การตรวจ ABI ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ
ABI คือการตรวจอะไร? การตรวจวัดหลอดเลือดแข็งตัวหรือที่เรียกว่า Ankle-Brachial Index (ABI) เป็นการทดสอบทางการแพทย์ที่ใช้วัดความแข็งแรงของการไหลเวียนของเลือดในขาหรือเท้า เปรียบเทียบกับความแข็งแรงของการไหลเวียนของเลือดในแขน การตรวจ ABI สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (Peripheral Arterial Disease - PAD) ซึ่งเป็นภาวะที่หลอดเลือดแดงที่ขามีการตีบหรือตัน
ทำไมต้องวัดความแข็งตัวของเลือด (ABI)
ทำไมต้องวัดความแข็งตัวของเลือด (ABI) เหตุผลหลักๆ ในการตรวจ ABI ดังนี้
- คัดกรองความเสี่ยง: ตรวจหาผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (PAD) ซึ่งมักพบในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
- วินิจฉัยโรค: ช่วยแพทย์วินิจฉัยโรค PAD ได้อย่างแม่นยำ
- ติดตามผล: ติดตามผลการรักษาโรค PAD
- ลดความเสี่ยง: การตรวจพบโรค PAD ในระยะเริ่มต้น ช่วยให้สามารถควบคุมและรักษาโรคได้ทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น การสูญเสียขา
- ป้องกันโรค: การตรวจหาความเสี่ยง ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรค PAD ได้
- เพิ่มคุณภาพชีวิต: การรักษาโรค PAD ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ
ภาวะโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบคืออะไร
ภาวะโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral Arterial Disease - PAD) คือภาวะที่เกิดจากการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดแดงที่นำเลือดไปยังส่วนปลายของร่างกาย เช่น ขาและเท้า การตีบตันนี้มักเกิดจากการสะสมของคราบไขมัน (Plaque) ในผนังหลอดเลือด ซึ่งทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลงและส่งผลกระทบต่อการส่งออกซิเจนและสารอาหารไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ
การตรวจ ABI มีขั้นตอนอย่างไร
การตรวจ ABI (Ankle-Brachial Index) ABI มีวิธีตรวจขั้นตอนดังนี้
- ให้ผู้ป่วยนอนราบบนเตียงในท่าที่สบาย ผ่อนคลาย ถอดรองเท้าและถุงเท้าออก เพื่อให้สามารถเข้าถึงขาได้ง่าย
- ใช้เครื่องวัดความดันโลหิตพันรอบแขนที่ตำแหน่งของ Brachial artery (เหนือข้อศอกเล็กน้อย) แล้วใช้เครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติหรือใช้เครื่อง Doppler เพื่อฟังเสียงการเต้นของหลอดเลือดแดง จากนั้นบันทึกค่าความดันโลหิตที่ได้
- การวัดความดันเส้นเลือดที่ขา โดยการพันเครื่องวัดความดันโลหิตรอบขา วางหัวตรวจของเครื่อง Doppler ที่ตำแหน่งหลอดเลือดแดงที่ขา (Dorsalis pedis artery) จากนั้นใช้เครื่อง Doppler ฟังเสียงการเต้นของหลอดเลือดแดงแล้วบันทึกค่าความดันโลหิตที่ได้ในแต่ละตำแหน่ง
- เมื่อเสร็จสิ้นการตรวจ ABI ให้นำค่าความดันโลหิตที่วัดได้จากขา (สูงสุดระหว่าง Dorsalis pedis artery และ Posterior tibial artery) หารด้วยค่าความดันโลหิตที่แขน เพื่อคำนวณค่า ABI
ค่า ABI = ความดันโลหิตที่ขา / ความดันโลหิตที่แขน
- ABI Index วิธีวัดผลที่ได้ ผ่านการอ่านค่า มีดังนี้
- ค่า ABI > 1.3 อาจบ่งชี้ว่าหลอดเลือดแข็ง (calcified arteries)
- ค่า ABI 1.0 - 1.3 ถือว่าปกติ
- ค่า ABI 0.9 - 1.0 ถือว่าปกติหรือต่ำกว่าเล็กน้อย
- ค่า ABI 0.7 - 0.9 บ่งชี้ว่ามีการตีบของหลอดเลือดแดงระดับปานกลาง
- ค่า ABI < 0.7 บ่งชี้ว่ามีการตีบของหลอดเลือดแดงระดับรุนแรง
หากค่าที่ได้ผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม
ใครที่ควรเข้ารับการตรวจ ABI
การตรวจ ABI (Ankle-Brachial Index) เป็นการตรวจที่สำคัญสำหรับกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (Peripheral Arterial Disease - PAD) รวมถึงผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด กลุ่มบุคคลที่ควรเข้ารับการตรวจ ABI ได้แก่
- ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เนื่องจากความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายจะเพิ่มขึ้นตามอายุ
- ผู้ที่มีประวัติการสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้หลอดเลือดแดงตีบตัน
- ผู้ป่วยเบาหวาน โรคเบาหวานสามารถทำให้หลอดเลือดแดงแข็งและตีบตันได้ง่ายขึ้น
- ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง (Hypertension) ภาวะความดันโลหิตสูงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย
- ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง (Hyperlipidemia) เนื่องจากระดับคอเลสเตอรอลสูงสามารถทำให้หลอดเลือดแดงตีบตันได้
- ผู้ที่มีอาการเจ็บหรือชาในขา (Claudication) อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของการตีบตันของหลอดเลือดแดงในขา
- ผู้ที่มีประวัติโรคหลอดเลือดแดงหัวใจ (Coronary Artery Disease) หรือโรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular Disease)
- ผู้ที่มีประวัติโรคหลอดเลือดแข็งตัวส่วนปลายในครอบครัว
สรุป การตรวจ ABI
การตรวจ ABI เป็นวิธีที่ไม่เจ็บปวดและรวดเร็ว ช่วยในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย และช่วยในการประเมินความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดอื่น ๆ หากพบว่ามีค่าผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้