ไบโพลาร์คืออะไร ลักษณะอาการ สาเหตุและวิธีป้องกันรักษา
ในปัจจุบันมีภาวะเครียดจากหลายเรื่องอาจพบเจอในชีวิตประจำวันทั้งภายในครอบครัว ที่ทำงานเป็นเรื่องใกล้ตัวพบได้บ่อย หลายคนเกิดอาการผิดปกติทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวนได้ง่าย ถ้าไม่ได้รับการดูแลจากตนเอง รวมถึงคนรอบข้างอย่างเหมาะสมอาจทำให้เกิดโรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) ได้ ซึ่งโรคนี้อาจเกิดขึ้นโดยตัวเองไม่รู้ตัวก็เป็นได้ รวมทั้งมีอีกหลายคนอาจจะยังไม่รู้จักโรคไบโพลาร์
บทความนี้จึงนำสาระต่าง ๆ เกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้ว สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ในด้านสาเหตุ ปัจจัยเกี่ยวข้องทั้งสารสื่อประสาทไม่สมดุล พันธุกรรมและอีกหลายอย่างที่ทำให้เกิดโรคไบโพลาร์ ลักษณะอาการของโรค การวินิจฉัย วิธีรักษา รวมถึงวิธีดูแลตนเองและคนในครอบครัว เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไปดูพร้อมกันเลย
โรคไบโพลาร์ คืออะไร
โรคไบโพลาร์ คือโรคที่ผู้ป่วยมีความผิดปกติทางอารมณ์ เป็นภาวะสุขภาพจิตอารมณ์แปรปรวนขั้นรุนแรง มีอาการแมเนียและซึมเศร้าเป็นช่วง ๆ โดยผู้ป่วยอาจมีอาการเพียงด้านเดียว หรือสองด้านร่วมกันก็เป็นได้ ส่งผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจหากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี การดูแลที่ดีจากครอบครัวสามารถทำให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ แต่หากขาดความเข้าใจจากคนรอบข้าง ผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายได้
ลักษณะอาการของโรคไบโพลาร์
อาการของโรคไบโพลาร์อาจแตกต่างกันไป โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักได้แก่กลุ่มขั้วบวกคือ อารมณ์ดี อารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง และกลุ่มขั้วลบคืออาการซึมเศร้า ผู้ป่วยไบโพลาร์จะแสดงอาการทางอารมณ์ ขึ้น-ลง สลับกันทั้งสองขั้ว ลักษณะอาการของโรคไบโพลาร์ มีดังนี้
ไบโพลาร์ อาการกลุ่มขั้วบวกอารมณ์ดี อารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง (Mania, or Hypomania) ได้แก่
- อารมณ์ขึ้น - ลง แสดงออกอย่างเต็มที่ รู้สึกมีความสุขอย่างมาก ร่าเริงผิดปกติ คึกคัก อยู่ไม่นิ่งหงุดหงิด โกรธง่าย โมโหง่าย
- พลังงานเพิ่มขึ้น มีการเพิ่มระดับพลังงานอย่างสูงล้น
- ความต้องการนอนลดลง นอนน้อยกว่าปกติ ไม่หลับไม่นอน กระสับกระส่าย ตื่นตัวตลอดเวลา
- หุนหันพลันแล่น ตอบสนองต่อสิ่งเร้ารวดเร็ว คิดฟุ้งซ่านได้ง่าย ประมาทเลินเล่อ ไม่มีเหตุผล ขาดความยั้งคิด ไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
- ช่างพูดเพิ่มขึ้น พูดเร็ว พูดมาก พูดไม่หยุด พูดเสียงดัง เปลี่ยนเรื่องพูด เปลี่ยนความคิดหนึ่งไปอีกความคิดหนึ่งเร็ว
- ความมั่นใจสูง มีความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองเกินจริง รู้สึกเหนือกว่าคนอื่น บางครั้งคิดว่าตนเองเป็นใหญ่
- ชอบทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ทำงานเกินพอดี ขยันผิดปกติ
- ใช้จ่ายผิดปกติ ฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย ขาดความยั้งคิด
- อารมณ์ทางเพศสูง ไบโพลาร์มีความต้องการสูง พฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม
- ขาดสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น
ไบโพลาร์ กลุ่มขั้วลบอาการซึมเศร้า (Depressed) ได้แก่
- ความโศกเศร้าอย่างต่อเนื่อง อยู่ในอารมณ์ซึมเศร้า หม่นหมอง ท้อแท้ หดหู่ สิ้นหวัง ว่างเปล่า
- วิตกกังวลอย่างรุนแรง เครียด กระสับกระส่าย กระวนกระวายใจ สมาธิสั้น หวาดระแวง ขาดความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
- ขาดความสนใจหรือความเพลิดเพลิน อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง ไม่มีชีวิตชีวา เหม่อลอย หมดความสนใจในกิจกรรมทุกสิ่ง
- น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน
- นอนไม่หลับหรือนอนหลับมากเกินไป
- เหนื่อยล้า รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า เชื่องช้า ชาดพลังงาน ไม่อยากทำอะไร
- รู้สึกไร้ค่า ไบโพลาร์ประสบกับความรู้สึกสิ้นหวัง มองคุณค่าในตนเองต่ำ ร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้
- ความยากลำบากในการตัดสินใจ สมาธิสั้น คิดช้า ตัดสินใจไม่ได้
- คิดเรื่องความตาย ฆ่าตัวตาย วางแผน หรือพยายามฆ่าตัวตาย
สิ่งสำคัญไม่ใช่ทุกคนที่เป็นโรคไบโพลาร์จะมีอาการทั้งสองทุกคน บางคนอาจมีภาวะ hypomania เพียงอย่างเดียว หรือคนอื่น ๆ อาจมีอาการซึมเศร้าเป็นหลัก อาการเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล หากคุณหรือคนรู้จักมีอาการไบโพลาร์ จำเป็นต้องเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
การวินิจฉัยของโรคไบโพลาร์
วินิจฉัยโรคไบโพลาร์ เมื่อเกิดสัญญาณเตือน รู้สึกเกิดความผิดปกติจนไม่แน่ใจว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ ควรเข้าพบจิตแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยโรค ดังนี้
- แพทย์จะซักประวัติสุขภาพอย่างละเอียด เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาการของบุคคล ประวัติทางการแพทย์ ประวัติครอบครัวเคยเป็นโรคไบโพลาร์ มีปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่ รวมถึงเหตุการณ์ในชีวิต ความเครียดที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์วินิจฉัย ใช้คู่มือวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต โรคไบโพลาร์มีลักษณะเฉพาะคือ ภาวะ hypomania และภาวะซึมเศร้าแตกต่างกัน ซึ่งจิตแพทย์เป็นผู้ทดสอบ พูดคุยซักถามอาการ ปัญหาของผู้ป่วย รวมถึงประวัติใช้สิ่งเสพติด ยาที่อาจส่งผลต่ออารมณ์ ความคิดทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
- จิตแพทย์บางคน อาจขอให้ผู้ป่วยบันทึกขึ้น-ลงของอารมณ์ในแต่ละวัน เพื่อติดตามความแปรปรวนของอารมณ์จากรูปแบบการนอนหลับ ระดับพลังงานในช่วงเวลาหนึ่ง ช่วยวินิจฉัยโรค และช่วยวางแผนรักษาที่เหมาะสม
- ตรวจร่างกาย ตรวจเลือดหรือปัสสาวะ เพื่อใช้วินิจฉัยอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลต่ออารมณ์
- ข้อมูลจากสมาชิกในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือแหล่งข้อมูลอื่น ๆ อาจถูกรวบรวมเพื่อให้มุมมองเพิ่มเติมเกี่ยวกับพฤติกรรมและรูปแบบอารมณ์ของผู้ป่วย
วินิจฉัยโรคไบโพลาร์อาจเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากอาการอาจทับซ้อนกับสภาวะสุขภาพจิตอื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนั้นวิธีวินิจฉัยโรคไบโพลาร์ต้องเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ เป็นอย่างดี เพื่อหาวิธีรักษาได้เหมาะสม
วิธีการรักษาโรคไบโพลาร์
วิธีรักษาไบโพลาร์มักเกี่ยวกับการใช้ยา จิตบำบัด และเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตร่วมกัน วิธีการเฉพาะอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิด ความรุนแรงของโรคไบโพลาร์ วิธีรักษาโรคไบโพลาร์ แยกได้ดังนี้
- ใช้ยา ยารักษาไบโพลาร์ โดยใช้ยาปรับอารมณ์ (mood stabilizers) เช่น ลิเทียม, คาร์บามาซีปีน, ลามอตริจีน, ยาต้านซึมเศร้า (antidepressants) ในกรณีมีภาวะซึมเศร้า เช่น valproate และยารักษาโรคจิต (antipsychotics) เมื่อมีอาการทางจิตที่มีความรุนแรง เช่น olanzapine, risperidone หรือ quetiapine ทั้งนี้ผู้ป่วยควรทานยารักษาโรคไบโพลาร์ตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง จึงจะเห็นผล ไม่ควรหยุดยากะทันหันเพื่อป้องกันไม่ให้กลับมามีอาการของโรคซ้ำ หรือมีอาการของโรครุนแรงกว่าเดิม
- ทำจิตบำบัด ด้วยการพูดคุยระหว่างผู้ป่วยโรคไบโพลาร์กับจิตแพทย์โดยตรง เพื่อวิเคราะห์สภาพจิตใจ สาเหตุปัญหา รวมถึงหาทางออกให้กับปัญหาต่าง ๆ ที่มาของความทุกข์ใจ ความเครียด พร้อมทั้งพัฒนาทักษะในการเผชิญกับปัญหา เพื่อช่วยจัดการอารมณ์และพฤติกรรม รวมทั้งฝึกทักษะจัดการกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
- เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต จัดการนอนหลับให้เพียงพอ, ลดความเครียด เช่น มีสติ ฝึกสมาธิ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อผ่อนคลาย สามารถป้องกันอารมณ์แปรปรวน, นิสัยการดำเนินชีวิตที่ดีต่อสุขภาพรับประทานอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงสารเสพติด มีส่วนทำให้ความเป็นอยู่โดยรวมดีขึ้น สามารถช่วยรักษาอารมณ์ได้
- ตรวจสอบเป็นประจำ ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ ควรได้รับตรวจเช็กกับจิตแพทย์เป็นประจำ เพื่อติดตามอาการ ประสิทธิภาพของยารักษาไบโพลาร์ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ปรับเปลี่ยนวิธีรักษาหากจำเป็น
วิธีดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคไบโพลาร์
วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคไบโพลาร์ จะช่วยจัดการกับโรคไบโพลาร์และส่งเสริมความเป็นอยู่โดยรวมได้ดีขึ้น มีดังนี้
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ หากพบผลข้างเคียงจากใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ทันที ไม่ควรหยุดยาเอง
- จิตบำบัดเข้าร่วมบำบัดเป็นประจำ เช่นบำบัดด้วยความรู้ความเข้าใจพฤติกรรม บำบัดด้วยจังหวะระหว่างบุคคลสังคม หรือบำบัดเน้นที่ครอบครัว
- ดูแลสุขภาพทั่วไป โดยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารถูกสุขลักษณะมีคุณค่าทางโภชนาการ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารเสพติด เนื่องจากอาจรบกวนประสิทธิภาพของยา อาจทำให้อารมณ์แปรปรวนรุนแรงขึ้น
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยรักษาตารางการนอนหลับให้สม่ำเสมอ ตั้งเป้าให้เวลาเข้านอนและเวลาตื่นนอนสม่ำเสมอ แม้ในวันหยุดสุดสัปดาห์
- จัดการความเครียด เรียนรู้ใช้เทคนิคลดความเครียด เช่น มีสติ ทำสมาธิ หายใจลึกๆ ทำจิตใจให้สบายหรือผ่อนคลายกล้ามเนื้อแบบต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขหรือรับมือกับความเครียด
- หาความรู้ให้ตัวเองศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ อาการ ทางเลือกวิธีรักษา ทำความเข้าใจอาการของตัวเอง สามารถช่วยจัดการอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- แผนรองรับสถานการณ์วิกฤติ จัดทำแผนวิกฤติร่วมกับจิตแพทย์และคนในครอบครัว ระบุผู้ติดต่อในกรณีฉุกเฉิน กลยุทธ์วิธีรับมือ และขั้นตอนที่ต้องดำเนินในช่วงอารมณ์รุนแรง
วิธีดูแลตัวเองของผู้ป่วยไบโพลาร์เป็นกระบวนการต่อเนื่อง มีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องอดทนกับตัวเอง หากรู้สึกหนักใจหรือพบภาวะเปลี่ยนแปลงในอารมณ์รุนแรง ให้รีบพบจิตแพทย์ผู้ดูแลทันที
วิธีดูแลคนใกล้ชิดที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์
วิธีดูแลคนใกล้ชิดเป็นโรคไบโพลาร์ต้องให้ความเข้าใจ กำลังใจ หัวข้อนี้มีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีดูแลและช่วยเหลือผู้ป่วยไบโพลาร์ ดังนี้
- ให้ความรู้แก่ตัวเองเรียนรู้เกี่ยวกับไบโพลาร์ อาการ ทางเลือกรักษา ทำความเข้าใจสภาวะโรค อาจขอคำปรึกษาจากจิตแพทย์ หรือผู้มีประสบการณ์เกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ ช่วยให้ผู้ดูแลมีข้อมูลเข้าใจต่อโรคได้ดีขึ้น
- สังเกตอาการเริ่มต้น ก่อนผู้ป่วยจะอาการกำเริบหนัก มักมีสัญญาณเริ่มต้นโดยสังเกต ดังนี้
หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ พูดมากขึ้น อารมณ์ครื้นเครงผิดปกติ เศร้าผิดปกติ รู้สึกอยากตาย ซึ่งคนใกล้ชิดต้องดูแลรีบแก้ไขแต่เนิ่น ๆ เมื่อผู้ป่วยเกิดความเจ็บป่วย หรือต้องพาส่งโรงพยาบาล - ให้คำแนะนำปฏิบัติตามวิธีรักษา ดูแลให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามแผนการรักษา รวมถึงรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด รู้จักวิธีสังเกตผลข้างเคียงจากยา วิธีแก้ไขเบื้องต้น รวมทั้งเข้าร่วมการบำบัด
- รักษาการสื่อสารที่ดี รับฟัง ฟังให้เป็น คุยกับผู้ป่วยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ใช้คำพูดเหมาะสม อย่ากระตุ้นผู้ป่วยด้วยการโต้แย้ง ชวนทะเลาะ ส่งเสริมให้ผู้ป่วยแสดงความคิดและความรู้สึกของตนเป็นผู้ฟังที่ดีโดยไม่โต้แย้ง
- ช่วยสร้างกิจวัตรประจำวันที่ดี ซึ่งรวมถึงพักผ่อนนอนหลับ รับประทานอาหาร ออกกำลังกายเป็นประจำ ความสม่ำเสมอสามารถส่งผลต่อความมั่นคงทางอารมณ์ได้
- ส่งเสริมทางเลือกใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพ รับประทานอาหารที่สมดุล มีคุณค่าทางโภชนาการ ออกกำลังกายเป็นประจำ เลือกวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพอื่น ๆ ส่งผลต่อความเป็นอยู่โดยรวม
- เรียนรู้เกี่ยวกับแหล่งข้อมูลในช่วงวิกฤต ทำความคุ้นเคยกับแหล่งข้อมูลในภาวะวิกฤติและมีแผนเตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉิน ซึ่งอาจรวมถึงควรติดต่อใครในกรณีเกิดเหตุการณ์อารมณ์รุนแรง เช่น สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ 1669 เบอร์โรงพยาบาลจิตเวชใกล้บ้าน
- ดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจของผู้ดูแล ดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์เป็นเรื่องต้องอาศัยความอดทนและทำความเข้าใจอย่างมาก ผู้ดูแลต้องแบ่งเวลามาดูแลสุขภาพตัวเองด้วย รวมทั้งต้องรู้จักวิธีฝึกผ่อนคลายความเครียดอย่างเหมาะสม
ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์แต่ละคนอาการแตกต่างกันไป สิ่งที่ใช้ได้ผลกับบุคคลหนึ่งอาจไม่ได้ผลกับอีกคนหนึ่ง หากผู้ดูแลรู้สึกหนักใจหรือไม่แน่ใจจะดูแลได้อย่างไร อย่าลังเลที่จะขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหรือกลุ่มสนับสนุนในการช่วยเหลือ
สรุปเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์
โรคไบโพลาร์เป็นภาวะทางจิตมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ระหว่างภาวะกระตุ้น (mania) และภาวะซึมเศร้า (depression) วิธีรักษาไบโพลาร์รวมถึงใช้ยาปรับอารมณ์ บำบัดทางจิต ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม วิธีรักษาด้วยดูแลตนเองและจากคนภายในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ หากได้รับการรักษาด้วยวิธีเหมาะสมจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ถ้าพบมีอาการควรปรึกษาจิตแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสมต่อไป
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้