CoolSculpting การสลายไขมันด้วยความเย็น ปลอดภัย ไร้ผลข้างเคียง

GUEST1649747579

สุดยอดขีดเีขียน (548)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:986
เมื่อ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2566 06.56 น.

coolsculpting

สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาไขมันสะสมในบริเวณที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยอาหารและการออกกำลังกาย และไม่อยากผ่าตัด เพื่อดูดไขมันออก ในปัจจุบัน ได้มีนวัตกรรมใหม่อย่าง CoolSculpting ที่จะช่วยสลายไขมันด้วยความเย็น โดยที่เราไม่ต้องดมยาสลบและผ่าตัดให้เจ็บตัว พร้อมทั้งเห็นผลลัพธ์ชัดเจน มีความปลอดภัยสูง โอกาสเกิดผลข้างเคียงต่ำ และที่สำคัญ ไม่ต้องพักฟื้นร่างกายอีกด้วย



Coolsculpting สลายไขมันด้วยความเย็น คืออะไร

CoolSculpting คือ ทรีตเมนต์เพื่อความงาม ซึ่งออกแบบมา เพื่อสลายไขมันด้วยความเย็นในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย โดยใช้เทคนิคที่ชื่อว่า Cryolipolysis เป็นการแช่แข็งเฉพาะเซลล์ไขมันจนถึงจุดที่เซลล์ตายและถูกกำจัดออกจากร่างกายตามธรรมชาติ เนื่องจากเซลล์ไขมันจะมีความไวต่ออุณหภูมิมากกว่าเซลล์ชนิดอื่น ๆ

ในปัจจุบัน CoolSculpting ได้รับการรับรองจาก FDA และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการลดไขมันที่จับยากในบริเวณต่าง ๆ เช่น หน้าท้อง รักแร้ ต้นขา และคาง เป็นต้น อีกทั้งยังมีความปลอดภัยสูง เพราะไม่ต้องดมยาสลบ แต่อย่างไรก็ตาม CoolSculpting ไม่ใช่วิธีการลดน้ำหนัก เป็นเพียงการกำจัดไขมันสะสมในบริเวณที่ไม่สามารถควบคุมอาหารและออกกำลังกายได้

กระบวนการทำงานของ CoolSculpting คือ การส่งคลื่นความเย็นในระดับต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง -11 ถึง -13°C ในบริเวณที่ต้องการ เพื่อเปลี่ยนสภาพไขมันสะสมให้กลายเป็นผลึกน้ำแข็งก่อนสลายไปตามระบบการทำงานของร่างกาย โดยปกติแล้ว เซลล์ไขมันจะถูกทำลายมากถึงร้อยละ 20-25 และใช้เวลาในการทำประมาณ 35-60 นาที ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น และโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยมาก



Coolsculpting เหมาะกับใคร 

 

สลายไขมันด้วยความเย็น

ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนว่า CoolSculpting ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาการลดน้ำหนัก แต่เป็นการกำจัดไขมันสะสมในบริเวณที่ไม่สามารถควบคุมอาหารและออกกำลังกายได้ โดยเหมาะสมกับบุคคลต่อไปนี้

  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์หรือใกล้เคียง แต่มีไขมันสะสมในบริเวณที่ดื้อต่อการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
  • ผู้ที่ต้องการสลายไขมันในปริมาณปานกลาง (BMI<35) เพื่อปรับเปลี่ยนรูปร่าง
  • ผู้ที่ต้องการกระชับสัดส่วน และปรับรูปร่าง โดยที่ไม่ต้องการผ่าตัดดูดไขมัน หรือมีแผลจากการผ่าตัด



Coolsculpting นิยมทำบริเวณใด?

 

coolsculpting ที่ไหนดี

CoolSculpting สามารถใช้สลายไขมันด้วยความเย็นในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างหลากหลาย โดยบริเวณยอดนิยมสำหรับ CoolSculpting ได้แก่

  • บริเวณหน้าท้อง ถือว่าเป็นหนึ่งในจุดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับ CoolSculpting เพราะไขมันหน้าท้องส่วนเกินเป็นส่วนที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยอาหารและการออกกำลังกาย
  • บริเวณเอว สะโพก ก้น และสีข้าง เป็นอีกหนึ่งจุดยอดนิยมที่หลายคนนิยมทำ

coolsculpting ต้น ขา

  • บริเวณต้นขา สามารถรักษาไขมันสะสมที่ต้นขาด้านในและด้านนอกได้ด้วย CoolSculpting เพื่อลดไขมันที่นูนออกมา
  • บริเวณเหนียง ใต้คาง เพื่อช่วยลดไขมันใต้ผิวหนังหรือที่เรียกว่า คางสองชั้น
  • บริเวณต้นแขน
  • บริเวณหลัง
  • บริเวณหน้าอก (สำหรับคุณผู้ชาย) นมน้อย หรือส่วนเกินบริเวณขอบเสื้อชั้นใน
  • บริเวณเหนือเข่า

โดยแต่ละจุดจะใช้หัว Applicator ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งนี้ เราควรทำ CoolSculpting ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ที่จะช่วยประเมินการรักษาได้อย่างเหมาะสม



ผลลัพธ์ของการทำ Coolsculpting 

 

coolsculpting คือ

CoolSculpting เป็นนวัตกรรมที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการสลายไขมันส่วนเกินในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเราสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เพราะ CoolSculpting จะช่วยสามารถลดปริมาณไขมันในบริเวณที่ทำการรักษาได้ถึง 25% ทำให้รูปร่างหรือบริเวณที่รักษาจะมีปริมาณไขมันที่น้อยลง รูปร่างและสัดส่วนมีความกระชับมากขึ้น

แต่ร่างกายอาจจะใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นผลลัพธ์ทั้งหมดของ CoolSculpting เนื่องจากร่างกายจะค่อย ๆ กำจัดเซลล์ไขมันที่ตายแล้ว และผลลัพธ์จากการทำ CoolSculpting จะอยู่ในระยะเวลานาน เพราะเซลล์ไขมันที่ได้รับความเย็นจะถูกกำจัดออกจากร่างกายอย่างถาวร

แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องหมั่นดูแลสุขภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์ไขมันใหม่ก่อตัวขึ้นในบริเวณที่รักษาอีกครั้ง และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ขนาดและตำแหน่งของบริเวณที่ทำการรักษา จำนวนครั้งของการรักษา และปัจจัยส่วนบุคคล เช่น การเผาผลาญและความยืดหยุ่นของผิว เป็นต้น



การทำCoolsculpting มีข้อดี ข้อจำกัดอะไรบ้าง

สำหรับการสลายไขมันด้วยความเย็นด้วยการทำ CoolSculpting เองก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่เราจะต้องทราบและเข้าใจ ดังนี้


ข้อดีของการทำ Coolsculpting 

  • ไม่มีแผลผ่าตัด เพราะ CoolSculpting เป็นหัตถการไม่ต้องผ่าตัดหรือเปิดแผล ซึ่งหมายความว่าไม่มีแผลเป็นและไม่ต้องพักฟื้น

  • ไม่ทำอันตรายต่อผิวหนังชั้นนอก เพราะ CoolSculpting มีระบบ Freeze detect ซึ่งหมายถึงว่า เครื่องจะหยุดทำงานทันทีที่ตรวจเจอความเย็นในผิวชั้นบนที่มากเกินไป

  • เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการลดไขมันส่วนเกินในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาและมีผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก

  • ผลลัพธ์แน่นอนและยาวนาน เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ผ่านการสลายด้วยความเย็นจะถูกกำจัดออกจากร่างกายอย่างถาวร ซึ่งหมายความว่า หากเราสามารถดูแลร่างกายอย่างเหมาะสม ผลลัพธ์ก็จะสามารถคงอยู่ได้นานหลายปี

  • ไม่จำเป็นต้องใช้ยาสลบ ทำให้ไม่มีความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับยาสลบ

  • CoolSculpting สามารถปรับเปลี่ยนหัว Applicator ได้ เพื่อให้เหมาะกับความต้องการและเป้าหมายการรักษาของแต่ละคน 


ข้อจำกัดของการทำ Coolsculpting 

  • CoolSculpting ไม่ใช่วิธีการลดน้ำหนักและไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินอย่างมาก

  • สามารถรักษาได้ในบางบริเวณ และอาจไม่ได้ผลในการลดไขมันในบริเวณที่ใหญ่ขึ้นหรือสำหรับรูปร่างโดยรวม

  • อาจจะต้องทำการรักษาหลายครั้ง โดยขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

 

และที่สำคัญ CoolSculpting ไม่เหมาะสำหรับบุคคลต่าง ๆ เหล่านี้

  • ผู้ที่มีโรคต่าง ๆ เช่น ภาวะเลือดคั่งในเลือดต่ำ โรคหวัด agglutinin หรือโรคเลือดออกในปัสสาวะ โรคเลือดที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติเมื่อสัมผัสกับความเย็น โรคแพ้ความเย็น เป็นต้น

  • ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด หรือยาที่ทำให้เลือดไม่แข็งตัวตามปกติ

  • สตรที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

  • สตรีมีประจำเดือน อาจทำให้อาการปวดประจำเดือนเป็นมากขึ้น



เครื่องสลายไขมัน Coolsculpting กับ Cooltech แตกต่างกันอย่างไร

 

เครื่องสลายไขมัน

ทั้ง CoolSculpting และ Cooltech ล้วนแต่เป็นนวัตกรรมที่ช่วยสลายไขมันด้วยความเย็น เพื่อแช่แข็งและทำลายเซลล์ไขมันในบริเวณที่ต้องการของร่างกาย อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ประเภทก็มีความแตกต่าง ดังนี้

CoolSculpting ใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อนที่จดสิทธิบัตรซึ่งเรียกว่า Cryolipolysis โดยที่มีหัว Applicator หลายแบบที่สามารถใช้ได้เฉพาะที่มากกว่า ในขณะที่ Cooltech ใช้เทคโนโลยีที่คล้ายกันซึ่งเรียกว่า Cryoadipolysis มีหัว Applicator ที่มีขนาดเล็กกว่า แต่ระยะเวลาในการรักษาของ Cooltech มักจะสั้นกว่า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการรักษา

 

coolsculpting รีวิว

โดยในปัจจุบัน CoolSculpting รุ่นใหม่ล่าสุดจะมี Applicator ทั้งหมด 5 หัว ที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกเจ็บน้อยลง ใช้เวลาในการรักษาน้อยลง แบ่งเป็น 5 ประเภท ดังนี้

  1. CoolAdvantage เป็น Applicator ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่มีปริมาณไขมันปานกลาง สามารถใช้รักษาได้ 7 จุด ได้แก่ ท้อง เอว แขน หน้าอกผู้ชาย ปีกหลัง ขาด้านใน และใต้ก้น

  2. CoolAdvantage Petite ใช้รักษาได้ทั้งหมด 7 จุด เหมือนหัว CoolAdvantage แต่เหมาะสำหรับคนที่มีไขมันไม่หนามาก หรือเป็นคนตัวเล็ก หรือเคยทำ CoolAdvantage ไปแล้ว

  3. Cool Advantage Plus เป็นหัว Applicator ขนาดใหญ่ ใช้สำหรับลดไขมันในบริเวณกว้าง คือ เอวและท้อง เหมาะสำหรับคนที่มีไขมันเยอะ 

  4. Cool Mini เป็นหัว Applicator ขนาดเล็ก ใช้สำหรับลดไขมันบริเวณเหนียง เนื้อน้อย เช่น เนื้อใต้รักแร้ เหนือหน้าอกผู้หญิง เนื้อย้วยเหนือเข่า หรือบริเวณที่ออกกำลังกายไม่ได้ เป็นต้น

  5. Cool Smooth Pro เป็นหัว Applicator ที่ใช้สำหรับบริเวณขาด้านนอก และบริเวณใต้สะโพกลงมา



ข้อควรรู้ก่อนทำ Coolsculpting

 

coolsculpting ผลข้างเคียง

ก่อนที่เราจะทำ CoolSculpting เราจะต้องทราบข้อมูล ดังต่อไปนี้ก่อน

  • ก่อนเข้ารับการรักษา จะต้องเข้าพบแพทย์ เพื่อทำการปรึกษา และขอแนะนำก่อนเสมอ สำหรับการวางแผนการรักษาให้เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้

  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาต้านการอักเสบใด ๆ เช่น แอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เนื่องจากยาเหล่านี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 2-3 วันก่อนการรักษา

  • บางรายอาจจะเกิดผลข้างเคียงชั่วคราวหลังการทำ CoolSculpting เช่น รอยแดง บวม หรือรอยช้ำในบริเวณที่ทำการรักษา ผลข้างเคียงเหล่านี้ มักจะหายไปเองภายใน 2-3 วันหรือหลายสัปดาห์

  • ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละคน เช่น ระบบเผาผลาญ ความยืดหยุ่นของผิว โดยผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมักจะเห็นได้ภายใน 2-3 เดือน

  • เน้นว่า การทำ CoolSculpting ไม่ใช่วิธีการลดน้ำหนักอย่างถาวร เป็นเพียงการสลายไขมันด้วยความเย็นในส่วนที่มีไขมันสะสมเท่านั้น ภายหลังการรักษา เราก็ต้องหมั่นดูแลสุขภาพ เพื่อเลี่ยงการเกิดการสะสมไขมันใหม่



ขั้นตอนการทำ Coolsculpting 

 

coolsculpting ไม่ได้ผล 

สำหรับขั้นตอนในการทำ CoolSculpting นั้น เริ่มจาก

  1. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการรักษา พร้อมทั้งแจ้งโรคประจำตัว ประวัติทางการแพทย์ และความเสี่ยงหรือข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับการรักษา และประเมินค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มวลไขมันในร่างกาย ซึ่งมีผลต่อสัดส่วนที่ต้องการลด

  2. แพทย์จะทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการและติดแผ่นเจล เพื่อป้องกันผิวจากกระบวนการทำความเย็น 

  3. แพทย์จะกำหนดจุดในการวางหัว Applicator ให้เหมาะสม ก่อนจะเริ่มทำการรักษา โดยเปิดเครื่องสลายไขมัน เพื่อส่งพลังงานความเย็นลงลึกเข้าไปยังเซลล์ไขมันใต้ผิว จะทำให้เราเกิดความรู้สึกดึงหรือบีบเล็กน้อย โดยใช้เวลาประมาณ 35-60 นาที ขึ้นอยู่กับแต่ละบริเวณที่การรักษา

  4. หลังเสร็จกระบวนการ แพทย์จะนวดบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อสลายเซลล์ไขมันที่เหลืออยู่

  5. เราไม่จำเป็นต้องพักฟื้นหลังขั้นตอน CoolSculpting และสามารถกลับมาทำกิจกรรมได้ตามปกติทันทีหลังการรักษา



วิธีดูแลตัวเองหลังทำ Coolsculpting? 

หลังจากทำ CoolSculpting แล้ว สิ่งสำคัญ คือ เราต้องดูแลตัวเอง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เคล็ดลับในการดูแลตัวเองหลังทำ CoolSculpting มีดังนี้

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด 

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยล้างเซลล์ไขมันที่ถูกทำลาย

  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน เป็นเวลา 2-3 วันหลังจากทำ CoolSculpting 

  • สวมเสื้อผ้าที่หลวมและสบาย เพื่อไม่ให้เสียดสีกับบริเวณที่ทำการรักษาและทำให้เกิดการระคายเคือง

  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเวลา 2-3 วัน หลังจากทำ CoolSculpting เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาฟื้นตัว

  • นวดบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อช่วยสลายเซลล์ไขมันที่เหลืออยู่ ภายใต้คำแนะนำของแพทย์

  • หมั่นออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมของเซลล์ไขมันใหม่ในบริเวณที่ทำการรักษา

  • หากคุณพบอาการผิดปกติหรือผลข้างเคียงหลังการทำ CoolSculpting เช่น ปวด บวม หรือแดงอย่างรุนแรง ให้ติดต่อแพทย์ทันที



แนะนำคลินิกในการทำ Coolsculpting?  

แล้วเราควรเลือกทำ CoolSculpting ที่ไหนดี ด้วยการรักษาแบบสลายไขมันด้วยความเย็นนี้ แม้ว่าจะเป็นนวัตกรรมที่ปลอดภัย แต่เราก็ต้องพิจารณาเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือด้วยเช่นกัน โดยพิจารณาจาก

  • คลินิกมีมาตรฐานและความน่าเชื่อถือ โดยมีใบรับรองที่ถูกต้อง
  • สถานพยาบาลมีความสะอาด พื้นที่กว้างขวาง
  • ใช้เครื่องมือ CoolSculpting ของแท้
  • ทีมแพทย์มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและมีประสบการณ์
  • มีการรีวิวผลลัพธ์จากผู้ใช้บริการจริง
  • ราคาสมเหตุสมผล ไม่ถูกและแพงเกินไป

 



คำถามที่พบบ่อย 

จากการทำ CoolSculpting ซึ่งจะช่วยสลายไขมันด้วยความเย็น แต่ก็ยังมีหลายคำถามที่มักสงสัย ดังนี้

1. CoolSculpting ทำกี่ครั้งถึงเห็นผล? 

CoolSculpting ช่วยสลายไขมันได้ประมาณ 20-30% ต่อการทำ 1 ครั้ง ดังนั้น จึงควรกลับมาทำซ้ำในจุดเดิมได้ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และจะเห็นผลเต็มที่ใน 3 เดือน สามารถทำเพิ่มได้ในจุดเดียวกันเมื่อผ่านไป 1 เดือน

2. CoolSculpting อันตรายไหม?

การทำ CoolSculpting มีความปลอดภัยสูง ไม่มีความอันตราย เพราะไม่ต้องใช้ยาสลบและผ่าตัด พร้อมได้การรับรองจากต่างประเทศ เราจึงสามารถมั่นใจในการสลายไขมันด้วยความเย็นด้วยวิธีนี้ได้

3. Coolsculpting ไม่เห็นผลเกิดจากอะไร

การทำ CoolSculpting หากไม่เห็นผล อาจจะเกิดจากสภาพร่างกายของเราที่มีปริมาณไขมันมากเกินไป ทำให้เห็นผลไม่ชัดเจน หรือทางสถานพยาบาลที่รักษาใช้ CoolSculpting ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจจะทำให้ร่างกายของเราได้รับอันตรายอีกด้วย

 

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย GUEST1649747579 เมื่อ12 ตุลาคม พ.ศ. 2566 00.38 น.

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา