื้ออย่างไรให้เหมาะกับการใช้งานรถ นี่คือสิ่งที่ผู้สนใจซื้อประกันรถควรศึกษาก่อนตัดสินใจ

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าประเทศไทยติดอันดับต้น ๆ ของประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมาก เฉลี่ยมีผู้เสียชีวิตมากถึงปีละ 200,000 ราย และเพราะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอุบัติเหตุจะเกิดกับตัวเองเมื่อไหร่ สิ่งที่พอจะทำได้คือการมองหาหลักประกันเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หลังเกิดอุบัติเหตุ ด้วยเหตุนี้ทำให้ “ประกันรถยนต์” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรมีติดรถไว้ แต่สำหรับใครที่เป็นมือใหม่หัดขับอาจจะยังไม่รู้ว่า ประกันรถยนต์มีกี่ประเภทและแต่ละประเภทเหมาะกับใครบ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาฝากกัน

ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง

ปัจจุบันประกันรถยนต์มีให้เลือกหลายประเภท แต่ละประเภทก็ให้คุ้มครองด้านต่าง ๆ รวมถึงอัตราค่าเบี้ยประกันไม่เท่ากัน ใครที่สงสัยว่า ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท ลองไปดูกันเลย 

• ประกันชั้น 1
  
  

ประกันที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด โดยคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ทั้งแบบมีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี รวมถึงคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากการถูกโจรกรรม ไฟไหม้ และภัยธรรมชาติต่าง ๆ นอกจากนี้ยังคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยกรณีทุพพลภาพหรือเสียชีวิตทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

• ประกันชั้น 2+
  
  

ประกันที่ให้ความคุ้มครองสูง แต่ค่าเบี้ยประกันถูกกว่าประกันชั้น 1 โดยจะคุ้มครองความเสียหายของตัวรถยนต์เฉพาะเมื่อเกิดอุบัติเหตุแบบมีคู่กรณี คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้ รวมถึงการถูกโจรกรรม นอกจากนี้ยังคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยกรณีที่ทุพพลภาพหรือเสียชีวิตทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

• ประกันชั้น 3+
  
  

ประกันที่ให้ความคุ้มครองเฉพาะเมื่อเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์คันอื่นและมีคู่กรณีเท่านั้น นอกจากนี้ยังคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยกรณีทุพพลภาพหรือเสียชีวิตทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

• ประกันชั้น 3
  
  

ประกันชั้นเริ่มต้น ค่าเบี้ยประกันถูกที่สุด ให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของคู่กรณี รวมถึงคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยกรณีทุพพลภาพหรือเสียชีวิตทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร 

อย่างไรก็ตามบริษัทประกันบางแห่งอาจมีการเพิ่มหรือลดความคุ้มครองบางอย่างของประกันแต่ละชั้นที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นหากต้องการทราบว่าบริษัทประกันที่ตัวเองสนใจ ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท ขอแนะนำให้โทรศัพท์ไปสอบถามหรือเช็กรายละเอียดผ่านเว็บไซต์ของบริษัท

ประกันรถยนต์แต่ละประเภทเหมาะกับใครบ้าง

เมื่อทราบกันแล้วว่า ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท ต่อไปมาดูกันว่าประกันแต่ละประเภทเหมาะกับใครบ้าง 

• ประกันชั้น 1
  
  

ประกันชั้นนี้เหมาะสำหรับรถใหม่ป้ายแดง รถที่มีอายุไม่เกิน 5 - 7 ปี หรือเจ้าของรถมีประสบการณ์ขับขี่รถยนต์ไม่มาก มีโอกาสที่จะขับไปเฉี่ยวชนสิ่งกีดขวางหรือรถยนต์คันอื่นได้ 

• ประกันชั้น 2+
  
  

ประกันชั้นนี้เหมาะสำหรับรถที่ใช้งานนานเกิน 7 ปี รถมือสอง หรือเจ้าของรถมีประสบการณ์ขับขี่ในระดับหนึ่ง มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้น้อยกว่ามือใหม่หัดขับ

• ประกันชั้น 3+
  
  

เหมาะสำหรับรถที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป รถที่ไม่ค่อยได้ใช้งานหรือใช้งานไม่บ่อย รวมถึงเจ้าของรถมีประสบการณ์ขับขี่มาก มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุน้อย 

• ประกันชั้น 3
  
  

เหมาะสำหรับรถที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป รถเก่าที่แทบไม่ได้ใช้งาน หรือเจ้าของรถมีประสบการณ์ขับขี่ระดับเชี่ยวชาญ มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุน้อย 

วิธีเลือกซื้อประกันรถยนต์ให้ตอบโจทย์

สำหรับเจ้าของรถที่กำลังมองหาประกันรถยนต์นอกจากต้องรู้ว่า ประกันรถยนต์มีกี่ประเภทแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ควรรู้ก่อนเลือกซื้อประกันคือวิธีการเลือกซื้อประกันให้เหมาะกับรถและการใช้งานของตัวเอง

• เลือกจากอายุของรถยนต์
  
  

ประกันรถยนต์บางประเภท เช่น ประกันชั้น 1 หรือ 2+ ไม่เหมาะกับรถที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี เพราะรถยิ่งเก่าก็ยิ่งมีค่าซ่อมบำรุงสูง ทำให้ค่าเบี้ยประกันสูงตามไปด้วย

• เลือกจากค่าเบี้ยประกัน
  
  

ควรเลือกประกันรถยนต์ที่มีค่าเบี้ยประกันเหมาะสมกับความคุ้มครองที่มอบให้ แนะนำให้เช็กค่าเบี้ยประกันของแต่ละบริษัทเพื่อนำราคาและความคุ้มครองมาเปรียบเทียบกันก่อนตัดสินใจซื้อ

• เลือกจากบริษัทประกัน
  
  

ควรเลือกประกันจากบริษัทที่น่าเชื่อถือ มีรีวิวเรื่องการเคลมง่ายได้รับการชดเชยเร็ว มีการทำธุรกิจประกันอย่างตรงไปตรงมา สามารถตรวจสอบผลประกอบการได้จากเว็บไซต์ของ คปภ. 

ทั้งหมดนี้คือสาระน่ารู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับประกันรถยนต์ชั้นต่าง ๆ ที่เรารวบรวมมาฝากกันในวันนี้ ใครที่สงสัยว่า ประกันรถยนต์มีกี่ประเภทก็น่าจะได้คำตอบกันแล้ว สุดท้ายนี้แม้การมีประกันรถยนต์จะช่วยให้คุณขับขี่ได้อย่างอุ่นใจขึ้น แต่ก็ต้องขับขี่ด้วยความไม่ประมาทและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองและผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น ๆ