คำบอกลา

9.9

เขียนโดย ผอมสุด

วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.20 น.

  6 บท
  5 วิจารณ์
  9,349 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 เมษายน พ.ศ. 2558 00.15 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2) เรื่องของโอกาส

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

...บ่ายวันต่อมา น้องเหมียวเข้าออฟฟิสจริงๆซะด้วย จะว่าไปการที่โทรคุยกันเมื่อวานนี้ผมไม่ได้คาดหวังอะไร คงเพราะคนทำงานขายตรงจะเจอลูกค้าที่นัดแล้วไม่มาจนเป็นเรื่องปกติ...

...น้องเหมียวเดินเข้าประตูออฟฟิสมา เป็นจังหวะที่ผมยืนอยู่แถวนั้นพอดี คนในออฟฟิสทั้งลูกค้าและบรรดาเซลยืนกันเยอะขวักไขว่ไปหมด แต่สายตาที่น้องเหมียวมองมาทางผมแล้วยิ้ม ทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ ผมเริ่มรู้ตัวว่า "เรามีตัวตนในสายตาของเธอ"...

"เหมียวมาแล้วหรอ? พี่นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว!"--ผมทักพร้อมยิ้มหวาน ในใจมันรู้สึกกระดี๊กระด๊าอย่างบอกไม่ถูก มันยากเกินจะควบคุมตัวให้ปกติ ผมคิดว่าคุณก็คงเคยเป็นเหมือนกัน

"เหมียวเพิ่งเลิกเรียน มีเรียนเช้าอ่ะ"--น้องเหมียวตอบ เสียงเธอใส และสีหน้าของเธอน่ารักมาก

"พี่บอกพี่หมูไว้ไง ว่าเหมียวจะเข้ามาวันนี้" --ผมพูดพร้อมชี้มือไปทางกลุ่มของเรา เป็นสายงาน 2-3สายที่ค่อนข้างสนิทกัน ทุกคนหันมายิ้ม และกวักมือเรียกน้องเหมียว

...โดยไม่ได้พูดอะไรกันต่อ น้องเหมียวก็เดินเข้าไปทักทายเพื่อนๆ พี่ๆในกลุ่มนั้น  แค่นี้หรอ? โอกาสที่เราจะได้คุยกัน  ทำไมน้า?.. เราต้องรักษาภาพพจน์กันเยอะแยะ ทำไมผมถึงไม่ตามติดเข้าไปพูดคุยกับน้องเหมียวต่อไม่ต้องสนใจคนอื่นจะคิดยังไง จะมายืนเสร่อทำเป็นรักษามาร์ทแบบนี้ทำไม?...

...เป็นเพียงเสียงกระซิบที่ไร้ซึ่งพลังที่จะบังคับบัญชาตัวของตัวเอง ในวันแห่งโอกาสทองนั้นผมไม่ได้คุยกับน้องเหมียวอีกเลย  ผมยังคิดถึงเรื่องนี้มาจนถึงทุกวันนี้ว่า เรามันแค่คนอวดดีที่หยิ่งทะนงหรือแท้จริงแล้วเรามันก็แค่ "คนขี้ขลาด" คนหนึ่งเท่านั้นเอง...

...หลังจากวันนั้น ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนปกติ น้องเหมียวเข้ามาบริษัทน้อยลงเพราะใกล้ช่วงสอบ ส่วนผมก็อยู่ในช่วงที่จะต้องวัดดวงกับการเกณฑ์ทหาร "ไม่ใช่ไม่รักชาติ แต่ผมไม่ถนัด ฮ่าๆๆ" ผมเลือกจับใบดำ/ใบแดง คนภายนอกจะมีสักกี่คนที่จะยอมเสียเวลา 2ปีไปเป็นทหาร เหตุการณ์วันนั้นผมยังจำได้ดี ...

...ผมรอดพ้นการเป็นทหาร กลับมาบ้านพร้อมสัญญาใจที่ได้มาก่อนหน้าลุกขึ้นจับใบดำ/ใบแดงเพียง 1นาที...

... เป็นเวลา 00.45 ผมกลับมาถึงบ้านโดยไม่คิดมาก่อนว่าแม่จะนั่งรอผมไม่ยอมหลับยอมนอน ผมรู้ดีว่าแม่คงจะห่วงและอยากทราบผล...

"ทำไมนานนักล่ะ?"--แม่ถาม เสียงแม่เพลียๆเหมือนแกจะเริ่มง่วง

"แม่หาวัดให้ผมหน่อยผมจะบวช 1พรรษา" --ผมบอกกับแม่ 

"หา!!? จะบวชนึกยังไงอยู่ดีๆจะบวช?"--แม่ผมแปลกใจมาก มันก็น่าอยู่หรอกนะลูกชายไปคัดเลือกทหาร กลับมาถึงบ้านบอกว่าจะบวช

"บนไว้ก่อนจะจับใบดำได้ พอดีคนก่อนหน้ามันจับได้ใบดำกันหมด ก็กลัวจะมาแดงที่ผม ตั้มเลยตั้งจิตอธิฐานว่า ขอไปรับใช้ชาติทางอื่น ผมจะบวชหนึ่งพรรษาถ้าไม่บวชไม่ทำตามที่พูดก็ขอให้ผมตายเลย ผมบนไว้แรง" --ผมเล่าให้แม่ฟัง

"บ้าป่าว อยู่ดีๆก็บนไหนว่าจะไม่บนไง" แม่ถาม

...ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ อาบน้ำและเข้านอนโดยไม่คิดว่าเช้าวันต่อมาแม่จะจัดแจงเล่าให้กับยายผมซึ่งอยู่ภาคใต้ฟัง  ยายค่อนข้างดีใจเพราะยังไม่เคยมีหลานบวชให้เลยสักคนเดียว "ครับ...ผมต้องไปบวชที่ภาคใต้" ผมไม่ค่อยเต็มใจนักหรอก เพราะยังอยากอยู่ใกล้เพื่อนๆ แม้จะถือเพศต่างกันก็ตาม แต่สถานะการณ์นี้มีคนเข้าข้างผมแค่คนเดียวในครอบครัวคือ "ตัวของผมเอง" ทั้งนี้ผมได้รับของขวัญปลอบใจคือโทรศัพท์มือถือใหม่ siemen รุ่นA35 1เครื่องไว้สำหรับติดต่อเพื่อนฝูงได้เท่าที่จำเป็น...

...4เดือนกับการบวชผมมีโอกาสโทรหาเพื่อนซี้ที่บริษัทอาทิตย์ละ 1ครั้งค่าโทรข้ามจังหวัดค่อนข้างแพงตกนาทีละ 12บาท  ผมถามถึงทุกคนที่นั่น, ข่าวคราวของบริษัท, ถามรวมๆว่าใครเป็นยังไงบ้างเสมอ  แต่ผมไม่ได้ถามถึงน้องเหมียวเลย...

...............

...ผมสึกออกมาพร้อมกับข่าวร้าย ที่เพื่อนซี้แจ้งว่าบริษัทย้ายที่ทำการเพราะทางห้างสรรพสินค้าชื่อดังไม่อนุญาติให้บริษัทขายตรงต่อสัญญา  แต่แล้วก็ไม่เวิร์คเหมือนเก่า หลังจากย้ายสถานที่ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ บริษัทก็ปิดตัวลง  ยังไม่ทันที่ผมจะกลับมาถึงกรุงเทพฯด้วยซ้ำ เนื่องด้วยผู้บริหารเห็นว่า บรรดาเซลทั้งหลายห่างหายออกไปมากเกินกว่า 80% มันอ่อนล้าเกินกว่าพี่ๆจะเริ่มต้นใหม่...

...เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯวันแรก ผมก็จัดแจงนัดเพื่อนซี้มาเจอตัว ดื่มกันนิดหน่อย พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวๆของกันและกัน คืนนั้นพอเมาได้ที่เราสองคนก็เริ่มโทรหาคนรู้จัก เพื่อนผมมีเบอร์คนในออฟฟิสอยู่เยอะ เพราะหลังจากผมไปบวชไม่นานมันก็ซื้อโทรศัพท์มือถือเหมือนกัน...

...เราไล่โทรศัพท์ตามเบอร์โทรที่เพื่อนผมมีอยู่ เราผลัดกันคุยกับเพื่อนในสายงาน,รุ่นพี่, จนกระทั่ง...

"นี่ๆๆ โทรหาน้องเหมียวดีกว่า" --เพื่อนซี้ผมพูดหลังจากไล่หาเบอร์ผู้โชคร้ายรายถัดไปที่จะถูกคนเมาสองคนโทรป่วน

"เฮ้ย! น้องเหมียวไหน?" --ผมถาม ในใจคิดทันทีว่าน่าจะเป็นน้องเหมียวคนนั้นแน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ

"น้องเหมียวสายงานคุณหมูไง ที่ไอ้แบ้งค์ชอบตามติดอ่ะ" --คำตอบของเพื่อนซี้มันช่างเป็นคำพูดแห่งความหวัง ไม่กี่ครั้งหรอกในชีวิตคนเมาที่จะเปลี่ยนจากอาการหน้าชาเป็นรู้สึกตื่นเต้นหายใจไม่ทั่วท้องได้ภายในหนึ่งนาที

"เหมียว เป็นไงบ้างอยู่ไหนเนี่ย?" --เพื่อนผมคุยกับน้องเหมียวขณะที่ผมนั่งตื่นเต้นอยู่ข้างๆ มีการพูดคุยกันไม่กี่ประโยคเพื่อนผมก็พูดขึ้นว่า

"เนี่ยจำพี่ตั้มได้ป่าว ที่ไปบวชอ่ะพี่เขาจะคุยด้วย" --อั๊ยหยา..เพื่อนซี้จัดมาให้ซะแล้ว ยังไม่ทันจะทำใจได้ เพื่อนตัวดีก็ยื่นมือถือมาให้ผม

"ฮาโหล.." --ผมทักออกไปแบบดัดเสียงหน่อยๆให้ดูนุ่มๆ ควบคุมความตื่นเต้นดีใจให้ดีที่สุด

"ฮัลโหลค่ะ" --เสียงน้องเหมียวอีกครั้ง เสียงน้องเหมือนอายๆ น่ารักๆ ใสๆ

"จำได้ป่าวใคร?" --ผมถามน้องเหมียวด้วยหวังเพียงว่าเขาจำเราได้ หวังเพียงว่าเราคือคนที่เขามีภาพในหัว ไม่ใช่แค่คนที่เขาพูดว่าจำได้เพียงเพราะมารยาท

"จำได้สิ พี่ตั้ม" --น้องเหมียวตอบสั้นๆด้วยเสียงน่ารักๆ

"แน่นะ..พอดีพี่เห็นพี่ดิตเขามีเบอร์เหมียว พี่เลยให้เขาโทรมาพี่อยากคุยด้วย" --ผมพูดด้วยน้ำเสียงอมยิ้ม พร้อมออกหน้าว่าเป็นคนที่อยากติดต่อน้องเค้าเองโดยเขี่ยเพื่อนไปเป็นแค่ตัวประกอบ

"อ๋อ.. วันนี้เหมียวใกล้นอนแล้ว พี่ตั้มอยู่ไหน?" --น้องเหมียวถาม ทำไมเสียงผู้หญิงคนนี้อ่อนหวาน น่ารักจังเลย.. อยากคุยด้วยไปตลอดชีวิตเลย

"พี่นัดพี่ดิตมานั่งคุยกันอยู่แถวบ้านพี่อ่ะ... คิดถึงนะ" ---ผมหลุดปากพูดออกไป มันอยากพูดคำพวกนี้ อยากพูดกับเธอคนนี้ ผมมีความสุขจังเมื่อได้คลายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจตัวเอง

".....ไม่เชื่อหรอก" --น้องเหมียวนิ่งไปสัก 3วินาทีก่อนจะพูดคำนี้ออกมา ผมจับความรู้สึกได้ว่าเราน่าจะสานต่อ มันมีโอกาสความเป็นไปได้พอสมควร

"จริงๆนะ... เหมียว..พี่ขอเบอร์เหมียวได้ไหม พี่อยากคุยด้วย.." --ผมเดินเกมส์รุกต่อ

"อื้ม..ได้..." --น้องเหมียวตอบรับผมแล้ว เย้ๆ วันสุดแสนดี อนิสงค์จากการบวชหรือป่าวเนี่ย

"เย้ๆๆ แล้วพี่โทรไปตอนไหนได้มั่งอ่ะ?" --ผมแสดงความดีใจให้น้องเหมียวเห็น ผมอยากแสดงออกให้เธอรู้ว่าผมชอบเธอ มันน่าจะง่ายกว่าถ้าให้เขาได้รู้เจตนา แล้วลองดูซิว่าอาการของเธอเป็นยังไง

"ก็แล้วแต่พี่สิ" --น้องเหมียวตอบ ผมจับได้ว่าน้ำเสียงน้องเหมียวเหมือนอมยิ้ม แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจนะ หากจะคำนวณเป็นตัวเลขคงราวๆ 80%ได้

...ทันทีที่คุยกันรู้เรื่อง ไอ้ดิตเพื่อนซี้ทำมือทำไม้บอกไบ้ว่าควรจะวางได้แล้ว "มันเปลือง!!" แน่นอนสมัยนั้นค่าโทรนาทีล่ะตั้ง 2-3บาท ผมจึงบอกลาน้องเหมียวทันทีโดยทิ้งท้ายว่า...

"แค่นี้ก่อนนะ แล้วพี่จะโทรไปหา" --ผมปิดประโยคด้วยรอยยิ้ม ยิ้มแห่งความหวังอันบรรเจิด เราคงจะเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ  ผมบันทึกเบอร์น้องเหมียวจากโทรศัพท์เพื่อนในคืนวันนั้น ผมบอกกับตัวเองว่า เราจะไม่ปล่อยโอกาสหลุดมือไปเป็นครั้งที่สอง ขอบคุณวันดีๆของชีวิต ขอบใจมากเพื่อนรัก จุ๊กกรู้รรรร!!

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา