แพ้ไรฝุ่นอันตรายกว่าที่คิด จัดการบ้านอย่างไรให้ปลอดไรฝุ่น

เคยสงสัยไหมว่าทำไม? อยู่แต่กับบ้านตัวเองแท้ ๆ แต่น้ำมูกไหล จามไม่หยุดหย่อน เครื่องฟอกอากาศก็เปิดไว้ นั่งเล่น ดูทีวี อ่านหนังสือ หรือทำงานก็อยู่ในห้องปิดประตูหน้าต่าง และเปิดแอร์ตลอด แต่ก็ยังป่วยได้ อาการทั้งหลายเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณแพ้ไรฝุ่น 

อย่าชะล่าใจไป เพราะอาการแพ้ไรฝุ่นนั้น อันตรายกว่าที่คุณคิด โดยเราจะมาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอาการแพ้ไรฝุ่น พร้อมบอกวิธีจัดการบ้านให้ปลอดจากไรฝุ่นให้คุณได้ลองไปทำตามกันดู อยากรู้หรือยังว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ตามไปอ่านที่บทความนี้กันได้เลย

รู้จักโรคภูมิแพ้ไรฝุ่น

โรคภูมิแพ้ไรฝุ่น เป็นหนึ่งในโรคภูมิแพ้ที่มีสารก่อภูมิแพ้คือไรฝุ่น ที่ลอยอยู่ในอากาศ และเข้าสู่ร่างกายทางระบบทางเดินหายใจ หรือการสัมผัสทางผิวหนัง ยิ่งได้รับสารก่อภูมิแพ้มากขึ้นเท่าไร ร่างกายก่อจะมีความไวในการสนองตอบต่อสารก่อภูมิแพ้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งอาการที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน และมักเกิดขึ้นเป็นประจำ คือ

• คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล
• คันตา แสบตา เคืองตา น้ำตาไหล
• คันคอ ไอ
• คันตามเนื้อตัว คันตามผิวหนัง เป็นผื่น

ป้องกันโรคภูมิแพ้ไรฝุ่นได้อย่างไร?

การป้องกันโรคภูมิแพ้ไรฝุ่นสามารถทำได้ง่าย ๆ เริ่มต้นจากการรักษาสุขอนามัยของตนเอง และการดูแลบ้านให้สะอาด โดยคุณสามารถปฏิบัติตามได้ ดังนี้

• ทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ โดยเฉพาะบริเวณที่มักมีการสะสมของฝุ่นละออง อย่างเช่น ผ้าม่าน ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน โซฟา ตุ๊กตา เสื้อผ้า พรม โดยแนะนำว่าควรใช้เครื่องดูดฝุ่น แทนการปัดหรือกวาด เพื่อไม่ให้เกิดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองในอากาศ
• ขณะทำความสะอาดควรสวมถุงมือ และสวมใส่หน้ากากอนามัย รวมไปถึงสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิดอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ฝุ่นละอองเข้าสู่ร่างกาย หรือสัมผัสโดนผิวหนังของเรา และไปกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ได้
• หมั่นเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม และนำไปซักทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที เป็นประจำ เพื่อกำจัดไรฝุ่นให้สิ้นซาก
• เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าม่าน ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ที่สามารถป้องกันการสะสมของไรฝุ่นได้ และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้พรมในบ้าน เพราะเป็นสิ่งที่สะสมฝุ่นละอองไว้มากเลยทีเดียว
• ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิดอยู่เสมอ และติดตั้งเครื่องฟอกอากาศไว้ตามที่ต่าง ๆ ที่เรานิยมไปทำกิจกรรมต่าง ๆ 
• ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย