วันพ่อนั้นสำคัญไฉน
เขียนโดย กุหลาบราตรี
วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 10.15 น.
แก้ไขเมื่อ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557 18.57 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
2) คำว่า พ่อ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแดดร้อนระอุท่ามกลางปริมาณรถบนถนนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การทำยอดขายให้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ช่างยากลำบากสมัยนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่มักจะรู้พูดปฏิเสธยังที่ยังไม่ได้เข้าไปนำเสนออะไรบ้างก็มีแล้ว บ้างก็กลัวถูกหลอก การขายประกันชีวิตมีคู่แข่งเยอะจึงยากหากจะหาลูกค้า ส่วนมากหลายคนจะอ้างว่าไม่จำเป็น ไม่สำคัญหรือสิ้นเปลืองพอถึงเวลาจริงไม่ได้เงินชดเชย
พัฒพงษ์หรือเก๋าเป็นพนักงานขายที่มีประสบการณ์การทำงานมาห้าปีแล้วแต่ต้องทำยอดขายให้ได้ถึงเป้าเพื่อโบนัสจนบางครั้งไม่ได้กลับบ้านไปหาบิดาที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวหลังจากมารดาเสียไปด้วยโรคหัวใจ ช่วงหลังอาจจะมีเรื่องให้กวนใจอยู่เสมอเนื่องจากมักจะมีญาติโทรมาบอกว่าพ่อของตัวเองเริ่มหลงๆ ลืมๆ บางทีจำทางกลับบ้านไม่ได้แต่ก็ยังโทรมาขอเงินอยู่เสมอซึ่งเขาก็ส่งกลับไปให้ทุกครั้งเพื่อให้เป็นค่ารักษา
“สวัสดีครับคุณป้าอาการเป็นยังไงบ้างครับคือผมชื่อพัฒพงษ์เป็นตัวแทนจำหน่ายของบริษัทประกันภัยทวีสุขจะมาถามเรื่องเงินชดเชยน่ะครับทางบริษัทจัดการเรื่องรักษาพยาบาลให้แล้วนะครับ” นี่คือหน้าที่ที่จะต้องดูแลลูกค้าเป็นอย่างดีจึงจะน่าเชื่อถือ
“โห...พ่อหนุ่มดูแลดีจริงๆ นะถ้าไม่มีประกันป้าคงแย่...” แล้วป้าเขาก็ร่ายยาวจนถึงเวลากินยา
ชีวิตประจำวันมักจะหมดไปกับการดูแลลูกค้าและนั่งในออฟฟิศจนแทบจะไม่มีวันพักผ่อนจนบางครั้งไม่ได้กลับบ้านในเทศกาลสำคัญและวันนี้ก็เช่นกันเป็นวันปีใหม่แต่ต้องดูแลลูกค้าที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อสองวันก่อนหน้านี้
“เฮ้ย! วันปีใหม่นะเว้ยทำไมไม่กลับบ้านวะ” เพื่อนสนิทชื่อทัตถามพลางตบไหล่เบาๆ
“มีงานว่ะ”
“แล้วพ่อๆ ไม่สำคัญเหรอ”
“สำคัญนะแต่ฉันก็หาเงินเขาจะได้สบายมันก็ดีนะเว้ย”
เก๋าพักอยู่ในแฟลตห่างจากที่ทำงานยี่สิบเมตรแต่มีข้อเสียตรงที่รถติดมากบางครั้งเกิดอุบัติเหตุจนไปทำงานสายแน่นอนว่าโดนตัดเงินเดือนหรืออาจจะอดโบนัสของเดือนนั้นๆ ไปด้วยหลังจากกลับจากทำงานในวันปีใหม่ที่หลายคนกลับไปอยู่กับครอบครัวทำให้ห้องพักดูเงียบเหงากว่าปกติ
เมื่อถึงวันที่ห้าธันวาคมซึ่งเป็นวันพ่อจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องกลับบ้านสักครั้งเขาเดินทางตั้งแต่เที่ยงคืนตรงโดยรถบัสสองชั้นส่วนมากจะมีหลายคนเดินทางเพื่อออกไปเที่ยวกับครอบครัวหรือกลับบ้านเพียงลำพัง ผ่านไปได้สามชั่วโมงบรรยากาศภายในรถเงียบสงบเพราะหลายคนนอนหลับแต่นายเก๋ายังไม่หลับง่ายๆ หลังจากได้รู้ข่าวว่าบิดาป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคชรา
ยามใกล้รุ่งของเช้าวันใหม่โซเฟอร์เลือกเปิดเพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและได้เปิดละครของพ่อให้ทุกคนได้ดูเพื่อให้เข้ากับวันพ่อ เรื่องเหรียญของพ่อที่จะกล่าวถึงครอบครัวครูธานีที่เสียขาข้างซ้ายจากการช่วยเด็กระหว่างถูกศัตรูโจมตีตอนกลับจากการรับพระราชทานเหรียญจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ‘ครูดีเด่น’ เมื่อสิทธาโตมาจึงเป็นทหารตระเวนชายแดน
เขาเสียเพื่อน ตชด. มีโอกาสได้เข้าเฝ้ารับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เสด็จมาเยี่ยม และเหรียญพระราชทานนั้นถือว่าเป็นกำลังใจทำงานได้อย่างดีเยี่ยม วันหนึ่งพวกเขาต้องปราบผู้ค้ายาเสพติดจนแทบเอาชีวิตไม่รอดแต่เพราะเหรียญพระราชทานที่เขาติดตัวมาเสมอทำให้มีชีวิตรอดมาได้ หลังจากที่นายเก๋าได้ดูละครเรื่องนั้นก็กลับมาถึงพอดีแต่ต้องต่อรถเข้าไปอีก
บ้านหลังเก่าโทรมทำให้ชายหนุ่มแปลกใจไม่น้อยเพราะเขาส่งเงินกลับมาให้ทุกเดือนไม่เคยขาดไม่น่าจะทำให้บ้านโทรมขนาดนี้ที่รอบๆ มีผักสวนครัวปลูกอยู่แต่ตอนนี้แห้งเฉาเพราะไม่มีคนดูแลรดน้ำ ขายาวก้าวเข้ามาในบ้านที่โล่งจนน่าตกใจที่โต๊ะอ่านหนังสือของพ่อมีกระดาษหลายแผ่นวางกองกันไว้เขาเปิดอ่านเพราะมีจ่าหน้าซองถึง ‘พัฒพงษ์’ ตั้งแต่ตอนนี้เข้ากรุงเทพใหม่ๆ แต่ไม่เคยส่งไป
‘วันนี้ลูกเป็นยังไงบ้างกลับมาพ่อบ้างนะพ่อเหงา คิดถึงลูกมากตั้งใจทำงานนะเก๋าอย่าเหลวไหล...รัก อนุพัตน์’
จดหมายนั้นลงวันที่หลังจากที่เขาเริ่มได้งานเป็นพนักงานขายประกันพอดีและที่สำคัญเป็นการทำงานวันแรกที่เขาท้อมากที่สุดจนแทบอยากกลับบ้านเสียตอนนั้นเลย อีกฉบับหนึ่งคือจดหมายที่ยังไม่ได้ใส่ซองเขียนวันที่ห้าธันวาคมพอดี
‘กลับมาหาพ่อหน่อยนะ พ่อคิดถึงเก๋ามากถ้าพ่อเป็นอะไรไปของขวัญอยู่ในตู้เสื้อผ้านะลูก พ่อรักเก๋านะพ่อไม่อยากกินข้าวคนเดียว’
เมื่อลองนึกย้อนไปแล้วก็ผ่านมานานเหลือเกินที่เขาไม่ได้อยู่กลับพ่อตั้งแต่เรียนมหาวิทาลัยก็ได้เจอกันตอนรับปริญญาเท่านั้น
โรงพยาบาลดูวุ่นวายไปดูผู้คนที่มารักษามากมายเขาเดินเข้าไปในห้องพักของบิดาด้วยใจคอไม่สู้ดีนักจนเห็นเพื่อนบ้านยืนล้อมเตียงอยู่โดยมีบิดานอนแน่นิ่งไม่ปรากฏคลื่นอะไรที่แสดงว่ายังหายใจอยู่เลย ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปกอดพ่อที่รักด้วยความตกใจเพราะเมื่อสองวันก่อนมีคนโทรไปบอกเพียงว่าพ่อป่วยหนักไม่คิดว่าจาการหนักถึงขั้นใช้เครื่องช่วยหายใจ
“พ่อผมเป็นอะไรครับ”
“ลุงวัตน์เขาป่วยหนักมาตั้งแต่ต้นเดือนแล้วเก๋าไม่ยอมมาโรงพยาบาลสักที” ป้าวรรณตอบเสียงเรียบพลางส่ายหัวเล็กน้อย
“ความจริงฉันจะโทรบอกอาการแล้วนะแต่พ่อแกห้ามไว้บอกว่าอยากให้แกตั้งใจทำงานจะได้มีเงินเยอะๆ” เพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมาแล้วพากันเดินออกไปจากห้อง
บัดนี้นายเก๋ามองดูร่างไร้วิญญาณของพ่อด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่มีแม้น้ำตาเพียงหยดเดียวแต่กลับรู้สึกเจ็บปวดในใจ ทรมานจนอยากตะโกนออกมากี่ปีแล้วที่เขาหลงลืมไปว่ามีพ่อลำบากมานานขนาดนี้ หากย้อนไปถึงตอนเป็นเด็กเขามักจะเรียกร้องหาบิดาและคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อไม่เคยห่างกายไปเลย
“พ่อ” พูดเสียงสั่นพลางซบหน้าลงกับอกที่ไร้เสียงหายใจด้วยความเจ็บปวด “ผมขอโทษไหนพ่อบอกว่าให้ผมตั้งใจทำงานฟื้นขึ้นมาสิครับ”
เนิ่นนานหลายชั่วโมงแต่คนที่จากไปไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีกแล้วแม้ว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นนับร้อยพันตามคำบอกเล่า หลังจากนั้นงานศพของบิดาเกิดขึ้นท่ามกลางความโศกเศร้าของผู้ที่มาร่วมงานวันสุดท้ายที่จะมีการเผาศพ ชายหนุ่มได้ไปค้นที่ตู้เสื้อผ้าซึ่งในจดหมายนั้นบอกว่ามีของขวัญอยู่แต่นั่นก็ทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่าเงินที่ส่งให้มาทุกเดือนนั้นหายไปอยู่ที่ไหน
ได้ยินเสียงแว่วดังแผ่วมาแต่ ไกล ไกลชุ่มชื่นฤทัย หวานใดจะปานฟังเสียงบรรเลง ขับเพลงประสานจากทิพย์วิมาน ประทานกล่อมใจ...เสียงเพลงพระราชนิพนธ์ดังเข้ามาในโสตประสาทของคนที่หลับมานานหลายชั่วโมง บางคนก็ตื่นอยู่นานแล้วกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน นายเก๋าจับหน้าจับตาจับตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตาพลางมองไปรอบๆ ด้วยความแปลกใจ นี่ฝันไปหรือ
ในเวลาต่อมาเหตุการณ์ทุกอย่างก็เหมือนกับความฝันนั้นเหลือเกินจนเมื่อเดินกลับมาถึงบ้านในบ้านที่เงียบสงบน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวซองจดหมายวางกองไว้ ในตู้เสื้อผ้ายังคงเหมือนเดิมมีสมุดฝากธนาคารที่เป็นชื่อของเขาเองในนั้นมียอดเงินอยู่ที่สองแสนบาทห้าหมื่นสามพันบาทไม่น่าเชื่อว่าภายในหนึ่งปีเงินที่ส่งกลับบ้านจะทำให้ตัวเองมีเงินเก็บมากขนาดนี้
“พ่อผมขอโทษ” พูดเสียงสั่นทรุดลงตรงหน้าภาพของบิดาและเขาเมื่อตอนเด็กตั้งไว้ อยู่สูงจนเกือบติดเพดานคือภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวติดอยู่
เขารีบไปที่โรงพยาบาลด้วยความรีบร้อนแต่ปรากฏว่ากลับไม่เจอเพื่อนบ้านและพ่อของเขาอยู่เลยจนกระทั่งระหว่างเดินทางกลับเห็นบิดากลับมาจากทำนาด้วยท่าทางที่ไม่บ่งบอกถึงอาการเจ็บป่วยใดๆ เลยชายหนุ่มวิ่งเข้าไปกอดด้วยความความคิดถึงด้วยกลัวว่าจะสูญเสียคนที่รักไปอีกครั้ง นายเก๋าเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าคนที่สำคัญมากที่สุกคือคนที่เขาเคยหลงลืมมานาน
“พ่อผมขอโทษ” เอ่ยทั้งน้ำตาด้วยความปลาบปลื้มยินดี
“ไอเก๋าขี้แยอีกแล้ว ไป ไปรดน้ำผักให้หน่อยพ่อเหนื่อยว่ะ”
“โห...พ่อ ถ้าเหนื่อยนะวันนี้เก๋าจะดูแลอย่างดีเลย”
“แล้วจะกลับไปทำงานเมื่อไหร่” คำถามนั้นทำให้ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาด้วยความมั่นใจว่า
“ไม่มีใครสำคัญกว่าพ่อครับต่อไปนี้ผมจะดูแลพ่อเป็นอย่างดี จะลองหางานทำใกล้บ้านทำ ผมอยากอยู่กับพ่อแล้วจะไม่ให้ความสำคัญกับพ่อเพียงแค่วันที่ห้าธันวาเท่านั้นเพราะไม่ว่าจะวันอะไรลูกทุกคนก็ต้องรักพ่ออยู่แล้วจริงไหมครับ”
“เฮ้ย! แล้วแกไม่ลำบากหรือไง”
“คำว่าลำบากของผมยังเทียบไม่ได้กับพ่อเลย โดยเฉพาะพ่อของแผ่นดินท่านทำเพื่อประชาชนมานานเหลือเกินต่อให้ผมต้องเหนื่อยจนเลือดตาแทบกระเด็นขอแค่มีพ่อคำว่าเหนื่อยก็ไม่ได้ทำให้ผมท้อเลย” กอดบิดาด้วยความรักใคร่หลังจากที่ห่างหายมานาน
สองพ่อลูกยืนกอดกันเนิ่นนานทั้งน้ำตานานเท่าไหร่หนอที่ทั้งสองคนไม่ได้กอดกันนานขนาดนี้...
สองปีผ่านไป
นายเก๋าได้เป็นทหารตามที่บิดาตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกและเพื่อนตอบแทนแผ่นดินเขาจึงเป็นทหารตระเวนชายแดนมานานแรมปีจนเกือบเสียชีวิตจากการโจมตีของศัตรูอยู่หลายครั้งแต่ก็รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ในวันที่เขากลับบ้านด้วยชุดทหารยศร้อยเอก พ่อบังเกิดเกล้ายืนต้อนรับด้วยความยินดีจนน้ำตาไหลออกมาด้วยความปลาบปลื้มใจ
“ร้อยเอกพัฒพงษ์ มานะมารายงานตัวครับผม” พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนเข้าไปกอดบิดาหลังจากทำเพื่อชาติมานาน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคำว่าพ่อยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งสิ้น หากเหนื่อยจงคิดถึงวันที่ท่านลำบาก หากท้อให้หยิบรูปท่านขึ้นมา หากหมดกำลังให้โทรไปหาจะรู้ว่าท่านเป็นห่วงเรามาก วันที่ห้าธันวาคมแทนวันพ่อแต่ลูกทุกคนไม่ควรหลงลืมว่าพ่อนั้นรักลูกทุกวัน
หมายเหตุ *** เรื่องสั้นเรื่องนี้ได้กล่าวถึงละครเฉลิมพระเกียรติ เรื่อง "เหรีญของพ่อ" ไว้ด้วยใครที่สนใจสามารถเข้าไปดูได้เลยนะคะ
ต้องขอโทษด้วยนะคะ
หากเรื่องนี้ไม่ถูกใจใครหลายคน แต่ยังไงก็ขอคำแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ^^
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ