อาการนอนกรน (Snoring) เกิดจากอะไร? รีบรักษาก่อนเสี่ยงอันตราย
การนอนกรนเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ คนนอนกรนมักไม่รู้ตัวว่าตนเองมีอาการ แต่คู่นอนหรือคนรอบข้างจะได้ยินเสียงกรนที่อาจดังมากจนรบกวนการนอน นอกจากจะเป็นปัญหาทางสังคมแล้ว การนอนกรนยังอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการนอนกรน และวิธีแก้นอนกรน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
นอนกรน คืออะไร? อาการและระดับความรุนแรง
การนอนกรนเป็นอาการที่เกิดจากการมีเสียงดังขณะหายใจเข้าออกในระหว่างการนอนหลับ เสียงกรนเกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่ออ่อนในทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ลิ้นไก่ เพดานอ่อน หรือโคนลิ้น เมื่อมีการไหลเวียนของอากาศผ่านช่องทางเดินหายใจที่แคบลง
ลักษณะอาการของการนอนกรนมีหลายระดับความรุนแรง ดังนี้:
- นอนกรนเบา ๆ: เสียงกรนเบา ไม่สม่ำเสมอ มักไม่รบกวนคู่นอน
- นอนกรนปานกลาง: เสียงกรนดังขึ้น เกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจรบกวนการนอนของคู่นอน
- นอนกรนรุนแรง: เสียงกรนดังมาก เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา รบกวนคนรอบข้างอย่างมาก
- นอนกรนร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ: ผู้ป่วยมีอาการนอนกรนเสียงดังมาก สลับกับช่วงที่หยุดหายใจชั่วคราว ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายและต้องได้รับการรักษา
อาการนอนกรนอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการนอน ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียในตอนกลางวัน เจ็บคอ ปวดศีรษะตอนเช้า และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ หากมีอาการนอนกรนเป็นประจำหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวิธีการรักษาอาการนอนกรนที่เหมาะสม
นอนกรนส่งผลต่อโรคหัวใจอย่างไร?
การนอนกรนที่รุนแรงโดยเฉพาะเมื่อเกิดร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่สูงขึ้นต่อการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นขณะหลับได้ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต กลไกที่ทำให้เกิดความเสี่ยงนี้มีดังนี้:
- การหยุดหายใจขณะหลับ: ผู้ที่มีอาการนอนกรนรุนแรงมักมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนเป็นช่วง ๆ
- ความดันในช่องอกเพิ่มขึ้น: เมื่อพยายามหายใจผ่านทางเดินหายใจที่อุดตัน ทำให้ความดันในช่องอกเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ
- การกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ: ร่างกายตอบสนองต่อภาวะขาดออกซิเจนด้วยการกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและความดันโลหิตสูงขึ้น
- ความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจ: ภาวะดังกล่าวอาจนำไปสู่ความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจ ซึ่งในกรณีรุนแรงอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้
- ความเครียดต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด: การนอนหลับหยุดหายใจเป็นประจำสร้างความเครียดต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาว
ด้วยเหตุนี้ การนอนกรนจึงไม่ใช่เพียงปัญหาที่รบกวนการนอนเท่านั้น แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงอันตรายที่แฝงอยู่ หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการนอนกรนรุนแรงหรือสังเกตเห็นการหยุดหายใจขณะนอนหลับ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
นอนกรนเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง?
การนอนกรนเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยเดี่ยวหรือหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น
- โครงสร้างทางเดินหายใจผิดปกติ
- ผนังกั้นจมูกคด
- เพดานอ่อนยาวหรือหนาเกินไป
- ต่อมทอนซิลหรือต่อมอดีนอยด์โต
- น้ำหนักเกินหรืออ้วน - ไขมันสะสมรอบคอทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
- อายุที่เพิ่มขึ้น - กล้ามเนื้อในลำคอหย่อนตัวมากขึ้นตามวัย
- การดื่มแอลกอฮอล์ทำให้กล้ามเนื้อคอคลายตัวมากเกินไป
- การสูบบุหรี่ - สร้างการระคายเคืองและอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับหรือยาคลายกล้ามเนื้อ
- ท่านอน - การนอนหงายมักทำให้นอนกรนมากกว่าการนอนตะแคง
- ภูมิแพ้หรือการติดเชื้อทางเดินหายใจ ทำให้จมูกคัดแน่น หายใจทางปากมากขึ้น
- โรคภูมิแพ้ ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ
- กรรมพันธุ์ - บางคนอาจมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่ทำให้นอนกรนได้ง่าย
- ฮอร์โมนในผู้หญิง การตั้งครรภ์หรือวัยหมดประจำเดือนอาจเพิ่มโอกาสการนอนกรน
- โรคต่อมไทรอยด์ - ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยอาจส่งผลต่อการนอนกรน
ใครที่เสี่ยงต่อการมีภาวะนอนกรนบ้าง?
- ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) สูงกว่า 25 มีโอกาสนอนกรนมากขึ้น
- ผู้ชายมีแนวโน้มนอนกรนมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะในวัยกลางคน
- อายุมากกว่า 40 ปี ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุ เนื่องจากกล้ามเนื้อคอเริ่มหย่อนตัว
- มีประวัติครอบครัวนอนกรน กรรมพันธุ์มีส่วนในการเพิ่มความเสี่ยง
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เพราะแอลกอฮอล์ทำให้กล้ามเนื้อคอคลายตัวมากเกินไป
- ผู้ที่สูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ระคายเคืองทางเดินหายใจ เพิ่มโอกาสนอนกรน
- ผู้ที่มีโครงสร้างใบหน้าและคอผิดปกติ เช่น คางเล็ก คอสั้น หรือจมูกคด
- ผู้ที่มีภูมิแพ้หรือหวัดบ่อย ทำให้จมูกอุดตันและหายใจทางปากมากขึ้น
- ผู้ที่ใช้ยานอนหลับหรือยาคลายกล้ามเนื้อ ยาเหล่านี้ทำให้กล้ามเนื้อคอคลายตัวมากเกินไป
- ผู้ที่นอนหงายเป็นประจำ ท่านอนหงายเพิ่มโอกาสการนอนกรน
- ผู้ที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย ส่งผลต่อการควบคุมกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ
- ผู้หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในวัยหมดประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมีผลต่อการนอนกรน
- ผู้ที่มีโรคอ้วนลงพุง ไขมันสะสมรอบคอทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
- ผู้ที่มีต่อมทอนซิลหรือต่อมอดีนอยด์โต จะทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
วิธีรักษานอนกรน แก้ไขปัญหากวนใจ
การรักษาและแก้อาการนอนกรนด้วยตัวเองมีหลายวิธี ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้อุปกรณ์ช่วย และการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งวิธีที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ ต่อไปนี้คือวิธีการรักษาและแก้ไขอาการนอนกรนที่พบบ่อย:
- ปรับเปลี่ยนท่านอน: การนอนตะแคงแทนการนอนหงายช่วยลดแรงดึงของแรงโน้มถ่วงต่อเนื้อเยื่อในคอ ทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น
- ลดน้ำหนัก: สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักช่วยลดแรงกดทับบริเวณคอและลำคอ ทำให้หายใจสะดวกขึ้น
- ใช้อุปกรณ์ลดนอนกรน: เช่น หมอนพิเศษที่ช่วยจัดท่านอน หรืออุปกรณ์ดึงขากรรไกรล่าง (Mandibular Advancement Devices) ซึ่งช่วยเปิดทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น
- ใช้เครื่อง CPAP: สำหรับผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เครื่อง CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) จะช่วยเป่าอากาศเข้าทางเดินหายใจให้เปิดตลอดเวลา
- รักษาด้วยเลเซอร์: การใช้เลเซอร์รักษาอาการนอนกรนช่วยกระชับเนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อนและลิ้นไก่ ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น
- ผ่าตัดแก้ไขโครงสร้าง: ในกรณีที่มีความผิดปกติของโครงสร้างทางเดินหายใจ เช่น ผนังกั้นจมูกคด หรือต่อมทอนซิลโต อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
- ฝึกออกกำลังกายกล้ามเนื้อในปากและลำคอ: การทำแบบฝึกหัดเฉพาะสำหรับกล้ามเนื้อในปากและลำคอช่วยเพิ่มความแข็งแรงและการควบคุมกล้ามเนื้อเหล่านี้ ลดโอกาสการนอนกรน
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต: เช่น งดสูบบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะก่อนนอน และรักษาสุขอนามัยการนอนที่ดี เช่น นอนให้เป็นเวลา และนอนในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
สรุป นอนกรน ควรทำอย่างไร?
การนอนกรนเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพของทั้งผู้ที่นอนกรนและคนรอบข้าง แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ควรละเลย เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่า เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด การทำความเข้าใจถึงสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และวิธีการรักษาที่เหมาะสม จะช่วยให้สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการนอนกรนที่รบกวนการใช้ชีวิต ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้