Last Time
เขียนโดย Dpain_46208
วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 18.06 น.
แก้ไขเมื่อ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2557 18.23 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) Last Time
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความLast Time
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชาธิปไตยของไทยทุกส่วน
อยู่ยืนยงดำรงไว้ได้ทั้งมวล
เสียงเพลงชาติจากลำโพงของโรงเรียนดังแว่วมาให้ได้ยินแต่ไกล เมื่อผมยกเหลือบไปมองเวลาจากนาฬิกาเรือนโปรด ก็พบว่าตอนนี้แปดโมงตรงแล้ว เพื่อนๆคงจะไปรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมหน้าเสาธง แต่ผม....กลับมานั่งเหม่ออยู่ที่สระน้ำหลังโรงเรียน
“โดดแถวแบบนี้มันไม่ดีนะ รู้รึเปล่า”
เสียงที่ดังขึ้นเหนือหัวทำให้ผมสะดุ้งโหยงและรีบหันขวับไปมองทันทีเพราะกลัวว่าจะเป็นอาจารย์ แต่ก็โล่งอกที่เจ้าของเสียงกลับเป็นรุ่นพี่สาวที่ยืนแบกกล่องขนาดใหญ่ไว้ในอ้อมแขนและส่งยิ้มน้อยๆมาให้ ผมถอนหายใจแล้วเข้าไปช่วยรับกล่องมาถือ
“แล้วพี่ละครับ”
ผมถามออกไป
“อ๋อ พี่เพิ่งช่วยงานอาจารย์เสร็จแล้วเดินผ่านมาเจอเราเข้าหน่ะ อ๊ะ ขอบคุณนะวางตรงนี้ก่อนก็ได้”
รุ่นพี่สาวยิ้มให้น้อยๆพลางชี้ไปที่พื้นใกล้ๆกับจุดที่ผมเพิ่งจะลุกขึ้นมา เธอรวบกระโปรงนักเรียนสีกรมท่าให้เรียบร้อยก่อนจะนั่งลงตรงบันไดที่ทอดลงไปยังสระน้ำที่มีขนาดใหญ่พอสมควรแล้วหยิบขนมปังจากในกล่องขึ้นมาบิเพื่อโยนลงไป ไม่นานหลังจากที่ขนมปังชิ้นที่สองสัมผัสผิวน้ำปลาน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ก็พากันขึ้นมาฮุบอาหารที่ลอยอยู่บนผิวน้ำทันที
“เล่าให้พี่ฟังก็ได้นะ มีเรื่องที่ไม่สบายใจอยู่ใช่ไหมละ”
“ครับ?”
ผมขานรับไปอย่างงงงวยเมื่อจู่ๆคนด้านข้างก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทั้งๆที่สายตาก็ไม่ได้ละจากฝูงปลาตรงหน้า
“พี่ชื่อแพรวพลอย เรียกว่าแพรวก็ได้อยู่มอหก แล้วเราล่ะชื่ออะไร”
พี่แพรวหันมาถามผมพร้อมรอยยิ้มบางๆที่มุมปากขณะที่ปัดเศษขนมปังออกจากมือหลังจากโยนชิ้นสุดท้ายลงไปแล้ว
“ผมชื่อโอมครับ อยู่มอสี่”
“แล้วทำไมโอมถึงมานั่งอยู่คนเดียวละ เพื่อนไปไหนหมดแล้ว”
เสียงหวานถามกลับมาด้วยความเป็นห่วง ถ้าจำไม่ผิดเธอคงจะเป็นรุ่นพี่ที่อยู่ห้องเดียวกัน เข็มดีแดงเลือดหมูบนเสื้อแสดงว่าเธอเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนักเรียนของโรงเรียน งานที่อุทิศตนเพื่อประโยชน์และความสะดวกสบายของเด็กนักเรียนและโรงเรียน
“ผม....ผมไม่มีเพื่อนอยู่แล้วครับ”
ผมตอบไปด้วยเสียงเบาหวิว ผมสอบชิงทุนเพื่อเข้ามาเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ โรงเรียนที่มีชื่อเสียงและดังเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ผมตั้งใจอ่านหนังสือและหาความรู้อยู่เสมอจนในที่สุดก็สามารถสอบเข้าได้อย่างใจหวัง แต่เมื่อเข้ามาเรียนจริงๆกลับเจอเพื่อนที่เห็นแก่ตัวและมักจะถูกเอารัดเอาเปรียบเรื่อยมา
“โอมทะเลาะกับเพื่อนมาเหรอ”
“เปล่าหรอกครับ คนพวกนั้นผมไม่นับเป็นเพื่อนหรอก”
พี่แพรวขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อได้ยินผมพูดไปอย่างนั้น ผมจึงเริ่มเล่าเรื่องอย่างสุดจะกลั้น
“ผมโดนแกล้งมานะครับ เพียงเพราะพวกนั้นอิฉฉาที่ผมเป็นนักเรียนทุนที่สอบเข้ามาด้วยคะแนนสูงสุด คะแนนเรียนผมก็อยู่ในอันดับท็อป”
“เพื่อนโอมเขาอาจแค่หยอกเล่นรึเปล่า”
“ฉีกสมุด เผาหนังสือแบบนั้นคงไม่เรียนว่าหยอกแล้วละครับ”
“....แล้วคุณพ่อคุณแม่รู้เรื่องนี้รึยัง”
“ยังครับ....ทั้งสองคนทุกวันนี้ก็ทะเลาะเรื่องไม่เป็นเรื่องกันอยู่แล้ว พ่อผมชอบกินเหล้าแล้วก็เมานะครับพอแม่โวยวายก็ใช้กำลังกับแม่ผมที่เข้าไปห้ามก็มักจะเจ็บตัวไปด้วยทุกครั้ง”
ผมตอบพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วชี้ไปที่รอยจ้ำสีม่วงอ่อนๆตามใบหน้าและแขน
“แล้วคุณครูละ”
“ผมเคยลองไปปรึกษาแล้วครับแต่เรื่องมันกลับหนักกว่าเดิมอีก .....ถ้าพี่แอมอยู่ก็คงดี เธอเป็นพี่สาวของผมครับแต่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อประมาณปีก่อน”
“....”
“ผมรักพี่สาวผมมาก วันนี้เราไปเล่นน้ำที่น้ำตกกันทั้งครอบครัวแต่ผมที่ว่ายน้ำไม่แข็งถูกกระแสน้ำพัดไปที่ปากน้ำตก พี่แอมเข้ามาช่วยดึงผมขึ้นไปได้แต่ตัวเองกลับผลัดตกจากน้ำตกเสียชีวิต ผมเลยถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตรกรตั้งแต่นั้นมานะครับ”
“....โอมไม่ใช่ฆาตรกรหรอกมันเป็นอุบัติเหตุ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ”
ผมพูดเสียงสั่น พอนึกถึงพี่สาวที่จากไปที่ไรน้ำตาก็เริ่มคลอทันที ผมยกมือขึ้นมาป้ายน้ำตาทิ้งพลางสูดจมูกดังพรืด
“ถ้ามีอะไรที่พี่พอจะช่วยได้ก็บอกมาได้เลยนะ”
“....”
“คิดซะว่าพี่เป็นพี่สาวอีกคนก็แล้วกัน”
ฟี่แพรวบอกด้วยความเป็นห่วงแล้วยื่นห่อทิชชูขนาดเล็กมาให้ซึ่งผมก็กล่าวขอบคุณแล้วรับมาเช็ดน้ำตาน้ำมูกทันที
“พี่ไม่ต้องช่วยอะไรหรอกครับ วันนี้....ผมจะจบทุกอย่างเอง”
ผมบอกพี่แพรวหลังจากจัดการกับน้ำตาเสร็จและหยิบกระเป๋าข้างตัวขึ้นมาเปิดให้เธอดู สีหน้าพี่แพรวนั้นซีดลงไปทันทีที่เห็นของที่อยู่ในนั้น
ปืนพกสีดำสนิท....
เธอเหลือดวงตาที่เบิกโพลงขึ้นมาสบตาผมอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ผมคิดจะทำ
“นี้โอมคิดจะทำอะไร พี่เข้าใจนะว่าโอมโกรธมากแต่การที่จะไปทำกับเพื่อนแบบนั้นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากที่เพื่อนทำร้ายโอมเลยนะ”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงรัวและเร็วพลางยื่นมือมาจับไหล่ให้ผมใจเย็น
“ตอนแรกผมก็คิดที่จะทำแบบนั้นอยู่เหมือนกันละครับ....แต่พอมาคิดๆดูแล้วถ้ายังต้องกลับมาเจอเรื่องเดิมๆอีกสู้ผมจบลงตรงนี้ยังจะดีซะกว่า”
“นี้โอมหมายความว่ายังไง”
“ผม....ก็แค่อยากรู้ว่าถ้าผมตายไปจะมีใครไปงานศพผมบ้าง....”
“โอม! อย่าทำแบบนั้นเลย คุณพ่อคุณแม่จะรู้สึกยังไงถ้าโอมทำแบบนั้น”
พี่แพรวอุทานด้วยน้ำเสียงตกใจ มือข้างที่จับไหล่บีบเบาๆเป็นเชิงเตือนขณะที่สีหน้ายังตกใจไม่หาย
“พ่อแม่....งั้นเหรอครับ”
“....”
ผมที่เห็นพี่แพรวพยังหน้าถี่รัวก็แค้นเสียงหัวเราะไปทีนึงแล้วก้มหน้าเพื่อซ่อนน้ำตาที่ไหลออกมาอีกครั้งพลางเล่าด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“เมื่อคืนก่อน ตอนที่ผมกำลังทำการบ้านจู่ๆก็เกิดเสียงโครมครามขึ้นแล้วก็ตามมาด้วยเสียงแว้ดๆแม่
‘แกเคยคิดถึงโอมบ้างรึเปล่า
นั่นเป็นประโยคแรกที่ผมได้ยินเมื่อเดินผ่านประตูออกมา พร้อมๆกับที่พ่อเงื้อมือขึ้นแล้วฟาดลงไปบนหน้าของแม่
เพี๊ยะ!
‘อย่าพูดชื่อนั้นให้ได้ยินอีกนะ ก็เพราะมันไม่ใช่รึไงแอมถึงต้องตาย!’
‘เอ๊ะ! อย่าไปโทษลูกแบบนั้นน่ะ’
ทั้งสองคนเถียงกันราวๆครึ่งชั่วโมงได้ และตัวผมเองก็ไม่กล้าเข้าไปขวางระหว่างสองคนนั้น
‘โว๊ย! พอกันทีกูจะไม่ทนกับไอ้ลูกเมียเส็งเคร็งนี้แล้ว!’
พอพ่อพูดจบก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงมันมีลักษณะคล้ายกระบอกอะไรสักอย่างสีดำ ตอนนั้นผมที่ช็อกอยู่ก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ มันมีเสียงดังปังจนหูอื้อและประกายไฟแล่นแปรบออกมาแวบหนึ่ง แล้วแม่ก็ล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมกับของเหลวสีแดงที่ไหลออกมานองเต็มพื้นแล้ว....แล้วพ่อก็หันมันมาที่ผมจากนั้นก็มีเสียงดังปัง ผมรู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วร่างและทุกอย่างก็ดำมืดไปหมด....”
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ