ซะขนาดนี้หรือจะลืมลง
เขียนโดย มังกุมภ์
วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.05 น.
แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 16.39 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
43) อ๋าอรรไอรอ๊าง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอ๋าอรรไอรอ๊าง (ช่วงเหตุการณ์ มหาวิทยาลัย)
อ่านชื่อเรื่องแล้วอาจจะงงนิดๆ แต่เดี๋ยวจะเข้าใจเองอั๊บ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นตอนช่วงปิดเทอม ผมกลับมาแอ้งแม้งอยู่บ้านที่ระยองพร้อมกับพี่ชายและแฟนของพี่ชายด้วย จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมกับอ๊อฟ รุ่นน้องคนสนิทกลับเข้ามาที่บ้าน ก็พบกับพี่เอ (คนละเอกับพี่ชายผมนะครับ) นั่งอยู่หน้าบ้านคุยกับพี่เอ ( อันนี้พี่ชายแท้ๆผม ) อยู่ พี่เอหันมาพร้อมกับยิ้มทักทายผม ซึ่งผมคิดในใจว่าคืนนี้ต้องมีเรื่องฮาๆเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งไม่รู้ตัวหรอกว่าไอ้เรื่องฮาๆที่ว่าเนี่ย มันจะเกิดกับผมเอง
เหตุที่ผมคิดว่าต้องเกิดเรื่องฮาๆขึ้น ก็เพราะว่านิสัยของพี่เอผู้นี้นั่นแหละ แกเป็นรุ่นพี่ของพี่เอพี่ชายผมอีกที แกเป็นคนตลกโดยธรรมชาติ คือทุกสิ่งที่พูดออกมา มันตลกไปเองโดยที่แกไม่ได้เจตนา เรื่องเล่าอะไรก็แล้วแต่ พอพี่เอเล่า มันจะแฝงความตลกอยู่ในเนื้อเรื่องเหมือนก๋วยเตี๋ยวเรือใส่กัญชาประมาณนั้นแล
เรานั่งคุยกันสักพัก พี่เอก็บ่นว่าหิว เพราะยังไม่ได้กินอะไรมาเลย ซึ่งเวลานั้นก็ประมาณหนึ่งทุ่มแล้ว ผมจึงชวนพี่เอไปกินหมูกะทะใกล้ๆบ้านซึ่งผมกับอ๊อฟใช้บริการเป็นประจำ จะได้ปิ้งย่างไปคุยไปกินไป พอเรามาถึงร้านซึ่งเริ่มมีคนนั่งพอสมควร เพราะราคาไม่แพง และมีดนตรีเล่นเบาๆ เพิ่มความสุนทรีย์ในการปิ้งของพวกเราเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั่งกินไปคุยไปจนเริ่มอิ่มแล้ว พี่เอก็สั่งเบียร์มาอุ่นเครื่องก่อน เมื่อแอลกอฮอลเข้าปาก พี่เอก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่ประสบพบเจอในช่วงที่เราไม่ค่อยได้เจอกันให้ฟัง แต่ละเรื่องสร้างความตลกขบขันให้ผมและทุกคนในวงเป็นอย่างยิ่ง
ผมกินหมูย่างไปฟังไปหัวเราะไปอย่างสนุกสนาน เพราะแต่ละเรื่องมันฮาจนท้องคัดท้องแข็ง และแล้ว เหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดมันก็เกิดขึ้น นั่นคือ ระหว่างที่พี่เอเล่าเหตุการณ์ตอนนึงซึ่งฮามาก ผมนั่งฟังแล้วหัวเราะลั่นจนหุบปากไม่ลง ใช่แล้วครับ"ขากรรไกรผมค้าง " มันค้างจนอ๊อฟซึ่งนั่งข้างๆผมผิดสังเกตุที่ผมอ้าปากอยู่แบบนั้น
"พี่เอสเป็นไร?" ออฟถามผม
"อ๋าอรรไอรอ๊าง!!" ผมตอบอ๊อฟไป
เพียงเท่านี้ ความโกลาหลก็เกิดขึ้นที่โต๊ะของเรา ถึงแม้จะอยู่มุมสุดของร้านซึ่งห่างจากลูกค้าโต๊ะอื่นๆ แต่มันก็พอที่จะให้โต๊ะอื่นๆรู้ว่าโต๊ะผมมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว
อ๊อฟซึ่งเคยไปเรียนจับเส้นมา ค่อยๆเอามือนวดขมับแล้วค่อยๆไล่ลงมาที่กรามเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว แต่ก็ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น แถมผมเริ่มจะปวดหัวแล้วคงเพราะขากรรไกรคงไปกดเส้นประสาท หรือ กล้ามเนื้อเกร็งอะไรประมาณนี้แหละ หลังจากตกลงว่าเอายังไงดี พี่ๆสามคนจะนั่งรอผมอยู่ที่ร้าน ส่วนผมกับอ๊อฟไปหาหมอให้หมอจัดการ เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ว่าแล้วอ๊อฟก็พาผมบึ่งไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วดุจพายุ ช่วงเวลาแป๊บเดียวก็ถึงโรงพยาบาล อ๊อฟบอกให้ผมลงไปห้องฉุกเฉินก่อนตัวเองจะไปหาที่จอดรถ เพราะ โรงพยาบาลนี้หาที่จอดรถยากมาก ผมกระโดดลงไปเข้าห้องฉุกเฉินซึ่งเห็นป้ายอยู่ในทันที
พอเข้าไปถึง พยาบาลหน้ามึนๆนางหนึ่งก็ถามผมว่า เป็นอะไร?
"อ๋าอรรไอรอ๊างอั๊บ" ผมตอบไปพร้อมกับน้ำลายเริ่มยืด ต้องเอากระดาษทิชชู่ซับไปด้วย
"อะไรน๊ะ?" พยาบาลถามผมอีกรอบเพราะฟังไม่ถนัด (คือจริงๆมึงเห็นปากกูอ้าแบบนี้ก็น่าจะทราบแล้วนะครับ)
"อ๋าาาา อรร ไอร อ๊างงงงงงงงง" อ๋มออบไออีกอ้อบ
"อ๋ออ ขากรรไกรค้างนี่เอง งั้นเชิญที่ห้องระเบียนก่อนค่ะ ทำประวัติก่อน" พยาบาลพูดจบก็หันหลังกลับไปทำเหี้ยไรก็แม่งก็ไม่รู้เหมือนกัน (ขอโทษที่ใช้คำหยาบเพราะเวลานั้น ผมปวดหัวและยังไม่คุ้นเคยกับความชินชาในความเจ็บปวดของเหล่าพยาบาลที่รักทั้งหลาย)
ผมเดินอ๋าอรรไอรอ๊างมาที่ห้องทะเบียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องฉุกเฉินเท่าไหร่ พยาบาลฝ่ายทะเบียนก็นั่งเบลอๆง่วงๆอยู่ถามผมว่า เป็นอะไรคะ?
"อ๋าอรรไอรอ๊างอั๊บ" ผมตอบไปอีกรอบ
"อะไรนะคะ อ๋าๆ อะไรฟังไม่รู้เรื่อง" พยาบาลถามมาอีกรอบ
"อ๋าาาา อรร ไอร อ๊างงงงงงงงง โอ๊ยยย " ผมตระโกนออกไปสุดเสียงเพราะปวดหัวชิบหายวายป่วงแล้ว
"อ๋อออ ขากรรไกรค้าง ชื่ออะไรคะ? เคยมีประวัติที่นี่ไหม?" พยาบาลถามมาแบบง่วงๆขี้เกียจๆ
"อ้วยอั๊กอ๋าอ๋มอ่อนไอ้ไอ๋อั๊บ" (ช่วยรักษาผมก่อนได้ไหมครับ)
"อะไรนะ? ชื่ออะไรฟังไม่ออกเลย " พยาบาลถามมาแบบไม่ทุกข์ร้อนอะไร ชิลๆ
"......" ออนอี้อ๋มอู้ดไอ้ออกแอ้ว (ตอนนี้ผมพูดไม่ออกแล้ว เพราะทั้งโมโห ปวดขมับ)
"เอ้า ถามไม่ตอบอีก ไม่บอกชื่อรักษาให้ไม่ได้นะคะ" พยาบาลพูดมาพร้อมกับถือปากกาเตรียมจดชื่อผม โดยที่แม่งไม่ได้คิดเลยว่าตอนนั้นอ๋มอู้ดไอ้อั๊ด
"อิ๊อิดอิ๊อัย" ผมข่มความเจ็บความโมโหตอบไปอีกรอบ
"อีกทีนะคะฟังไม่ออก" พยาบาลผู้ชิลๆกะความเจ็บปวดและความตายถามมาอีกรอบ
ผมเลยดึงปากกามาเขียนชื่อนามสกุลของตัวเองยื่นให้ พยาบาลอ่านแล้วก็ถามต่อมาว่า
"แพ้ยาอะไรหรือป่าวคะ?"
"........" พยาบาลผู้ชิลๆคงเริ่มได้รับรังสีอำมหิตจากผมแล้ว จึงบอกว่า
"งั้นเดี๋ยวค่อยถามก็ได้เชิญนั่งรอก่อนค่ะ" พร้อมกับชี้มือไปยังเก้าอี้แถวหนึ่ง ซึ่งมีคนนั่งอยู่เรียงราย มีตั้งแต่ไอค่อกๆแค้กๆไปจนนอนพะงาบๆ
ระหว่างที่ผมกำลังอึ้งกับจำนวนคนไข้ที่ผมต้องไปต่อแถวรอเรียงรายอยู่นั้นอ๊อฟก็เดินเข้ามาพอดี ผมหันไปทางอ๊อฟ ฉุดแขนพร้อมกับบอกว่า
"อ๊อฟ ไอ อี้อื่นเออะ อี้ ออ อี้อี้ อาย แอ้ๆ" อ๊อฟไปที่อื่นเถอะ พี่รอที่นี่ตายแน่ๆ อ๊อฟถึงแม้จะไม่เข้าใจภาษาพูดแต่เข้าใจด้วยภาษากายว่ามูฟเตอะตัวเอง ก็เดินนำผมมาที่รถ พร้อมกับถามว่าจะไปไหนดี ยังไม่ทันจะตอบอะไร อ๊อฟก็นึกถึงคลีนิคขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆกันได้จึงพาผมไปโดยด่วน ซึ่งตอนนั้นผมนอกจากน้ำลายยืดแล้วน้ำตายังไหลด้วย เพราะมันปวดไปหมด
เมื่อมาถึงคลินิคที่ว่า อ๊อฟจอดรถหน้าคลีนิคโดยไม่หาที่จอดแล้ว เดินพาผมเข้าไปพร้อมกับแจ้งพยาบาลว่าผมเป็นอะไร ชื่ออย่าเพิ่งถาม ให้หมอรักษาก่อน ซึ่งพยาบาลก็เข้าใจดี พาผมไปพบหมอโดยด่วน ซึ่งหมอกำลังตรวจอาการคนไข้คนหนึ่งอยู่ กำลังจะเสร็จพอดี
"เอ้า เป็นอะไรล่ะ?" คุณหมอก็ถามผมงงๆที่ผมอ้าปากค้างเหมือนตกใจอะไรมา
"ขากรรไกรค้างครับหมอ" เสียงอ๊อฟตอบแทนผมเพราะรู้ว่าผมพูดไม่ชัด
"ตายๆๆๆ มาค้างไรตอนนี้เนี่ย" เสียงหมอบ่นพึมพำ
อ้าว.. ผมคิดในใจ กูจะรู้ไหมเนี่ยว่ามันจะค้างตอนนี้ ปกติมันค้างตอนกี่โมง บ่ายสองห้าสิบเหรอ?
"หมอขอดูแป๊บนะ" พูดเสร็จหมอก็จับปากล่างผมโยกไปมา
"โอ๊ยยย" ผมร้องออกมาเพราะปวดที่หมอโยก
"หา ปวดขนาดนี้เลยเหรอ ทำไงดีเนี่ย" หมอนั่งมองหน้าผมแบบหนักใจ
"สงสัยต้องผ่าตัดแล้ว รอแป๊บนะ หมอเตรียมตัวก่อน" พูดจบหมอก็ลุกออกไปจากห้อง อ๊อฟเดินตามไปด้วย ถามหมอว่าต้องถึงกับผ่าตัดเลยเหรอ? เสียงหมอตอบอะไรแว่วๆมาตอนนั้นผมไม่ได้ยินเสียแล้ว คำว่า ผ่าตัดมันก้องอยู่ในหัวที่กรามค้างนี่แหละ
บอกตามตรงว่า อย่าว่าแต่ผ่าตัดเลย แค่ฉีดยาผมยังกลัว เพราะผมเป็นโรคกลัวเข็ม ระหว่างที่รอหมอกลับเข้ามานั้นผมก็คิดว่า ต้องจัดการอะไรกับตัวเองซักอย่างแล้วไม่งั้นกูขึ้นเขียงแน่นอน
ด้วยความกลัวมากกว่าความเจ็บ ผมกำหมัดแล้วชกคางตัวเองอย่างแรง โดยไม่กลัวว่ากรามมันจะหักดังก๊อก ถ้ากรามหัก ผมคงยอมให้หมอฉีดยาสลบแล้วผ่าตัดไปเลย ตอนนี้ผมขอเสี่ยงก่อนละ
เสียงดังแก๊กกก ลั่นมาในหัวผม เป็นเสียงฟันกระทบกันอย่างแรง หลังจากสบัดหน้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็เอามือจับคางของตัวเองดูว่ามันหักหรือป่าว ปรากฏว่ามันกลับเข้าที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมค่อยๆลองอ้าปากแล้วพูดชื่อตัวออกมา "ไอ้เอ๊ส" อิ๊บอ๋ายย.. ไม่หายเหรอ อ๋อ ชื่อกู อ.อ่าง นี่หว่า ผมเลยนับหนึ่งถึงสิบเบาๆ ไม่กล้าอ้ามากกลัวมันค้างอีก พอนับเสร็จ หมอก็เดินเข้ามาพอดี ผมลุกขึ้นยกมือไหว้บอกหมอว่า
"ผมหายละครับหมอขอบคุณมากครับ เฮ้ยอ๊อฟ กลับไปกินหมูกะทะต่อ"
หมอตกใจที่อยู่ๆผมก็หายง่ายๆซะงั้น โดยที่ผมไม่ได้บอกหมอว่าผมทำอะไรกับตัวเอง
"เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ หนุ่ม เอายาแก้ปวดไปกินมั๊ย?" หมอถามมาอย่างเป็นห่วงหรือป่าวก็ไม่รู้ได้
"ไม่เอาละครับหมอ ผมไม่กินยา จะกินหมูย่าง" ผมหันมาตอบยิ้มๆพร้อมกับฉุดแขนอ๊อฟให้เดินนำไปรอที่รถเลย ผมผมกระโดดขึ้นรถอ๊อฟก็บึ่งออกจากหน้าคลีนิคซึ่งมีหมอและพยาบาลเดินออกมายืนดู กลับไปยังร้านหมูกะทะโดยที่สองเอกะแฟนหนึ่งเอ กำลังนั่งคุยๆและรอผมอยู่
"เป็นไงบ้าง?" เสียงสามคนถามแทบจะพร้อมกัน
"เกือบแย่ เกือบโดนขึ้นเขียงผ่าตัดแล้ว" ผมตอบยิ้มๆพร้อมกับน้ำมาดื่มแก้กระหาย
"แล้วมึงทำยังไงถึงหาย" พี่ชายผมถามมา
"ชกคางตัวเอง" ผมตอบพร้อมกับคีบหมูย่างต่ออีกสองชิ้น
"หา ชกคางตัวเองเนี่ยนะ" พี่เอถามมาอีก
"ไม่ชกก็โดนผ่าตัดดิ" ผมตอบพร้อมกับคีบหมูที่สุกแล้วบนกะทะใส่ปากเคี้ยว แต่เคี้ยวได้สองสามทีก็ต้องชะงัก เพราะยังปวดขมับอยู่นิดๆ
นับตั้งแต่นั้นมา ผมก็ไม่กล้าหัวเราะดังลั่นอีกเลย เวลาจะหัวเราะหรือเจออะไรที่ขำมากๆ ก็นั่งยิ้มหัวเราะ หึๆๆ พุ่งกระเพื่อมแทน .
--- อบแอ๊วอ๊าบบ ---
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ