อาการนอนกรน (Snoring) เกิดจากอะไร? รีบรักษาก่อนเสี่ยงอันตราย

GUEST1649747579

สุดยอดขีดเีขียน (546)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:980
เมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 22.23 น.

นอนกรน

การนอนกรนเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ คนนอนกรนมักไม่รู้ตัวว่าตนเองมีอาการ แต่คู่นอนหรือคนรอบข้างจะได้ยินเสียงกรนที่อาจดังมากจนรบกวนการนอน นอกจากจะเป็นปัญหาทางสังคมแล้ว การนอนกรนยังอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการนอนกรน และวิธีแก้นอนกรน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

 

 

นอนกรน คืออะไร? อาการและระดับความรุนแรง

การนอนกรนเป็นอาการที่เกิดจากการมีเสียงดังขณะหายใจเข้าออกในระหว่างการนอนหลับ เสียงกรนเกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่ออ่อนในทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ลิ้นไก่ เพดานอ่อน หรือโคนลิ้น เมื่อมีการไหลเวียนของอากาศผ่านช่องทางเดินหายใจที่แคบลง

ลักษณะอาการของการนอนกรนมีหลายระดับความรุนแรง ดังนี้:

  1. นอนกรนเบา ๆ: เสียงกรนเบา ไม่สม่ำเสมอ มักไม่รบกวนคู่นอน
  2. นอนกรนปานกลาง: เสียงกรนดังขึ้น เกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจรบกวนการนอนของคู่นอน
  3. นอนกรนรุนแรง: เสียงกรนดังมาก เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา รบกวนคนรอบข้างอย่างมาก
  4. นอนกรนร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ: ผู้ป่วยมีอาการนอนกรนเสียงดังมาก สลับกับช่วงที่หยุดหายใจชั่วคราว ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายและต้องได้รับการรักษา

อาการนอนกรนอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการนอน ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียในตอนกลางวัน เจ็บคอ ปวดศีรษะตอนเช้า และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ หากมีอาการนอนกรนเป็นประจำหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวิธีการรักษาอาการนอนกรนที่เหมาะสม

 

นอนกรนส่งผลต่อโรคหัวใจอย่างไร?

การนอนกรนที่รุนแรงโดยเฉพาะเมื่อเกิดร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่สูงขึ้นต่อการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นขณะหลับได้ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต กลไกที่ทำให้เกิดความเสี่ยงนี้มีดังนี้:

  • การหยุดหายใจขณะหลับ: ผู้ที่มีอาการนอนกรนรุนแรงมักมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนเป็นช่วง ๆ
  • ความดันในช่องอกเพิ่มขึ้น: เมื่อพยายามหายใจผ่านทางเดินหายใจที่อุดตัน ทำให้ความดันในช่องอกเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ
  • การกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ: ร่างกายตอบสนองต่อภาวะขาดออกซิเจนด้วยการกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและความดันโลหิตสูงขึ้น
  • ความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจ: ภาวะดังกล่าวอาจนำไปสู่ความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจ ซึ่งในกรณีรุนแรงอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้
  • ความเครียดต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด: การนอนหลับหยุดหายใจเป็นประจำสร้างความเครียดต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาว

ด้วยเหตุนี้ การนอนกรนจึงไม่ใช่เพียงปัญหาที่รบกวนการนอนเท่านั้น แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงอันตรายที่แฝงอยู่ หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการนอนกรนรุนแรงหรือสังเกตเห็นการหยุดหายใจขณะนอนหลับ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

 

นอนกรนเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง?

การนอนกรนเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยเดี่ยวหรือหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น

 

  • โครงสร้างทางเดินหายใจผิดปกติ

 

    • ผนังกั้นจมูกคด
    • เพดานอ่อนยาวหรือหนาเกินไป
    • ต่อมทอนซิลหรือต่อมอดีนอยด์โต
  • น้ำหนักเกินหรืออ้วน - ไขมันสะสมรอบคอทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
  • อายุที่เพิ่มขึ้น - กล้ามเนื้อในลำคอหย่อนตัวมากขึ้นตามวัย
  • การดื่มแอลกอฮอล์ทำให้กล้ามเนื้อคอคลายตัวมากเกินไป
  • การสูบบุหรี่ - สร้างการระคายเคืองและอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับหรือยาคลายกล้ามเนื้อ
  • ท่านอน - การนอนหงายมักทำให้นอนกรนมากกว่าการนอนตะแคง
  • ภูมิแพ้หรือการติดเชื้อทางเดินหายใจ ทำให้จมูกคัดแน่น หายใจทางปากมากขึ้น
  • โรคภูมิแพ้ ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ
  • กรรมพันธุ์ - บางคนอาจมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่ทำให้นอนกรนได้ง่าย
  • ฮอร์โมนในผู้หญิง การตั้งครรภ์หรือวัยหมดประจำเดือนอาจเพิ่มโอกาสการนอนกรน
  • โรคต่อมไทรอยด์ - ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยอาจส่งผลต่อการนอนกรน

 

ใครที่เสี่ยงต่อการมีภาวะนอนกรนบ้าง?

นอนกรน เสี่ยง

  1. ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) สูงกว่า 25 มีโอกาสนอนกรนมากขึ้น
  2. ผู้ชายมีแนวโน้มนอนกรนมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะในวัยกลางคน
  3. อายุมากกว่า 40 ปี ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุ เนื่องจากกล้ามเนื้อคอเริ่มหย่อนตัว
  4. มีประวัติครอบครัวนอนกรน กรรมพันธุ์มีส่วนในการเพิ่มความเสี่ยง
  5. ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เพราะแอลกอฮอล์ทำให้กล้ามเนื้อคอคลายตัวมากเกินไป
  6. ผู้ที่สูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ระคายเคืองทางเดินหายใจ เพิ่มโอกาสนอนกรน
  7. ผู้ที่มีโครงสร้างใบหน้าและคอผิดปกติ เช่น คางเล็ก คอสั้น หรือจมูกคด
  8. ผู้ที่มีภูมิแพ้หรือหวัดบ่อย ทำให้จมูกอุดตันและหายใจทางปากมากขึ้น
  9. ผู้ที่ใช้ยานอนหลับหรือยาคลายกล้ามเนื้อ ยาเหล่านี้ทำให้กล้ามเนื้อคอคลายตัวมากเกินไป
  10. ผู้ที่นอนหงายเป็นประจำ ท่านอนหงายเพิ่มโอกาสการนอนกรน
  11. ผู้ที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย ส่งผลต่อการควบคุมกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ
  12. ผู้หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในวัยหมดประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมีผลต่อการนอนกรน
  13. ผู้ที่มีโรคอ้วนลงพุง ไขมันสะสมรอบคอทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
  14. ผู้ที่มีต่อมทอนซิลหรือต่อมอดีนอยด์โต จะทำให้ทางเดินหายใจแคบลง

 

วิธีรักษานอนกรน แก้ไขปัญหากวนใจ

การรักษาและแก้อาการนอนกรนด้วยตัวเองมีหลายวิธี ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้อุปกรณ์ช่วย และการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งวิธีที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ ต่อไปนี้คือวิธีการรักษาและแก้ไขอาการนอนกรนที่พบบ่อย:

 

  • ปรับเปลี่ยนท่านอน: การนอนตะแคงแทนการนอนหงายช่วยลดแรงดึงของแรงโน้มถ่วงต่อเนื้อเยื่อในคอ ทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น
  • ลดน้ำหนัก: สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักช่วยลดแรงกดทับบริเวณคอและลำคอ ทำให้หายใจสะดวกขึ้น
  • ใช้อุปกรณ์ลดนอนกรน: เช่น หมอนพิเศษที่ช่วยจัดท่านอน หรืออุปกรณ์ดึงขากรรไกรล่าง (Mandibular Advancement Devices) ซึ่งช่วยเปิดทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น
  • ใช้เครื่อง CPAP: สำหรับผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เครื่อง CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) จะช่วยเป่าอากาศเข้าทางเดินหายใจให้เปิดตลอดเวลา
  • รักษาด้วยเลเซอร์: การใช้เลเซอร์รักษาอาการนอนกรนช่วยกระชับเนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อนและลิ้นไก่ ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น
  • ผ่าตัดแก้ไขโครงสร้าง: ในกรณีที่มีความผิดปกติของโครงสร้างทางเดินหายใจ เช่น ผนังกั้นจมูกคด หรือต่อมทอนซิลโต อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
  • ฝึกออกกำลังกายกล้ามเนื้อในปากและลำคอ: การทำแบบฝึกหัดเฉพาะสำหรับกล้ามเนื้อในปากและลำคอช่วยเพิ่มความแข็งแรงและการควบคุมกล้ามเนื้อเหล่านี้ ลดโอกาสการนอนกรน
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต: เช่น งดสูบบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะก่อนนอน และรักษาสุขอนามัยการนอนที่ดี เช่น นอนให้เป็นเวลา และนอนในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

 

สรุป นอนกรน ควรทำอย่างไร?

การนอนกรนเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพของทั้งผู้ที่นอนกรนและคนรอบข้าง แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ควรละเลย เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่า เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด การทำความเข้าใจถึงสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และวิธีการรักษาที่เหมาะสม จะช่วยให้สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการนอนกรนที่รบกวนการใช้ชีวิต ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม 

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย GUEST1649747579 เมื่อ15 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 22.24 น.

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา