นึกไม่ออก 18++ (เยาวชนไม่ควรอ่าน)

7.7

เขียนโดย claymask

วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 14.16 น.

  1 ตอน
  5 วิจารณ์
  4,735 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 14.37 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นึกไม่ออก 

(เขียนเมื่อปี 2007)

 


1.
กลิ่นของหนังเทียม ซึ่งเป็นกลิ่นที่ผมคุ้นเคยกระจายไปทั่วห้องแต่ก็ไม่สามารถกลบกลิ่นของ กัญชา
กลิ่นของมันติดตามร่างกาย ลมหายใจ และจิตวิญญาณของผม
ภายในห้องแคบ กว้าง สองเมตร ยาว สองเมตรครึ่ง
แสงไฟจากตะเกียงข้างห้อง ในเวลา เที่ยงคืนดูไม่ว้าเหว่มากเท่าที่คิด
ผมรอเวลาเมื่อถึงตีห้า ตลาดขายส่ง วันเสาร์ ในพื้นที่ สวนจตุจักรกำลังจะเริ่มในไม่ช้า
ผมนึกภาพ พ่อค้าเจ้าใหญ่จากใต้ ที่โทรมาสั่งตั้งแต่กลางสัปดาห์
ลูกค้าจากเหนือ ตัดล๊อตผม เพื่อตัวเองจะนำไปขายส่งอีกที ที่เชียงใหม่
ยังไม่นับลูกค้าต่างประเทศ ที่จ้างวานให้ผม ก๊อปสินค้าและติดยี่ห้อแบรนด์เนม

ผมกำลังมือขึ้น เงินทองไหลมาไม่ขาดมือ
เพียงแต่ความสุขเล็กๆของผม มันอยู่ที่เจ้าวัชพืชประหลาดนี่ต่างหาก
ข้อดีของมันก็มีตั้งเยอะ มันทำให้ผมขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อค้าที่ยิ้มหวานที่สุดในซอย
แต่ก็มักจะคิดเงินลูกค้าผิดๆถูกๆบ่อยๆ

ตลาดแห่งนี้มีสเน่ห์อย่างประหลาดสำหรับตัวผม
บางครั้งผมรู้สึกว่าอยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆ ไม่ใช่เพื่อจะรีบมารับเงิน
ผมชอบมานั่งดมกลิ่นหนังเทียม สินค้าของผม บวกกับกลิ่นของควันกัญชา
แต่เหตุผลมันไม่ใช่แค่นั้นหรอก

"ยศ ยังไม่เสร็จหรอ"
เสียงของ จิ๊บ สาวน้อยที่ติดบ่วงควันของผม เมื่อสามอาทิตย์ที่แล้ว

"จ๋า จ๊ะ รอยศนิดนะ วันนี้พี้หนักไปนิด แต่มันส์จังเลย ของจิ๊บตอดดีจังเลย จ๊ะ"
เวลาเมาผมพูดเพราะเสมอ แถมรู้สึกด้วยว่า ยิ้มในใบหน้าไม่เคยหุบเลย

เสียงเพลงเร็กเก้ จากข้างห้อง ผมจำไม่ได้แล้วว่าเพลงอะไรช่วยกลบเสียง ร้องที่ผิดจังหวะ
เสียงเนื้อกระแทกเนื้อ เสียงการขยับของเสื่อที่ถูไถไปกับพื้นปูน

"จิ๊บเสร็จไปสามรอบแล้วนะ ขอพักแว๊บนึงนะ"
จิ๊บพูดเสียงดังจนผมรู้สึกอายแทนเธอ จิ๊บไม่เหมือนสาวคนอื่นในตลาด
ส่วนใหญ่ทุกคนเวลายุ่งกับผมเสร็จ ก็จะรีบออกไปหลังร้านปิดหน้าปิดตา
เพราะไอ้เพื่อนทะโมนหลังร้านมักจะแกล้งนั่ง แดกเหล้า ดูดบุหรี่ รอดูว่าเป็นแม่ค้าร้านไหนกันที่ออกมาจากห้องสนธยา

ผมนั่งพักบนเก้าอี้ หยิบบุหรี่ที่ยัดไส้กัญชามาจุดดูด
เพิ่งรู้สึกตัวว่าเหงื่อไหลโทรมร่าง ผมยื่นให้จิ๊บหลังจากดูดไป สามครั้ง
จิ๊บส่ายหัว นั่งคุกเข่าเบื้องหน้าผม แยกขาผมให้อ้าออก
พร้อมกับค่อยๆกลืนกิน แก่นกายของผมเข้าไปในปากจิ๊บอย่างช้าๆ
ผมหลับตาคราง ยิ้มอย่างสุขสม ปล่อยควันให้ออกทางจมูกลอยอ้อยอิ่ง

 

2.
ผมนอนกอดจิ๊บบนเสื่อในร้าน ซุกหน้าลงกับหน้าอกของจิ๊บ
สาววัย 19 ที่เริ่มมีชีวิตชีวา และรู้จริตแห่งหญิง พร้อมทั้งผ่านความคาบเกี่ยวเรื่องเดียงสามาแล้ว

"ทำไมพวกแม่ค้าในตลาดชอบมานอนกับมึงวะ ไอ้ยศ"

ผมตอบคำถามเพื่อนเหล่านั้นไม่ได้ บางครั้งผมทึกทักเอาเองว่าผมเก่งเรื่องบนเตียง
จนเพื่อนมักจะชอบอำว่า เจี๊ยวผมใหญ่และยาว
หลังจากการค้นพบในห้องน้ำชาย ตอนยืนเยี่ยว พวกพ้องทั้งหลายก็บอกว่า ขนาดไอ้ยศ แม่งก็ธรรมดาทั่วไป
ผมบอกใช่ วัดตอนแข็งสุดๆ ก็ หกนิ้วครึ่ง หมอยบางเส้นยังยาวเกินเจี๊ยวด้วยซ้ำไป

สาเหตุหลักคงเพราะ ความไว้ใจ ผมคิดเอาเองนะ
ผมมันพวกประเภท กินแล้วเก็บ กินก็กินให้หมด ไม่กินในที่ลับแล้วมาไขในที่แจ้ง
หรือจะเป็นเพราะผม ยิ้มอยู่ตลอดเวลานะ
แต่สาวๆทั้งหลายในตลาด ก็ดูจะพอใจ เมื่อข่าวลือหนาหูมาว่า
เวลาไอ้ยศ นอนกับใครไม่ต้องห่วงหรอก ว่ามันจะมาแฉ เพราะแม่งจำไม่ได้หรอกว่ามัน เอาใคร
แม่งเมาทั้งวันอย่างนั้น

จริงๆผมจำได้นะ
คนแรกนี่ เพ็ญ ขายเสื้อผ้าป่าน ส่งประตูน้ำ
พวกขายเสื้อนี่ลิสต์มาได้เลย อร ที่ขาวๆ นมใหญ่ แต่หัวนมเล็ก
แอน ผิวคล้ำๆ หุ่นดี ขายยีนส์ แฟน ไอ้โจ แต่เสือกนอกใจมามุดมุ้งผม
แอนอีกคน คนนี้ขายอาหารตามสั่ง
วาด, ติ๊ก, เปรียว, ฟ้า และจนมาถึงจิ๊บ ขายกิฟท์ช๊อบ รู้สึกพ่อจิ๊บจะขายข้าวหมูแดงไปอีก สามโครงการ

สิ่งที่ผมชอบมากกว่าตอนเอากัน
ก็ตอนที่ นอนกอดแล้วเอาหัวซุกหน้าอกสาวๆนี่แหล่ะ
มันอบอุ่นดีนะ บางทีผมก็ร้องไห้
แล้วผู้หญิงที่ผมนอนด้วย ทุกคนก็จะเอามือมาค่อยๆลูบหัวผม
เท่านั้นแหล่ะ ผมก็ยิ่งร้องหนักขึ้นไปใหญ่

นี่ละมั๊งความลับที่ผมมีเช่นกัน ผมกับสาวๆ แลกเปลี่ยนความลับซึ่งกันและกัน
ความไว้ใจ เกิดขึ้นเพราะเหตุนี้เองน่ะหรือ คิดแล้วก็น่าเศร้าใจ

หลังๆมานี่ เวลาเอากันเสร็จ สาวๆที่ผมเคยพูดถึงก็ลุกพรวดพราดออกจากร้านไปเลย
บางครั้งก็พาเพื่อนมาด้วย หญิงสอง เสร็จกิจก็หัวเราะกันพักนึง แล้วก็ทิ้งผมไว้คนเดียวเช่นเคย
แต่ผมก็ยังยิ้มเสมอเมื่ออยู่หน้าแสงไฟ ความมืดเท่านั้นที่ทำอันตรายผมได้

จิ๊บลูบหัวผมช้าๆ น้ำตาผมไหลเปื้อนไปที่หน้าอกของจิ๊บ

"วันนี้เราอยู่ช่วย ยศ ขายของนะ"

"คนจะรู้นะ ว่ามานอนกับผม"

"ไม่เห็นเป็นไรเลย"

"แล้วร้าน จิ๊บล่ะ ไม่เปิดหรือ"

"ร้านเราเปิด หกโมงวันนี้ ของที่สั่งมาส่งช้าน่ะ"


เสียงพูดคุยและย่ำเท้าจากภายนอกร้าน ทำให้ผมต้องเหลือบไปมองนาฬิกาที่ข้างฝา ตีสี่ครึ่งแล้วหรือนี่
ไฟในร้านเปิดแล้ว บรรยากาศ การต่อรองซื้อขาย และความคึกคักกำลังมาถึงในไม่ช้า

ผมแขวนของจำพวกกระเป๋าไว้หน้าร้าน รองเท้า พรมหนังสัตว์ เข็มขัด เริ่มทยอยๆนำออกมาสู่สายตาคน
และที่ลืมไม่ได้เลยเชียว ผมฉีกยิ้มกว้าง ปั้นหน้าตาและคำพูดให้น่าเชื่อถือ อ่อนน้อม พร้อมเป็นผู้รับฟังที่ดี

 

3.
จะหกโมงแล้ว คนในซอยยังหนาแน่น
ลูกค้าส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัด ตีรถมาตอนเช้า และจะกลับตอนสายๆ
สินค้าผมเหลือแต่ที่แขวนโชว์หน้าร้าน
จิ๊บถามถึงรูปในกระเป๋าสตางค์ที่ผมพกติดตัว
รูปนึงเป็นรูปพ่อผม ใส่หมวกคาวบอย
อีกรูปเป็นรูปที่ผม ถ่ายคู่ไอ้แต้ม วัวแก่ตัวผู้ ตอนนั้นผมเด็กมาก แต่จำได้ว่าผมติดไอ้แต้มมากทีเดียว
พ่อผม เป็นคนอ่อนน้อม ใจดี เพียงแต่ พ่อจะจริงจังมากในวิชาชีพของพ่อ
แกขายเครื่องหนัง อย่างผมนี่แหล่ะ เพียงแต่ พ่อผมจะทำแต่หนังแท้
วิชาได้รับสืบทอดมาจาก บรรพบุรุษ พ่อสอนผมทั้งการแล่ขน ขูดขน แช่น้ำยา
แม้กระทั่งการใช้กระโจมรมควันให้ สีและลายของหนังแท้ มันออกมาชัด
พ่อไม่เคยทำข้ามขั้นตอน และไม่รีบร้อนจนคุณภาพของสินค้าเสียหาย

ผมจำได้ภาพสุดท้ายของ ไอ้แต้มคือตอนที่ หนังของมันถูกแผ่ออกมากว้างถึง สี่เมตรกว่าๆ
ชาวต่างชาติรายหนึ่ง ประมูลหนังของมันไปด้วยราคาสูง
ผมร้องไห้ เสียงดังจนพ่อต้องเข้ามากอดผม แล้วบอกว่า แต้มมันแก่แล้วลูก
ผมนึกไม่ออกว่า ผมอยู่ในกรรมวิธีการทำหนังของมันด้วยรึปล่าว แต่สาเหตุที่ตายก็คงอย่างที่พ่อว่า

"แล้วไม่มีรูปแม่หรือ?"


ผมหันไปมองหน้าจิ๊บ รอยยิ้มบนใบหน้าของผมจางหายไปราวฝนหลงฤดู
เป็นเวลาเดียวกันกับที่ จิ๊บร้องบอกผม เพื่อเปลี่ยนบทสนทนา

"หลวงพี่มาแล้ว ลืมไปเลยว่าหลวงพี่ มาทุกอาทิตย์"

ผมเห็นแล้วล่ะว่า หลวงพี่ที่จิ๊บพูดถึงมา
ท่าน หรือ เขา มาทุกอาทิตย์นั่นแหล่ะ ผมขอใช้คำว่าเขาแล้วกันนะ เพราะผมไม่คิดว่าเขาคือพระ จริงๆ
ในบาตรของเขาจะมีข้าวมันไก่ ร้านแถบๆนี้ใส่ให้เห็นปริ่มๆบาตร ทุกครั้ง นัยว่ามีคนทำบุญเขานะ ทำไมพวกคุณไม่ทำบุญตักบาตรกัน
เขามักจะเดินเบียดเข้ามาในซอยแคบๆ ผ่านทั้งผู้ชาย ผู้หญิง ไม่ให้ซุ่มให้เสียง บางทีก็จงใจที่จะเบียดให้โดน
พอเดินมาถึงร้านที่มีแนวโน้มทำบุญ เขาก็จะหยุดหัน บาตรและตัวไปทิศทางในร้าน รอโยมทั้งหลายใส่ปัจจัย
และแน่นอน เขา ไม่เคยแวะมาหยุดหน้าร้านของผม กลิ่นในร้านผมไม่ชวนทำบุญละมั๊ง

จิ๊บไปหาอาหารคาวหวานมาจาก ร้านอาหารตามสั่งแถวๆนั้นอย่างรวดเร็ว
และเป็นครั้งแรกที่ เขา มาหยุดหน้าร้านผม
"นิมนต์ค่ะ หลวงพี่"
จิ๊บใส่อาหารลงไปในบาตร

'อภิวาทนสีลีสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ'

บ๊ะ ไม่เลวโว๊ย ท่องได้จริงๆด้วย
รอยยิ้มของผมหายไปจากใบหน้าอีกครั้ง บอกตรงๆว่าผมไม่ค่อยชอบการหากินอย่างนี้ว่ะ อยากลองดียังไงไม่รู้

"หลวงพี่ครับ บังเอิญวันนี้ วันเกิดแฟนผมด้วยน่ะครับ อวยพรด้วยได้ไหมครับหลวงพี่"

จิ๊บหันมามองผม งงๆ

'อายุโท พะละโท..................................ยัตถูปะปัชชะตีติ'

จิ๊บไหว้รับพร ผมก็ไหว้ด้วย พร้อมกับยอมรับในความสามารถของเขากลายๆ
ท่าทีเขาดูสำรวม นิ่งและสุขุมยิ่งนัก จนผมเกือบจะคิดว่าเขาเป็นพระจริงๆ

เขาเดินห่างออกไปแล้ว จิ๊บต่อว่าผมว่า ไปหลอกพระทำไม

เขาหันกลับมามองที่ผมช้าๆ พร้อมแสยะยิ้ม
ไม่ใช่การแสยะยิ้มของพระแน่นอน

ผมมองตาเขานิ่ง และถุยน้ำลายลงพื้น

 

4.
หลายปีผ่านไป เศรษฐกิจขึ้นลงตามสภาพ
ผมพยายามประคองตัวตั้งแต่ยุคฟองสบู่แตก สมัย เชาวลิต
จนมาถึงยุค ปฏิวัติ หรือจะ รัฐประหารอะไรก็แล้วแต่
โรงงานฟอกหนัง และเย็บหนังปิดตัวลงอย่างรวดเร็วหลายโรง
หลายปีผ่านไป ผมไม่เคยเห็น เขา หรือ หลวงพี่มาป้วนเปี้ยนแถวๆซอยผมอีกเลย
หรือเขามานะ แต่ผมจำไม่ได้ หลังๆมานี่ ผมพี้กัญชาจัดเหลือเกิน
พี้จนกระทั่งรอยยิ้มบนใบหน้า จางหายไปทุกที

เพื่อนๆหลายคน หันไปเล่น ไอซ์ เล่นยาอี ยาบ้ากันหมดแล้ว
โดยให้เหตุผลว่า มันศิวิไลซ์กว่ากันเยอะ
แดนศิวิไลซ์ อยู่ไหนหนา?

ส่วนจิ๊บ เธอดูดน้ำหวานและความกล้าของผม ไปเป็นของตัวเธอเองจนหมด
จิ๊บเปิดร้านผลิตภัณฑ์หนัง ขึ้นมาหนึ่งร้านหลังจากเรียนรู้จากผมหมดไส้หมดพุง
เธอเป็นคนเก่ง และคล่อง
ผมจำไม่ได้แล้วน่ะว่าเธอเคยชวนผมเป็นหุ้นส่วนหรือปล่าว
เธอดูแลผมอย่างดีน่ะแหล่ะ ตอนผมเข้าโรงพยาบาล ไร้สติ
แต่ผมก็ยังด่าเธอว่า อีดอก เธอร้องไห้แต่ก็ยังเช็ดหน้าเช็ดตาผม ให้บนเตียงคนไข้

ร้านผมเริ่มจะขาดทุนก็ตั้งแต่ บริษัท ฮาเล่ห์ เดวิดสัน สืบรู้ว่าผมนี่แหล่ะ เจ้าใหญ่ในการก๊อบปี้มัน
มันเตือนผมมาก่อนหน้านี้ครั้งนึงแล้วน่ะ
แต่ผมเฉื่อยชามากเกินไป หรือช้าเกินไปที่จะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะตามมาในไม่นาน
ผมถูกล่อซื้อ โดยการสั่งออเดอร์ปลอมให้ผลิต
ล๊อตใหญ่เสียด้วย หมวกหนัง สองหมื่นชิ้น รองเท้าหนัง ห้าหมื่นชิ้น
จากลูกค้าเก่าผมที่หายหน้าไปนาน
ทำไมผมไม่เอะใจนะ

ในที่สุดก็โดนจับได้ที่โรงงาน มันคิดค่าเสียหายในการก๊อปปี้ เป็น ยูเอสดอลล่าซะด้วย
ผมบอกจำนวนที่แน่นอนไม่ได้ แต่เอาเป็นว่า ผมขายโรงงาน สองโรงงาน
ขายสินค้าในสต๊อกจนหมด ปล่อยเซ้งแผงขายของที่สวน ไปสามแผง
จนเหลือแผงที่ผมใช้ขายของ เป็นแผงสุดท้าย ยังติดหนี้มันอยู่ ล้านกว่าๆ

จิ๊บก็ใจดี ให้ของผมมาหมุนขายก่อน แล้วค่อยเอาไปเคลียร์

"ผมขอหุ้นกับจิ๊บได้ไหม?"

จิ๊บโชว์ให้ดูแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย และพร่ำบอกกับผมด้วยน้ำตาว่า เธอรอผมมา เจ็ดปี และคิดว่ามันยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์

"ผมขอโทษจิ๊บ ผมจำไม่ได้เลย..............ผมจำไม่ได้เลย.."
คราบและกลิ่นของกัญชา ติดแน่นฝังจนผมสูญเสียอะไรไปหลายๆอย่างโดยไม่รู้ตัว


ลูกค้าผมเริ่มหายไปทีละคนสองคน ความน่าเชื่อถือผมลดลง
หน้าตามู่ทู่ ยุ่งเหยิง น้ำไม่อาบ ผมไม่ตัด
และเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนในวันเสาร์ ผู้หญิงที่เคยมีมาไม่ขาด ก็หมดไป

"ช่วยน้าได้ไหม ยศ คืนนี้ น้าเหงา"
น้านวล ขายหมูปิ้งรถเข็น แกเป็นม่ายมานานแล้ว
แกอ้วนฉุ เพราะกินเยอะ หน้าตาเป็นกรำแดดและฝน ไม่มีส่วนไหนที่น่าพิศมัยเอาเสียเลย

"ได้น้า.....ห้าร้อย นะ"

น้านวลมองผมนิ่งไปพักนึง และกระซิบบอกผม

"ได้ แต่ยศเลียให้น้าด้วยนะ มีคนบอกว่า ยศเลียเก่ง"
.
.
.
.
.
.
.

คืนนี้ผมดีใจที่ไฟมืด เป็นคืนแรกที่ผมแลกตัวด้วยเงิน
น้านวลนอนรอผมที่เสื่อ เงาของน้าคลับคล้ายคลับคลากับใครคนนึงที่ผมนึกไม่ออก

ผมอัดบุหรี่ใส่ไส้ไป สามที
เผลอไปนึกในคำพูดของ จิ๊บในคราวนั้น
"แล้วไม่มีรูปแม่หรือ?"


มันเป็นครั้งแรกที่ผมเข้ากรุงเทพมาใหม่ ตามประสาวัยรุ่นคึกคะนอง
เพื่อนพาไปเที่ยวซ่องประตูน้ำพระอินทร์
เราเมากันมาก ผมบอกให้แม่บ้านในละแวกนั้นช่วยเลือก สาวมีประสบการณ์ให้ผมซักคน


เมื่อเข้าไปในห้อง ไฟมืด
ผู้หญิงร่างใหญ่คนนึง นอนคอยอยู่
ผมขอให้เธอเปิดไฟได้ไหม ผมอยากเห็น
เธอตอบ ได้สิ

เมื่อไฟเปิด เธอมองมาที่หน้าของผม ซึ่งผมก็มองไปที่หน้าของเธอ เรามีส่วนผสมที่คล้ายคลึงกันอยู่มาก
เพียงแต่ผมเป็นผู้ชาย และเธอเป็นผู้หญิงแค่นั้นเอง

"นั่นยศใช่ไหม?"


เธอพูดจบ ผมวิ่งออกจากห้อง วิ่งหนีเพื่อนกลับที่พักโดยไม่บอกกล่าว
และเมาจนคิดไปเองว่ามีเสียงลอยมาตามลมพูดว่า
'นั่นลูกใช่ไหม?'

 


5.
สวนจตุจักรเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ร้านค้าทั้งหลายเริ่มได้รับผลกระทบด้วยสินค้าจากจีน
และจากการตัดราคากันขาย ตอนเช้าวันเสาร์ถ้าคุณมาดูที่ตลาด
จะเห็นว่าร้านไหนที่ไม่เปิด ก็จะมีคนมาแขวนกิ่งสินค้า ยื้อแย่งที่ทำกิน
จากวันที่โชติช่วงราวดวงอาทิตย์ ผมกลายเป็นความมืดและซอกหลืบที่คนไม่สังเกต
เพื่อนฝูงไม่คบหา บ้างก็นั่งหัวเราะ หรือร้องไห้อยู่คนเดียว
สินค้าที่ยืมมาขายจากจิ๊บก็ขายไม่ดี จิ๊บเริ่มเปลี่ยนเป็นบินไปรับของจากจีนมาขาย

ช่างเย็บหนังทั้งโรงงาน มาทวงค่าแรงที่ผมค้างไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว จนผมต้องตัดใจเซ้งร้าน
แปดโมงแล้ว ผมเริ่มเก็บของช้าๆ อยากดูดกัญชา แต่เวลาไม่เหมาะสม ลูกค้าปลีกเริ่มเดินกันแล้ว

'ไง นายคือลูกชายคาวบอย ใช่ไหม หาร้านตั้งนาน'

ลูกค้าฝรั่งเดินมาตบบ่าผม ผมนึกหน้าเขาไม่ออก
เขาหยิบหนังขึ้นมาชิ้นนึง มันเก่ามากแล้ว ยื่นให้ผม
มันเป็นหนังแท้ ที่ผ่านกรรมวิธีที่ละเอียดหลายขึ้นตอน

'พ่อนายทำสิ่งที่มหัศจรรย์สำหรับ วงการนี้ไว้มากนะ โดยเฉพาะหนังผืนนี้'

ผมนึกออกแล้ว หนังผืนนี้คือหนังของ ไอ้แต้ม วัวที่ผมรักมากตอนเด็ก

'นายจับสัมผัสดูนะ บอย สัมผัสมันไม่ใช่การฟอกในสมัยนี้ เราไม่รู้ว่าพ่อนายใช้วิธีไหน แต่เราเชื่อว่า นายรู้แน่ บอย'

ผมบอกเขาไปว่าผมชื่อ ยศ อย่าเรียก บอย ไม่ใช่เด็กแล้ว
ผมถามถึงจำนวนชิ้นที่เขาต้องการ

'สามร้อยชิ้น ชิ้นละตัวนะ ยศ หนักเอาการอยู่ ถ้าเป็นหนังแท้ ไอรู้ว่า แต่ละตัวใช้เวลาทำนานมาก สามเดือนยูทำเสร็จไหม'

"ผมไม่รับปากนะ คุณทิ้งเบอร์ไว้ ผมต้องหาขั้นตอนการฟอกก่อน ว่าทำไมสัมผัสมันเป็นอย่างนี้ ที่รู้ๆไม่ใช่ ฟอกโครม กับ ฟอกฝาดแน่ๆ"


ผมลืมการสนทนาในวันนั้นเพราะมัวแต่ เก็บของออกจากสวน และไม่ใส่ใจนัก
ผมถังแตก ถูกฟ้องล้มละลาย จ่ายหนี้ท่วมหัว
จนคนที่เซ้งร้านแนะนำให้ผม ไปกู้นอกระบบ เขารู้จักอยู่คนนึง ใจดีแต่ค่อนข้างนักเลง
.
.
.
.
.

"ขอพบเสี่ยเท่งครับ"

ชายในชุดซาฟารีสองคนพาผมเข้าไปในตัวบ้าน
จนพบกับเสี่ยนั่งดูดซิการ์ ใส่แว่นดำ เขาใส่เสื้อฮาวายสีแดงสด ไว้หนวดดูเอาเรื่อง

"เสี่ยครับ คือ ผมมาขอเสี่ยกู้ จะเอาไปทำทุนธุรกิจน่ะครับ"

"คุณทำธุรกิจอะไรหรือครับ" เสี่ยยังไม่มองมาที่ผม แต่เลือกที่จะส่องดูพระด้วยแว่นขยายเฉพาะ

"เครื่องหนังครับ ขายอยู่ที่สวน เมื่อก่อนมีโรงงาน เดี๋ยวนี้ปิดหมดแล้วครับ"

เสี่ยเท่งถอดแว่นตาออก หันมามองที่ผม

และผมก็มองหน้าเสี่ยเท่งนิ่ง ผมจำเขาได้แล้ว

เมื่อจำได้ ผมก็เริ่มแสยะยิ้ม ให้เหมือนกับที่เขาแสยะยิ้มให้ผมในวันนั้น

เช่นเดียวกันกับเสี่ยเท่ง เมื่อเห็นยิ้มที่แสยะของผม เขาก็ทำแบบเดียวกับที่ผมทำวันนั้น
คือถุยน้ำลาย เพียงแต่น้ำลายไม่ได้ถุยลงที่พื้น

แต่มันพุ่งเข้ามาที่หน้าของผม

 


6.
ต้องขอบคุณเสี่ยเท่งที่การพบปะในครั้งนั้น ทำให้ผมคิดธุรกิจได้บางอย่าง
เป็นสิ่งที่ผมเคยเกลียดเข้าไส้ แต่ผมไม่มีทางเลือก
เงินที่มีอยู่น้อยนิด ผมเจียดไปซื้อจีวร บาตร ขมิ้น บทสวดที่สำคัญ เปลือกไม้ใช้ย้อมจีวรให้ดูเก่า รวมถึง กัญชาแห้ง

หลังจากโกนหัว โกนคิ้ว ทาขมิ้นแล้ว ผมรออีกสี่วันก็จะถึงวันเสาร์
เวลาถมไปที่จะย้อมจีวร ผมนั่งดูดกัญชาอย่างอารมณ์ดี หัวเราะในบางเรื่องที่ไม่น่าหัวเราะ และร้องไห้ในบางเรื่องที่ไม่น่าร้องไห้
.
.
.
.
.
.

ผมเดินตั้งแต่ตีห้า ไม่มีคนตักบาตรเอาเสียเลย
ได้รับรังสีจากดวงตาของผู้คน ที่มองด้วยความรังเกียจ
แรกๆผมลังเลที่จะเดินผ่าน ร้านค้าของ ผู้หญิงที่ผมเคยผ่านมา
แต่เมื่อบาตรยังว่างปล่าว ขาผมก็สั่งการให้ก้าวเดินไป

ผู้หญิงบางคนมองผมแล้วทำท่านึกไม่ออก แต่ถึงแม้จะนึกออก
เธอเหล่านั้นก็จะทำเป็นไม่รู้จักผม ผมพยายามส่งสายตาวิงวอน เธอเหล่านั้นหลบสายตาและตะโกนขายของด้วยเสียงอันดัง

ผมเดินเลี่ยงคนไปในที่มืด ควักบุหรี่สอดไส้ขึ้นมาสูบ
แปลกผมไม่รู้สึกว่ามึน ผมจึงจุดดูดไปเรื่อยๆ จนหมดไปเกือบซอง

ที่นี่ที่ไหนนะ?

ผมมองไปที่บาตร คลับคล้ายคลับคลาว่าผมต้องหา วิธีการฟอกหนังให้ลูกค้าไม่ใช่หรือ?

ผมเดินตัดโครงการคิดอยู่ในหัวอย่างสงบ
พ่อทำยังไงนะ? ถึงฟองหนังให้มีสัมผัสได้อย่างนั้น

"นิมนต์ครับท่าน"

เสียงชายแก่พูดกับผม พร้อมก้มหัว
ผมก้มดูตัวเอง เสื้อผ้าที่ใส่ ลูบไปที่หัว

"ท่านจะไม่เปิดบาตร หรือครับ?"

เปิดบาตร?

เปิดหัว?

สมอง........สมองวัว แช่น้ำร้อน ลวกจนสุกนิ่มคล้ายๆเต้าหู้ แล้วค่อยบี้เป็นชิ้นเล็กๆ ลงในอ่างใหญ่
นำหนังลงไปแช่พร้อมเปลือกไม้ตามสูตรของตระกูล แล้วใช้แปรงถู เสร็จแล้วจึงนำไปก่อเป็นกระโจมโดยใช้ไม้ค้ำยัน แล้วจุดไฟให้เป็นควัน

'ยศ ช่วยพ่อประคองหัวไอ้แต้มที นิ่งๆนะ'

'แม่เขารับไม่ได้ไอ้วิธีการ บ้าๆนี่แหล่ะ แต่มันคือจุดสูงสุดของวิชาชีพนี้แล้วล่ะ ยศเอ๋ย'

'จริงๆแล้ว แม่เขาหนีตามไอ้หนุ่มหนังกางแปลงเข้าเมืองหลวงไปแล้วลูก'

'หมอเสียใจด้วยครับ เราช่วยพ่อคุณไว้ไม่ทัน'

'ยศนั่นลูกใช่ไหม?'

'ไม่มีรูปแม่เก็บไว้หรือ?'

 

ชายแก่หยิบข้าวมันไก่ รอผมเปิดบาตรอยู่นาน จึงเอ่ยถาม

"หลวงพี่ มาจากวัดไหนครับ?"

"................"


"แล้วหลวงพี่จะไปไหนครับเนี่ย?"

"..............."


"หลวงพี่เป็นพระแน่หรือครับ หลวงพี่เป็นใครกันแน่ครับ?"


"เรานึกไม่ออก"
ผมตอบออกไปแล้ว ความรู้สึกโล่งและปรอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
สายลมวูบหนึ่ง พัดมาปัดเป่าความรู้สึกที่ถับถมทั้งหมดทั้งปวงของผมออกไปจากสมอง


ชายแก่ตาเบิกโพลง ระงับอาการตื่นเต้นจนสุดระงับก่อนพูดว่า

"รู้ไหมครับหลวงพี่ พระปลอมเดินกันเกลื่อนสวน ทำไมผมจะไม่รู้ ผมเห็นเขาไม่มีกินก็ทำบุญไป เรามีเราก็ให้
ได้บุญในใจ เพียงแต่ พอฟังคำตอบจากหลวงพี่แล้ว เป็นคำตอบที่เป็นปริศนาธรรม และเป็นผู้ที่รู้จริง ผมนับถือครับหลวงพี่
ขอให้ผมได้ถวายปัจจัยหลวงพี่ นะครับ ผมเจอของจริงแล้ว หลวงพี่รอซักครู่ครับ"

ชายแก่หันไปพับกระดาษให้เป็นซองดูเรียบร้อย
ล้วงหยิบเงินออกมาเพื่อใส่ ทำบุญ

เพียงแต่เมื่อหันกลับมา ชายแก่มองเห็นแค่เพียง บาตร และ จีวร ของหลวงพี่เท่านั้น

 

.

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา