ฆ่าเชื้อโรคในอากาศ ทำได้จริงหรือ? รู้ทันเทคโนโลยีก่อนเสี่ยงสุขภาพ
ฆ่าเชื้อโรคในอากาศ ทำได้จริงหรือ? รู้ทันเทคโนโลยีก่อนเสี่ยงสุขภาพ
แม้จะมองไม่เห็น แต่ “เชื้อโรคในอากาศ” เป็นภัยเงียบที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่หลายคนคิด โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีทั้งฝุ่น PM2.5, ความชื้นสะสม และสภาพอากาศแปรปรวนตลอดปี ซึ่งเอื้อต่อการแพร่กระจายของเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัสทางเดินหายใจ
การ “ฆ่าเชื้อโรคในอากาศ” จึงกลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ได้รับความสนใจมากขึ้นจากคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ แต่คำถามที่ตามมาคือ วิธีฆ่าเชื้อเหล่านี้มีประสิทธิภาพจริงหรือไม่? และปลอดภัยสำหรับคนในบ้านจริงหรือเปล่า?
รู้จักศัตรูที่มองไม่เห็น: เชื้อโรคที่แพร่ผ่านอากาศ
เชื้อโรคที่สามารถลอยอยู่ในอากาศมีหลากหลายชนิด ตั้งแต่:
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัส RSV และโควิด-19
- เชื้อแบคทีเรีย เช่น วัณโรค หรือเชื้อในกลุ่ม Staphylococcus
- เชื้อราและสปอร์ ที่พบมากในอาคารที่อับชื้นหรือมีการระบายอากาศไม่ดี
เมื่อเราหายใจเอาเชื้อเหล่านี้เข้าไป โดยเฉพาะหากร่างกายอ่อนแอ ก็อาจก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจได้ทันที หรือในบางรายก็ทำให้เกิดโรคเรื้อรังตามมาในระยะยาว
เทคโนโลยีฆ่าเชื้อในอากาศ: อะไรใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
แม้เชื้อโรคจะซ่อนอยู่ในอากาศ แต่ก็มีเทคโนโลยีหลากหลายที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อต่อกรกับมันได้ เช่น:
-
HEPA Filter (High Efficiency Particulate Air)
แผ่นกรองที่สามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กได้ถึง 0.1 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่าไวรัสหลายชนิด
- จุดเด่น: ใช้งานง่าย ปลอดภัย ไม่มีการปล่อยสารเคมี
- คำแนะนำ: ควรเลือก HEPA ระดับ H13 ขึ้นไป เพื่อให้สามารถกรองเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
UV-C Light (แสงอัลตราไวโอเลตชนิด C)
ใช้แสงในช่วงความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร ทำลาย DNA ของเชื้อโรคไม่ให้สามารถเพิ่มจำนวนได้
- จุดเด่น: ใช้ในโรงพยาบาล และเริ่มนิยมในบ้านที่มีผู้ป่วย
- ข้อควรระวัง: ต้องใช้ในเครื่องที่มีโครงสร้างป้องกันแสงรั่ว ไม่ควรส่องโดยตรงต่อมนุษย์
-
Plasma หรือ Ionizer
ปล่อยประจุไฟฟ้าเพื่อทำลายผนังเซลล์ของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
- จุดเด่น: กำจัดกลิ่นได้ดี
- ข้อควรระวัง: บางรุ่นอาจปล่อยโอโซน ซึ่งอาจเป็นอันตรายหากใช้ในห้องที่มีคนอยู่ตลอดเวลา
-
Ozone Generator (เครื่องผลิตโอโซน)
ใช้ก๊าซโอโซนในการทำลายเชื้อ แต่ ไม่แนะนำให้ใช้ในพื้นที่ที่มีผู้อยู่อาศัย
- เหมาะกับ: การฆ่าเชื้อในพื้นที่ปิดที่ไม่มีคน เช่น ห้องเก็บของ หรือก่อนเข้าอยู่อาคาร
พฤติกรรมผู้บริโภคไทย: สนใจสุขภาพมากขึ้น แต่ยังต้องการคำแนะนำ
ข้อมูลจาก Google Trends และผลสำรวจของสำนักงานสุขภาพแห่งชาติ ระบุว่า คนไทยค้นหาคำเกี่ยวกับ “ฆ่าเชื้อในอากาศ” เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวด้านสุขภาพของประชาชนหลังสถานการณ์โควิด-19
แต่ในขณะเดียวกัน ก็พบว่าผู้บริโภคจำนวนมากยังสับสนระหว่าง “การกรองฝุ่น” กับ “การฆ่าเชื้อ” และมีแนวโน้มเลือกอุปกรณ์จากโปรโมชั่นมากกว่าข้อมูลด้านความปลอดภัยหรือมาตรฐาน
คำแนะนำ: เลือกเครื่องฆ่าเชื้อในอากาศอย่างไรให้ปลอดภัย
เพื่อให้ได้ทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัย ควรใช้หลัก 3 ข้อในการเลือกซื้อ:
- ดูระบบการทำงานแบบผสมผสาน เช่น HEPA + UV-C ซึ่งให้ผลทั้งการกรองและการฆ่าเชื้อ
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง เช่น จาก CE, FDA หรือ AHAM
- ตรวจสอบว่าไม่มีการปล่อยโอโซน โดยเฉพาะหากใช้ในบ้านที่มีเด็กหรือผู้สูงอายุ
สรุป: อากาศสะอาดคือการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว
การฆ่าเชื้อโรคในอากาศไม่ใช่เพียงแค่เทรนด์ แต่เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ครอบครัวผ่าน “สภาพแวดล้อม” ที่เราควบคุมได้ หากเราเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมและปลอดภัย ก็จะสามารถลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วย และใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้นในทุกลมหายใจ
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้