A/B Testing เพิ่ม Conversion Rate ให้ทุกคอนเทนต์ของคุณ

GUEST1649747579

สุดยอดขีดเีขียน (556)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:995
เมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2566 20.58 น.

การทำรูปภาพลงคอนเทนต์ หรือลงในเว็บไซต์ เรามีอิสระในการออกเเบบ ว่าจะออกเเบบอะไรก็ได้ เเต่ความสวยงาม ความชอบของเเต่ละคนก็ต่างกันไป ถึงเเม้ผู้ออกเเบบจะมองว่าสวย แต่อาจจะไม่โดนใจผู้บริโภคเท่าที่ควร การลงรูปภาพใน Social Media หรือเว็บไซต์ หากลงไปเเล้ว การมาเเก้ไขทีหลังก็อาจจะส่งผลต่อ Conversion Rate ได้ 

ดังนั้นวิธีการที่จะทดสอบ เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เราออกเเบบจะได้ผลตอบรับที่ดีไหม คือ การทำ A to B Testing หรือทดสอบการคลิก เพื่อดูว่าใช้ Artwork แบบไหน เเล้วคนจะคลิกเยอะ ทีนี้เรามาทำความรู้จักกันว่า A/B Testing คืออะไร สามารถทำอะไรได้บ้าง และมีประโยชน์อะไรบ้าง

AB Testing เพิ่ม Conversion Rate ให้ทุกคอนเทนต์ของคุณ

 


 

A/B Testing คืออะไร

 

A/B Testing คือกระบวนการทดสอบ เพื่อหาข้อสรุปว่าองค์ประกอบแบบไหน จะนำไปสู่ Conversion Rate ที่ดีที่สุดได้ โดยจะแสดงผลลัพธ์ออกมาในรูปเเบบของตัวเลข เชิงปริมาณ โดยเราจะนำงานทั้งสองตัวมาเปรียบเทียบกัน โดยองค์ประกอบที่เเตกต่างกัน ต้องมีเเค่จุดเดียวเพียงเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น

Artwork ตัวเแรกใช้ Title เป็นสีฟ้า Artwork ตัวที่สองใช้ Title เป็นสีเขียว หรือเทียบระหว่างปุ่ม CTA เป็นสีเขียว กับสีน้ำเงิน โดยจะทำดารสุ่มแสดงเเต่ละเเบบให้กลุ่มที่เราต้องการทำการทดสอบ เพื่อดูปฏิกิริยาว่า ผู้บริโภคจะให้ความสนใจ และมี Action กับ Artwork แบบไหนมากกว่ากัน

ซึ่งการทดสอบองค์ประกอบนั้น สามารถเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น สี, รูปภาพ, ประโยคที่นำเสนอ เพราะองค์ประกอบเหล่านี้ จะส่งผลต่อการตัดสินใจคลิกของผู้บริโภคด้วย


 

A/B Testing ทำอะไรได้บ้าง 

 

อย่างที่กล่าไว้วข้างต้นว่า การทำ A/B Testing คือ การนำ Artwork หรือเว็บไซต์ 2 แบบที่มีองค์ประกอบแตกต่างกันมาเปรียบเทียบ เพื่อหางานที่ดีที่สุด และสร้าง Conversion Rate สูงสุด โดยเราสามารถสรุปสิ่งที่ A/B Testing สามารถทำได้ออกมาเป็นข้อ ๆ ดังนี้

AB Testing ทำอะไรได้บ้าง

1. สามารถเลือกสิ่งที่ตอบโจทย์ และแก้ไขปัญหาของผู้บริโภคได้

 

เพราะดีไซน์ของ Artwork หรือเว็บไซต์ ส่งผลต่อการใช้งาน สี การวางองค์ประกอบต่าง ๆ ในการทำคอนเทนต์ เราสามารถใช้องค์ประกอบเหล่านี้ชี้นำให้ลูกค้า ทำสิ่งที่เราต้องการได้ เช่น คลิกเข้าไปยังหน้ารายการสินค้า หรือคลิกเข้าไปอ่านบทความที่เราอยากให้อ่าน 

ซึ่งความแตกต่างเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลได้ เช่น ถ้าเราอยากให้ลูกค้าคลิกปุ่มไหน เราก็ควรเลือกสีปุ่มที่โดดเด่นให้ลูกค้าเห็นชัด ๆ เเล้วทำการคลิก แต่สีที่โดดเด่นก็มีอยู่ด้วยกันหลายสี การทำ A/B Testing จะทำให้เราสามารถมั่นใจได้ว่า เราจะเลือกใช้สีไหน แล้วคนคลิกมากที่สุด โดยนำ 2 สีมาเปรียบเทียบกัน แล้วดูว่ากลุ่มตัวอย่างเลือกสีไหนมากที่สุด

2. เพิ่ม Conversion ได้ง่าย ๆ ไม่ลงทุนมาก ไม่ต้องแก้หลายรอบ

 

เมื่อเราทราบเเล้วว่า ตัวเลือกไหนที่ดีที่สุด คนสนใจมากที่สุด จากการดูข้อมูลผลลัพธ์ของการทำ A/B Testing เราก็สามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดต่อ Conversion Rate ได้เลย โดยไม่ต้องลองผิดลองถูก ให้เสียงบประมาณ เพราะทุกขั้นตอนในการทำ Arwork หรือเว็บไซต์ และการแก้ไขชิ้นงาน ย่อมมีต้นทุน

3. ลดจำนวน Bounce Rate 

 

เราต่องเริ่มด้วยการทำความเข้าใจก่อนว่า Bounce Rate คืออะไร Bounce Rate ก็คือ จำนวนคนที่เข้ามาในเว็บไซต์ของเรา แต่ไม่ได้ทำการคลิก หรือเข้าไปดูหน้าไหนเพิ่ม เพียงเเค่เปิดเข้าเว็บไซต์ แล้วออกทันที นั่นก็คือ Bounce Rate ยิ่งน้อยยิ่งดี ดังนั้นการทำ A/B Testing เพื่อหาองค์ประกอบที่ดีที่สุด จะช่วยลด Bounce Rate ลงได้ เพราะเราจะสามารถเลือกรูปเเบบเว็บไซต์ที่คนสนใจที่สุดได้

4. ลดความเสี่ยง เวลามีการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบต่าง ๆ

 

ต่อให้ออกเเบบเว็บไซต์ หรือ Artwork มาดีเเค่ไหน เเต่ถ้าใช้เเบบเดิม โดยไม่มีการเปลี่ยนลูกเล่นใหม่ ๆ ผู้บริโภคก็จะเบื่อได้ การตลาด คือ ความสดใหม่ ดังนั้นเราต้องมีการปรับปรุงแก้ไขตลอด ซึ่งการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเว็บไซต์ หรือ Artwork ย่อมมีความเสี่ยง เพราะหากเปลี่ยนเเล้ว ไม่ถูกใจผู้บริโภค

5. ช่วยให้ไปถึง KPI ที่ตั้งไว้ ง่ายขึ้น

 

การทำ A/B Testing จะแสดงออกมาเป็นผลลัพธ์ในรูปแบบของตัวเลข ทำให้เราสามารถตัดสินใจเลือกรูปแบบที่ดีที่สุดได้ ซึ่งในการทำเว็บไซต์ หรือการทำ Artwork ลงคอนเทนต์ต่าง ๆ ย่อมมีการตั้ง KPI หรือเป้าหมายให้เราบรรลุ ดังนั้นหากมีการทำ A/B Testing แล้ว ก็คือมีการกรองมาส่วนนึงเเล้วว่า เว็บไซตื หรือ Artwork นั้น มีประสิทธิภาพ และดีพอที่จะบรรลุ KPI ได้

6. เป็นแนวทางในการทำในครั้งต่อไป

 

การทำ A/B Testing คือการกะรันตีว่า รูปเเบบเว็บไซต์นี้ Artwork แบบนี้ คือแบบที่ดี ดังนั้นเราสามารถนำมาเป็นแนวทางในการออกเเบบครั้งถัด ๆ ไปได้ เพื่อ Conversion Rate ที่ดีอย่างต่อเนื่อง ๆ


 

A/B Testing ทดสอบอะไรได้บ้าง

 

ในการทำ A/B Testing คือการเปรียบเทียบองค์ประกอบที่แตกต่าง ไม่ใช่เพียงเเค่ดูเรื่องสีของรูปภาพ หรือดีไซน์รูปภาพเท่านั้น เเต่ยังมองค์ประกอบอื่น ๆ อีกทีนี้เราจะมาดูกันว่าองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ A/B Testing สามารถทำการทดสอบ เพื่อหาผลลัพธ์ได้จะมีดังนี้

AB Testing ทดสอบอะไรได้บ้าง

เนื้อหา 

 

เนื้อหา สไตล์การเขียน การเล่าเรื่อง การใช้คำ ในบทความ หรือบนเว็บไซต์ของเราสามารถทำ A/B Testing ได้

ดีไซน์และการจัดวาง 

 

รูปเเบบการจัดวางรูปภาพ เช่น หน้าเเคตตาล็อกสินค้า ตำแหน่งการวางรูป การวางตัวอักษร

ระบบนำทางในเว็บไซต์ (Navigation)

ในเว็บไซต์ที่เป็น Landing Page จะประกอบไปด้วยเว็บไซต์หลาย ๆ หน้า เป้าหมายคือ การทำให้คนคลิกไปดูเว็บไซต์ทุกหน้า และใช้เวลาอยู่กับเว็บไซต์ของเรานานที่สุด การจัดวางองค์ประกอบ เพื่อให้คนสามารถ มองเห็นปุ่ม หรือลิงก์ที่ฝังไว้ ไปยังหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์ สิ่งเหล่านี้ก็สามารถทำ A/B Testing ได้

แบบฟอร์ม (Forms)

 

เเบบฟอร์มของเว็บไซต์ ซึ่งเป็นภาพเเรกที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะเห็น หากออกเเบบได้ดี ประทับใจ การเข้าชม และใช้เวลาในเว็บไซต์ก็จะมีมาก ดังนั้นจึงสำคัญมากที่ต้องทำ A/B Testing ในส่วนนี้

ปุ่ม CTA (Call-to-action)

 

ปุ่ม CTA ปุ่มที่จะนำไปสู่ระบบการซื้อขาย การติดต่อสอบถาม เพื่อสร้างโอกาสให้เกิดยอดขาย การออกเเบบ การเลือกสีให้ปุ้ม CTA ก้เป็นสิ่งที่ควรทำ A/B Testing เพื่อดูว่าใช้ปุ่มเเบบไหน แล้วคนจะคลิกเยอะ

การพิสูจน์ เพิ่มความน่าเชื่อถือ (Social proof)

 

การเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ ก็สามารถช่วยสร้าง Conversion Rate ได้ ดังนั้นวิธีการง่าย ๆ ที่สามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ คือ การใส่ใบรับรองจากองค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ISO, Halal และอื่น ๆ เราสามารถทำการเพิ่มรูปภาพใบประกาศลงในเว็บไซต์ได้ แต่ก็ต้องตามเงื่อนไขของหน่วยงานนั้น ๆ เราสามารถทำการ A/B Testing ได้ว่า การใส่ใบรับรองเหล่านั้น ช่วยเพิ่ม Conversion Rate ได้มากน้อยแค่ไหน

ความลึกของเนื้อหา (Content depth)

 

ความลึกของเนื้อหาสามารถทำออกมาได้ 2 แบบ คือ รายละเอียดโดยคร่าว ๆ ไม่ลงลึกมาก ให้ผู้อ่านมีความเข้าใจในระดับเบื้องต้น กับรายละเอียดเชิงลึก แต่มีความยาวมาก ต้องใช้เวลาในการอ่าน เราสามารถทำ A/B Testing เพื่อเลือกว่า เนื้อหารายละเอียดโดยคร่าว ๆ หรือเชิงลึก อันนไหนผู้บริโภคจะชอบมากกว่ากัน


 

รูปแบบการทำ A/B Testing 

 

การทำ A/B Testing นั้นสามารถทำออกมาได้เป็น 3 รูปเเบบ รายละเอียด ดังนี้

รูปแบบการทำ AB Testing

1. Split URL testing

 

การ Split URL testing คือการแบ่งเว็บไซต์ทั้ง 2 ที่จะเปรียบเทียบออก ส่วนใหญ่ใช้เปรียบเทียบหน้าแรกของเว็บไซต์ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญมาก

2. Multivariate testing (MVT)

 

ส่วนของการ Multivariate testing จะเป็นการเปรียบเทียบซึ่งมากกว่า 1 องค์ประกอบ เช่น ในหน้าเว็บไซต์ 2 ตัวที่มาเปรียบเทียบกัน เช่น หัวข้อใช้คำที่เเตกต่างกัน , รูปภาพใช้คนละภาพ, ปุ่ม CTA ใช้คนละสี โดยการทำ A/B Testing แบบนี้ จะทำการประเมินโดนวัดจากหลายตัวแปร

3. Multipage testing

 

การทดสอบ Multipage testing เป็นการนำ A/B Testing มาปรับใช้เพื่อทดสอบ Landing Page ที่มีอยู่หลายหน้า โดยในการเปรียบเทียบมักจะเป็นการเปรียบเทียบเเบบ การแก้ไขทั้งหมด กับการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยจากของเดิม โดยประเมินจากทุกหน้าของเว็บไซต์ มาเป็นตัวแปรในการทำเปรียบเทียบ


 

5 ขั้นตอนการทดสอบ A/B Testing

 

สำหรับคนที่เริ่มสนใจการทำ A/B Testing เพื่อต้องการสร้าง Conversion Rate ให้เว็บไซต์ของตนเอง มีขั้นตอนในการทำง่าย ๆ เพียง 5 ขั้นตอน ดังนี้ 

5 ขั้นตอนการทดสอบ AB Testing

ขั้นตอนที่ 1 : Research

 

ในการเริ่มทำ A/B Testing อย่างแรกเลย เราต้องทำการ Research ข้อมูลทุกอย่างทั้งหมดเกี่ยวกับเว็บไซต์ หรือ Artwork ของเรา ว่าในปัจจุบันมีประสิทธิภาพเเค่ไหน การเข้าถึง, ยอดคนดู, Bounce Rate, Conversion Rate ว่าอยู่ที่เท่าไหร่ เมื่อเรามีตัวเลขดังกล่าวทั้งหมด ก็ทำการตั้งเป้าหมายว่า ในการปรับเปลี่ยนครั้งต่อไป อยากให้มีผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร

ขั้นตอนที่ 2 : Observe and formulate hypothesis

 

เมื่อเราได้ข้อมูลปัจจุบัน และเป้าหมายที่อยากทำเเล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อ คือ นำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์หาว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้าง ที่เป็นปัจจัยส่งผลต่อ performance ของเว็บไซต์ หรือ Artwork ของเรา มีส่วนไหนบ้างที่ควรลองปรับแก้ไข มีส่วนไหนที่ดีอยู่เเล้ว ให้คงไว้เหมือนเดิม เพื่อเข้าสู่ขั้นต่อไป

ขั้นตอนที่ 3 : Create variations

 

ทำเว็บไซต์ หรือ Artwork รูปแบบใหม่ ที่ได้จากการปรับเปลี่ยนตามสมมติฐานของเรา โดยอาจนำมาเปรียบเทียบกับเเบบดั้งเดิมก่อนปรับเปลี่ยน หรือเราอาจจะออกแบบไว้ 2 เเบบ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกันก็ได้ อันนี้ขึ้นอยู่กับไอเดียของเเต่ละคน

ขั้นตอนที่ 4 : Run test

 

เลือกประเภทการทดสอบ และต้องทราบว่าองค์ประกอบไหนที่เราต้องทำการเปรียบเทียบ เพื่อจะได้มีเเนวทางในการทำงานต่อหลังจากเสร็จกระบวนการ A/B Testing

ขั้นตอนที่ 5 : Analyse results and deploy changes

 

หลังจากการทำ A/B Testing แล้ว เราจะได้ผลลัพธ์ของทั้ง 2 แบบ มาเปรียบเทียบกัน ว่าแบบไหนให้ performance ที่ดีกว่า เพื่อจะได้ดำเนินการในรูปแบบนั้น


 

การทำ SEO กับ A/B Testing 

 

การทำ SEO มีเป้าหมายเพื่อ ให้เว็บไซต์ติดอันดับแรก ๆ บน Search Engine ส่วน A/B Testing มีจุดประสงค์ที่ช่วยเพิ่ม Conversion Rate ให้เว็บไซต์ มันมีความเกี่ยวข้องอย่างไรบ้างมาดูกัน

A/B Testing ส่งผลอย่างไรกับการทำ SEO 

 

ในการทำ A/B Testing องค์ประกอบบางจุดที่เราปรับแก้ ตามความชอบของผู้บริโภค อาจมีบางจุดที่ขัดแย้งกับมาตรฐานการให้คะแนนของ Search Engine ดังนั้นก่อนทำการปรับแก้อะไร เช่นการปรับเนื้อหาในเว็บไซต์ แม้อาจจะดีต่อ A/B Testing แต่ต้องเช็คให้ชัวร์ก่อนว่า มันมีผลอย่างไรต่อ SEO ด้วย

ประเด็นสำคัญของ A/B Testing กับการทำ SEO 

 

ในการทำ A/B Testing ปกติแล้ว มันจะไม่ส่งผลอะไรกับการจัดอันดับ เเต่สามารถนำมาประยุกต์ใช้บ้างเล็กน้อย เช่น ใช้ Canonical Tags เพื่อเป็นการทำให้ Search Engine ลิงก์ URL ที่อยู่ภายใต้ Tag นี้คือหน้าหลักของเว็บไซต์ เพื่อ Search Engine จะได้นำเสนอถูกว่า หน้าเว็บไซต์หน้าไหน คือ หน้าแรกที่ควรนำเสนอเวลามีคนคลิกเข้าเว็บไซต์ 


 

คำถามที่พบบ่อย

 

ควรเริ่มทำ A/B Testing ตอนไหน

 

ในการทำ A/B Testing นั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ช่วง คือ

  1. ช่วงก่อนเปิดตัวแคมเปญ เพื่อหาองค์ประกอบที่ดีที่สุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

  2. ช่วงหลังปล่อยเเคมเปญ เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง ในการทเเคมเปญครั้งถัดไป ให้ดียิ่งขึ้น


 

ข้อสรุป

 

จริงอยู่ที่การออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ หรือ Artwork ไม่มีผิดหรือถูก เราสามารถออกแบบอย่างไรก็ได้ เเต่สิ่งที่สำคัญ การออกแบบนั้นได้ผลลัพธ์ที่ดีหรือเปล่า ซึ่งมันต้องประเมินจากความคิดของผู้บริโภคส่วนใหญ่ การปล่อยแคมเปญอะไรสักตัว ย่อมมีค่าใช้จ่าย และต้นทุน แม้แต่การปรับเปลี่ยนแก้ไข ก็มีต้นทุน 

เพราะฉะนั้นจะดีกว่าไหม ถ้าเราหาวิธีที่ช่วยการันตีได้ว่า ผลงานชิ้นนั้นจะออกมาดี ซึ่ง การทำ A/B Testing คือ สิ่งที่จะช่วยการันตีความสำเร็จให้เราได้

 

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย GUEST1649747579 เมื่อ9 มกราคม พ.ศ. 2566 20.58 น.

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา