การตรวจ ABI ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ

GUEST1649747579

สุดยอดขีดเีขียน (489)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:888
เมื่อ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2567 22.59 น.

ตรวจ ABI

ABI คือการตรวจอะไร? การตรวจวัดหลอดเลือดแข็งตัวหรือที่เรียกว่า Ankle-Brachial Index (ABI) เป็นการทดสอบทางการแพทย์ที่ใช้วัดความแข็งแรงของการไหลเวียนของเลือดในขาหรือเท้า เปรียบเทียบกับความแข็งแรงของการไหลเวียนของเลือดในแขน การตรวจ ABI สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (Peripheral Arterial Disease - PAD) ซึ่งเป็นภาวะที่หลอดเลือดแดงที่ขามีการตีบหรือตัน

 

ทำไมต้องวัดความแข็งตัวของเลือด (ABI)

ทำไมต้องวัดความแข็งตัวของเลือด (ABI) เหตุผลหลักๆ ในการตรวจ ABI ดังนี้

  • คัดกรองความเสี่ยง: ตรวจหาผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (PAD) ซึ่งมักพบในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
  • วินิจฉัยโรค: ช่วยแพทย์วินิจฉัยโรค PAD ได้อย่างแม่นยำ
  • ติดตามผล: ติดตามผลการรักษาโรค PAD
  • ลดความเสี่ยง: การตรวจพบโรค PAD ในระยะเริ่มต้น ช่วยให้สามารถควบคุมและรักษาโรคได้ทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น การสูญเสียขา
  • ป้องกันโรค: การตรวจหาความเสี่ยง ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรค PAD ได้
  • เพิ่มคุณภาพชีวิต: การรักษาโรค PAD ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ

 

ภาวะโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบคืออะไร

ตรวจ ABI คือ

ภาวะโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral Arterial Disease - PAD) คือภาวะที่เกิดจากการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดแดงที่นำเลือดไปยังส่วนปลายของร่างกาย เช่น ขาและเท้า การตีบตันนี้มักเกิดจากการสะสมของคราบไขมัน (Plaque) ในผนังหลอดเลือด ซึ่งทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลงและส่งผลกระทบต่อการส่งออกซิเจนและสารอาหารไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ

 

การตรวจ ABI มีขั้นตอนอย่างไร

การตรวจ ABI (Ankle-Brachial Index) ABI มีวิธีตรวจขั้นตอนดังนี้

  1. ให้ผู้ป่วยนอนราบบนเตียงในท่าที่สบาย ผ่อนคลาย ถอดรองเท้าและถุงเท้าออก เพื่อให้สามารถเข้าถึงขาได้ง่าย
  2. ใช้เครื่องวัดความดันโลหิตพันรอบแขนที่ตำแหน่งของ Brachial artery (เหนือข้อศอกเล็กน้อย) แล้วใช้เครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติหรือใช้เครื่อง Doppler เพื่อฟังเสียงการเต้นของหลอดเลือดแดง จากนั้นบันทึกค่าความดันโลหิตที่ได้
  3. การวัดความดันเส้นเลือดที่ขา โดยการพันเครื่องวัดความดันโลหิตรอบขา วางหัวตรวจของเครื่อง Doppler ที่ตำแหน่งหลอดเลือดแดงที่ขา (Dorsalis pedis artery) จากนั้นใช้เครื่อง Doppler ฟังเสียงการเต้นของหลอดเลือดแดงแล้วบันทึกค่าความดันโลหิตที่ได้ในแต่ละตำแหน่ง
  4. เมื่อเสร็จสิ้นการตรวจ ABI ให้นำค่าความดันโลหิตที่วัดได้จากขา (สูงสุดระหว่าง Dorsalis pedis artery และ Posterior tibial artery) หารด้วยค่าความดันโลหิตที่แขน เพื่อคำนวณค่า ABI 

ค่า ABI = ความดันโลหิตที่ขา / ความดันโลหิตที่แขน

  1. ABI Index วิธีวัดผลที่ได้ ผ่านการอ่านค่า มีดังนี้
    • ค่า ABI > 1.3 อาจบ่งชี้ว่าหลอดเลือดแข็ง (calcified arteries)
    • ค่า ABI 1.0 - 1.3 ถือว่าปกติ
    • ค่า ABI 0.9 - 1.0 ถือว่าปกติหรือต่ำกว่าเล็กน้อย
    • ค่า ABI 0.7 - 0.9 บ่งชี้ว่ามีการตีบของหลอดเลือดแดงระดับปานกลาง
    • ค่า ABI < 0.7 บ่งชี้ว่ามีการตีบของหลอดเลือดแดงระดับรุนแรง

หากค่าที่ได้ผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

 

ใครที่ควรเข้ารับการตรวจ ABI

การตรวจ ABI (Ankle-Brachial Index) เป็นการตรวจที่สำคัญสำหรับกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (Peripheral Arterial Disease - PAD) รวมถึงผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด กลุ่มบุคคลที่ควรเข้ารับการตรวจ ABI ได้แก่

  1. ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เนื่องจากความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายจะเพิ่มขึ้นตามอายุ
  2. ผู้ที่มีประวัติการสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้หลอดเลือดแดงตีบตัน
  3. ผู้ป่วยเบาหวาน โรคเบาหวานสามารถทำให้หลอดเลือดแดงแข็งและตีบตันได้ง่ายขึ้น
  4. ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง (Hypertension) ภาวะความดันโลหิตสูงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย
  5. ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง (Hyperlipidemia) เนื่องจากระดับคอเลสเตอรอลสูงสามารถทำให้หลอดเลือดแดงตีบตันได้
  6. ผู้ที่มีอาการเจ็บหรือชาในขา (Claudication) อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของการตีบตันของหลอดเลือดแดงในขา
  7. ผู้ที่มีประวัติโรคหลอดเลือดแดงหัวใจ (Coronary Artery Disease) หรือโรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular Disease)
  8. ผู้ที่มีประวัติโรคหลอดเลือดแข็งตัวส่วนปลายในครอบครัว

 

สรุป การตรวจ ABI 

หลอดเลือดแข็งตัว

การตรวจ ABI เป็นวิธีที่ไม่เจ็บปวดและรวดเร็ว ช่วยในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย และช่วยในการประเมินความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดอื่น ๆ หากพบว่ามีค่าผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย GUEST1649747579 เมื่อ8 ตุลาคม พ.ศ. 2567 23.00 น.

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา