ราวฝัน

8.7

เขียนโดย วงวีวง

วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 20.00 น.

  1 ตอน
  1 วิจารณ์
  3,826 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) ราวฝัน(ตอนเดียวจบ)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

   “ข้างนอกนี่หนาวนะครับ คุณพาตัวเองออกมาจากงานทำไมหรือ” นวลหน้างามนั่นไม่ได้หันกลับมา ผิวขาวนวลบนร่างที่ถูกตบแต่งด้วยผ้าตัดเย็บสวยสีแดงสดเป็นชุดราตรีก็เช่นกัน ยังคงนิ่งอยู่เช่นเดิม มีเพียงรอยยิ้มพราวเสน่เท่านั้นที่ปรากฏ

   “เบื่อบรรยากาศในงานหรือเปล่าครับ เพราะผมเองก็รู้สึกเช่นนั้น” เขายังคงชี้ชวนเจรจา

   “เปล่าหลอกค่ะ..” เธอตอบในที่สุด

   “จะรังเกียจไหมครับ ถ้าผมจะขอเป็นเพื่อนร่วมคุยด้วยสักพัก” เขาพูด วางแก้วค๊อกเทลทรงสวยไว้ที่ระเบียง ลมที่พัดโหมไม่แรงพอที่จะทำให้ภาชนะนั้นถูกผลักจนตก

     “อันที่จริง ฉันต้องการจะอยู่คนเดียวมากกว่า” เธอกลับหยิบแก้วของเธอเองที่วางอยู่บนขอบระเบียงก่อนแล้ว ทำท่าจะเดินจากไป

       “ขอตัวนะคะ...”

       “ขอโทษนะครับ ที่ผมมารบกวนคุณ คุณไม่จำเป็นต้องไปไหน ผมจะกลับเข้าไปในงามแล้วครับ” เขากล่าว หยิบภาชนะที่ใส่เครื่องดื่มซึ่งเพิ่งจะถูกวางลงเมื่อครู่ แล้วรีบขยับกายแซงหน้าเธอไปก่อน

         “ทั้งๆที่คุณเพิ่งบ่นว่าบรรยากาศในงานนั่นไม่ถูกใจคุณหรือค่ะ” รองเท้าส่งสูงงามหยุดเคลื่อน เจ้าของของมันเอ่ยเสียงหวานทักท้วงชายตรงหน้า

       “ครับผมคุณผู้หญิง อันที่จริงกล่าวว่าไม่ถูกใจคงไม่ถูก แต่คงเพราะผมไม่ได้เหมาะกับบรรยากาศของงานเช่นนี้เองเลย”

           “บางที..” เธอเอ่ย แล้วหยุดคิด

         “คุณจะอยู่เป็นเพื่อนคุยกับฉันสักครู่ได้ไหมค่ะ ถ้าคุณยังต้องการเช่นนั้น” ดวงตาใสนั้นราวกับมีมนต์สะกด เครื่องสำอางประเภทใช้ตกแต่ง กรีดแววตาให้คมกริบราวใบมีดบาด ชายหนุ่มเองจำต้องหยุดเดิน นิ่งอยู่ตรงนั้นเช่นกัน

           “ขอบคุณครับ คุณผู้หญิง” แล้วทั้งคู่ก็วางแก้วเครื่องดื่มไว้บนระเบียงอีกครั้ง

           “คุณผู้หญิงยังไม่ได้บอกผมเลย ว่าทำไมจึงมายืนอยู่คนเดียวแบบนี้” เขากล่าวขึ้นอีกครั้ง คำถามเดิม

           “หึหึ” เธอเพียงแต่กระแอมเสียงหัวเราะ แม้จะเป็นกริยาแสดงความไม่ตั้งใจสื่อสาร แต่แค่เสียงนั้น ก็ไพเราะมากพอแล้วสำหรับผู้ฟัง ที่อยู่เคียงข้าง

             “ขอโทษนะครับ ถ้าลำบากใจที่จะตอบก็ไม่เป็นไร” สีหน้ากังวลแสดงชัดเจน ท่าทีนบน้อมยังไม่คลายไปจากร่างในชุดสูทสุภาพ

             “ไม่ใช่หลอกค่ะ ฉันยินดีจะตอบคำถามของคุณ หากคุณสัญญาว่าจะเลิกพูดคำว่า คุณผู้หญิง แล้วก็ขอโทษนะครับได้สักที” อีกแล้ว.. น้ำเสียง และแววตาชวนฝันนั่น..

             “เอ่อ..” เขาอ้ำอึ้งที่จะรับปาก แต่ด้วยประการใดก็ตาม ในที่สุดก็ต้องยิ้มรับ และพยักหน้า

             “เป็นเพราะฉันเองก็เบื่อบรรยากาศในงานเช่นกัน..” เธอกล่าว ทั้งครั้งตอนแรกที่ชายหนุ่มถามเธอเองปฏิเสธ

             “ผมเดาใจคุณผู้หญิงออกหรือครับนี่”

             “หืมม” เธอทำเสียงในลำคออีกแล้ว

               “เอ่ออ ขอบโทษนะครับ ผมลืมตัว” เขารีบกล่าว เมื่อรู้ว่าเพิ่งทำผิดสัญญา แต่มันก็ทำให้เขาทำผิดสัญญาอีกครั้ง

               “หืมมม” เสียงยิ่งทุ้มต่ำ

               “โธ่ๆๆ ผมนี่!!” เขาอุทานเหมือนไม่ได้ดั่งใจตัวเอง

                “ฮ่ะๆๆ เปล่าหลอกค่ะ ฉันล้อเล่น จะพูดอะไรก็พูดเถอะค่ะ ตามใจคุณ” เธอกล่าว นี่คือเสียงหัวเราะแรก และมันทำให้รอยยิ้มนั้นยิ่งสดใส ชายหนุ่มยิ้มตอบ แต่กลับไม่เอ่ยคำใดต่อ

                 “คุณถูกเชิญมาในงานเลี้ยงนี้ในฐานะอะไรหรือค่ะ”

                 “อันที่จริงไม่ใช่ผมที่ถูกเชิญมาหลอกครับ แต่ผมเป็นผู้ติดตามผู้ที่ถูกเชิญ” เขาพูด ชำเรืองตาไปด้านหลัง ผ่านประตูกระจกบานใหญ่ แสงสีไฟระยับทั่วทั้งห้องใหญ่ ผู้ดีมีราคาหลายคนกำลังพบปะสังสรรค์กันอยู่ในงาน

                   “อย่างผมเองคงไม่ได้มีสิทธิสูงส่งอะไรปานนั้นไม่ได้เหมือนเช่นคุณ”

                  “เปล่านะค่ะฉันเองไม่ได้จะคิดอะไรดูถูกคุณแบบนั้น” เธอรีบปฏิเสธ

                     “ครับ ผมเองก็ขอโทษ ไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวหาคุณผู้หญิงเช่นนั้น”

                     “แล้วที่บอกว่าฉันเหมือนกับงานเลี้ยงนี่ หมายความว่าอะไรหรือค่ะ”

                     “ผมจะตอบคุณผู้หญิง ถ้าคุณให้เกียรติสัญญากับผมว่า จะเลิกพูดคำว่า เปล่าหลอกค่ะ หรือไม่ใช่นะค่ะ” ชายหนุ่มยิ้มหลังพูดจบ แน่นอน หล่อนเองก็ส่งยิ้มหวานกลับมาเช่นกันแต่กลับไม่ได้แสดงท่าทีรับปากสัญญิงสัญญาอะไร

                   “ก็เป็นสิ่งที่สูงค่า ยากที่จะไขว่คว้า มีเพียงไม่กี่ฐานะคน ที่อาจเอื้อมาถึงได้” กล่าวจบก็เหลือบมองไปในงานเลี้ยงหรูหรานั่นอีกครั้ง

                   “ถ้าคุณคิดว่างานและคนที่อยู่ในสถานที่นี้เป็นคนที่สูงค่าทั้งมด คุณคิดผิด แน่นอน ตัวฉันเองก็เช่นกัน”

                    “ทำไมผมจะต้องคิดผิดล่ะครับ” เขาถามกลับ

                     “แล้วทำไมคุณถึงยังตอบคำถามของฉันค่ะ ทั้งๆที่ฉันไม่ได้สัญญาตามที่คุณร้องขอ” เธอไม่ตอบคำถาม

                   “เพราะคุณผู้หญิงสูงค่าพอที่จะได้รับ ส่วนผมเองไม่ใช่ ตรงกันข้าม” แม้ชายหนุ่มจะดูอายุน้อยกว่าหญิงตรงหน้า แต่เธอเองก็ไม่ใช่คนสูงวัย แตกต่างกันก็คงเพียงไม่เกินห้าปี อย่างไรก็ตาม เขายังเรียกแทนตัวเธอเช่นเดิม

                   “ไม่หลอกค่ะ ฉันเองไม่ได้สูงส่งอะไรปานนั้น” เธอพูดจบ ทำสีหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ถึงคำที่พูดออกไป ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ เธอเองก็แสดงยิ้มกลับ แล้วคลายสีหน้ากังวลลง

                     “แล้วจะบอกผมได้หรือยังครับ ว่าคุณผู้หญิงทำไมถึงออกมายืนคนเดียวแบบนี้” วกกลับคำถามเดิม

                   “ฉันตอบคุณไปแล้วนี่ค่ะ”

                     “แต่คุณผู้หญิงโกหกผม”

                    “เปล่านะคะ!!” อีกครั้ง เธอแสดงสีหน้าตกใจเมื่อพูดคำนี้อกไปและอีกครั้งที่ชายหนุ่มส่งยิ้มอบอุ่นนั้นกลับมา หากแต่ร่างเจ้าของยิ้มก็หยับเข้ามาใกล้เธอด้วย

                   “เฮ้ออ” เธอถอนหายใจ และมันทำให้ชายหนุ่มถอยหลังกลับ เขาคงคิดได้ว่ากำลังคุกคามเธอเกินไป

                   “ฉันแค่ไม่รู้จักใครในงานเลี้ยงแบบสนิทใจนัก ฉันมาที่นี่ในนามของคู่หมั้นของฉัน ”

                   “แล้วคู่หมั้นของคุณ..”

                 “เขาไม่ได้มาด้วยหลอกค่ะ” เธอพูด แววตามีอารมณ์ซึ่งแสดงออกมาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มันดูช่างเศร้าสร้อยมาก

                 “ถ้าคุณผู้หญิงมีอะไรอยากเล่าหรือระบาย ผมยินดีรับฟังนะครับ” ชายหนุ่มขยับตัวเข้าหาเธออีกครั้ง

                   “ไม่มีอะไรหลอกค่ะ คนเราทุกคน เกิดมาก็ต้องตาย” เธอพูดเพียงเท่านั้น แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ชายหนุ่มหยิบแก้วค๊อกเทลขึ้น ยื่นมาทางด้านหน้าตรงหญิงงาม เชื้อเชิญดื่มตามมารยาท หวังให้สาวเจ้าหยิบแก้วของเธอมากระทบกันแล้วดื่มเครื่องดื่มแสนนุ่มละมุมนี่พร้อมกัน

                   “ขอบคุณนะคะ แต่ว่าที่จริงฉันไม่ค่อยชอบดื่มเท่าไหร่หลอก” เธอตอบกลับ แล้วหันหน้าแสดงแววตาเดิมต่อดวงจันทร์อีกครั้ง มีเพียงชายในชุดสูทที่ยังคงเงียบงัน และสายลมเย็นซึ่งกำลังพัดเส้นผมนุ่มสวยให้ปลิวไสวไปในอากาศเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนข้างกายเธอ แต่พระจันทร์นั้นดูช่างห่างไกลเกินเอื้อมถึง

                   “แล้วถ้าเป็นเพลงนี้ละครับ” เขาเอ่ยเพื่อปัดทำลายความเงียบ เมื่อสังเกตว่าดวงตาใสนั้นเริ่มมีน้ำบริสุทธิ์คลอล้นอยู่ ทำสายตาชำเรืองมองไปในห้องโถงใหญ่อร่ามตาอีกครั้ง ภาพที่เธอมองตามไปเห็นคือคนในงานเริ่มจับคู่เพื่อเต้นรำกัน เพลง ในฝัน เพลงที่ได้รับพระนิพนธ์คำร้องโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล และทำนองโดยหม่อมหลวงพวงร้อย สนิทวงศ์ และหม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์ กำลังบรรเลงอยู่อย่างสุดไพเราะซาบซึ้ง

                   “ฉันไม่อยากเข้าไปในงานนั้น คุณเองก็คงเช่นกัน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

                 “คุณผู้หญิงโปรดสังเกต เสียงดนตรีที่บรรเลง มันดังก้องมาถึงบริเวณระเบียงนี้เลยทีเดียว” ชายหนุ่มวางแก้วในมือลงอีกครั้งกับราวระเบียง เลยปรายมือที่ว่างนั้นมาด้านหน้า ราวเป็นคำเชื้อเชิญที่สุภาพ พร้อมกับโค้งตัวลงเล็กน้อย

                 “หากคุณผู้หญิงปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง ผมเองคงเศร้าใจไม่น้อย” เขาพูด เงยหน้าขึ้นมองสตรีตรงหน้า แววตาปรากฏความปรารถนาอ้อนวอน

                   “ถ้าฉันเต้นได้ไม่ดี ก็ต้องขอโทษไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ” เธอพามือเรียวนุ่มนั้นไปสัมผัสกับฝ่ามือของบุรุษตรงหน้า มือของเขาหยาบกระด้างอย่างชัดเจน เธอรู้สึกได้ ชายหนุ่มโค้งให้เธออีกครั้ง เงยหน้าขึ้น แล้วใช้อีกหนึ่งแขนโอบไปที่แผ่นหลังบางของหญิงงามตรงหน้าอย่างแผ่วเบาที่สุด เธอเองก็โอบที่ไหล่กว้างนั้นเช่นกัน และรู้สึกว่ามันแข็งกระด้างไม่แพ้ฝ่ามือนี่เลย

                 “ขอบคุณนะครับ” ชายหนุ่มกล่าว แสงจันทร์เดือนเพ็ญที่สาดลงมา เพิ่มเติมกับโคมไฟประกายสีส้ม ทำให้คนทั้งคู่มองเห็นกันได้อย่างชัดเจนในที่สุด การเต้นรำนอกงานราตรีเริ่มดำเนิน

                 “ขอบคุณเช่นกันคะ” เธอก้มหน้าลงนิ่งเพื่อหลบแววตาคู่นั้น และเมื่อก้มลงไปอีก ก็แทบเหมือนจะซบกับอกของชายตรงหน้า จึงยากที่จะกระทำ ในที่สุดก็ได้แต่เผยดวงหน้างามให้ชายตรงหน้าเฝ้ามอง

                 “อย่าจ้องฉันอย่างนั้นสิคะ” เธอเอ่ย น้ำเสียงดังกังวานกว่าเสียงลมหนาวที่พัดหวือวื้ดข้างแก้วหูเพียงนิดเดียว มันพัดผมยาวนั้นอีกแล้ว และพากลิ่นหอมนวลให้กระทบกับความรู้สึกรับรู้ที่ปลายจมูกตรงใบหน้าคมสันต์ของชายหนุ่ม

                 “ขอโทษนะครับ ผมทำให้คุณผู้หญิงรู้สึกอึดอัดหรือเปล่า” เขาชะงัก แล้วการเต้นรำเหมือนจะสะดุดลง

                    “เปล่าหลอกค่ะ ไม่มีอะไร” เธอพูด อีกแล้ว คนทั้งสองชะงักพร้อมกันเมื่อระลึกถึงคำที่ตนเพิ่งกล่าวออกไปได้

                   “ฮ่ะๆๆ” ทั้งคู่หัวเราะ ส่งยิ้มไมตรีให้กันอีกครั้ง ก่อนที่การเต้นรำที่หยุดไปจะเริ่มอีกครั้งหนึ่ง ยังคงเป็นเช่นนั้นอย่างต่อเนื่อง จนเธอเองรู้แล้วว่าคงไม่สามารถข่มแววตาที่แสดงออกมาของชายหนุ่มได้ และถึงที่สุด ไม่สามารถห้ามใจได้ในบ้างสิ่ง จนต้องหลบสายตาของคนตรงหน้าลงเอง และยิ่งหลบก็เหมือนยิ่งหนี ยิ่งหนี ระยะยิ่งห่างไกลดวงตาก็จริง แต่ทว่าก็ยิ่งสัมผัสแนบชิดใกล้กับแผ่นอกกว้าง กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของเขาถูกทำให้ฟุ้งกระจายโดยสายลมเช่นเดียวกันกับเส้นผมงามของเธอ

                   “คุณผู้หญิงครับ..” กลับกลายเป็นเสียงหนักแน่นของสุภาพบุรุษบ้าง ที่เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน เธอเงยหน้าขึ้น เพื่อรับรู้ถึงเสียงอบอุ่นนั่น แต่ก็ต้องรู้สึกหัวใจหวิว เพราะใบหน้าคมของผิวสีแทนนั่น ขยับเข้ามาใกล้เธอเหลือเกิน ใกล้จนราวจะกระชั้นชิด

                     “อย่า..” เสียงนั้นยิ่งแผ่วลงได้อีก เสียงของเธอ เบาราวกับว่าไม่ได้เอื้อนเอ่ย และแม้ความหมายจะสื่อตามที่พูดบอกไป แต่เธอเองไม่ได้ขยับกายหนีเช่นเดิมที่เคยทำ ในที่สุด.. จุมพิตใต้แสงจันทร์ก็ปรากฏ ดนตรีเดิมยังคงบรรเลงก้องอยู่ ไม่แผ่วผ่อนเสียงลง เช่นเดียวกับแสงจากนภาในยามราตรี ที่มิได้ถูกบดบังด้วยเมฆหมอกแต่อย่างใด มีเพียงลมหนาวเท่านั้นที่ราวกับจะจางหายไป เหลือเพียงความอบอุ่นในดวงใจที่เกิดมีขึ้นแทน

                   “พอเถอะค่ะ คราวนี้ฉันจะขอให้คุณเดินกลับเข้าไปในงาม เหมือนกับที่คุณเคยพูดเสนอ” เธอพูด ดึงร่างกายที่ใจผาดเผลอไปกลับมาอยู่ตามเดิมที่ความคิดสั่งการ น้ำใสในดวงตาเริ่มเอ่ออีกครั้ง ชายหนุ่มเมื่อเห็นดังนั้นจึงปล่อยร่างของสตรีตรงหน้าให้หลุดออกจากพันธนาการเต้นรำอย่างทะนุถนอม เขาโค้งศีรษะเล็กน้อย มองหญิงสาวที่เดินกลับไปบริเวณริมระเบียง เธอหยิบแก้วค๊อกเทลขึ้น แล้วดื่มเครื่องดื่มในแก้วอึกเดียวจนหมด

                     “คุณผู้หญิงครับ.. ขอโทษนะครับ แต่เราคงจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว แม้นั่นจะไม่ใช่ความปรารถนาของผมก็ตาม” ถ้อยคำทิ้งท้ายทำให้เธอหันกลับมา แต่ไม่ปรากฏร่างในเสื้อสูทเรียบร้อยแล้ว มีเพียงกระดาษแผ่นเดียวที่วางเด่นอยู่ตรงพื้นกระเบื้องมันวับ เธอหยิบมันขึ้นมาทันที มันเป็นภาพวาด ภาพหญิงสาวในชุดราตรี ยืนเด่นเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางดวงจันทร์แสนงดงาม ใต้ภาพปรากฏข้อความหนึ่งประโยค ถูกเขียนด้วยลายมือบรรจง

                   “ทำไมกัน…” เธอเผลออุทานออกมา ถือกระดาษแผ่นนั้นไว้ในมือแน่น แล้วกระวีกระวาดวิ่งเข้าไปในงาน เธอใช้แขนของตัวเองป้ายลิปสติกสีแดงสดซึ่งตัดกับผิวขาวราวปุยนุ่นออก อย่างลวกๆ จนมันเละเทอะไปหมด หยิบของบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าลับขนาดเล็กของชุดราตรีสีแดง มันมีลักษณะคล้ายหลอดยา พยายามตามหาชายหนุ่มคนเดิม ทั้งในงาน และที่จอดรถ แต่สุดท้าย ก็ไม่พบ...

                   วันรุ่งขึ้นเธอพบข่าวว่ามีรถยนต์พลิกคว่ำที่บริเวณห่างจากงานเลี้ยงซึ่งเธอพบเขาไม่มากนัก แต่มีเพียงรถ ไม่ได้พบศพของคนขับหรือผู้โดยสารแต่อย่างใด มีร่องรอยของเลือด และอาเจียนอยู่ในบริเวณรถยนต์ จนสุดท้ายตรวจสรุปว่ามันเป็นเรื่องของการเมาแล้วขับ แต่คนขับคงไม่ตาย จึงออกจากรถ และไปในที่อื่นๆต่ออย่างไร้สติ ตำรวจเลยจะเก็บรักษารถไว้ รอคนขับมารับคืน แต่เธอเองรู้ว่าไม่ใช่ อาการอาเจียนเป็นเลือดคืออาการที่เธอคิดไว้อยู่แล้ว มันเป็นอาการของผู้ที่ถูกยาพิษชนิดนี้ ยาพิษที่เธอทาทาบไว้กับริมฝีปากพร้อมกับลิปสติก และคนที่ถูกพิษก็ต้องตายเป็นแน่ หากมิได้รับยาถอนพิษ ยาถอนพิเศษซึ่งเธอมีสำรองไว้หลอดหนึ่ง และอีกหลอดที่ผสมอยู่แล้วในเครื่องดื่มของเธอ ในคืนวานนั้น...

                     หญิงสาวพาตนเองมายืนอยู่หน้าห้องพักแห่งหนึ่ง มันเป็นห้องพักของคนที่เธอคิดจะฆ่า กว่าจะสืบรู้เรื่องทั้งหมดได้จากทะเบียนรถคันนั้น เธอต้องเสียเวลาไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ ห้องพักเก่าๆ กุญแจห้องที่ได้จากการจ่ายเงินให้ผู้ดูแลหอพักอย่างผิดๆอยู่ในมือของเธอ ตอนนี้ คำตอบหลายๆอย่างของชายคนนี้คงจะอยู่เบื้องหลังประตู เธอไขกุญแจเปิดล๊อคประตูออก พาตนเองเข้าสู่ห้อง มือขวาที่ไม่ได้มีกุญแจอยู่แล้ว หากแต่เป็นปืน walther ppk.22สีดำ ในห้องมีเพียงตู้เสื้อผ้า เตียง และโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสาร ปราศจากผู้อาศัย เธอมุ่งหน้าไปกองกระดาษนั้นทันที บนโต๊ะปรากฏภพของเธออยู่ ใต้ภาพมีจำนวนเลขเขียนไว้ หกแสนบาท และเอกสารที่แนบติดภาพ ระบุเวลาของกิจวัตรประจำวันของเธอ ยี่ห้อรถที่ขับ และอีกหลายๆอย่างที่เกี่ยวกับตัวเธอ ข้อมูลเหล่านี้ ไม่น่าจะมีใครรู้ได้แล้ว นอกจากคู่หมั้นของเธอ ทำไมกัน.. เธอลงมือค้นต่อไป พบเจอรูปและเอกสารระบุประวัติของบุคคลอีกหลายคนซึ่งแนบติดไว้กับภาพของบุคคลเหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นนักการเมือง หรือไม่ก็ผู้มีอิทธิพลในสังคม ใต้รูปภาพ หรือไม่ก็ในเอกสารระบุประวัติกิจวัตรประจำวันจะมีตัวเลขเขียนอยู่ทุกคน เป็นจำนวนเงิน ส่วนใหญ่จะเกินห้าแสนบาท จนในที่สุดเธอก็พบรูปของสามีของเธอ แต่แปลก มันไม่มีเอกสารระบุประวัติกิจวัตรประจำวัน และไม่มีตัวเลขระบุจำนวนเงินบนรูปแต่อย่างใด

                       ในที่สุดหญิงสาวก็หรั่งออกมาซึ่งน้ำตา คราวนี้เธอหยุดกลั้นมันไม่ได้อีกต่อไป ใต้กองเอกสารปรากฏกระสุนปืนขนาด .32 มันไม่ใช่กระสุนขนาดที่ถูกใช้งานอย่างทั่วไป แต่ถูกใช้เฉพาะกับมือปืนบางคนเท่านั้น คู่หมั้นของเธอถูกยิงด้วยปืนขนาดเช่นว่านี้ โดยมือปืนคนนี้ ซึ่งเธอตามสืบจนรู้ตัว และวางแผนคิดจะฆ่ามาตั้งนานแล้วด้วยยาพิษ เพื่อให้เหยื่อตายอย่างทรมานที่สุด ให้สาสมแก่การพรากคนรักไปจากเธอ ใช่แล้ว.. คู่หมั้นที่เธอเคยรักมาก แม้ว่าตอนแรกเธอจะรู้ว่าเขาจงใจเข้ามาหาเธอเพียงเพราะความเจ้าชู้ และรู้ว่าเขาเองก็ไม่ใช่คนดีเด่นอะไร เป็นนักการเมืองที่กระทำผิดตลอดเวลา เช่นเดียวกับนักการเมืองคนอื่นๆ แต่เมื่อเขายิ่งเฝ้าตามใจ เฝ้าเอาใจใส่ และคอยพูดย้ำคำสัญญาว่าจะกลับมาเป็นคนดีเพื่อเธอ ยอมเล่าเรื่องงานและเรื่องความลับต่างๆให้เธอฟัง จนสุดท้ายเธอก็ใจอ่อน หลงรักเขา และตกลงหมั้นหมายกับเขา เรื่องมันคงเป็นแบบนี้ เธอเองรู้อะไรเกี่ยวกับเขามากเกินไป บวกกับการที่เขาคงเจอผู้หญิงที่ถูกใจคนใหม่ เลยต้องการกำจัดเธอออกไปจากชีวิต ภาพของอดีตคู่หมั่นที่ถ่ายนั้น เป็นภาพแอบถ่าย เขาอยู่กับหญิงสาวที่ดูสวยและน่ารักกว่าเธอที่ล๊อบบี้โรงแรมแห่งหนึ่ง เนคไทอันนั้นที่เขาใส่เธอเป็นคนซื้อให้เอง และผูกให้ก่อนจะออกจากบ้าน ในวันที่เขาถูกฆ่า

                 เธอวางปืนในมือลงบนโต๊ะทำงานนั้น ห้องมืดมิดเพราะเธอไม่ยอมเปิดไฟ แต่ก็ยังหวังว่าเมื่อเดินผ่านพ้นออกไปจากประตู จะยังคงเจอแสงจากดวงจันทร์ แม้จะไม่เต็มดวงเช่นคืนนั้นก็ตาม ไม่รู้เลย ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าตายหรือยัง แต่ที่รู้ก็คือ จากคำพูดวันนั้น ทำให้เธอรู้สึกได้ว่าจะไม่ได้พบเจอเขาอีกจริงๆ และมันคงเป็นเช่นนั้น เหมือนดั่งความรู้สึกที่รู้สึกได้เมื่อได้พบกันครั้งแรก ความรู้สึกอบอุ่นแบบแปลกๆ ความรู้สึกปลอดภัย แม้จะมาจากคนที่เป็นมือปืนฆ่าคู่หมั้นของตัวเธอเองก็ตาม จนเธอเปลี่ยนใจไม่ลงมือฆ่าเหยื่อ ทั้งๆที่เตรียมแผนการมาพร้อมหมดแล้ว แต่สุดท้ายเหยื่อก็ตัดสินใจบังคับให้เธอลงมือ ทั้งๆที่เขาเองรู้ทุกอย่าง รู้ว่าลิปสติกของเธอเป็นยาพิษ รู้ว่าตัวเองอาจตาย และไม่ได้พบเจอเธออีก และจงใจเดินเข้ามาพบเธอเอง ไม่ได้มาเพราะถูกเธอล่อลวงด้วยเสน่ตามที่เธอคิด หญิงสาวหยิบกระดาษในเดิมออกมาจากกระเป๋าด้านในเสื้อแจ๊คเก็ตที่เธอใส่ อ่านข้อความที่เขียนลงกำกับภาพไว้ ไม่อาจหยุดกลั้นน้ำตาที่ไหลล้นออกมาได้เลย

                     ‘ราวกับฝัน เมื่อได้เห็นแสงจันทร์นั้น ส่องกระทบผิวกายของคุณ..’                    

       

                    

                  

 

  

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา