CoolSculpting การสลายไขมันด้วยความเย็น ปลอดภัย ไร้ผลข้างเคียง
สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาไขมันสะสมในบริเวณที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยอาหารและการออกกำลังกาย และไม่อยากผ่าตัด เพื่อดูดไขมันออก ในปัจจุบัน ได้มีนวัตกรรมใหม่อย่าง CoolSculpting ที่จะช่วยสลายไขมันด้วยความเย็น โดยที่เราไม่ต้องดมยาสลบและผ่าตัดให้เจ็บตัว พร้อมทั้งเห็นผลลัพธ์ชัดเจน มีความปลอดภัยสูง โอกาสเกิดผลข้างเคียงต่ำ และที่สำคัญ ไม่ต้องพักฟื้นร่างกายอีกด้วย
Coolsculpting สลายไขมันด้วยความเย็น คืออะไร
CoolSculpting คือ ทรีตเมนต์เพื่อความงาม ซึ่งออกแบบมา เพื่อสลายไขมันด้วยความเย็นในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย โดยใช้เทคนิคที่ชื่อว่า Cryolipolysis เป็นการแช่แข็งเฉพาะเซลล์ไขมันจนถึงจุดที่เซลล์ตายและถูกกำจัดออกจากร่างกายตามธรรมชาติ เนื่องจากเซลล์ไขมันจะมีความไวต่ออุณหภูมิมากกว่าเซลล์ชนิดอื่น ๆ
ในปัจจุบัน CoolSculpting ได้รับการรับรองจาก FDA และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการลดไขมันที่จับยากในบริเวณต่าง ๆ เช่น หน้าท้อง รักแร้ ต้นขา และคาง เป็นต้น อีกทั้งยังมีความปลอดภัยสูง เพราะไม่ต้องดมยาสลบ แต่อย่างไรก็ตาม CoolSculpting ไม่ใช่วิธีการลดน้ำหนัก เป็นเพียงการกำจัดไขมันสะสมในบริเวณที่ไม่สามารถควบคุมอาหารและออกกำลังกายได้
กระบวนการทำงานของ CoolSculpting คือ การส่งคลื่นความเย็นในระดับต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง -11 ถึง -13°C ในบริเวณที่ต้องการ เพื่อเปลี่ยนสภาพไขมันสะสมให้กลายเป็นผลึกน้ำแข็งก่อนสลายไปตามระบบการทำงานของร่างกาย โดยปกติแล้ว เซลล์ไขมันจะถูกทำลายมากถึงร้อยละ 20-25 และใช้เวลาในการทำประมาณ 35-60 นาที ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น และโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยมาก
Coolsculpting เหมาะกับใคร
ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนว่า CoolSculpting ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาการลดน้ำหนัก แต่เป็นการกำจัดไขมันสะสมในบริเวณที่ไม่สามารถควบคุมอาหารและออกกำลังกายได้ โดยเหมาะสมกับบุคคลต่อไปนี้
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์หรือใกล้เคียง แต่มีไขมันสะสมในบริเวณที่ดื้อต่อการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
- ผู้ที่ต้องการสลายไขมันในปริมาณปานกลาง (BMI<35) เพื่อปรับเปลี่ยนรูปร่าง
- ผู้ที่ต้องการกระชับสัดส่วน และปรับรูปร่าง โดยที่ไม่ต้องการผ่าตัดดูดไขมัน หรือมีแผลจากการผ่าตัด
Coolsculpting นิยมทำบริเวณใด?
CoolSculpting สามารถใช้สลายไขมันด้วยความเย็นในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างหลากหลาย โดยบริเวณยอดนิยมสำหรับ CoolSculpting ได้แก่
- บริเวณหน้าท้อง ถือว่าเป็นหนึ่งในจุดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับ CoolSculpting เพราะไขมันหน้าท้องส่วนเกินเป็นส่วนที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยอาหารและการออกกำลังกาย
- บริเวณเอว สะโพก ก้น และสีข้าง เป็นอีกหนึ่งจุดยอดนิยมที่หลายคนนิยมทำ
- บริเวณต้นขา สามารถรักษาไขมันสะสมที่ต้นขาด้านในและด้านนอกได้ด้วย CoolSculpting เพื่อลดไขมันที่นูนออกมา
- บริเวณเหนียง ใต้คาง เพื่อช่วยลดไขมันใต้ผิวหนังหรือที่เรียกว่า คางสองชั้น
- บริเวณต้นแขน
- บริเวณหลัง
- บริเวณหน้าอก (สำหรับคุณผู้ชาย) นมน้อย หรือส่วนเกินบริเวณขอบเสื้อชั้นใน
- บริเวณเหนือเข่า
โดยแต่ละจุดจะใช้หัว Applicator ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งนี้ เราควรทำ CoolSculpting ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ที่จะช่วยประเมินการรักษาได้อย่างเหมาะสม
ผลลัพธ์ของการทำ Coolsculpting
CoolSculpting เป็นนวัตกรรมที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการสลายไขมันส่วนเกินในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเราสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เพราะ CoolSculpting จะช่วยสามารถลดปริมาณไขมันในบริเวณที่ทำการรักษาได้ถึง 25% ทำให้รูปร่างหรือบริเวณที่รักษาจะมีปริมาณไขมันที่น้อยลง รูปร่างและสัดส่วนมีความกระชับมากขึ้น
แต่ร่างกายอาจจะใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นผลลัพธ์ทั้งหมดของ CoolSculpting เนื่องจากร่างกายจะค่อย ๆ กำจัดเซลล์ไขมันที่ตายแล้ว และผลลัพธ์จากการทำ CoolSculpting จะอยู่ในระยะเวลานาน เพราะเซลล์ไขมันที่ได้รับความเย็นจะถูกกำจัดออกจากร่างกายอย่างถาวร
แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องหมั่นดูแลสุขภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์ไขมันใหม่ก่อตัวขึ้นในบริเวณที่รักษาอีกครั้ง และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ขนาดและตำแหน่งของบริเวณที่ทำการรักษา จำนวนครั้งของการรักษา และปัจจัยส่วนบุคคล เช่น การเผาผลาญและความยืดหยุ่นของผิว เป็นต้น
การทำCoolsculpting มีข้อดี ข้อจำกัดอะไรบ้าง
สำหรับการสลายไขมันด้วยความเย็นด้วยการทำ CoolSculpting เองก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่เราจะต้องทราบและเข้าใจ ดังนี้
ข้อดีของการทำ Coolsculpting
- ไม่มีแผลผ่าตัด เพราะ CoolSculpting เป็นหัตถการไม่ต้องผ่าตัดหรือเปิดแผล ซึ่งหมายความว่าไม่มีแผลเป็นและไม่ต้องพักฟื้น
- ไม่ทำอันตรายต่อผิวหนังชั้นนอก เพราะ CoolSculpting มีระบบ Freeze detect ซึ่งหมายถึงว่า เครื่องจะหยุดทำงานทันทีที่ตรวจเจอความเย็นในผิวชั้นบนที่มากเกินไป
- เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการลดไขมันส่วนเกินในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาและมีผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก
- ผลลัพธ์แน่นอนและยาวนาน เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ผ่านการสลายด้วยความเย็นจะถูกกำจัดออกจากร่างกายอย่างถาวร ซึ่งหมายความว่า หากเราสามารถดูแลร่างกายอย่างเหมาะสม ผลลัพธ์ก็จะสามารถคงอยู่ได้นานหลายปี
- ไม่จำเป็นต้องใช้ยาสลบ ทำให้ไม่มีความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับยาสลบ
- CoolSculpting สามารถปรับเปลี่ยนหัว Applicator ได้ เพื่อให้เหมาะกับความต้องการและเป้าหมายการรักษาของแต่ละคน
ข้อจำกัดของการทำ Coolsculpting
- CoolSculpting ไม่ใช่วิธีการลดน้ำหนักและไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินอย่างมาก
- สามารถรักษาได้ในบางบริเวณ และอาจไม่ได้ผลในการลดไขมันในบริเวณที่ใหญ่ขึ้นหรือสำหรับรูปร่างโดยรวม
- อาจจะต้องทำการรักษาหลายครั้ง โดยขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
และที่สำคัญ CoolSculpting ไม่เหมาะสำหรับบุคคลต่าง ๆ เหล่านี้
- ผู้ที่มีโรคต่าง ๆ เช่น ภาวะเลือดคั่งในเลือดต่ำ โรคหวัด agglutinin หรือโรคเลือดออกในปัสสาวะ โรคเลือดที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติเมื่อสัมผัสกับความเย็น โรคแพ้ความเย็น เป็นต้น
- ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด หรือยาที่ทำให้เลือดไม่แข็งตัวตามปกติ
- สตรที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- สตรีมีประจำเดือน อาจทำให้อาการปวดประจำเดือนเป็นมากขึ้น
เครื่องสลายไขมัน Coolsculpting กับ Cooltech แตกต่างกันอย่างไร
ทั้ง CoolSculpting และ Cooltech ล้วนแต่เป็นนวัตกรรมที่ช่วยสลายไขมันด้วยความเย็น เพื่อแช่แข็งและทำลายเซลล์ไขมันในบริเวณที่ต้องการของร่างกาย อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ประเภทก็มีความแตกต่าง ดังนี้
CoolSculpting ใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อนที่จดสิทธิบัตรซึ่งเรียกว่า Cryolipolysis โดยที่มีหัว Applicator หลายแบบที่สามารถใช้ได้เฉพาะที่มากกว่า ในขณะที่ Cooltech ใช้เทคโนโลยีที่คล้ายกันซึ่งเรียกว่า Cryoadipolysis มีหัว Applicator ที่มีขนาดเล็กกว่า แต่ระยะเวลาในการรักษาของ Cooltech มักจะสั้นกว่า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการรักษา
โดยในปัจจุบัน CoolSculpting รุ่นใหม่ล่าสุดจะมี Applicator ทั้งหมด 5 หัว ที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกเจ็บน้อยลง ใช้เวลาในการรักษาน้อยลง แบ่งเป็น 5 ประเภท ดังนี้
- CoolAdvantage เป็น Applicator ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่มีปริมาณไขมันปานกลาง สามารถใช้รักษาได้ 7 จุด ได้แก่ ท้อง เอว แขน หน้าอกผู้ชาย ปีกหลัง ขาด้านใน และใต้ก้น
- CoolAdvantage Petite ใช้รักษาได้ทั้งหมด 7 จุด เหมือนหัว CoolAdvantage แต่เหมาะสำหรับคนที่มีไขมันไม่หนามาก หรือเป็นคนตัวเล็ก หรือเคยทำ CoolAdvantage ไปแล้ว
- Cool Advantage Plus เป็นหัว Applicator ขนาดใหญ่ ใช้สำหรับลดไขมันในบริเวณกว้าง คือ เอวและท้อง เหมาะสำหรับคนที่มีไขมันเยอะ
- Cool Mini เป็นหัว Applicator ขนาดเล็ก ใช้สำหรับลดไขมันบริเวณเหนียง เนื้อน้อย เช่น เนื้อใต้รักแร้ เหนือหน้าอกผู้หญิง เนื้อย้วยเหนือเข่า หรือบริเวณที่ออกกำลังกายไม่ได้ เป็นต้น
- Cool Smooth Pro เป็นหัว Applicator ที่ใช้สำหรับบริเวณขาด้านนอก และบริเวณใต้สะโพกลงมา
ข้อควรรู้ก่อนทำ Coolsculpting
ก่อนที่เราจะทำ CoolSculpting เราจะต้องทราบข้อมูล ดังต่อไปนี้ก่อน
- ก่อนเข้ารับการรักษา จะต้องเข้าพบแพทย์ เพื่อทำการปรึกษา และขอแนะนำก่อนเสมอ สำหรับการวางแผนการรักษาให้เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาต้านการอักเสบใด ๆ เช่น แอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เนื่องจากยาเหล่านี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 2-3 วันก่อนการรักษา
- บางรายอาจจะเกิดผลข้างเคียงชั่วคราวหลังการทำ CoolSculpting เช่น รอยแดง บวม หรือรอยช้ำในบริเวณที่ทำการรักษา ผลข้างเคียงเหล่านี้ มักจะหายไปเองภายใน 2-3 วันหรือหลายสัปดาห์
- ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละคน เช่น ระบบเผาผลาญ ความยืดหยุ่นของผิว โดยผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมักจะเห็นได้ภายใน 2-3 เดือน
- เน้นว่า การทำ CoolSculpting ไม่ใช่วิธีการลดน้ำหนักอย่างถาวร เป็นเพียงการสลายไขมันด้วยความเย็นในส่วนที่มีไขมันสะสมเท่านั้น ภายหลังการรักษา เราก็ต้องหมั่นดูแลสุขภาพ เพื่อเลี่ยงการเกิดการสะสมไขมันใหม่
ขั้นตอนการทำ Coolsculpting
สำหรับขั้นตอนในการทำ CoolSculpting นั้น เริ่มจาก
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการรักษา พร้อมทั้งแจ้งโรคประจำตัว ประวัติทางการแพทย์ และความเสี่ยงหรือข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับการรักษา และประเมินค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มวลไขมันในร่างกาย ซึ่งมีผลต่อสัดส่วนที่ต้องการลด
- แพทย์จะทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการและติดแผ่นเจล เพื่อป้องกันผิวจากกระบวนการทำความเย็น
- แพทย์จะกำหนดจุดในการวางหัว Applicator ให้เหมาะสม ก่อนจะเริ่มทำการรักษา โดยเปิดเครื่องสลายไขมัน เพื่อส่งพลังงานความเย็นลงลึกเข้าไปยังเซลล์ไขมันใต้ผิว จะทำให้เราเกิดความรู้สึกดึงหรือบีบเล็กน้อย โดยใช้เวลาประมาณ 35-60 นาที ขึ้นอยู่กับแต่ละบริเวณที่การรักษา
- หลังเสร็จกระบวนการ แพทย์จะนวดบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อสลายเซลล์ไขมันที่เหลืออยู่
- เราไม่จำเป็นต้องพักฟื้นหลังขั้นตอน CoolSculpting และสามารถกลับมาทำกิจกรรมได้ตามปกติทันทีหลังการรักษา
วิธีดูแลตัวเองหลังทำ Coolsculpting?
หลังจากทำ CoolSculpting แล้ว สิ่งสำคัญ คือ เราต้องดูแลตัวเอง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เคล็ดลับในการดูแลตัวเองหลังทำ CoolSculpting มีดังนี้
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยล้างเซลล์ไขมันที่ถูกทำลาย
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน เป็นเวลา 2-3 วันหลังจากทำ CoolSculpting
- สวมเสื้อผ้าที่หลวมและสบาย เพื่อไม่ให้เสียดสีกับบริเวณที่ทำการรักษาและทำให้เกิดการระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเวลา 2-3 วัน หลังจากทำ CoolSculpting เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาฟื้นตัว
- นวดบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อช่วยสลายเซลล์ไขมันที่เหลืออยู่ ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
- หมั่นออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมของเซลล์ไขมันใหม่ในบริเวณที่ทำการรักษา
- หากคุณพบอาการผิดปกติหรือผลข้างเคียงหลังการทำ CoolSculpting เช่น ปวด บวม หรือแดงอย่างรุนแรง ให้ติดต่อแพทย์ทันที
แนะนำคลินิกในการทำ Coolsculpting?
แล้วเราควรเลือกทำ CoolSculpting ที่ไหนดี ด้วยการรักษาแบบสลายไขมันด้วยความเย็นนี้ แม้ว่าจะเป็นนวัตกรรมที่ปลอดภัย แต่เราก็ต้องพิจารณาเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือด้วยเช่นกัน โดยพิจารณาจาก
- คลินิกมีมาตรฐานและความน่าเชื่อถือ โดยมีใบรับรองที่ถูกต้อง
- สถานพยาบาลมีความสะอาด พื้นที่กว้างขวาง
- ใช้เครื่องมือ CoolSculpting ของแท้
- ทีมแพทย์มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและมีประสบการณ์
- มีการรีวิวผลลัพธ์จากผู้ใช้บริการจริง
- ราคาสมเหตุสมผล ไม่ถูกและแพงเกินไป
คำถามที่พบบ่อย
จากการทำ CoolSculpting ซึ่งจะช่วยสลายไขมันด้วยความเย็น แต่ก็ยังมีหลายคำถามที่มักสงสัย ดังนี้
1. CoolSculpting ทำกี่ครั้งถึงเห็นผล?
CoolSculpting ช่วยสลายไขมันได้ประมาณ 20-30% ต่อการทำ 1 ครั้ง ดังนั้น จึงควรกลับมาทำซ้ำในจุดเดิมได้ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และจะเห็นผลเต็มที่ใน 3 เดือน สามารถทำเพิ่มได้ในจุดเดียวกันเมื่อผ่านไป 1 เดือน
2. CoolSculpting อันตรายไหม?
การทำ CoolSculpting มีความปลอดภัยสูง ไม่มีความอันตราย เพราะไม่ต้องใช้ยาสลบและผ่าตัด พร้อมได้การรับรองจากต่างประเทศ เราจึงสามารถมั่นใจในการสลายไขมันด้วยความเย็นด้วยวิธีนี้ได้
3. Coolsculpting ไม่เห็นผลเกิดจากอะไร
การทำ CoolSculpting หากไม่เห็นผล อาจจะเกิดจากสภาพร่างกายของเราที่มีปริมาณไขมันมากเกินไป ทำให้เห็นผลไม่ชัดเจน หรือทางสถานพยาบาลที่รักษาใช้ CoolSculpting ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจจะทำให้ร่างกายของเราได้รับอันตรายอีกด้วย
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้