หิ่งห้อยร้อยจันทร์

-

เขียนโดย วงวีวง

วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 14.30 น.

  1 ตอน
  1 วิจารณ์
  3,962 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557 14.31 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) หิ่งห้อยร้อยจันทร์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หิ่งห้อยร้อยจันทร์

   “พอได้มั้ยขอโทษทีที่เอาของไม่ถนัดมือมาให้ใช้” วัตถุหนึ่งเป็นที่สนใจอยู่กับคนทั้งสอง คนหนึ่งเป็นผู้นำมันมาให้ ส่วนอีกคนกำลังพินิจดู และตรวจสอบของสิ่งนั้น

     “ไม่เป็นไรครับผู้พัน ผมเข้าใจ ฝึกซ้อมสักสามสี่วันก็คงชิน” นั่นคือคำตอบของเขา สายตาละจากของตรงหน้า มองไปยังคู่สนทนา ดูเป็นมารยาทที่ดี

     เป็นจริงตามที่พูด เขารู้สึกคุ้นเคยกับมันดีขึ้น เมื่อได้ฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง อันที่จริงเป็นเพราะพื้นเพเดิมของความสามารถที่เคยได้รับการฝึกฝนมาด้วยเป็นหลัก มันยังคงแนบติดอยู่กับกายเขาราวกับเป็นคู่รักยามอยู่ในภวังค์หวาน หากแต่เสียงคำรามนั้น ดูเหมือนว่าจะกลบเกลื่อนทุกความรู้สึกดีๆไปเสียหมด สนามซ้อมส่วนตัวในที่ลับ มีคนแค่สามคนอยู่ในลานกว้าง ยามค่ำมืด ทำให้ยิ่งดูลึกลับมากกว่าเก่า

   “พรุ่งนี้ก็ออกเดินทางแล้วนะ” ผู้พันชวนคุย เมื่อเห็นว่าผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากำลังเก็บอุปกรณ์การฝึกซ้อมต่างๆแล้ว

       “ดรากูนอฟ... ผมขอถามหน่อยได้มั้ยครับ.. ท่านไปหามันมาจากไหน” ดรากูนอฟ นั่นคือชื่อเรียกของสิ่งที่เขาถือไว้อยู่ มันเป็นวัตถุที่ประกอบด้วยไม้ และโลหะ มีความยาวพอตัว ทีแรกผู้ถือรู้สึกไม่อบหลายๆอย่างในตัวมัน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าขณะนี้ เขาคุ้นเคยกับมันไปมากเสียอย่าง ก็เหมือนที่ใครๆต่างว่า’ปืนก็คือปืน’

       “คุณไม่จำเป็นต้องรู้ รู้แค่ว่าที่คุณจำเป็นต้องใช้มัน เพราะปฏิบัติการจะเกิดขึ้นระหว่างชายแดน เป็นรอยต่อของรัฐ จะให้ลูกปืนที่มีเกรียวกระสุน หรือปลอกกระสุนที่มีรอยเข็มแทงชนวนตรงกับปืนของราชการกระบอกใดตกอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นไม่ได้ อันที่จริง เราใช้ปืนประเภทเดียวกับปืนที่ใช้ในทางการทหารของรัฐไม่ได้เลยด้วยซ้ำ..” และนั่นคือคำอธิบายของเขา

       “ครับผม ผมทราบดีครับ” ไม่มีคำถามใดๆต่อ กลายเป็นเช่นเดียวกับบุคคลอีกคนหนึ่งที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด เขาเองก็ถือปืนที่มีรูปทรงคล้ายคลึงกับของผู้พูดทั้งสามคนเรียกมันว่าอาก้า

       “ดีมาก พายัพเดี๋ยวคุณกลับที่พักได้ เตรียมรายงานตัวตามสถานที่ที่นัดหมายในเวลาที่แจ้งไปแล้ว คุณด้วยศิลา อาวุธให้ฝากไว้ที่ผมก่อน รับตอนปฏิบัติภารกิจ

         “ครับผม!!” ทั้งสองตอบอย่างพร้อมเพรียง ราวกับเตรียมกันมาก่อนก็ไม่ปาน

         รถตู้วิ่งชลอความเร็วลง เพื่อจอด มันคงจะถึงที่หมายแล้ว นอกจากคนขับแล้ว บุคคลทั้งสามยังคงเป็นหน้าเดิม แตกต่างแค่เครื่องแต่งกาย คนหนุ่มทั้งสองใส่ชุดพร้อมออกเดินป่า รองเท้าคอมแบ็ตถูกขัดจนมัน หากแต่ไม่ใช่เครื่องแบบแสดงสถานะแต่อย่างใด ด้านหลังของทั้งคี่กระเป๋าใบใหญ่สะพานอยู่ ส่วนผู้ที่มีอายุใส่เพียงเสื้อเชิ้ตเรียบร้อย

           “ขึ้นรถฮัมวี่ต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง เดินเท้าไปตามแผนที่ต่ออีกประมาณสองชั่วโมง..” ทั้งสองไม่มีใครคัดค้านหรือถามสิ่งใดต่อ สีหน้าตั้งมั่น พวกเขารับรู้ทุกอย่างแล้ว ทบทวนทุกขั้นตอนตามแผนอย่างขึ้นใจ

   “พร้อมหรือยัง” เมื่อเห็นว่าผู้ทำหน้าที่ปฏิบัติการเข้าใจทุกสิ่งอย่าง โดยไม่มีข้อสงสัยแล้ว ชายสูงวัยจึงถาม

     “ครับผม!!”

     “โชคดีทหาร”

   “ครับ!!” ประตูเลื่อนของรถตู้ถูกเปิดออก ชายทั้งสองพาตัวเองขึ้นสู่ยานพาหนะอีกคันอย่างรวดเร็ว รถฮัมวี่เองก็ขับออกไปทันทีเช่นกัน พาสองร่างจางลับไป เช่นเดียวกับตะวันบนขอบฟ้า ที่หลบเลื้อมราวไหลสู่นิทรา ในห้วงเวลาที่ดูช่างเจือจางในอารมณ์

       “หิ่งห้อย” คนขับฮัมวี่กล่าว เป็นชายผิวคล้ำวัยกลางคนในชุดลายพราง เขาพาศิลา และพายัพมาถึงที่หมายในที่สุด กล่าวคำเดิม คำที่กล่าวกับคนทั้งสองตั้งแต่ตอนที่พวกเขาขึ้นรถมาแล้ว

         “ร้อยจันทร์” พายัพกล่าว ศิลาไม่ได้พูดอะไร ทำท่าทีว่ารู้กัน ความจริงเขาไม่ใช่คนที่ชอบพูดเท่าไหร่ รถฮัมวี่ขับออกไปจากบริเวณ มันเป็นป่าเขาดีๆนี่เอง ใช่แล้ว ‘หิ่งห้อยร้อยจันทร์’ เป็นชื่อของปฏิบัติการลับ ภารกิจคือ การคุ้มกัน และสังหาร จะมีรถขนส่งอาวุธสงครามผิดกฎหมายเข้ามาในรัฐ มีสายลับของทางการแฝงตัวอยู่ในกลุ่มด้วย จำเป็นต้องให้เดินทางเข้ามาในเขตพื้นที่ของรัฐก่อน จากนั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงจะสามารถจับกุมได้โดยสะดวก หากแต่ระยะทางช่วงรอยต่อชายแดนนั้น ทางสายลับรายงานมาว่า เต็มไปด้วยกองกำลังติดอาวุธ ทั้งทหารับจ้าง ก่อนการร้าย ชนเผ่า รวมถึงผู้ตัดไม้เถื่อน ค้ายา และอื่นๆอีกมาก และอาวุธสงครามที่จะขนส่งมาโดยผิดกฎหมายนี้ เป็นสิ่งที่พวกมันต้องการเป็นที่สุด!!

       “อีกประมาณสิบนาทีเราน่าจะไปถึงบริเวณที่เหมาะเป็นจุดซุ่มยิงครับพี่” ศิลากล่าว ตาดูแผนที่และเข็มทิศในมือ เขามีอายุน้อยกว่าพายัพ ผู้เป็นพี่พยักหน้ารับ ทั้งคู่เดินลัดเลาะตัดป่าเขามาต่อเนื่องโดยมิได้หยุดพัก มีเพียงศิลาที่ถือปืนไรเฟิลจู่โจม ประเภทปืนอาก้า แต่พายัพถือเพียงปืนสั้นสีดำ ดรากูนอฟคงกำลังหลับใหลอยู่ในกระเป๋าสะพายหลังใบใหญ่นั่น

         ‘กริ๊ก!!’ ชิ้นส่วนสุดท้ายถูกประกอบเข้าด้วยกัน จนปืนเป็นรูปเป็นร่าง ซองกระสุนเองก็เช่นกัน ถูกบรรจุเข้ากับตัวปืน ขึ้นลำ พร้อมยิงได้ทันที

           “ทำไมถึงต้องเป็นหิ่งห้อยร้อยจันทร์ครับพี่”ศิลาถามขึ้น เพื่อทำลายความเงียบ กลางป่าเขาในเวลาฟ้ามืด แม้กระนั้นก็ไม่ได้หายไป เพราะเสียงที่เขาพูดก็เบาราวกับกระซิบ ทว่าผู้ฟังกลับได้ยินครบทุกคำทั้งประโยค

            “ไม่รู้หวะ อารมณ์สุนทรียะแบบศิลปินของพวกผู้ใหญ่หรือเปล่า”

             “หึหึ ผมก็ว่าอย่างนั้นครับ”

             “ชู่วว” เป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่าให้เงียบเสียงลง ผู้เป็นรุ่นน้องตื่นตัวทันที พร้อมใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูภาพตรงหน้า ซึ่งเป็นตัวการทำให้ผู้เป็นพี่ต้องกระชับปืนแน่นขณะนี้

             “มาแล้ว ก่อนเวลาหน่อย”

               “ครับผม” เสียงพูดที่เบาอยู่แล้วกลับเบาได้อีก หรือเป็นเพราะมันถูกกลบจากเสียงของเครื่องยนต์รถฮัมวี่ และรถกระบะพวกนั้นกันนะ ในป่าที่มืดมาก แม้จะเป็นคืนเดือนเพ็ญ ไฟหน้ารถจึงจำเป็นต้องเปิดไว้ให้สว่าง แม้ผู้ดำเนินการผิดกฎหมายจะไม่ต้องการก็ตามที เพราะทางค่อนข้างอันตราย และก็เป็นเพราะแสงจากไฟสูง และเสียงของเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มเพราะแรงม้า พายัพเห็นมันชัดเจน ศิลาก็เห็นมันชัดเจน แต่พวกมันไม่มีทางรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่

               “นี่ไงล่ะ หิ่งห้อย” ชายที่อยู่ด้านหลังดรากูนอฟพูดเพียงเท่านั้น แต่ผู้ฟังก็รู้ว่าหมายถึงอะไร ความจริงเขาไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ที่จะต้องมาทำงานที่คล้ายๆกับคุ้มกันพวกโจรเหล่านี้ แต่เพื่อไม่ให้มันถูกกบถูกเขียนกินไปเสียก่อน และบินผ่านพวกเขาไปสู่กองไฟในที่สุด มันก็คุ้มที่จะรับใช้อย่างเป็นเกียรติ

                 ไฟสูงของยานยนต์เหล่านั้นเคลื่อนไหว ขึ้นและลง ซ้ายและขวา แกว่งไกลไปมาตามทางในเขาชันที่ไม่ได้ราบเรียบเหมือนถนนในเมือง แน่นอน หิ่งห้อยมีแสง เช่นเดียวกับไฟส่องสว่างของรถ แน่นอน พวกแมลงมีเสียง หึ่งๆ เช่นเดียวกับเสียงท่อไอเสียที่คำราม และแน่ที่สุด พวกแมลง.. ชอบบินเล่นไฟ..

                   “เฮ่ยเดี๋ยว!!” นับว่าเป็นเสียงอุทานที่แผ่วเบามากๆ ที่เอ่ยขึ้นเช่นนั้นเพราะประหลาดใจกับภาพตรงหน้า อยู่ดีๆรถทุกคันก็หยุด และจอด อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หยุดคือหยุดจริงๆ ทั้งเสียงเครื่องยนต์และไฟที่ส่องสว่าง ดับวูปลงทันที ทิ้งป่าให้เงียบเช่นเดิม อะไรกัน!! นี่ไม่ได้อยู่ในแผน!! พวกมันรู้ตัวหรือ ก็ไม่น่าจะใช่ โดนโจมตีจากพวกทหารรับจ้าง หรือพวกชนเผ่าหรือ ก็ไม่ใช่ ก่อนที่จะแตกตื่น ทหารทั้งสองด้วยประสบการณ์ รวบรวมสติ และความคิดให้กลับมาตามเดิม และเฝ้าสังเกตการณ์

                 “ลงมากันหมดเลยพี่ อาวุธครบมือ” ดูเหมือนสายตาของศิลาจะปรับรับกับความมืดได้ดีกว่า

                 “ปัญหาไม่ได้มีแค่นั้นแล้ว” พายัพเองก็ใช่ย่อย เขากระชับปืนขึ้งส่องเล็งผ่านกล้องของไรเฟิล แต่ทิศทางไม่ใช่ทางเดียวกันกับกองกำลังที่เพิ่งลงมาจากรถกระบะและฮัมวี่ หากแต่สูงขึ้นไปบนยอดเนินอีกฝั่งณ ที่ตรงนั้น มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว

                 “สองคนครับพี่ น่าจะเป็นพวกทหารรับจ้าง ดักซุ่มยิงตามที่คิดไว้” เมื่อเห็นทุกอย่างครบถ้วน เขาวางกล้องส่องทางไกลลง และเตรียมปืนอาก้าให้พร้อมยิง

                 “สงสัยมันจะรู้ตัวว่าโดนไอ้พวกนี้ดัก ไม่เป็นไรไอ้สัตว์ มึงรอไปตายข้างหน้า ด่านนี้เดี๋ยวกูเคลียร์ให้มึงเอง”

                  “เปรี้ยง เปรี้ยง !!” เสียงปืนสองนัดดังสนั่นป่าเป็นการเปิดโรงพื้นที่สงคราม มีสองชีวิตสิ้นสุดลงทันที ผู้ฆ่าไม่ได้ปราณี และไม่ลังเล ในขณะที่ชีวิตอื่นๆเริ่มไหวตัว และกระจายกำลังกันออก

                   “ปังๆๆๆๆๆๆๆ !!” พวกกลุ่มขนอาวุธเถื่อนเองก็เปิดฉากยิงเช่นกัน แต่ไม่ใช่ทางนายทหารทั้งสอง ทั้งคู่จับจ้องไปทางที่พวกมันลั่นกระสุนทันที อีกแล้ว พลซุ่มของพวกโจรปล้นโจรสังเวยชีวิตอีก แสดงว่ามันไม่ได้มาแค่สองคนเป็นแน่

                  

                 “ทางขวาตรงต้นไม้สามต้นนั้น สองคนครับพี่” ศิลารายงาน

                  “เปรี้ยง เปรี้ยง!!” เสียงตอบรับจากพายัพคือกระสุนที่ลั่นใส่ศัตรูที่ถูกชี้เป้า

                   “พี่ มันกระจายกันล่าไอ้พวกห่านี่แล้ว เราอาจถูกเจอ แต่จะยิงมันก็ไม่ได้”

                    “นิ่งๆไว้ก่อน เปรี้ยง!!” และอีกนัด ร่วงไปอีกร่าง

                     “ครึ้มมม !!” คราวนี้ไม่ใช่แค่ปืนไรเฟิล แต่เป็นจรวดอาพีจี และที่สำคัญ ยิงมาทางนายทหารทั้งสองคน!!     

                       “เฮ่ยย!! ตูมมม!!” เสียงดังสั่นหวั่นไหว พายัพกระโดดฉากออกมาทันอย่างฉิวเฉียด นอกจากหูที่อื้อไปหมด ร่างกายทุกส่วนยังปกติดี เนินดินสูงที่เขาใช้เป็นที่ซุ่มยิงชั้นดี มีแมกไม้บดบังอำพรางร่าง ทำไมพวกมันถึงรู้ หรือว่าเพราะยิงมั่วมาถูก!! แต่นั่นยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สมควรวิตก นอกจากตัวของเขาแล้ว ปืนล่ะ!! ศิลาล่ะ!!

                     “โอ้ยยย พี่!!” เสียงดังมาจากด้านหลัง เขาหันกลับไปดูทันที ในความมืด เผยให้เห็นร่างหนึ่งตะคุ่มๆ เนินดินเป็นที่กำบังร่างของเขาได้อย่างดีจากแรงระเบิด แต่ไม่รู้ว่าน้องของเขาโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ร่างไม่แหลกสลาย เพราะสิ่งกำบังดังกล่าวช่วยไว้เช่นกัน แต่ขานี่!!

                    “อดทนไว้ กดแผลไว้ก่อน ปืนล่ะ ปืนกูอยู่ไหน” ศิลาพูด พยายามข่มใจให้เย็นลง คว้ามือของรุ่นน้องมากดไว้ที่ปากแผลของมันเอง ในขณะทีเขาใช้สองมือควานหาปืนไปทั่วพื้นโดยรอบ ที่ต้นขา สะเก็ดระเบิดฉีกผิวหนังและเนื้อส่วนนอกออก เลือดไหลออกมาไม่หยุด ไม่ว่าจะกดห้ามเลือดอย่างไรก็ตาม

                     “เจอแล้วๆ ไปๆ ไปกัน!!” ทหารหนุ่มฉวยวัตถุที่เพิ่งควานหาจนพบขึ้นสะพาย รู้สึกคุ้นเคยกับรูปทรงที่มีน้ำหนัก ทว่าอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องประคองติดไปด้วย หนักกว่ามากนัก แต่จะทิ้งไม่ได้เด็ดขาด ชีวิตคนทั้งคน เช่นเดียวกับปืนหนักและยาวที่สะพาย เพราะว่ามันก็ไม่ต่างจากอุปกรณ์รักษาชีวิตของเขาดีๆนี่เอง แม้จะเป็นเครื่องมือฆ่าผู้อื่นด้วยก็ตามที

                   “สัตว์เอ้ย มันรู้ตำแหน่งเราได้ยังไงวะ!!” เสียงสบถถูกกล่าวขึ้นอีก แต่เบากว่าเดิมมาก สะท้อนถึงสติของผู้พูดที่คืนกลับมา ร่างของผู้พูดแนบติดกับอีกร่างที่เริ่มจะเย็นเฉียบ แม้จะมองไม่เห็นเพราะความมืด แต่เขาจินตนาการสีหน้าของศิลาได้ดี ทหารผู้อายุน้องกว่าเสียเลือดไปมากจากบาดแผล และมีความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นมาแทนจากการฉีกขาดเพราะเคลื่อนไหว แต่คงได้พักแล้ว พวกเขาพากันมาจนถึงที่ซุ่มยิงใหม่ เปลี่ยนตำแหน่ง และโชคดีที่ได้ตำแหน่งที่ดีมาก ดีกว่าตำแหน่งเดิมด้วยซ้ำ พวกมันไม่อาจหาเจอ

                 “แกร๊บ!!” เสียงหนึ่งดังแว่ว ผู้ฟังเกิดซึ่งปฏิกิริยาตอบโต้ทันที ดรากูนอฟประทับเล็งหันปากกระบอกไปทางต้น เสียง โดยมีพลซุ่มยิงคนเดิมคอยควบคุม แม้คนชี้เป้าขณะนี้จะมีสภาพเป็นตามครึ่งๆจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้ก็ตาม

                   “เปรี้ยง!!” พายัพตัดสินใจยิง!!

                   “ตุบ!!” ถูกเป้า!! จากเสียงวิญญาณที่ทิ้งกายให้ตกกระทบพื้นแต่ไม่น่ายินดีเท่าไหร่ เพราะอะไรนะหรือ เพราะแสดงว่ามันตามมาพบพวกเขาอีกแล้วนะสิ ทำไม!! เพราะอะไรกัน!!

                   “ไปพี่” เสียงหนึ่งพูดแผ่วเบา ศิลาเริ่มได้สติ แม้ท่าทีจะดูฝืนๆ

                   “จะบ้าหรือ ให้กูทิ้งมึงได้ไง!!”

                   “ไป!! ผมไม่รดแล้ว ตายคนเดียวดีกว่าตายสองคน เอาระเบิดมาให้ผม!!” เสียงนั้นเริ่มดังจนกึ่งตะโกน แต่ด้วยสภาพการณ์ตอนนี้ คงไม่ทำให้เสียเปรียบไปมากกว่าเดิมแล้ว เพราะพวกมันดูจะรู้เสมอถึงตำแหน่งของพวกเขา และตามล่าจนทันตลอด!!

                     “ไอ้เหี้ยเอ้ยย!!” พายัพสบถ พวกเขาไม่ได้มีลูกระเบิด ทหารหนุ่มรู้ดี แต่ที่ศิลากล่าวไปอย่างนั้น คงเป็นเพราะต้องการขู่พวกมัน ว่าอีกนัยหนึ่งเขารอพลีชีพอยู่ เพื่อให้คนรุ่นพี่ซึ่งมีโอกาสหนีรอดได้มากกว่าหลุดพ้นไปได้

                     “ตายอย่างทหารกล้า!!” ศิลาฮึดเสียงข่มความเจ็บปวดพูดขึ้น โยนปืนยอาก้าให้ทหารกล้าอีกคนที่ร่างกายยังสมบูรณ์เต็มร้อยกว่าตน จากนั้นชักปืนพกที่ซองข้างเอวออกมาถือไว้

                     “ตายอย่างทหารกล้า ไอ้น้องรัก!!” คนรุ่นพี่ตอบ รับปืนของทหารอีกคนหนึ่งไว้ ใช้มือบีบที่บ่าของเจ้าตัวเบาๆ ไม่มีเวลาจะบอกลาได้ดีกว่านี้แล้ว จากนั้นแบกปืนทั้งสองกระบอก รุดหน้าไป เปลี่ยนตำแหน่งครั้งที่สาม!!

                       “ปั่งๆๆๆๆ เปรี้ยง!!” ไม่กี่อึดใจจริงๆ เขายังออกมาจากบริเวณที่ศิลาอย่างไม่มากนักเลย เสียงปืนสั้นดังขึ้น เป็นปืนของผู้เสียสละไม่ผิดแน่ หากแต่เสียงปืนกลที่ดังต่อมา และเสียงปืนสั้นที่เงียบหายไป มุกหลอกลวงเรื่องระเบิดมือใช้ไม่ได้ผลกับไอ้พวกห่านี่ แต่ไม่มีเวลาจะมาอ่อนไหวแล้ว ต้องมุ่งหน้าเอาตัวรอดต่อไป!!

                       ‘เอาวะ!!’ ศิลาคิดในใจ ยกปืนขึ้นเล็งอีกครั้งเพียงคนเดียว วางปืนอาก้าไว้ข้างกายก่อน แม้จะเป็นปืนตระกูลเดียวกัน แต่วันที่ผ่านๆมาเขาได้จับแต่ดรากูนอฟ จนชินกับรูปทรงที่ด้ามจับปืนติดกับพานท้ายปืนเป็นอัดเดียวกันแล้ว มากกว่าจับพวกปืนไรเฟิลจู่โจมที่พานท้ายปืนไม่ติดกับด้ามจับ

                       ‘เฮ่ยย เดี๋ยวก่อน!!’ เขาเอะใจอะไรบางอย่าง วางดรากูนอฟลง ลูปสัมผัสไปบนพานท้าย ไม้ที่เป้นวัสดุหนึ่งในการประกอบปืนประเภทอาก้า ราบเรียบติดผิว จนในที่สุด บริเวณข้างใต้พานท้ายปืน พายัพสัมผัสได้ถึงร่องรอยความขรุขระ และเป็นหลุดช่องผิดปกติ คล้ายกับว่าไม้ถูกเจาะออก เขากางมีดพับที่พกติดตัวอยู่ตลอดเวลา แทงมีดเข้าไปในช้องพานท้ายปืน เนื้อไม้ปุ๋มลงไป คว้านมีดออกมาด้านข้าง วัตถุหนึ่งตกลงสู่พื้น

                       ‘ไอ้ระยำ อะไรวะเนี่ย!!’ มันเป็นวัตถุทรงกลม ขนาดเท่าเหรียญบาท มีไฟสีแดงกระพริบปริบๆอยู่ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก้ตาม เขาพกพามันติดตัวไว้ไม่ได้ แสงสว่าง และเสียง จะทำให้ศัตรูรู้ตำแหน่งได้ ในการรบบริเวณที่มืดเช่นนี้ ศิลาบีบมันจนแตกคามือ มองซ้ายแลขวา หาบริเวณที่จะขว้างสิ้งของชิ้นนี้ทิ้งไปทิ้ง ทันใดนั้น ดรากูนอฟประทับป่าขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วทว่า ในที่สุด ก็ลดต่ำลง มันคือศพ ศพของพลซุ่มยิง และคนชี้เปาที่เขายิงตายไป ที่แท้เขาหนีจนวนมาเจอไอ้พวกทหารรับจ้าง หรือไอ้พวกนักรบชนเผ่าพวกนี้นี่เอง

                       ‘หืมม!!’ เขาอุทาน ต้องการทราบอะไรบางสิ่ง คลานต่ำอย่างระมัดระวังไปที่ร่างไร้วิญญาณทั้งสองร่างนั้น เมื่อขึ้นประชิดตัวได้ รู้สึกคุ้นเคยกับรูปลักษณ์ของศพทั้งสอง อีกทั้งอาวุธที่มันใช้ด้วย ตัดสินใจสองไฟฉาย ไหนๆก็ไหนๆแล้วจะได้รู้กันไป ทันทีที่เห็นใบหน้า ที่แม้จะพังเสียหายไปเพราะกระสุนไรเฟิล แต่มันเป็นแววตาที่คุ้นเคยมาโดยตลอด พายัพถึงกับใจหาย ชาไปทั้งกาย เมื่อมองเห็นทั้งสองร่างอย่างได้อย่างชัดเจน ไอ้เชต กับไอ้อันดร!!

                       ตอนนี้รู้สึกสับสนไปหมด คนตายสองคนนี้คือเพื่อนของเขาเอง มันเป็นทหารอย่างถูกต้องของรัฐ ทำไมกัน หรือว่ามันทรยศ มารับงานให้พวกทหารรับจ้างผิดกฎหมาย ไม่ใช่ ไม่ใช่เด็ดขาด!! เขารู้จักพวกมันดี ถ้าจะมีทหารฝีมือดีที่ไว้ใจได้มากที่สุด หรือซื่อสัตย์จริงใจมากที่สุด รองจากพวกเขา ศิลา และพายัพ ก็ไม่พ้นไอ้สองคนนี้แน่ แล้วมันเพราะอะไร!! ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบต่อไป อาวุธที่ไอ้สองคนนี้ใช้ ดรากูนอฟ กับอาก้า เหมือนกันเลย แบบเดียวกับพวกเขา พายัพคว้าเข้าที่พานท้ายของดรากูนอฟอีกอันหนึ่ง สัมผัสไปทั่ว จนถึงบริเวณที่เดิม ใช่!! ใช่จริงๆ!!

                         “สวบๆ!!” เสียงแหวกพงดงไม้ดังแว่ว พายัพออกเคลื่อนไหวต่อ ทิ้งที่ซุ่มยิงชั้นดีซึ่งเพิ่งจะค้นพบเป็นที่ที่สามไว้อย่างไม่ลังเล และที่สำคัญ ทิ้งปืนทุกกระบอกไว้ที่บริเวณนั้น พาไปแต่กายเปล่า สู่ความมืด หลบหนี พาตนเองให้หายไปในกลุ่มเงา ณ เวลานี้คงจะดีกว่ายิงต่อสู้กลับ ดีกว่าในทีนี้คือมีโอกาสรอดตายมากกว่า เมื่อศัตรูสามารถรู้ตำแหน่งของพวกเขาได้อยู่แล้ว

 

                         “หัวหน้าครับ” เสียงหนึ่งพูดอย่างนอบน้อม บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยกองกำลังคนติดอาวุธ และยานยนต์ทรหด ทั้งสองสิ่งไม่น่าจะอยู่ในป่าเขาในค่ำคืนเช่นนี้ได้

                         “เป็นยังไงบ้าง”

                           “ปืนมีครบสิบสองกระบอกครับ..แต่ว่าศพ”

                           “ศพทำไม!!”

                           “มีแค่สิบเอ็ดครับ คู่อื่นไม่มีปัญหา ครบ แต่เฉพาะไอ้คู่ศิลาพายัพนั่น ขาดไปคนหนึ่ง แต่มันทิ้งปืนไว้ คงรู้ทันว่าโดนติดเครื่องบ่งชี้ตำแหน่งติดตามตัวไว้ที่ปืน เพราะเครื่องส่งสัญญาณถูกงัดออกมา ”

                           “ใครรอดไปได้ ชี้เป้า หรือซุ่มยิง”

                           “ซุ่มยิงครับ..”

…………………

                        บ้านหลังน้อยแสนอบอุ่น อย่างน้อยก็เคยเป็น จนกระทั่งหนึ่งในชิ้นส่วนประกอบขาดหายไป ทิ้งชิ้นส่วนอื่นไว้ให้ยึดติดกันโดยไม่มีเงื่อนประติดประต่อ ไฟทุกดวงถูกปิดลง บ้านเงียบสนิท ราวกับไม่มีใครอยู่ ถึงแม้จะเป็นเวลาที่สมควรแล้วกับการหลับฝันก็ตาม ทว่าเงียบและดุเหงาเศร้ามากกว่าหลังอื่นๆ

                       “ครึก!!” เสียงหนึ่งดังผงาดจากความวังเวง แต่เป็นเพียงแค่เสียงที่โผล่งขึ้นทีเดียว หลังจากนั้นไม่ได้ยินสิ่งใดอีก มีก็แต่เพียงภาพ ภาพที่ไม่ชัดเจน สลัวมัวครึ้ม เช่นเดียวกับบรรยากาศของบ้าน ห้องครัวอยู่ด้านหลัง นั่นเป็นที่ซึ่งหน้าต่างบานใหญ่เพิ่งชำรุดเมื่อครู่ บุคคลที่ปรากฏกายเคลื่อนไหวไปราวกับคุ้นเคยกับสถานที่ แม้ไม่มีดวงไฟคอยนำทางก็ตาม สู่ห้องบริเวณส่วนกลางของบ้าน

                       “กริ๊ก!! หยุด อย่าขยับ” คำสั่งเด็ดขาด ถูกพูดสื่อสารผ่านเสียงเล็กหวานร่างของเธอก็มือดำสลัวเหมือนกัน เพราะถูกราตรีที่ไร้แสงใดกลืนเข้าไป

                     “จะยิงผม ด้วยปืนของผมจริงๆเหรอ” เขาพูดค่อยๆหันมาช้าๆอย่างระวัง จนในที่สุดก็ประจันหน้ากับผู้ที่ถืออาวุธ อย่างไรก็ตาม ท่าทีข่มขู่เดิมเหือดหายไปเสียสนิท มีเพียงน้ำตาและเสียงสะอึกสะอื้นที่สาดเทเข้ามาจนเอ่อล้น

                     “มานี่มา คนสวยของผม” ร่างหนึ่งขยับเข้าหา อย่างๆไม่เกรงกลัวอาวุธที่เธอถืออยู่ อันที่จริง ตอนนี้ปากกระบอกปืนไรเฟิล Winchester 88 .308 ไม่ได้ชี้ไปทางเป้าหมายแล้ว แต่ต่ำลงดิน และหลุดล่วงลงไปในที่สุด เหมือนกับหมดล้าซึ่งเรี่ยวแรง เช่นเดียวกับร่างผอมบางที่จับถือมันอยู่ จะหมดซึ่งกำลังล้มลงไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าหากไม่มีอีกร่างกอดประคองไว้อย่างแน่นหนาขณะนี้

                     “ไปอยู่ที่ไหนมา ทิ้งครอบครัวไปแบบนี้ ทำไมพวกเขาบอกว่าคุณตายแล้วในภารกิจ ไปอยู่ไหนมา..” เธอสับสน สับสนเป็นอย่างมาก ดูได้จากประโยคที่กล่าววนไปวนมา ด้วยเสียงสะอึกสะอื้น ไม่ตรง ไม่มั่นคง เว้นก็แต่กอดนั้น ที่แน่นหนาเหลือเกิน กอดไว้.. ราวกับจะไม่ให้ไปที่แห่งไหนอีกแล้วตลอดไป..

                   “บอกไม่ได้ มาสกับลูกจะเป็นอันตราย ความจริงเราไม่น่าจะเจอกัน ผมแค่จะแวะมาเอาของ และจากไป” เขาพูด พยายามละร่างบอบบางที่รัดติดแน่นกับกายออก แต่ไม่เป็นผล ทั้งๆที่เป็นเพศชายที่แข็งแรง แต่กลับสู้แรงของร่างของสตรีผู้นี้ไม่ได้เลย

                     “ยัพจะไปไหน อยู่กับมาสกับลูกเถอะ อย่าไปที่ไหนเลย ลูกกำลังหลับอยู่ข้างบนห้อง ขึ้นไปกอดลูกกันเถอะ..” ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่กอดเธอไว้เช่นนั้น นานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แค่ไม่อยากให้ผ่านเลยไป                      “อยู่ไม่ได้ ถ้าผมยังอยู่ มาสกับลูกอาจจะต้อง.. มาสอยากให้เป็นอย่างนั้นเหรอ ผมรู้.. ว่าผมเลือกคนไม่ผิด เลือกจะใช้ชีวิตกับผู้หญิงคนนี้ ที่พร้อมจะปกป้องหนึ่งชีวิตที่ประกอบไปด้วยความรักของเรา” สิ้นประโยค ร่างที่กอดรัดแน่นก็คลาย ผู้พูดใช้สองมือปาดน้ำตาที่นองเต็มใบหน้าของผู้ฟัง ซึ่งไม่กล่าวอะไรตอบ มีเพียงแค่เสียงสะอึกสะอื้นนั้น

                   “ดูแลลูกของเราให้ดี รู้มั้ย เขาเป็นเด็กที่เก่ง แต่ต้องให้เป็นคนดีด้วย แล้วก็ขอโทษนะ ผมคงไปดูไอ้ตัวยุ่งแสดงดนตรีไม่ได้แล้ว”

                   “ค่ะ..” เธอพูดทั้งๆที่ยังประคองจิตใจที่สั่นไหวไว้ไม่อยู่

                   “หลังจบเรื่องราว ให้มาสกับลูกย้ายไปอยู่ที่ที่อยู่นี้สักพักก่อน จำไว้ให้ดี แล้วรีบทำลายมันทิ้ง” ชายหนุ่มยื่นกระดาษแผ่นเล็กให้เธอ เธอรับมันไว้ แต่ไม่ได้สนใจใดๆกับของที่อยู่ในมือ ชายหนุ่มใช้มือที่เพิ่งว่างหยิบปืนไรเฟิลที่ตกอยู่บนพื้นขึ้น

                 “อย่าให้ลูกเป็นเหมือนหิ่งห้อย อย่าให้เป็นเหมือนพ่อมันที่ไร้แสง ที่มีเพียงนิดก็ได้แค่สะท้อนให้คนอื่นเห็นได้ แล้วก็มอดดับไปในที่สุด” ชายหนุ่มพูด ประทับรอยจูบลงที่หน้าผากกว้าง แม้จะไม่ได้มองเห็นกัน แต่กลิ่นรักนี้ยังคุ้นเคยไม่เปลี่ยนแปลง

                 “ลาก่อน ผมรักคุณนะ” เธอพยายามคิดว่านั่นจะไม่ใช่ประโยคสุดท้าย เพราะเธอเคยคิดมาแล้วครึ่งหนึ่ง ที่ได้รับแจ้งข่าวว่าชายผู้เป็นที่รักเสียชีวิตในการปฏิบัติภารกิจสำคัญ ไม่สามารถนำศพกลับมาได้ ด้วยข้อจำกัดทางพื้นที่ปฏิบัติการ ไม่รู้ว่าเป็นนรกหรือสวรรค์ เธอนั่งอยู่เช่นนั้น ตรงโซฟาที่เคยอยู่ด้วยกันสามคนถึงเช้า จนอีกหนึ่งชีวิตพาร่างกายมาสู่อ้อมกอด เธอกอดร่างเล็กนั้นไว้แน่น หวังว่าสักวันจะเติบใหญ่ และเข้มแข็งได้ เช่นอีกชายที่เธอรักที่สุดในหัวใจ..

……………………..

 

                 “เด็กชายทินกร ห้องป.4/2 กับบทเพลง ใต้แสงจันทร์ ประพันธ์โดย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ค่ะ” เสียงตบมือในหอประชุมดังสนั่น หลังจากจบบทพูดของพิธีกร เด็กชายในชุดสูทใสเอี้ยมสีดำปรากฏกายด้านหลังเปียนโนสีดำที่รูปทรงดูใหญ่กว่าตัวผู้เล่นมากเด็กชายค่อนข้างจะตื่นเต้น แม้จะมีแค่คุณแม่ที่มาดูก็ตาม เพราะหอประชุมที่บรรจุคนดูเยอะตั้งเท่านี้ ทำเขาประหม่า

                 “อยู่นิ่งๆนะครับ อย่าขยับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากเก้าอี้ด้านหลัง เธอไม่แปลกใจนักที่ได้ยิน และทำตามที่มันกล่าว กล่องใบหนึ่งถูกวางลงบนตักเธอ บนหนังสือพิมพ์ซึ่งว่างอยู่บนตักอยู่แล้ว มีเนื้อหาพาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง เกี่ยวกับข่าวนักการเมือง และผู้มีอิทธิพล รวมถึงทหารหลายคนถูกสังหารด้วยกระสุนปืน ขนาด.308 ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน โดยแขนยาวที่เอื้อมมาจากบริเวณตามเสียง จากนั้นก็ทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ ก่อนจะจากไป

                 “เรารู้ว่าคุณกับลูกไม่ทราบอะไร และท่านยังมีเมตตา แต่ถ้าขืนทำอะไรไม่เข้าท่าล่ะก็.. ตาย.. ”

                 ดนตรีเริ่มบรรเลง เด็กน้อยขับร้องและเล่นได้อย่างประทับใจ จนผู้คนปรบมือให้กันเกรียว ผู้เป็นแม่เปิดกล่องไม้นั่นดู หลังจากที่เด็กน้อยจบซึ่งบทเพลงบรรเลง และหายลับไปหลังเวที ในกล่องมีแหวนอยู่หนึ่งวง เป็นแหวนหมั่นของทั้งคู่ ซึ่งต่างก็ใส่ไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ห่างกันสักเพียงไหน เธอปิดกล่องลง หวนคำนึงถึงบทเพลงที่เพิ่งจบไป มันมาจากหนึ่งชายที่เธอรัก จากนั้นจินตนาถึงถ้อยคำต่างๆที่เขาเคยพูดฝากฝังให้ได้ยินไว้ ราวกับรู้เหตุการณ์ว่าตนจะต้องจากไป อีกหนึ่งชายที่เธอรัก ห้วงคำนึงนั้นเริ่มหวั่นไหว และเพ้อไป..

               ‘ในคืนนี้มีจันทร์ สวยเย็นเด่นฟ้า โอ้จันทร์จ๋า จันทรา พารักลอยไป หนใดแห่งไหน นะจันทร์ จันทร์บอกที..’                                 

               ‘ไอ้แมลงพวกนี้นี่มันอะไรกันนะ!! แข่งกันหรืออย่างไร ตัวไหนบินได้ใกล้กว่าแล้วไม่ถูกเผาตายจะเป็นผู้ชนะหรือ นั่นๆ ตัวอื่นไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่นี่มันอะไร แสงที่มีมันไม่พอหรือไง ถึงบินเข้าไปให้ไฟมอดปีกไหม้แลกกับวิญญาณแบบนี้..’

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา