หมาจิ้งจอกเชิดคอขึ้นหอนใส่ดวงจันทร์?

-

เขียนโดย รินวิฬาร์

วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 11.25 น.

  1 ตอน
  1 วิจารณ์
  2,339 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 11.34 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) ตอนเดียวจบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

ฉันอยู่ชมรมห้องสมุด สมาชิกชมรมมีแค่ 2 คนเท่านั้น ซึ่งอีกคนเป็นรุ่นพี่ที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า เรียกสั้นๆว่า สมาชิกผี


หลังเลิกเรียนในทุกๆวัน นอกจากทำความสะอาดชั้นหนังสือแล้วก็ได้แค่นั่งเฝ้าเค้าท์เตอร์รอคนมายืมหรือคืนหนังสือ นอกจากนั้นก็ไม่ได้มีหน้าที่พิเศษอะไรเลย ทุกอย่างดูน่าเบื่อและเรื่อยเปื่อยทุกวัน จนกระทั่งสี่ห้าวันที่ผ่านมานี้...
 
17:23 น. เสียงประพรวนที่ประตูห้องสมุดดังขึ้น ฉันรีบโงหัวขึ้นจากโต๊ะ ขืนอาจารย์เข้ามาเห็นว่าฉันแอบซบหลับกับโต๊ะ คงโดนบ่นหูชาแน่ๆ ฉันมองไปที่หน้าประตู ร่างเล็กๆหัวเกรียนของเด็กชาย ม.ต้นก็ปรากฏตัวขึ้น เหมือนทุกวัน ในเวลาที่ไล่เลี่ยกันกับวันอื่นๆ
ลูกชายลุงภารโรงนั่นเอง
 
เด็กชายร่างผอมบาง ผิวค่อนข้างคล้ำเดินทำหน้าเหมือนปลาตายเข้ามาหยุดที่หน้าเค้าท์เตอร์ของฉัน พร้อมกับมองจ้องหน้านิ่ง

“จะคืนหนังสือเหรอ?”

“ไม่ได้ยืมจะคืนได้ไงล่ะ งี่เง่า” อยากตบเกรียนเด็กชะมัดเลย ให้ตายสิ!

“ไม่ได้คืนก็อย่ามายืนบังเค้าเตอร์ซิยะ!”

“ก็ไม่เห็นจะมีใครสักหน่อย ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” มัน เอ๊ย! น้องเขายังคงพูดจากวนประสาทฉันเหมือนวันก่อนๆ คงเพราะเป็นลูกคนเดียวสินะ มีความเอาแต่ใจเล็กๆ และคงจะเหงา หนังสือก็เป็นทางเลือกที่ดีนะ

“ถ้าจะเลือกหนังสือล่ะก็ ให้ไวเลย ใกล้เวลาปิดแล้ว” ฉันตะโกนไล่หลังเด็กชายไป ขณะที่เขาย้ายร่างเล็กๆหายเข้าไปในชั้นวางหนังสือที่มืดทึมนั้น

“พี่จะไม่ช่วยผมหาหนังสือหน่อยเหรอ?” มุกเดิมอีกแล้ว เขาเอาแต่ตามหาหนังสือทุกวัน หนังสือที่ตัวเขาเองไม่รู้ชื่อหนังสือด้วยซ้ำ หลายวันก่อนฉันก็ช่วยหานะ แต่มันยากเกินไปที่จะหาเจอ และเขาก็เอาแต่อธิบายถึงลักษณะสีของปกเท่านั้น

“ไม่ล่ะ ถ้าไม่รู้ชื่อหนังสือจะหาได้ไงล่ะ”

“หน้าปกสีฟ้าๆดำๆ มีรูปหมาจิ้งจอกเชิดคอขึ้นหอนใส่ดวงจันทร์น่ะ พี่ไม่เคยเห็นเหรอ”

“ไม่อ่ะ” นั่นเป็นคำถามเดิมๆที่ฉันได้ยินมาแล้วทั้งอาทิตย์ ฉันตอบออกไปแบบขี้เกียจ พลางเปิดนิตยาสาร S-Cawii ฉบับล่าสุดที่เพิ่งจะมีคนเอามาคืนเมื่อตอนบ่ายดูไปเรื่อยเปื่อย

“มีคนยืมไปแล้วไม่คืนรึเปล่านะ พี่รู้มั้ย”

“หึ! ไม่รู้ เอ้าๆ รีบเข้าล่ะ จะห้าโมงครึ่งแล้วนะ”

“รู้แล้วน่า” เสียงนั้นฟังบู้บี้เต็มไปด้วยความงอน ฉันรู้เลยว่ายังไงเขาก็ไม่มีทางหาเจอหรอก แล้วไอ้ลักษณะท่าทางแบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้ฉันอยากจะเข้าไปช่วยหาเลยสักนิด

เสียงออดดังขึ้นบอกเวลา 17:30 น. อาจารย์บรรณารักษ์เดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับกุญแจพวงใหญ่ในมือ

“มัลลิกา เธอน่าจะเอาเวลาว่างนี้นั่งทำการบ้านซะเลยนะ ห้องสมุดในยุค 4.0 นี่ถ้าเป็นร้านค้าคงเจ๊งบ้งไปนานแล้ว ไม่มีใครมาใช้บริการเลย ให้ตายสิ เด็กสมัยนี้ไม่อ่านหนังสือกันแล้วรึไง” อาจารย์หนุ่มบรรณารักษ์ร่างหมีหัวเราะลั่น “เอาล่ะๆกลับได้แล้ว เดี๋ยวจะค่ำนะ ผู้ปกครองจะเป็นห่วง”

“ค่ะ” ฉันเก็บกระเป๋า เด็กคนนั้นยังเอาแต่ปีนบันไดชั้นหนังสือหมวดวรรณกรรมเยาวชน วันนี้ก็คงจะหาไม่เจอหรอก ฉันถอนหายใจ ขณะที่อาจารย์ร่างหมีเดินเข้าไปที่ชั้นหนังสือแล้วไล่ปิดไฟทีละดวงๆ

ทุกอย่างยังคงดำเนินอยู่แบบนั้นซ้ำๆ หลังเลิกเรียนในเวลาไล่เลี่ยกัน เจ้าเด็กหัวเกรียนนั่นจะมาห้องสมุดอยู่เสมอ จนเกือบจะครึ่งเดือนแล้วที่เป็นแบบนี้
 
“ไม่ไปเตะบอลกับเพื่อนบ้างล่ะ” ฉันถาม ขณะที่ร่างเล็กๆนั้นมุดหัวเข้าไปในชั้นวางหนังสือ

“พี่นี่โคตรใจดำเลยว่ะ ไม่เคยคิดจะช่วยกันเลย”

“ก็บอกแล้ว ถ้าไม่รู้ชื่อล่ะก็จะหาได้ไงล่ะ”

“ข้ออ้างชัดๆ ไม่มีสามัญสำนึกของการเป็นบรรณารักษ์เลย ก็บอกไปแล้วไงเรื่องหน้าปกน่ะ”

“จะให้ฉันพลิกหน้าปกดูทุกเล่มเลยรึไงอ่ะ”

“ใช่” ไม่ได้มีความน่าสงสารเลย แบบนี้ฉันช่วยไม่ลงหรอก เจ้าเด็กบ้านี่

“ทำไมถึงต้องหาหนังสือเล่มนั้นล่ะ มันเกี่ยวกับอะไรเหรอ”

“เป็นหนังสือที่เคยอ่านไปรอบเดียวเอง อยากอ่านอีกครั้งน่ะ” สุดท้ายฉันก็ต้องเดินมาที่ชั้นหนังสือหมวดวรรณกรรมเยาวชน แล้วเริ่มช่วยเขาหาหนังสือเล่มนั้น

“หน้าปกเป็นรูปหมาป่าสินะ”

“หมาจิ้งจอกตะหากล่ะ ของมันไม่ได้เหมือนกันสักหน่อย แยกไม่ออกรึไง” หน๊อยยยยย...ไอ้หมอนี่มัน ฮึ้ม...

แต่ฉันก็ช่วยหาอยู่แบบนั้น และทุกอย่างก็จบลงเหมือนทุกๆวันตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา...

วันถัดมา...
เสียงออดดังในเวลา 12:00 น. เหล่านักเรียนผู้หิวโหยจากทุกระดับชั้นก็เฮโลกันไปที่โรงอาหารอย่างพร้อมเพรียงกัน มีเพียงฉันที่เดินสวนทาง มุ่งหน้าตรงไปที่ห้องสมุด

เมื่อคืนนี้ฉันแทบไม่ได้นอนเลย เอาแต่นั่งอยู่ที่หน้าโน๊ตบุ๊คจนเกือบสว่าง น้อยครั้งนักที่ฉันจะทุ่มเททำอะไรเพื่อคนอื่นแบบนี้ ฉันตรงไปที่ห้องสมุด เดินเข้าไปที่เค้าท์เตอร์ประจำ เปิดคอมพิวเตอร์เก่าๆและใส่พาสเวิร์ดอย่างที่เคย

หมาจิ้งจอกเดียวดายแห่งบ้านเนิน 
 
นั้นคือคำพิมพ์ค้นหาที่ฉันพิมพ์เข้าไปในโปรแกรมคลังหนังสือของห้องสมุด ฉันเจอมันแล้ว หนังสือที่เด็กคนนั้นตามหามาตลอด หนังสือปกสีฟ้าสลับดำที่มีรูปหมาจิ้งจอกยืนเชิดหน้าหอนใส่ดวงจันทร์ ที่เขาหามันไม่เจอไม่ใช่แค่เพราะไม่รู้ชื่อหนังสือเท่านั้น แต่เพราะว่าหามันผิดหมวดหมู่ต่างหากล่ะ นี่มันเรื่องแปล ไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่วรรณกรรมเยาวชนสักหน่อย

จากที่เขาพยายามค้นหามันมาร่วมๆครึ่งเดือน ฉันเดินไปแล้วหยิบมันออกมาจากชั้นวางอย่างง่ายได้ หาเจอสักทีนะ คราวนี้เจ้าเด็กนั่นจะได้ไม่ต้องมากวนใจฉันอีก

“มัลลิกา ไม่กินข้าวเที่ยงเหรอ?” ทันที่ที่เดินออกมาจากชั้นหนังสือ อาจารย์ร่างหมีก็ทักทายเสียงดังเล่นทำฉันสะดุ้งไปทั้งร่าง
 
“ตกใจหมด” ฉันพึมพำ

“ทำอะไรผิดล่ะ ถึงต้องตกใจขนาดนั้น แล้วนั่นอะไร”

“หนังสือน่ะคะ มีเด็ก ม.ต้นคนนึงหาหนังสือเล่มนี้อยู่”

“ยังมีคนอยากจะยืมด้วยเหรอ หนังสือเก่าขนาดนั้น กะว่าจะเก็บทิ้งแล้วนะ” มัลลิกาเปิดดูบัตรยืมหนังสือด้านหลัง การยืมล่าสุดประทับวันที่ยืมไว้ครั้งสุดท้าย เมื่อราวๆเกือบ 6 ปีที่แล้ว

“จะทิ้งเหรอคะ ฉันขอได้มั้ยคะ”

“อ่อ ได้ เอาไปสิ ยังมีอีกหลายเล่มเลยนะที่จะต้องเก็บทิ้งน่ะ ถ้าเธออยากได้ อ้าว เดี๋ยวสิ ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ”

“หิวค่ะ จะรีบไปกินข้าว” ฉันซุกหนังสือเล่มนั้นไว้ที่ลิ้นชักของเค้าท์เตอร์ ก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากห้องสมุด

17:16 น. เสียงประพรวนที่ประตูห้องสมุดดังขึ้น ฉันรีบโงหัวขึ้นจากโต๊ะแทบจะทันที ถ้าอาจารย์เข้ามาเห็นฉันในสภาพนี้คงโดนบ่นหูชาแน่ๆ ฉันมองไปที่หน้าประตู ร่างเล็กๆหัวเกรียนของเด็กชาย ม.ต้นก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เหมือนทุกวัน ในเวลาที่ไล่เลี่ยกันกับวันอื่นๆ

เขาไม่รอช้า เดินนิ่งๆแล้วเหล่ตามองมาที่ฉันด้วยความหมางเมิน ชิ!! ไม่ได้น่าช่วยเหลือเลยสักนิด

“ช้าก่อนเจ้าเด็กหัวเกรียน หึหึหึ” เขาชะงักแล้วหยุดมองกลับมาที่ฉัน

“หัวเราะได้น่าขยะแขยงมากอ่ะพี่” ทำหน้าเหมือนปลาตายอีกแล้ว

“จงดูนี่ซะ เจ้าเด็กอวดดี หึหึหึ” เป็นไปอย่างที่คิด เขาตาวาวขึ้นทันทีเมื่อเห็นหนังสือในมือฉัน เด็กน้อยหัวเกรียนเดินเข้ามาหาฉันด้วยท่าทางลิงโลดยังกับคนละคน

“พี่หามันเจอ”

“แน่น๊อน ก็พี่เป็นบรรณารักษ์นี่นา อย่ามาดูถูกกันนะเฟ้ย ที่สำคัญ หนังสือเล่มนี้ถูกปลดออกจากรายชื่อหนังสือในห้องสมุดแล้ว ตอนนี้มันเป็นของพี่นะ หึหึหึ” สีหน้าดูสลดลงก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นความเว้าวอนเจือขอร้อง

“งั้นก็ยืมไม่ได้แล้วล่ะสิ”

“ถ้าอยากได้ก็จะยกให้ พี่จะให้เธอ” นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าดื้อมึนของเด็กน้อย ทำหน้าแบบนี้ก็ได้เหรอ นึกว่าทำเป็นแต่หน้ากวนโอ๊ยซะอีก
 

ด้านหลังห้องสมุดของโรงเรียน ที่นี่เคยเป็นสวนสำหรับให้นักเรียนมานั่งทำกิจกรรม แต่ทุกวันนี้ถูกปล่อยให้รกร้าง ต้นไม้ดูแห้งแกรนไร้การดูแลเอาใจใส่ ม้านั่งในสวนถูกทิ้งให้ฝุ่นจับ เกลื่อนกราดไปด้วยใบไม้แห้งๆที่ร่วงจากต้นลงมาปกคลุม ฉันใช้เท้ากวาดใบไม้แห้งๆนั้นออกจากลานที่ปูด้วยอิฐตัวหนอน กวาดมันจนเป็นวงกว้าง หนังสือถูกวางลงตรงกลางนั้น เด็กน้อยผู้หวังจะเป็นเจ้าของมองจ้องนิ่งไปที่มันด้วยแววตาแห่งความสุข

“เธอตามหามันมาตลอด 6 ปีเลยเหรอเนี่ย”

“นานกว่านั้นอีก” เขายังยิ้มอยู่แบบนั้น ฉันถอนใจเบาๆ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาแล้วจุดไฟเผาที่กลางลานนั้น ฉันยกมือขึ้นพนมแล้วสวดเบาๆในใจก็ภาวนาถึงเด็กชายเจ้าปัญหาที่แม้จะตายไปนานแล้วแต่ก็ยังยึดติดอยู่บนโลกเพียงเพราะไม่ได้อ่านหนังสือที่ตัวเองชอบ
 
เป็นเรื่องเอาแต่ใจที่แสนจะงี่เง่ามาก แทนที่จะไปสู่ภพภูมิที่สมควรจะเป็น 
 
“ขอบคุณมากครับพี่” เขายิ้มกริ่มแล้วมองดูหนังสือเล่มนั้นค่อยมอดไหม้ไปต่อหน้า ก่อนที่ทุกๆอย่างจะจางหายไปพร้อมๆกัน ทั้งเด็กชายหัวเกรียนและหนังสือหายากเล่มนั้น...

ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องเล็กๆแบบนี้จะสามารถทำให้ดวงวิญญาณยึดติดวนเวียนอยู่บนโลกนี้ได้ ให้ตายสิ มนุษย์นี่ช่างซับซ้อนซะจริงๆ ฉันมองดูเศษเถ้าสีดำที่ถูกสายลมฤดูหนาวพัดจนกระจายหายไปต่อหน้าต่อตา

ไม่ใช่ว่าต้องการจะบิ้วอารมณ์อะไรหรอกนะ แค่ต้องการจะดูว่า ไฟมอดไปแล้วจริงๆใช่มั้ย ก่อนที่ฉันจะกลายเป็นผู้ร้ายคดีวางเผลิงเผาโรงเรียน...

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับเรื่องสั้นเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา