ส่งของไปญี่ปุ่นด่วน! บริการขนส่งพัสดุที่รวดเร็วและเชื่อถือได้
เคยไหมที่อยากส่งของขวัญสุดพิเศษไปเซอร์ไพรส์เพื่อนที่ญี่ปุ่น? หรือต้องการส่งสินค้าไปขายต่อยังตลาดที่นั่น? ส่งของไปญี่ปุ่นอาจดูยุ่งยาก แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีการขนส่งพัฒนาไปมาก ทำให้ส่งของไปต่างประเทศญี่ปุ่นเป็นเรื่องง่าย สะดวก รวดเร็ว
บทความนี้จะมาแนะนำเกี่ยวกับส่งของไปญี่ปุ่นมีขั้นตอนอย่างไร? ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง? และค่า ส่งของไปญี่ปุ่นจะสูงแค่ไหน? มาไขข้อข้องใจ พร้อมเผยเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้ส่งของจากไทยไปญี่ปุ่นได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย ไปดูกันเลย
ส่งของไปญี่ปุ่น ขั้นตอนง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก
ส่งของไปญี่ปุ่นอาจดูเหมือนเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่จริง ๆ แล้วไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแค่ผู้ส่งทำตามขั้นตอนนี้ ก็สามารถส่งของไปถึงมือผู้รับได้อย่างปลอดภัย ดังนี้
ขั้นตอนส่งของไปประเทศญี่ปุ่น
- เตรียมสินค้า
- ตรวจสอบรายการห้ามส่ง: ส่งของไทยไปญี่ปุ่น ก่อนจะแพ็คของ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าที่ส่งไม่อยู่ในรายการสินค้าห้ามส่งไปญี่ปุ่น เช่น สินค้าปลอม สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ อาหารบางประเภท หรือพืชพันธุ์
- แพ็คสินค้าให้แน่นหนา: ส่งของไปญี่ปุ่น ควรใช้กล่องแข็งแรง มีวัสดุกันกระแทก เช่น ฟองน้ำ หรือกระดาษลูกฟูก เพื่อป้องกันสินค้าเสียหายระหว่างขนส่ง
- ติดฉลาก: ติดฉลากระบุชื่อผู้ส่ง ที่อยู่ผู้ส่ง ชื่อผู้รับ ที่อยู่ผู้รับ รวมทั้งหมายเลขโทรศัพท์ให้ชัดเจน
- เลือกบริษัทขนส่ง
- เปรียบเทียบราคาและบริการ: มีบริษัทขนส่งหลายแห่ง ให้บริการส่งพัสดุไปญี่ปุ่น เลือกบริษัทที่มีชื่อเสียง มีประสบการณ์ และอัตราค่าส่งของไปญี่ปุ่นเหมาะสม
- พิจารณาประเภทของบริการ: เลือกบริการตรงกับความต้องการ เช่น บริการส่งด่วน บริการส่งทางเรือ หรือบริการส่งแบบประหยัด
- เตรียมเอกสาร
- ใบกำกับสินค้า: ส่งของไปญี่ปุ่น ต้องระบุรายละเอียดของสินค้า เช่น ชื่อสินค้า จำนวน น้ำหนัก และมูลค่า
- ใบตราส่งสินค้า: หากส่งของไปต่างประเทศญี่ปุ่น ทางบริษัทขนส่งจะออกให้
- เอกสารอื่น ๆ: อาจต้องใช้เอกสารเพิ่มเติม เช่น ใบอนุญาตนำเข้า หรือใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า
- ส่งมอบสินค้า
- ติดต่อบริษัทขนส่ง: นัดหมายให้บริษัทขนส่งมารับสินค้า หรือนำสินค้าไปส่งที่สาขาของบริษัท
- ชำระค่าบริการ: ชำระค่าบริการหรือค่าส่งพัสดุไปญี่ปุ่น ตามข้อตกลงกับบริษัทขนส่ง
- ติดตามพัสดุ
- หมายเลขติดตาม: บริษัทขนส่งจะให้หมายเลขติดตาม เพื่อให้สามารถตรวจสอบสถานะของพัสดุได้
ข้อควรระวังและข้อควรรู้ก่อนส่งของไปประเทศญี่ปุ่น
การส่งของไปญี่ปุ่นอาจดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่มีรายละเอียดปลีกย่อย ข้อควรระวังหลายอย่างควรรู้ เพื่อให้ส่งของเป็นไปอย่างราบรื่น ปลอดภัย หากไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนด อาจทำให้พัสดุถูกส่งกลับ หรือเสียหายได้ ดังนั้น ก่อนจะส่งของไปต่างประเทศญี่ปุ่น มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อควรระวังและข้อควรรู้ต่าง ๆ ดังนี้
สินค้าห้ามส่งไปญี่ปุ่น รู้ไว้ก่อนส่งเพื่อความปลอดภัย
การส่งของไปญี่ปุ่น มีกฎระเบียบเข้มงวดเกี่ยวกับสิ่งของห้ามนำเข้า เพื่อป้องกันแพร่กระจายของโรคหรือรักษาความปลอดภัยของประเทศ ดังนั้น ก่อนจะส่งของไปญี่ปุ่น ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าไม่อยู่ในรายการสิ่งของห้ามนำเข้า ดังนี้
- อาหาร: อาหารสด อาหารแปรรูปบางชนิด และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ผลไม้บางชนิด อาจถูกห้ามนำเข้า หรือต้องมีเอกสารประกอบเพิ่มเติม
- พืช: พืช พันธุ์พืช และผลิตภัณฑ์จากพืช เช่น เมล็ดพืช ดิน อาจมีข้อจำกัดในการนำเข้า เพื่อป้องกันแพร่ระบาดของโรคพืช
- ยา: ยาที่ไม่ใช่ยาสามัญประจำบ้าน หรือยาที่ต้องมีใบสั่งแพทย์ จำเป็นต้องมีใบอนุญาตนำเข้า
- สัตว์: สัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่า ต้องมีเอกสารอนุญาตถูกต้อง
- สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์: สินค้าปลอม สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสินค้าผิดกฎหมาย
- วัตถุอันตราย: สารเคมี วัตถุระเบิด และสิ่งของอาจเป็นอันตรายต่อผู้อื่นหรือสิ่งแวดล้อม
ภาษีเมื่อส่งของไปญี่ปุ่น สิ่งควรรู้
การส่งของไปญี่ปุ่น นอกจากค่าส่งของจากไทยไปญี่ปุ่น ยังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับภาษีด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ส่งและผู้รับควรทราบ เพื่อวางแผนค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง หรือหลีกเลี่ยงปัญหาอาจเกิดขึ้นได้
เมื่อส่งของไปญี่ปุ่น จะมีภาษีเกี่ยวข้องอยู่ 2 ประเภทหลัก คือ
- ภาษีนำเข้า (Import Duty): เป็นภาษีเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เข้าไปในประเทศญี่ปุ่น โดยอัตราภาษีจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า
- ภาษีอุปโภคบริโภค (Consumption Tax): เป็นภาษีเรียกเก็บจากมูลค่าเพิ่มของสินค้าหรือบริการ โดยในญี่ปุ่นเรียกว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Consumption Tax) หรือ ภาษีขาย (Sales Tax)
ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราภาษี
- ประเภทของสินค้า: สินค้าแต่ละประเภทจะมีอัตราภาษีแตกต่างกันไป
- มูลค่าของสินค้า: มูลค่าของสินค้าที่สูงขึ้น อาจส่งผลให้อัตราภาษีต้องชำระสูงขึ้น
- น้ำหนักและปริมาตรของสินค้า: บางครั้งอาจคิดค่าภาษีตามน้ำหนักหรือปริมาตรของสินค้า
- ประเทศต้นกำเนิดของสินค้า: ประเทศที่ผลิตสินค้าขึ้นมา อาจมีผลต่ออัตราภาษีต้องชำระ
- วัตถุประสงค์ในการนำเข้า: หากเป็นการนำเข้าเพื่อใช้ส่วนตัว หรือเพื่อการค้า อาจมีอัตราภาษีแตกต่างกัน
- ข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ: ข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ เช่น ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) อาจมีผลต่ออัตราภาษี
วิธีการคำนวณภาษี
การคำนวณภาษีจะคำนวณจาก มูลค่า CIF (Cost, Insurance, and Freight) ซึ่งรวมถึงค่าสินค้า ค่าประกันภัย และค่าขนส่ง
ระยะเวลาในการขนส่งของไปญี่ปุ่น
ระยะเวลาในการขนส่งของไปญี่ปุ่น หรือส่งของจากญี่ปุ่นไปไทย จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่
ประเภทของบริการ
- บริการด่วน: หากต้องการให้ของถึงมือผู้รับโดยเร็วที่สุด สามารถเลือกใช้บริการขนส่งด่วน เช่น EMS หรือบริการขนส่งด่วนเอกชน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันทำการ
- บริการปกติ: บริการขนส่งปกติ ส่งพัสดุไปญี่ปุ่นราคาถูกกว่า แต่ใช้เวลานานกว่า อาจใช้เวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์
- ขนาดและน้ำหนักของพัสดุ: พัสดุมีขนาดใหญ่หรือน้ำหนักมาก อาจใช้เวลานานในการจัดส่งมากกว่าพัสดุขนาดเล็ก
- เส้นทางการขนส่ง: เส้นทางขนส่งที่เลือกใช้ก็มีผลต่อระยะเวลาจัดส่ง เช่น ขนส่งทางอากาศจะเร็วกว่าขนส่งทางเรือ
- ช่วงเวลาทำการจัดส่ง: ส่งของไปญี่ปุ่น ช่วงเทศกาลหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ อาจทำให้ระยะเวลาจัดส่งล่าช้ากว่าปกติ
ระยะเวลาโดยประมาณ
- บริการด่วน (EMS): 2-5 วันทำการ
- บริการขนส่งทางอากาศ: 5-7 วันทำการ
- บริการขนส่งทางเรือ: 1-2 สัปดาห์
สรุปส่งของไปญี่ปุ่น ง่ายนิดเดียว!
การส่งของไปญี่ปุ่นทำได้ง่าย เพียงเลือกบริการขนส่งให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นบริการด่วนแบบ EMS หรือบริการขนส่งทางเรือประหยัดค่าใช้จ่าย ระยะเวลาจัดส่งจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ก่อนตัดสินใจส่งของไปญี่ปุ่น ควรตรวจสอบกฎระเบียบส่งของไปประเทศญี่ปุ่น เตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อให้ผ่านพิธีการทางศุลกากรเป็นไปอย่างราบรื่น บริษัทขนส่งหลายแห่งมีบริการติดตามพัสดุออนไลน์ ทำให้สามารถตรวจสอบสถานะพัสดุได้ตลอดเวลา
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้