ทองใสผู้อาภัพ
เขียนโดย MissMaitree
วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 12.40 น.
แก้ไขเมื่อ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 12.43 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความทองใสผู้อาภัพ
“ไอ่ทอง เอ็งอยากลองดีใช่ไหม มาให้ข้าเตะสักทีสิ แหมๆๆ” มัคทายกตะโกนไล่เตะทองใส เด็กหนุ่มที่เติบโตมากับข้าวก้นบาตร
“555 ลุงๆๆ เตะผมบาปนะลุง แก่แล้วด้วย เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งไป ไม่ช่วยหน่า” ทองใสพูดไปวิ่งหนีไป ไม่สะท้านกับคำกร่นด่าของมัคทายกคนนั้น
“เอ็งมันเป็นเด็กนิสัยเสีย ต้องเตะให้เข็ดถึงจะจำ” มัคทายกพูดด้วยความโกรธ และหมดแรงไป “โอ้ยๆ เหนื่อยว่ะ ไอ่เด็กบ้า”
.. ทุกคนในวัดมักจะได้ยินเสียงเหล่านี้บ่อยๆ เนื่องจากว่าเด็กวัดที่ชื่อทองใส เป็นเด็กที่เติบโตมากับวัด ไม่มีครอบครัวที่ไหน มีคนมาทิ้งไว้ข้างขอบรั้ววัด ใกล้ๆโรงครัว ตั้งแต่แบเบาะ ตัวแดงๆ หลวงพ่อท่านเก็บมาเลี้ยงไว้เอาบุญ จริงๆแล้วทองใสเป็นเด็กหนุ่มที่ฉลาด มีไหวพริบ แต่มีนิสัยที่ยียวนกวนประสาท ทำให้ทุกคนต้องเอือมระอา และถูกทองใสแกล้งมาแล้วทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหัวหงอกหัวดำ ทองใสเด็กวัดอายุย่าง 18 ปี ได้ศึกษาเล่าเรียนกับหลวงพ่อมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียนก็เข้าเรียนโรงเรียนวัดของหมู่บ้าน เดินตามหลวงพ่อกับพระรูปอื่นบิณฑบาตรเช้า กินข้าวก้นบาตรมาตั้งแต่เด็ก ขยันขันแข็งทำงานทุกอย่างในวัด เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบพระสงฆ์มาตลอด ซึมซับกับพระธรรมคำสอน ที่หลวงพ่อซึ่งเปรียบเสมือนพ่อแม่ของเขาได้สอนสั่งมา ทำให้ทองใสเป็นเด็กที่มีคุณธรรมประจำใจ แต่ติดเพียงนิสัยที่ชอบแกล้ง เพราะต้องการเป็นที่รักของทุกคน ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ก็รักและเอ็นดูทองใส เขาไม่เคยรู้สึกมีปมด้อยเรื่องครอบครัว ถึงแม้จะถูกเพื่อนรุ่นเดียวกันหยอกล้อเป็นประจำ อาจมีบางครั้งที่น้อยใจแต่ไม่เคยเก็บมาคิดใส่ใจ ทำหน้าที่ของเขาและตั้งใจเล่าเรียนตามที่หลวงพ่อคาดหวังไว้
“อีกแล้วนะไอ่ทอง เอ็งก็ชอบไปแกล้งเขา เขาเป็นไรไปข้าไม่รับผิดชอบให้เอ็งนะ” หลวงพ่อเตือนสติทองใส
“แฮ่ๆ นมัสการครับหลวงพ่อ ผมก็หยอกลุงแกเล่น ลุงแกแข็งแรงขนาดนั้น ไม่เป็นไรง่ายๆหรอกครับ ใช่ไหมลุง” ทองใสกล่าวพร้อมถามมัคทายก ที่กำลังนั่งหอบพักเหนื่อยอยู่
“เอ็งทำเอาข้าเหนื่อยเกือบตาย ยังจะมาทะลึ่งอีก หลวงพ่อครับเคี่ยนมันให้หลาบจำเลยครับ ผมขอพักก่อน” มัคทายกบ่นด้วยเสียงหอบ
“เอาล่ะๆ พอๆ เอะอะเสียงดัง ทำลายสมาธิคนอื่นเขาหมด พวกเอ็งนี่ ไอ่ทองเอ็งก็เลิกหยอกได้ล่ะ ไม่งั้นข้าจะไม่ให้เอ็งกินข้าวเย็น ให้ไปนอนข้างนอกกับไอ่ด่างนุ่น เอาไหม” หลวงพ่อขู่จะให้ทองใสไปนอนกับไอ่ด่างหมาเฝ้าวัด
“ครับบบ ไม่เล่นแล้วครับ ผมขอตัวไปท่องบทเรียนต่อก่อนนะครับ ปีหน้าจะสอบเข้าหมอ 55” ทองใสกล่าวลาพร้อมหยอกล้อตามประสาเด็กหนุ่ม
...ทองใสเด็กหนุ่มที่มีความใฝ่ฝัน อยากจะเข้าเรียนหมอ เพราะเขาคิดว่าสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย ได้ดูแลรักษาคนป่วย โดยเฉพาะคนที่เลี้ยงดูทองใสมาที่เริ่มแก่ชราลง เจ็บป่วยไข้ตามอายุขัย เขาพยายามตั้งใจศึกษาเล่าเรียนตามบทเรียน ขยันท่องหนังสือทุกวันและทุกครั้งที่เขาว่างจากงาน
“ค่อก ค่อก ค่อก” เสียงไอของเด็กหนุ่มที่ดังเป็นระยะๆ
“ไอ่ทองเอ็งไม่สบายรึ กินยาหรือยังล่ะนั่น” หลวงพ่อถามด้วยความเป็นห่วง
“แค่ไอเองครับหลวงพ่อ ไม่เป็นไรหรอก ผมแข็งแรงขนาดนี้ นี่ๆดูกล้ามผมสิ 55 ค่อก ค่อก” ทองใสเด็กหนุ่มที่ไม่ยอมรับว่าตนเองกำลังป่วย และทำท่าทางที่แข็งแรงให้หลวงพ่อดู พร้อมกับเสียงไอเป็นระยะๆ
“เออๆ อย่าประมาทนะไอ่ทอง เอ็งหัดรู้จักดูแลตัวเอง ยังหนุ่มยังแน่น หาหมอหาหยุบหายามากินบ้างอย่าปล่อยเรื้อรังนะเอ็ง ข้าขี้เกียจไปเฝ้าเอ็งโรงบาล” หลวงพ่อย้ำด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง
“โธ่! แช่งผมเลยนะหลวงพ่อ ผมไปดีกว่า” ทองใสพูดแบบเคืองๆ ที่หลวงพ่อแช่ง
...เพ้งงงง! เสียงรูปทองใสเมื่อครั้งยังเด็กร่วงลงมาจากหลังตู้ ระหว่างที่เขาเดินออกกุฏิ หลวงพ่อรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีลางบอกอะไรสักอย่างแก่ท่าน หลวงพ่อพยายามไม่คิดถึงเรื่องร้ายๆนั้น พร้อมกับนั่งสวดมนต์ ขอให้อย่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับทองใสเลย เขายังเด็กและมีอนาคตไกล
“ไอ่ทอง เอ็งออกมาช่วยข้ายกของเก็บในศาลาหน่อย” มัคทายกตะโกนเรียกทองใส
“ค่อกแค่ก ค่อกแค่ก ครับๆลุง มีค่าจ้างไหม ผมไม่ช่วยฟรีนะ 55 ค่อกแค่ก” เด็กหนุ่มขานรับและยังคงหยอกล้อ พร้อมด้วยอาการไอที่ยังไม่หาย
“เออๆข้าให้เอ็งกินข้าวฟรีทุกวันที่วัดนี่แหล่ะ 55 ว่าแต่เอ็งยังไม่หายอีกรึ เห็นไอมาหลายวันแล้วนะ เอ็งไม่ไปให้หมอตรวจบ้างล่ะไอ่ทอง” มัคทายกถามอาการอย่างห่วงใย
“ไอแค่นี้เองลุง สบายๆ วัยรุ่นเขาบอก ชิวๆ 55” ทองใสกล่าวติดตลก
... หลวงพ่อมองดูทองใส ผ่านหน้าต่างกุฏิ ด้วยแววตาที่เป็นห่วง พะวง กังวล กลัวจะเกิดเรื่องร้ายๆกับทองใสเด็กหนุ่มที่หลวงพ่อเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังแบเบาะ ท่านรักและเอ็นดูทองใสเหมือนลูกคนหนึ่ง ถึงเขาจะเป็นเพียงเด็กวัดที่ถูกทอดทิ้ง แต่เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความดีงาม เขาจะสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมได้อีกมาก
... ขณะที่ทำวัตรเย็น ซึ่งเป็นประจำที่ทองใสจะต้องมานั่งสวดมนต์ทำสมาธิก่อนเข้านอน เฉกเช่นเดียวกับพระรูปอื่นๆ แต่เย็นนี้ทองใสขอตัวพักผ่อน เพราะอาการป่วยเริ่มหนัก และดูจะแย่ลง เด็กหนุ่มไอบ่อยขึ้นจนตาเริ่มคล้ำ ร่างกายเริ่มซูบผอมจนทุกคนเริ่มเป็นห่วง รวมถึงชาวบ้านที่แวะเวียนมาที่วัดก็ไถ่ถามถึงอาการของทองใส เด็กหนุ่มที่เคยร่าเริงเริ่มเงียบขรึมไป
“เอ๊ะ ใครเห็นไอ่ทองบ้าง มันหายหัวไปไหนของมัน” หลวงพ่อถามหาทองใสหลังทำกิจสงฆ์เสร็จ
“ทองใสบอกขอตัวไปพัก เห็นบอกไม่สบาย ผมว่าดูไอ่ทองมีอาการแย่ลงนะครับ ให้ลุงมัคทายกพามันไปหาหมอดีกว่าครับ” พระรูปหนึ่งกล่าว
“มันดื้อเหลือเกิน ผมก็บอกให้มันไปตรวจ มันก็ไม่ยอมไป สงสัยจะต้องบังคับแล้วล่ะ เป็นอะไรขึ้นมาไม่คุ้มเสีย” หลวงพ่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
...รุ่งเช้า ปกติทองใสจะต้องตื่นเพื่อเดินตามหลวงพ่อและพระรูปอื่น ปฏิบัติตามกิจสงฆ์ ทั้งทำวัตรเช้าและบิณฑบาตร แต่เช้านี้กลับไม่เห็นเด็กหนุ่มคนเดิม
“ไอ่ทองเอ็งเป็นไงบ้าง ข้าจะให้ลุงมัคทายกพาเอ็งไปหาหมอในอำเภอ เอ็งไหวไหมล่ะ” หลวงพ่อเรียกถามทองใส
“ยังไหวครับผม ไม่ต้องไปหรอกครับ ผมกินยาแล้วล่ะหลวงพ่อ เปลืองป่าวๆ เดี๋ยวก็หาย” ทองใสบ่ายเบี่ยงไปหาหมอ
“ทำไมเอ็งดื้อแบบนี้ ดูสภาพเอ็งตอนนี้ มันแย่ๆนะไอ่ทอง” หลวงพ่อเอ็ดด้วยความเป็นห่วง
“ไอ่ทอง ไปๆๆ ข้าจะพาเอ็งไปหาหมอ มันจะเสียสักเท่าไหร่วะ” ลุงมัคทายกกล่าว
“ผมไหวจริงๆ กินยาไปแล้ว ค่อกๆๆ เดี๋ยวนอนพักคงดีขึ้นครับ” ทองใสดื้อดึงไม่ยอมไป
...หลังจากที่เกลี้ยกล่อมทองใสไม่ได้ ทั้งหลวงพ่อและมัคทายก ก็ส่ายหัวและมองดูทองใสที่กำลังเดินขอตัวไปพักด้วยสายตาที่เป็นห่วง และถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความดื้อรั้นของเด็กหนุ่มคนนี้
...จนมาถึง วันที่ทองใสต้องเข้ารับการรักษา เพราะเขานอนจนหมดสติไป และไม่ออกมาพบปะผู้คนจนผิดสังเกตุ
“ไอ่ทองมันเป็นไงบ้างล่ะ” หลวงพ่อเอ่ยถามพระลูกวัดท่านหนึ่ง
“วันนี้ผมยังไม่เห็นมันออกมาจากห้องพักเลยครับ” พระรูปนั้นขานรับ
“หลวงพ่อครับ ไอ่ทองอาการหนักมากเลยครับ ผมไปดูอาการมันมา ไม่ไหวแล้วล่ะครับ ผมจะไปเอารถออกมา ฝากหลวงพ่อช่วยพามันออกมาจากห้องหน่อยครับ” มัคทายกวิ่งมาหน้าตาตื่นตกใจ
...เมื่อทองใสถึงโรงพยาบาล พร้อมหลวงพ่อและลุงมัคทายก อาการของเขาน่าเป็นห่วงนัก ทองใสยังไม่รู้สึกตัว นอนหมดสติ ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น หลวงพ่อรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี ยังคงนึกถึงเหตุการณ์ที่รูปของทองใสตกลงมาแตกวันนั้น หรือจะเป็นลางร้ายกับทองใสจริงๆ เขาป่วยเป็นอะไร ทำไมอาการถึงทรุดได้ไวขนาดนี้ ทั้งๆที่ร่างกายเด็กหนุ่มก็แข็งแรง ไม่มีวี่แววว่าจะป่วยหนักได้ขนาดนี้ และด้วยความดื้อรั้นของทองใส ทำให้เขาต้องป่วยหนักจนหมดสติไป
“นมัสการครับหลวงพ่อ ไม่ทราบว่าหลวงพ่อเป็นอะไรกับคุณทองใสครับ” หมอถามขณะออกมาจากห้องตรวจ
“ผมเก็บไอ่ทองมาเลี้ยงตั้งแต่เป็นทารก มันถูกทิ้งอยู่ข้างวัด อาการของทองเป็นไงบ้างล่ะหมอ” หลวงพ่อเอ่ยถามอาการจากหมอ
“หลวงพ่อต้องทำใจนะครับ ผมตรวจพบก้อนเนื้อในร่างกายทองใส ซึ่งกลายเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ทองใสอาจจะอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นาน ผมขอแสดงความเสียใจด้วยครับ แต่ทางเราจะทำการรักษาสุดความสามารถครับ” หมอกล่าวด้วยใบหน้าที่เศร้า
“ไม่น่าเชื่อ ไอ่ทองยังหนุ่มยังแน่น มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ มันไม่เคยแสดงอาการเจ็บปวดให้ใครเห็นเลยนะหมอ หมอตรวจดีแล้วใช่ไหม” หลวงพ่อไม่เชื่อกับผลตรวจที่หมอแจ้ง
“ครับหลวงพ่อ ผมก็ไม่อยากให้เกิดกับเด็กขนาดนี้เลย คงเป็นเนื้อร้ายที่อยู่กับทองใสมานานแล้วล่ะครับ มันลามไปทุกส่วนของร่างกาย เด็กคนนี้คงอดทนต่อความเจ็บปวดนี้มากนะครับ เข้มแข็งมากจริงๆ” หมอกล่าว
“หลวงพ่อต้องทำไงบ้างล่ะหมอ” หลวงพ่อถามหมอด้วยใบหน้าที่เศร้า และอยากช่วยทองใส
“เราสามารถให้กำลังใจคนไข้ได้ครับ ทองใสอาจจะมีชีวิตได้อีกนาน โรคพวกนี้มันขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนไข้เองด้วยครับ” หมอกล่าวให้กำลังใจหลวงพ่อ
...หลวงพ่อเข้าเยี่ยมทองใสด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย ไม่คิดเลยว่าเด็กวัดที่หลวงพ่อเก็บมาเลี้ยงจะมีอายุสั้นเช่นนี้ เขาดูแข็งแรง ร่าเริง ขยันขันแข็ง ไม่เคยปริปากบ่นว่าเหนื่อยหรือเจ็บปวดตรงไหน เขาหมั่นเพียรเรียนหนังสือเพื่อสานฝันของตัวเอง เขาอยากเป็นหมอที่ได้รักษาคนป่วย แต่เขากลับต้องป่วยตั้งแต่ยังไม่ทันได้ทำตามความฝัน โถ!อนิจจัง นี่แหล่ะหนาที่เขาว่า ไม่มีผู้ใดหนีความตายพ้น แต่มันช่างไม่ยุติธรรมกับเด็กหนุ่มเสียเลย
“หลวงพ่อครับ ผมเป็นอะไรไป มานอนที่นี่ได้ไงครับ” ทองใสเอ่ยถามหลวงพ่อเมื่อฟื้นจากอาการป่วย
“เอ็งไม่สบาย ข้าพาเอ็งมาหาหมอแล้ว เดี๋ยวเอ็งก็หาย เอ็งเจ็บตรงไหนบ้างล่ะ ข้าจะได้เรียกหมอ” หลวงพ่อถามไถ่อาการของทองใส
“ผมมึนไปหมด ปวดหัวเหมือนจะระเบิดครับ ว่าแต่หมอจะให้กลับเมื่อไหร่ครับ ผมอยากกลับแล้ว นอนที่นี่เปลือง กลับไปนอนวัดจะดีกว่า หลวงพ่อต้องลำบากไปด้วย” ทองใสยังคงดื้อรั้นอยากกลับวัด เพราะเกรงใจหลวงพ่อ
“เออน่า ข้ามีตังจ่ายให้เอ็งก็แล้วกันไอ่ทอง เอ็งอย่าดื้อเลยนะ ถือว่าเห็นแก่ข้า ข้าเป็นพระเอ็งไม่เชื่อข้า มันบาปนะไอ่ทอง อยู่จนกว่าจะหายดีล่ะกัน ข้าจะหมั่นมาเยี่ยมเอ็ง ตอนนี้ข้าว่าเอ็งพักก่อน หมอให้ข้าเยี่ยมไม่นาน เดี๋ยวหมอจะเข้ามาตรวจอาการเอ็งอีกรอบ ข้าไปก่อนนะ” หลวงพ่อกล่าวด้วยความเป็นห่วง
...หลังจากหมดเวลาเยี่ยมหลวงพ่อก็กลับวัดไปด้วยความรู้สึกซึมเศร้าใจ เพียงแต่ไม่สามารถแสดงอาการให้ใครรับรู้ได้ ทองใสรับรู้ถึงความเจ็บปวดภายในร่างกายของเขา เด็กหนุ่มฝืนอดทนมานานและคิดว่าสักวันอาการจะดีขึ้นและหายไปเอง แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถเอาชนะมันได้ ทั้งๆที่ทองใสก็ยังไม่รู้ว่าตนเป็นอะไร
“หมอครับ ผมเป็นอะไรเหรอครับ มันร้ายแรงไหม ผมอยากกลับวัดแล้วครับ หากผมเป็นอะไรที่มันรักษาไม่ได้ คุณหมอให้ผมกลับไปตายที่วัด ใกล้ๆหลวงพ่อและคนที่นั่นได้ไหมครับ อย่างน้อยผมก็ได้นอนตายตาหลับในบ้านของผมครับหมอ” ทองใสเอ่ยถามหมอพร้อมอ้อนวอนขอกลับวัด
“ทองใส ทำใจดีๆนะ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับกำลังใจของทองใสเลย แน่นอนว่าเป็นไปได้ยากที่มะเร็งจะรักษาหาย แต่ก็สามารถมีชีวิตได้นานเลยทีเดียว หากคนไข้ไม่ท้อ ทำตามที่หมอสั่ง และทานยาที่หมอจัดให้ ที่สำคัญต้องไม่คิดมาก ทองใสมีหลวงพ่อที่คอยกำลังใจ รับรองทองใสต้องทำได้นะครับ” หมอกล่าวให้กำลังใจทองใส
“มะเร็งเหรอครับหมอ ฟังแล้วช่างน่ากลัวเสียจริง ทำไมมันเกิดขึ้นไวขนาดนี้นะ ผมยังไม่ได้ตอบแทนคุณหลวงพ่อเลย ความฝันของผมที่ผมจะได้เป็นหมอ คอยรักษาคนไข้และคนที่รักเคารพดับสลายไปแล้วเหรอครับ” ทองใสพูดพร้อมน้ำใสๆไหลออกจากดวงตาที่แสนเศร้าของเขา
...ทองใสที่เคยร่าเริงกลับเงียบขรึมลงไปด้วยอาการป่วยของเขา วัดที่เคยเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวายของผู้คนที่มักจะถูกทองใสหยอกล้อเป็นประจำกลับเงียบและวังเวง หลวงพ่อได้เข้าเยี่ยมทองใสทุกวันถ้าไม่ติดกิจธุระของสงฆ์ มัคทายก พระรูปวัด และชาวบ้านที่เคยคลุกคลีกับทองใสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันให้กำลังใจ และคอยสวดมนต์ที่วัดเป็นประจำตั้งแต่รู้ข่าวของทองใส เด็กหนุ่มที่เป็นที่รักและน่าเอ็นดูของทุกคนในละแวกนั้น เขาเป็นเด็กหนุ่มที่อาภัพตั้งแต่เกิด เขายังต้องพบกับโรคร้ายที่ไม่มีวันรักษาหาย ทำไมโลกนี้ช่างโหดร้ายกับเขาเสียจริง
...เวลาผ่านไปได้สองเดือน อาการทองใสเหมือนจะดีขึ้นเพราะได้รับกำลังใจที่ดี เขาอดทนต่อสู้กับโรคร้ายที่กำลังจะพรากชีวิตเขาไปในอีกไม่ช้านี้ เมื่อเด็กหนุ่มรู้ดีแล้วว่าอาการของเขาอาจจะแย่ลงอีก เขาจึงขอให้หมอส่งตัวเขากลับวัด ที่ที่เขาเติบโตและให้ชีวิตเขาได้มีลมหายใจมาจนทุกวันนี้ เขาขอกลับไปสิ้นลมที่วัดเพื่อได้อยู่ใกล้ๆคนที่เขารัก และต้องการจากไปอย่างสงบ
“ไอ่ทองเอ้ย เอ็งก็ยังคงดื้อรั้นไม่หายจริงๆ ทำไมเอ็งไม่อยู่ใกล้ๆหมอ ข้าหมดแรงจะบังคับเอ็งแล้วจริงๆ” หลวงพ่อดุทองใสเบาๆด้วยความเป็นห่วง
“หลวงพ่อผมรู้ตัวว่าอยู่ได้อีกไม่นาน ผมขอกลับมาตายใกล้ๆหลวงพ่อนะครับ ที่นี่คือบ้านของผม ถ้าผมตายที่นี่ผมคงมีความสุขที่สุดครับ” ทองใสอธิบายให้หลวงพ่อเข้าใจ
“ไอ่ทอง เอ็งต้องสู้สิวะ ข้าไม่อยากเห็นเอ็งเป็นแบบนี้เลย เอ็งมันใจสู้อยู่แล้วนิ” มัคทายกคนสนิทพูดทั้งน้ำตา
...ในช่วงที่ทองใสกลับมาที่วัด เขาสวดมนต์ทุกวัน เพื่อหวังให้วิญญาณของเขาได้ไปสู่สุคติ และสวดมนต์ให้คนที่เขารักจงปลอดภัย ระหว่างนั้นชาวบ้านคอยทำอาหารที่เหมาะกับคนป่วย หาสมุนไพรต่างๆมาให้ทองใสได้ทาน เวลาผ่านไปได้เกือบหนึ่งสัปดาห์ คืนนั้นทองใสรู้ตัวว่าเขาจะจากโลกนี้ไปแล้ว หลวงพ่อที่คอยเฝ้าอาการทองใสอยู่ก็รู้ดีว่าเด็กวัดคนนี้ไม่สามารถต่อสู้ได้อีกแล้ว
“หลวงพ่อครับ ผมกราบขอบคุณที่ให้ชีวิตผมใหม่ เลี้ยงดูผมจนมีทุกวันนี้ ผมขอโทษที่ไม่สามารถทดแทนคุณได้ หากชาติหน้ามีจริงผมขอเกิดใต้ร่มบารมีของหลวงพ่ออีกนะครับ อโหสิกรรมให้ผมด้วยนะครับหลวงพ่อ” ทองใสพูดอำลาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้าอโหสิให้เอ็งทุกอย่าง เอ็งเป็นคนดี เอ็งต้องได้เจอภพที่ดี เป็นเทวดาอยู่บนฟ้านะไอ่ทอง” หลวงพ่อกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ น้ำตาคลอ
...เมื่อสิ้นเสียงหลวงพ่อ ทองใสก็สิ้นลมอย่างสงบ เขาจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา การจากไปของทองใส ทำให้ทุกคนต่างร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้า โชคร้ายที่เขาอายุสั้นกว่าเด็กคนอื่น และยังไม่ได้แม้แต่เริ่มต้นทำความฝันของเขาเลย
...ชีวิตคนแสนสั้นนัก ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ จงสร้างแต่คุณงามความดีไว้ จะได้เป็นที่จดจำดั่งเช่น ทองใส
เล่าเรื่อง...นางสาวไมตรี
24 ตุลาคม 2557
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ