ICSI คืออะไร? ความหวังใหม่สำหรับการมีบุตรที่ไม่ต้องรอนาน
สำหรับคู่รักหลายคู่ การมีบุตรเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาภาวะมีบุตรยาก ความหวังนั้นอาจริบหรี่ลงไป แต่ไม่ต้องกังวลใจ เพราะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้ก้าวหน้าไปอย่างมาก หนึ่งในเทคโนโลยีช่วยให้ความฝันมีบุตรเป็นจริงได้ก็คือ ICSI
หากคู่รักสงสัยว่า ICSI คืออะไร? ขั้นตอนเป็นอย่างไร? และเหมาะสำหรับใครบ้าง? ในบทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงวิธีการและประโยชน์ของการทำ ICSI อาจเป็นจุดเริ่มต้นของครอบครัวสมบูรณ์แบบของคู่รัก! หากสนใจจะทำอิ๊กซี่ บทความนี้จะเป็นคู่มือที่ดีในการเริ่มต้นเส้นทางสู่การเป็นพ่อแม่ ไปดูพร้อมกันเลย
ICSI คืออะไร
ICSI คืออะไร? ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) หรือ การฉีดอสุจิเข้าไปในไข่เป็นเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้รักษาภาวะมีบุตรยาก โดยเป็นขั้นตอนหนึ่งของวิธีทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ที่มีความเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น
หลักการทำงานของ ICSI คือ การนำสเปิร์มแข็งแรงที่สุดเพียงหนึ่งตัว มาฉีดเข้าไปในไข่โดยตรงภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิได้มากขึ้น เมื่อไข่หรือสเปิร์มรวมตัวกันเป็นตัวอ่อนแล้ว แพทย์จะนำตัวอ่อนสมบูรณ์ที่สุดย้ายกลับเข้าไปในมดลูกของผู้หญิง เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์
ใครควรทำ ICSI? การทำอิ๊กซี่ มักจะแนะนำสำหรับคู่รัก มีปัญหาการมีบุตร ดังต่อไปนี้
- ปัญหาคุณภาพของสเปิร์ม: เช่น จำนวนสเปิร์มน้อย สเปิร์มเคลื่อนไหวช้า หรือสเปิร์มมีรูปร่างผิดปกติ
- ปัญหาในการปฏิสนธิ: แม้ว่าสเปิร์มหรือไข่จะมีคุณภาพดี แต่เกิดปัญหาในการรวมตัวกันเองตามธรรมชาติ
- ภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ: หลังจากตรวจหาสาเหตุแล้ว ไม่พบสาเหตุแน่ชัด
- ผู้หญิงมีปัญหาทางด้านรังไข่: เช่น จำนวนไข่น้อย หรือคุณภาพของไข่ต่ำ
- คู่รักมีประวัติทำ IVF ล้มเหลว: หากเคยทำ IVF หลายครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ICSI คือทางเลือกต่อไป
ข้อดีของ ICSI
- อัตราตั้งครรภ์สูง: อิ๊กซี่ มีอัตราการตั้งครรภ์สูงกว่าวิธีทำเด็กหลอดแก้วแบบปกติ
- เหมาะสำหรับปัญหาเฉพาะเจาะจง: ICSI สามารถแก้ไขปัญหาภาวะมีบุตรยากได้หลากหลายสาเหตุ
- ขั้นตอนที่แม่นยำ: ฉีดสเปิร์มเข้าไปในไข่ โดยตรงทำให้มั่นใจได้ว่าเกิดการปฏิสนธิ
ขั้นตอนการทำ ICSI หรือ อิ๊กซี่
อย่างที่กล่าวไปว่า ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ใช้รักษาภาวะมีบุตรยาก ขั้นตอนการทำ ICSI เป็นกระบวนละเอียดอ่อนและใช้เวลาพอสมควร ซึ่งแต่ละขั้นตอนล้วนมีความสำคัญต่อความสำเร็จของวิธีรักษา ในหัวข้อนี้จะมาทำความเข้าใจขั้นตอนการทำ ICSI เพื่อให้คุณแม่ได้ทราบถึงกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นตอนสุดท้าย มีดังนี้
ขั้นตอนก่อนการทำ ICSI
ก่อนเริ่มกระบวนการทำ ICSI คู่รักจะต้องผ่านการตรวจวินิจฉัยหรือเตรียมความพร้อม ดังนี้
- ปรึกษาแพทย์: คู่รักจะเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะมีบุตรยาก เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ ประวัติการรักษา หรือผลตรวจต่าง ๆ เพื่อประเมินสาเหตุของภาวะมีบุตรยากหรือวางแผนรักษาให้เหมาะสม
- ตรวจร่างกาย: แพทย์จะทำการตรวจร่างกายทั่วไป เพื่อประเมินสุขภาพโดยรวมก่อนทำ ICSI
- ตรวจเลือด: เพื่อตรวจวัดระดับฮอร์โมนต่าง ๆ เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และ FSH เพื่อประเมินการทำงานของรังไข่ หรือตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ตรวจอัลตราซาวด์: เพื่อประเมินขนาดและจำนวนของรังไข่ ตรวจมดลูก และตรวจหาเนื้องอกหรือความผิดปกติอื่น ๆ
- ตรวจสเปิร์ม: ฝ่ายชายจะต้องให้ตัวอย่างสเปิร์ม เพื่อตรวจวิเคราะห์คุณภาพของสเปิร์ม เช่น จำนวน ความเคลื่อนไหว และรูปร่าง
ขั้นตอนระหว่างการทำ ICSI
ขั้นตอนระหว่างการทำ ICSI จะแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอน ดังนี้
- กระตุ้นรังไข่: แพทย์จะให้ยาเพื่อกระตุ้นให้รังไข่สร้างไข่หลายฟอง ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการได้ไข่ที่สมบูรณ์
- ติดตามการเจริญเติบโตของไข่: แพทย์จะทำอัลตราซาวด์ เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของไข่เป็นระยะ
- เก็บไข่: เก็บไข่ ICSI เมื่อไข่โตเต็มที่ได้ขนาดไข่ที่เหมาะสม ICSI แพทย์จะทำการสุ่มไข่ โดยใช้เข็มดูดผ่านทางช่องคลอด ซึ่งจะทำภายใต้การดมยาสลบ
- เก็บตัวอย่างสเปิร์ม: ฝ่ายชายจะให้ตัวอย่างสเปิร์มในวันเดียวกับเก็บไข่
- ฉีดสเปิร์มเข้าไปในไข่ (ICSI): ขั้นตอนการใส่ตัวอ่อน ICSI แพทย์จะเลือกสเปิร์มแข็งแรงที่สุดเพียงหนึ่งตัว มาฉีดเข้าไปในไข่โดยตรงภายใต้กล้องจุลทรรศน์
- เพาะเลี้ยงตัวอ่อน: ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วจะถูกนำไปเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการเป็นเวลา 3-5 วัน เพื่อให้ตัวอ่อนเจริญเติบโต
- ย้ายตัวอ่อน: เมื่อตัวอ่อนเจริญเติบโตได้ตามเกณฑ์ แพทย์จะนำตัวอ่อนย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง แพทย์จะติดตามอาการหลังใส่ตัวอ่อน 7 วัน
ขั้นตอนหลังการทำ ICSI
หลังการทำ ICSI หรือย้ายตัวอ่อนแล้ว คู่รักจะต้องดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น
- พักผ่อนให้เพียงพอ: ควรพักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงออกกำลังกายหนัก ๆ
- ทานอาหารมีประโยชน์: ควรทานอาหารมีประโยชน์หรือหลีกเลี่ยงอาหารดิบ
- ทานยาตามแพทย์สั่ง: ควรทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- นัดตรวจเพื่อยืนยันการตั้งครรภ์: หลังจากย้ายตัวอ่อนประมาณ 14 วัน คู่รักจะต้องกลับมาพบแพทย์ เพื่อตรวจเลือดและยืนยันการตั้งครรภ์
โอกาสการตั้งครรภ์สำเร็จจากการทำ ICSI
อัตราตั้งครรภ์จากการทำ ICSI ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง โดยทั่วไปอัตราตั้งครรภ์จากการทำ ICSI คืออยู่ที่ประมาณ 40-50% ต่อรอบรักษา แต่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราการตั้งครรภ์จากการทำอิ๊กซี่ คือ
- อายุ: อายุน้อยจะมีโอกาสตั้งครรภ์สำเร็จสูงกว่า เนื่องจากคุณภาพของไข่จะลดลงตามอายุ
- คุณภาพของไข่และสเปิร์ม: คุณภาพของไข่หรือสเปิร์มที่ดี จะส่งผลต่ออัตราตั้งครรภ์สูงขึ้น
- สาเหตุของภาวะมีบุตรยาก: หากสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก สามารถแก้ไขได้ อัตราตั้งครรภ์ก็จะสูงขึ้น
- ประสบการณ์ของแพทย์: แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีประสบการณ์ จะสามารถเลือกวิธีรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละคู่ เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้
- เทคโนโลยีที่ใช้: เทคโนโลยีทันสมัย เช่น ตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน (PGT-A) จะช่วยคัดเลือกตัวอ่อนที่มีโครโมโซมปกติ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์และลดความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร
ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่ออัตราตั้งครรภ์
- สุขภาพโดยรวมของคู่รัก: สุขภาพดีแข็งแรง จะช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
- วิถีชีวิต: เลิกบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และควบคุมน้ำหนัก จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์
- ดูแลตัวเองหลังทำ ICSI: พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารมีประโยชน์ หรือทานยาตามแพทย์สั่ง จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์
ICSI คือเทคโนโลยีช่วยให้ความฝันในการมีบุตรเป็นจริง
อิ๊กซี่หรือ ICSI คือ เทคนิคการทำเด็กหลอดแก้วชนิดหนึ่ง ที่ช่วยให้คู่รักมีปัญหาในการมีบุตรตามธรรมชาติ สามารถมีลูกได้สำเร็จ วิธีนี้เหมาะสำหรับคู่รักมีปัญหาเรื่องคุณภาพของสเปิร์ม หรือมีปัญหาในการปฏิสนธิตามธรรมชาติ แม้ว่า ICSI จะเป็นวิธีการซับซ้อนและทําอิ๊กซี่ ค่าใช้จ่ายสูง แต่ก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคู่รักต้องการมีบุตร และมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีรักษาภาวะมีบุตรยากแบบอื่น ๆ
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้