ลิลลี่ จดหมายถึงเธอ

7.7

เขียนโดย กระโปรงสีฟ้า

วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.05 น.

  1
  5 วิจารณ์
  3,816 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 12.11 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

   เคยมีคำกล่าวว่า “ผู้หญิงจะสวยที่สุดในวันที่เธอสวมชุดแต่งงาน” แต่สำหรับผมแค่ผมรักเธอ เธอก็สวยงามที่สุดในชีวิตของผมแล้ว “ลิลลี่” ผู้หญิงที่ผมคุกเข่าและขอให้เธอใช้ชีวิตร่วมกับผมโดยมีของแทนความรู้สึกของผมที่มีให้เธอ คือ แหวนดอกหญ้า และมงกุฎดอกลิลลี่ ในวันที่ท้องฟ้ามีสายรุ้งพาดผ่านเธอตอบรับคำขอของผมใต้ต้นไม้เก่าแก่ของหมู่บ้าน  นั่นเป็นวันที่ผมคิดว่าคงมีความสุขที่สุดแล้ว แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ เพราะวันที่ผมมีความสุขยิ่งกว่าก็คือวันที่ผมได้สวมแหวนแต่งงานให้เธอในพิธีแต่งงานท่ามกลางสักขีพยานภายในหมู่บ้าน ครอบครัวลุงบ๊อบ ตาเฒ่ามอนเดรกกับคุณยายเกรวี่ภรรยาของแก ครอบครัวคุณหนูเชอริส รวมไปถึงเพื่อนบ้านหลาย ๆ คนในหมู่บ้านต่างมาร่วมแสดงความยินดีกับการแต่งงานของเราสองคน ในช่วงเวลาที่ผมและลิลลี่จับมือกันไว้ในขั้นตอนพิธีการสาบานตน เราสื่อถึงกันได้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไป และผมก็ยึดมั่นในคำสัญญานั้นตลอดมา

   ช่วงเวลาหลังจากวันแต่งงานผมพาลิลลี่ไปที่บ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้ลักษณะเหมือนบ้านริมชายทะเลแต่ทว่ามันไม่ได้ตั้งอยู่ที่ชายฝั่ง  ผมบอกให้เธอที่กำลังหลับตาอยู่ค่อยๆลืมตาขึ้น เธอเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอกุมมือทั้งสองข้างของเธอไว้ที่หน้าอกและหันมาพูดกับผมเบา ๆ ว่า “ขอบคุณค่ะ” ลิลลี่ชอบหนังสือภาพมาก เธอฝันอยากจะไปท่องเที่ยวนอกหมู่บ้านที่ไม่มีทะเลของเธอ เธออยากเห็นทะเล ในหนังสือรวมภาพของทะเลมีภาพบ้านหลังหนึ่งลักษณะเป็นบ้านริมชายหาดถูกตกแต่งสไตล์สบาย ๆ ด้วยสีฟ้าคราม และสีขาว ผมเลยตัดสินใจเก็บเงินจากการทำงานทั้งชีวิตของผมมาสร้างบ้านหลังนี้ให้เราทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มันคงดีไม่ใช่น้อยถ้าเราจะช่วยเติมเต็มความฝันของกันและกัน แต่ไม่นานความฝันของผมก็พังทลายลงเมื่อมีจดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งมาที่บ้านของผม

       “จดหมายราชการเร่งด่วนถึงพลทหารฌอง ชาร์ล

              เนื่องด้วยประเทศของเรากำลังตกอยู่ในสภาวะการทำสงคราม

     จึงขอความร่วมมือให้ พลทหารฌอง ชาร์ล มาประจำการที่ศูนย์บัญชาการชายแดนด้วย”

 ผมได้รับคำสั่งจากศูนย์บัญชาการชายแดนให้ไปประจำการเพื่อเตรียมพร้อมกับการทำสงครามกับต่างชาตินั่นเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันที่สุดในชีวิตของผม ผมเพิ่งจะเริ่มใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ผมรักได้เพียงไม่นานและมันจะต้องชะงักเนื่องด้วยสงคราม เย็นหลังจากที่ได้รับจดหมายฉบับนั้นแม้ว่าซุปเห็ดของลิลลี่จะอร่อยแค่ไหนแต่ผมกลับไม่ได้ตักกินแม้แต่คำเดียว ผมมองหน้าลิลลี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผมเธอยังคงทำตัวเป็นปกติเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอยังคงตักซุปทานอย่างช้า ๆ พร้อมกับจ้องมองใบหน้าของผมและยิ้มให้

“ทุกอย่างจะต้องเป็นไปได้ด้วยดี ฉันเชื่ออย่างนั้น”  นี่เป็นประโยคที่ผมสื่อสารได้กับเธอผ่านทางสายตาและรอยยิ้ม ไม่นานผมก็รู้สึกว่าดวงตาของผมพร่ามัวไปหมดเหมือนกระจกที่โดนหยดน้ำฝนบดบังทัศนียภาพ มีน้ำสองสามหยดหยดลงช้อนที่วางอยู่ข้าง ๆ จานซุปของผม  

“ซุปของฉันข้นไปหรือคะ? คุณไม่ต้องเติมน้ำลงไปก็ได้นะ” ลิลลี่ เห็นหยดน้ำสองสามหยดไหลลงจากตาของผมหล่นลงไปในซุป เธอจึงเปรยด้วยรอยยิ้ม ทำให้ผมอดยิ้มกับรอยยิ้มของเธอไม่ได้เลยเสียจริง ๆ

    เหมือนฟ้าเล่นตลกเสียนี่กะไร ผมคิดเช่นนั้นตลอดระยะเวลาที่ผมจะต้องนับถอยหลังสู่วันพิพากษาชีวิตผมทั้ง ๆ ที่ชีวิตผมควรจะผลิบานสวยงามเหมือนดอกไม้ในฤดูนี้ แต่กลับต้องมาเหี่ยวเฉากลายเป็นใบไม้แห้งกรอบในฤดูใบไม้ร่วง มันช่างทรมานใจเหลือเกิน  ในเช้าก่อนวันที่จะต้องออกเดินทางอาหารเช้ายังคงถูกจัดวางอย่างเรียบง่าย ทั้งสตู ขนมปัง และแยม ทุกอย่างจัดวางเหมือนเดิม ตรงหน้าของผมก็มีภรรยาที่กำลังนั่งรอผมทานอาหารของเธออย่างใจจดใจจ่อ  

“พรุ่งนี้ผมจะไปแล้วนะ” ผมพูดกับเธอเบา ๆ และค่อย ๆ ลากเก้าอี้มานั่ง

“ค่ะ จัดของหรือยังคะ ? ให้ฉันช่วยไหม ”

      ผมเงียบสักครู่เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว ทำไมเธอถึงดูไม่ทุกข์ร้อนกับการไปของผมเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษหลังจากอาหารเช้ามื้อนั้น ในตอนเย็นเราก็ทานอาหารกันปกติแต่เข้านอนเร็วกว่าทุกวันสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ที่ผมไม่ค่อยจะพึงปรารถนานัก

      เช้าวันต่อมากระเป๋าสัมภาระและชุดทหารของผมเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง ผมสวมหมวกทหารใบเก่งที่เพิ่งถูกทำความสะอาดมาอย่างดี ลิลลี่บรรจงปัดเศษฝุ่น เศษผงที่ติดอยู่บนชุดทหารของผมระหว่างที่เรากำลังร่ำลากันในสถานีรถไฟ หน้าโบกี้เกือบสุดท้าย รอบข้างผมมีแต่เสียงร้องไห้ของคนผู้เป็นที่รักของรั้วของประเทศอย่างเรา “ไม่อยากให้จากไป” ครอบครัวพวกเขาก็คงคิดเช่นนี้ มีเพียงลิลลี่เท่านั้นที่มีสีหน้าแจ่มใสเหมือนวันแรกที่เราได้พบกันที่ร้านหนังสือ รอยยิ้มที่เหมือนกับสวรรค์ในวันนั้นมันจะกลายเป็นเพียงความฝันของผมไปแล้วรึเปล่านะหลังจากวันนี้ไป ?

“ดอกแกลดิโอลัส ?!” มีดอกไม้ดอกหนึ่งถูกเสียบอยู่ในกระเป๋าเสื้อของผมสีมันช่างขาวบริสุทธิ์  เป็นดอกไม้ที่มีชื่อว่า “แกลดิโอลัส”

“รักษามันให้ดี ดอกไม้นี้เป็นคำสัญญา” ลิลลี่เอามือทาบที่กระเป๋าเสื้อของผมเธอมองตาผมด้วยความเชื่อมั่นที่สะท้อนออกมาจากดวงตาสีฟ้าของเธอ

“คุณไม่เคยผิดสัญญา เพราะฉะนั้นโปรดนำคำสัญญานี้กลับมามอบให้ฉัน” เมื่อลิลลี่พูดจบเสียงนกหวีดของพนักงานทางรถไฟก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณที่เตือนว่ารถไฟกำลังจะเคลื่อนออกจากชานชาลา ผมไม่ได้พูดอะไรกับลิลลี่หลังจากนั้นมีเพียงแค่การกอดลาเป็นครั้งสุดท้าย ผมไม่กล้าจะบอกว่าผมสัญญา ไม่กล้าแม้แต่จะคิด ไม่กล้าจริง ๆ

     มองจากหน้าต่างรถไฟขบวนนี้สิ่งที่ผมกำลังจากมาดูเป็นภาพที่เล็กลง ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็หายลับไปจากสายตาของผม ผมเลิกชะเง้อหน้าออกไปนอกหน้าต่าง หันกลับมามองเพื่อนที่นั่งตรงข้ามเก้าอี้ ในที่นี้คงไม่ใช่เพื่อนของผมจริง ๆ แต่ไม่นานเราก็คงต้องเป็นเพื่อนกันแม้ว่าจะไม่เต็มใจนัก  เพื่อน…เพื่อนร่วมรบ

“นายมาจากหมู่บ้านไหน? ” คิดยังไม่ทันจะลืม ว่าที่เพื่อนของผมก็เริ่มบทสนทนากับผมทันที

“หมู่บ้านที่สิบ” ผมตอบแบบส่ง ๆ และไม่มองหน้าของเขาอีกด้วย

“ฉันมาจากหมู่บ้านสอง ชื่อ “เบร็ก” ยินดีที่ได้รู้จัก” ในที่สุดผมก็ได้เป็นเพื่อนกับเจ้าหมอนี่จริง ๆ

“ฉัน “ฌอง” ยินดีที่ได้รู้จัก” มือของเราสองคนได้จับกันในที่สุด แน่นอนว่าผมว่าเจ้าหมอนี่จะต้องเป็นชาวสวนแน่ ๆ มือด้านเหมือนในทุก ๆ วันของเขาไม่เคยละมือจากจอบหรือเสียมเลย

   และจากเหตุการณ์วันนั้นก็ทำให้ผมมีเพื่อนร่วมรบคนแรกก็คือ “เบร็ก” นั่นเอง

    ช่วงเวลาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์บัญชาการชายแดนมันช่างยาวนานเหลือเกินหนึ่งวันที่เราอยู่ที่นี่นานขาดใจเหมือน 1 เดือน เราต้องอยู่ที่นี่เพื่อวางแผนการรบและจัดกองกำลัง รวมถึงยุทธศาสตร์ในการรบ จากหน่วยข่าวกรองลับของราชการทำให้ได้รู้ว่าพวกศัตรูต้องการจะบุกยึดเขตการปกครองที่สำคัญของชายแดนซึ่งถ้าถูกยึดประเทศของเราจะต้องสั่นคลอนไปทั้งหมด เพราะเมืองนั้นเป็นเมืองที่สำคัญทั้งทางการเกษตร เหมืองแร่ และเป็นท่าเรืออีกด้วย  ผมถูกจัดแจงหน้าที่ให้เป็นทหารหน่วยปฏิบัติการรบ หรือเรียกตามภาษาที่เราเข้าใจกันได้ง่าย ๆ ก็คือ หน่วยกล้าตาย แม้ความจริงเราจะกล้าตามหรือไม่

  “อดัม” เพื่อนร่วมอุดมการณ์รบ(แบบไม่เต็มใจ)นายหนึ่งมักจะอ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเสมอก่อนที่เพื่อนร่วมเต้นท์จะดับตะเกียง  เขาบอกกับผมเสมอว่าเพียงแค่เชื่อเท่านั้นเราก็จะผ่านเรื่องต่าง ๆ ไปได้ด้วยดี สิ่งที่เขาเชื่อคือเขาจะได้กลับบ้าน บ้านที่มีน้องสาวที่รอให้เขาเล่านิทานให้ฟังก่อนนอน บ้านที่มีพ่อที่แก่ชรารอให้เขากลับไปดูแล บ้านที่มีสวนดอกไม้ของแม่ที่จากไปที่เขาจะต้องคอยรดน้ำ เขามีความเชื่อว่าเขาจะต้องกลับไป 

“ทำไมนายถึงได้พกดอกไม้เหี่ยว ๆ ดอกนั้นไปไหนต่อไหน ?” ในระหว่างที่ผมกำลังสะอิดสะเอียนกับสตูรสชาติแสนห่วยของครัวในกองทัพ อดัมก็มองมาที่กระเป๋าเสื้อของผมที่มีดอกแกลดิโอลัสที่โรยราเต็มที

“แกนี่มันไม่เข้าใจอะไรเสียเลย!” “ผัวะ” เบร็ก ตบไปที่หัวของอดัมอย่างจัง หน้าของเขาเกือบจะจมลงไปชามสตู “ภาษาดอกไม้เนี่ยดอกแกลดิโอลัสสีขาว หมายความว่า “คำมั่นสัญญา”ซึ่งมันหมายความว่าสหายรักของเราได้ให้คำสัญญาไว้กับหวานใจยังไงเล่า” ว่าแล้วเบร็กก็ส่งสายตาหวานเยิ้มมาหาผม

“บ้านฉันไม่ได้ปลูกสวนดอกไม้ขายแบบแกนี่นา” อดัมเปรยขึ้น

“หน้าที่ของพวกเราไม่ใช่แค่รบหรอก แต่หน้าที่ของพวกเราคือ ห้ามตายด้วยต่างหาก” ผมพูดกับเพื่อนทั้งสองพร้อมกับยิ้มอย่างมีความหวัง

“พระเจ้าจะมอบความสมหวังให้แก่ผู้ที่เชื่อเสมอ” อดัมเสริม

“ฉันก็ต้องรีบกลับบ้าน ไม่งั้นลูกสาวฉันคงพังสวนดอกไม้หมดแน่ ฮ่า ๆ ๆ”

    นั่นเป็นเสียงหัวเราะที่มีความสุขที่สุด เมื่อพวกเรามีความหวัง ใช่ ! พวกเราจะต้องกลับไป

                     

       “ถึง ลิลลี่ ที่รัก

                    นี่ก็ผ่านมาได้หนึ่งเดือนแล้ว อากาศที่นี่ไม่เหมือนที่บ้านของเราเลยจริง ๆ หรือเป็นเพราะผมจินตนาการว่าที่นี่มันช่างน่าเบื่อไม่เหมือนที่บ้านเรา ตอนนี้ผมได้รู้จักกับเพื่อนสองคน เบร็ก เพื่อนจากเมืองเดียวกัน อยู่หมู่บ้านที่สอง อดัม เพื่อนจากเมืองทางเหนือผู้ที่ศรัทธาในพระเจ้าสุดหัวใจ ที่รักเราทุกคนเชื่อว่าเราจะต้องได้กลับไป ดอกไม้สีขาวที่ได้มอบให้นั้นยังเก็บรักษาไว้ แต่ผมคงห้ามให้มันไม่เหี่ยวเฉาไม่ได้ แต่แน่นอนว่าคำสัญญาของเราจะไม่เหี่ยวเฉาไปเฉกเช่นดอกไม้  จดหมายฉบับนี้ไม่รู้ว่าจะถึงมือคุณเมื่อไหร่ แต่ถ้าคุณได้เปิดอ่านแล้ว โปรดตอบกลับเพื่อให้ผมได้รู้ผมแนบรายละเอียดการตอบกลับมาให้คุณแล้ว

                                                                                              รักคุณเสมอ

                                                                                                    ฌอง"

  จดหมายฉบับแรกถูกส่งไปที่บ้านเกิดของผม แต่ไม่รู้ว่ามันจะไปถึงปลายทางเมื่อไหร่ น่าเบื่อจริง ๆ กับการรอในสิ่งที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ จนกระทั่ง

  “มีจดหมายถึงนาย” ในหลายสัปดาห์ต่อมามีเพื่อนทหารนายหนึ่งหอบกระเป๋าใบใหญ่ที่มีซองเอกสารเต็มไปหมด เขาเดินแจกจดหมายและซองเอกสารให้กับทหารคนอื่น ๆ รวมถึงตัวผมเองด้วย

 

                  “ถึง ฌอง

                   ฉันได้รับจดหมายแล้ว ฉันสบายดีค่ะ หลังจากที่คุณไปได้สักพักคุณป้าเพนนี เพื่อนบ้านของเราแกก็เปิดกิจการใหม่ร้านกาแฟค่ะ แกเลยมาชวนให้ฉันไปช่วยงานแกคุณคงจะไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ?ป้าแกบอกว่าคิดถึงคุณเช่นกัน ถ้าคุณกลับมาแกจะเตรียมโกโก้ร้อนของชอบของคุณไว้ให้  คุณเหงาไหมคะ?ฉันก็อยากจะถามเช่นนั้นแต่ได้รู้ว่าคุณพบเพื่อนใหม่ฉันก็สบายใจ ฝากสวัสดีเพื่อน ๆ ของคุณด้วยนะคะ

     ปล. ดอกแกลดิโอลัสที่เราเคยช่วยกันปลูกออกดอกแล้วสวยมาก ๆ เลยค่ะฉันอยากให้คุณได้เห็นจังเลย

                                                                                           รักษาสุขภาพด้วย

                                                                                                       ลิลลี่”

    จดหมายฉบับแรกของลิลลี่มาถึงมือผมในขณะที่ผมกำลังนั่งรถของกองทัพไปยังแคมป์ที่สนามรบ แม้ว่าเนื้อความจดหมายจะสั้นแต่แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกวันหนึ่ง

 

      “ถึง ลิลลี่ ที่รัก

         ที่รัก ตอนนี้ผมอยู่ที่ค่ายทหารชายแดนแล้ว จากวันที่ผมจากมานี่ก็ผ่านมาได้เกือบสองเดือนแล้วอีกไม่กี่วันก็จะต้องลงสนามแล้ว ผมกลัวจริง ๆ หวังว่าจดหมายฉบับนี้คงจะไม่ใช่จดหมายฉบับสุดท้ายที่ผมจะได้เขียนหาคุณ และผมก็หวังว่าจดหมายของคุณที่ผมได้อ่านไปแล้วจะไม่ใช่ฉบับแรกและสุดท้ายของชีวิตผมผมขอให้พระเจ้าอวยพร อยากให้คุณช่วยผมภาวนา

                                                                                   ด้วยรักและคิดถึงสุดหัวใจ

                                                                                                          ฌอง”

ผมเขียนจดหมายฉบับที่สองด้วยความรู้สึกที่อยากจะมีชีวิตอยู่เพื่อเขียนต่อไปอีกหลาย ๆ ฉบับ ผมปิดซองจดหมายและฝากมันไว้กับหัวหน้าเพื่อให้เขานำไปส่งให้ลิลลี่  หวังว่าพระเจ้าจะฟังคำขอของผม ผมหวังเช่นนั้น หวังที่จะให้เป็นเช่นนั้น

   กลิ่นดินปืนจากกระบอกปืนคลุ้งไปทั่วสนามรบทำให้ผมแทบไม่ได้กลิ่นดินที่ติดอยู่บนหน้าเราเลย เสียงปืน ระเบิด และเสียงร้องโอดครวญก้องกังวานไปทั่วสนามรบ ผมวิ่งไปยังที่กำบังพร้อมกับเพื่อนทหารอีกสองสามนาย เราซุ้มเล็งไปยังพวกศัตรูผมเล็งไปที่แขนซ้ายของทหารนายหนึ่งซึ่งกำลังเล็งปืนไปทางทหารฝ่ายเรา “ปัง” ทหารนายดังกล่าวแขนซ้ายอาบไปด้วยเลือด กระบอกปืนยังไม่ทันจะร่วงลงพื้น กระสุนอีกสองสามนัดพุ่งตรงไปยังร่างของเขาเสียชีวิตทันที

“เยี่ยม!”นายทหารคนหนึ่งร้องด้วยความดีใจ

“เยี่ยม? นายเพิ่งจะฆ่าคนตาย !” ผมถามเขาด้วยความฉงนใจ

“ถ้ามันไม่ตาย เราก็ต้องตาย !” เขาหันมากระซิบกับผมเบา ๆ แต่ด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวจากนั้นเขาก็เดินย่องอย่างรวดเร็วเพื่อทำการซุ่มยิงต่อไป

 

             “ ถึง ลิลลี่ ที่รัก

    เหมือนกับผมฝันไปผมไม่คิดว่าผมจะได้เขียนจดหมายหาคุณ ผมรู้สึกไม่ดีเลยจริง ๆ กับเสียงกระสุนทุกนัดในสนามรบ ถึงจะเคยซ้อมยิงปืนมาก็ตามทีคงจะไม่ชินกันง่าย ๆ อยากให้เสียงปืนเปลี่ยนเป็นเสียงพลุเหมือนช่วงฉลองวันก่อตั้งหมู่บ้าน นี่ก็คงจะใกล้ถึงวันแล้ว เสียดายจริง ๆ ที่พลาดโอกาสจับฉลากแลกของขวัญปีแรกกับคุณ จะได้ของขวัญเป็นอะไรนะ? ปีที่แล้วผมได้ปากกาหมึกซึมจากผู้ใหญ่บ้านเขียนแทบจะไม่ได้เลย นึกแล้วก็คิดถึงบ้าน ผมเชื่อว่าคุณคงจะทำห้องนั่งเล่นเลอะเทอะเปรอะสีน้ำมันอย่างแน่นอน ป่านนี้บ้านของเราคงเต็มไปด้วยรูปวาดที่คุณสร้าง ถ้าผมกลับไปแล้วเจอสีน้ำมันเปรอะโซฟานะ น่าดู! ฮ่า ๆผมล้อเล่นน่ะที่รัก อยากให้คุณยิ้มบ้าง ผมจินตนาการว่าคุณกำลังยิ้ม

                                                                                             คิดถึงคุณอยู่เสมอ

                                                                                                           ฌอง”

        เวลาผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่อยู่ที่นี่เห็นพระอาทิตย์ก็เหมือนไม่เห็น เหมือนไม่รู้วันเวลา เหมือนกับหนูที่ติดอยู่ในกงล้อหมุนที่ต้องวิ่งไปเรื่อย ๆ วิ่งไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ สถานการณ์ในสนามรบแย่ลงไปทุกที เสบียงเรากำลังจะหมด ทหารบาดเจ็บ ล้มตายมากขึ้น  แขนของผมถูกผ้าผันแผลพันอย่างแน่นหนาแต่ก็ยังคงรอยเลือดซึมออกมาเล็กน้อย กระสุนที่ยิงมาคงจะลึกเอาการทำให้แผลฉกรรจ์ แม้ว่าจะเจ็บก็คงไม่เท่า อดัม เพื่อนยากของผม

            

              “ ถึง ลิลลี่ที่รัก

    ลิลลี่ ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจที่สุด แขนของผมได้รับบาดเจ็บผมถูกกระสุนจากการปะทะ แต่ที่ผมรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าที่จะต้องสูญเสียเพื่อนที่ดีอย่างอดัมไป  ผมได้พูดคุยกับเขาก่อนที่เขาจะหลับตาลงและไม่ตื่นอีกเลยในสนามรบ กับระเบิดทำให้ขาของเขาขาด ผมประคองเขาได้ในระยะหนึ่ง ผมคิดว่าผมจะช่วยเขาได้ ผมได้แต่บอกเขาว่าน้องสาวและพ่อเขากำลังรอเขากลับบ้าน “ฉันไม่มีขาให้เดินกลับบ้านอีกแล้ว” เขาร้องไห้ปนกับไอออกมาเป็นเลือด  จากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้นดิน เขาหายใจระรัวผมพยายามจะประคองเขาขึ้นมา สิ่งที่เขาบอกกับผม “พ่อกับน้องสาวของฉัน…กำลังรอ…ที่บ้าน…ที่นั่น” เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายชี้ไปบนท้องฟ้า ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนคราบดินและรอยเลือดแหงนขึ้นฟ้าพร้อมกับรอยยิ้มและค่อย ๆ หลับตาลงไปโดยไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย  เหมือนเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ทั้ง ๆ ที่เรื่องผ่านมาได้สองสามวันแล้ว เสื้อผ้าของเขาถูกจัดเก็บลงกระเป๋าโดยเบร็ก หลังสงครามสิ้นสุดลงเขาจะถูกฝังในฐานะทหารผู้กล้า ที่รักหากชีวิตผมจะต้องจบลงผมขอกลับบ้านเสียยังจะดีกว่า

                                                                                                    ห่วงใยเสมอ

                                                                                                            ฌอง”

   ข้อความในจดหมายถูกตัดจบด้วยความสิ้นหวังผมนั่งเฝ้ารอวันที่สงครามจะจบลง ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของเบร็กอีกเลยหลังจากการตายของอดัม หนังสือไบเบิ้ลของอดัมถูกเก็บไว้พร้อมกับศพของเขา

“ทหารทุกนาย เมื่อเหตุการณ์ปะทะในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเราได้สูญเสียเพื่อนร่วมรบจำนวนมาก ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นผู้บัญชาการการรบครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอกล่าวเชิดชูเกียรติทหารที่เสียชีวิตทุกนาย พวกเราได้เสียสละเพื่อความสุขสบายของประชาชน พวกเขาจะต้องไม่ตายอย่างไร้ค่า ในฐานะเพื่อนทหารด้วยกันสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาเป็นเวลาหลายเดือน จงอย่าท้อถอยจงสู้เพื่อไม่ให้การสละชีวิตของพวกเขาต้องไร้ประโยชน์เพื่อที่พวกเราจะได้กลับบ้าน เพื่อที่ลูกหลานของเราจะได้นอนหลับกันสบาย จงทำหน้าที่ในวันข้างหน้าให้ดีที่สุด อีกไม่นานข้าพเจ้าขอให้สัจจะว่ามันจะต้องสิ้นสุด จงมีชัย!!” เสียงปลุกระดมของท่านผู้บัญชาการช่วยเยียวยาจิตใจของนายทหารไปได้อีกสักระยะ การตายของเพื่อนเราจะต้องไม่เสียเปล่า นั่นคือสิ่งที่พวกเรายึดมั่น อีกไม่นานทุกอย่างมันจะต้องจบลง

    หลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ขนมปังในสนามรบแข็งมากถึงขนาดที่ฟันกัดลงไปอาจจะหักได้ ณ เวลานี้เหมือนเราต้องกินเพื่ออยู่จริง ๆ เราใกล้จะแพ้หรือใกล้จะชนะคำตอบกำลังจะมาในอีกไม่ช้า “รอด” คำที่ผมท่องตลอดเวลาและเบร็กก็เช่นกัน

“ถ้ากลับบ้านไป เขียนจดหมายถึงฉันบ้างนะ” เบร็กกำลังใช้มีดแกะสลักท่อนไม้เล็ก ๆ เขาเปรยกับผมในขณะที่ผมกำลังมองก้อนขนมปังเจ้าปัญหา ผมมองหน้าเบร็กและยิ้มแห้ง ๆ ให้เขา

“ฉันจะเอาสตูของลิลลี่ไปฝากนายกับครอบครัวถึงบ้านเลย” คำตอบของผมทำให้เบร็กหัวเราะออกมาเบา ๆ

“หน่วยข่าวกรองส่งข่าวมาว่าทางฝ่ายศัตรูก็กำลังแย่เหมือนกัน” เบร็กมองตรงออกไปเหมือนกับว่าเขาไม่มีจุดหมาย

“จงมีชัย!” ชั่วครู่เขาก็หันมาตบบ่าผมแรง ๆ และอวยพรแก่อนาคตของพวกเราและลุกเดินจากไป

     ผมไม่ได้รับจดหมายจากลิลลี่อีกเลยตั้งแต่สถานการณ์รบเริ่มตึงเครียด ผมเขียนจดหมายไว้แต่ก็ไม่สามารถส่งได้อีกแล้ว ผมจึงเก็บมันใส่ไว้ในซองเอกสารเก่า ๆ ที่พอจะหาได้ข้างในมีจดหมายที่ผมเขียนอยู่สามฉบับและเก็บไว้อย่างดี

    สามวันต่อมาทุกอย่างกำลังจะจบลงในไม่กี่อึดใจผมวิ่งในสนามรบไปพร้อมกับเบร็ก  เล็งยิงไปพร้อมกับหาที่กำบัง

“เบร็ก ! นายเป็นอะไรไหม?” เสียงระเบิดและปืนดังไปทั่วสนามรบทำให้การคุยกันเป็นไปได้ยากมาก ผมตะโกนสุดเสียงอยู่หลายครั้งกว่าเบร็กจะได้ยิน

“แผลถาก ๆ นายไปฝั่งนั้น ฉันไปสมทบกับพวกทางโน้น” เบร็กตะโกนตอบกลับผมและชี้ไปทางซ้ายมือของเขา ผมและเบร็กวิ่งแยกจากกัน ผมรีบวิ่งไปสมทบกับทางฝั่งซ้าย แต่ทว่า “ตู้ม!!”

“ฌอง!!!!!!” มีใครบางคนตะโกนเรียกชื่อของผมจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย…

        ผมกำลังโดยสารรถไฟโบกี้สุดท้ายกลับมายังบ้านเกิดและเดินกลับจากตัวเมืองเข้าหมู่บ้าน ตอนนี้เมืองของผมกำลังเผชิญกับฤดูหนาวแต่วันนี้หิมะไม่ตกอากาศแจ่มใส ผมไม่คิดว่าจะได้กลับมาที่บ้านเลยเหมือนกับฝันจริง ๆ ผมเดินไปที่หน้าร้านของลุงบ๊อบเพื่อจะกล่าวทักทายแต่ปรากฏว่าร้านของคุณลุงวันนี้ปิด ให้ตายสิชอบปิดร้านตามใจอารมณ์อยู่เรื่อย  แต่จะว่าไปเห็นป้ายร้านลุงบ๊อบแล้วก็ทำให้ผมคิดมาได้อย่างนึงว่า   “อยากกินข้าวฝีมือลิลลี่จัง” ผมพูดกับตัวเองพลางยิ้มไปด้วยผมเดินไปเรื่อย ๆ หรือเรียกว่ากินลมชมวิวก็คงได้ หวนนึกถึงวันเก่า ๆ ก่อนที่จะไปรบที่สนามรบไม่ได้จริง ๆ ช่วงเวลาที่อยู่ในสนามรบที่มีแต่คนตาย กลิ่นดิน กลิ่นศพ และระเบิดเหมือนกับนรกชัด ๆ ดีที่ยังไม่ถึงกับเป็นบ้า ผมแหงนมองท้องฟ้าที่สดใสและค่อย ๆ ก้มลงมาและมองตรงไปข้างหน้า “บ้าน”

“ลิลลี่ ! ผมกลับมาแล้ว ” ไม่มีใครตอบผม สงสัยจะไม่อยู่บ้าน  ผมเปิดประตูบ้านและก้าวเข้าบ้านช้า ๆ ผนังบ้านถูกเพ้นท์เป็นรูปทะเลที่ลิลลี่ชอบ แจกันดอกไม้ที่ปกติควรจะมีดอกไม้คงเป็นเพราะฤดูหนาวทำให้ดอกไม้ไม่โตตามปกติ ผมวางกระเป๋าลงกับพื้นและไปนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น มองบรรยากาศทะเลที่เธอสร้างขึ้นมาทำให้รู้สึกอบอุ่นราวกับอยู่ในฤดูร้อน ผมนั่งพักและซึมซับความคิดถึงบ้านได้ชั่วครู่ก็ลุกและเดินไปยังห้องนอน เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อจะเก็บข้าวของภายในตู้เสื้อผ้ามีเสื้อผ้าของผมอยู่เต็มตู้เสื้อผ้าทุกตัวถูกดูแลอย่างดี ไม่มีฝุ่น นอกจากนี้ยังมีเสื้อกันหนาวตัวใหม่เป็นเสื้อไหมพรมที่ใหม่เอี่ยมเหมือนรอผมกลับมาใส่ ว่าแล้วผมก็หยิบเสื้อตัวดังกล่าวมาสวม สวนดอกไม้หลังบ้านถูกหิมะกลบจนแทบจะมองไม่เห็นกระถางแต่ยังมีร่องรอยกิ่งไม้ที่คาอยู่ในกระถาง สวนหลังบ้านขาวโพลนเหมือนทุ่งแดนดิไลออนสีขาว  ผมมองออกไปนอกบ้าน “ทำไมลิลลี่ถึงยังไม่กลับมาที่บ้านอีกนะ ? เธอไปไหน” ผมพูดเบา ๆ กับตัวเอง

      อยู่ข้างนอกบ้านนาน ๆ ทำให้ผมรู้สึกหนาวอย่างบอกไม่ถูก ผมอยากจะจุดเตาผิงในบ้านแต่ไม่มีที่จุดไฟนี่น่ะสิ ผมเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าผมมีไฟแช็กอยู่ที่โต๊ะทำงาน ผมเดินตรงไปที่ห้องทำงานและเปิดเก๊ะด้านซ้ายมือ “กึก ๆ” เหมือนเก๊ะชั้นบนจะถูกล๊อคไว้ ผมเลยเปิดเก๊ะล่างสุดออกมาเพื่อหากุญแจ แต่สิ่งที่ผมต้องประหลาดใจในตอนที่เปิดเก๊ะข้างล่างก็คือ “กล่องอะไรเนี่ย ?” ผมถามตัวเองและเขย่ากล่องเบา ๆ  และเมื่อเปิดออกภายในกล่องมีจดหมายจ่าหน้าซองถึงลิลลี่ทั้งหมด 5 ฉบับ ผมค่อย ๆ หยิบขึ้นมาดูทีละฉบับแล้วก็อดยิ้มไม่ได้มันคือจดหมายที่ผมเขียนถึงลิลลี่ตอนที่ผมอยู่ในสนามรบ เธอเก็บรักษาจดหมายใส่กล่องอย่างดีจดหมายแทบจะไม่มีรอยยับและรอยขาดเลย ผมค่อย ๆ หยิบสิ่งที่ผมเขียนมาอ่านที่ละฉบับรำลึกถึงความหลังที่เคยพบมาตอนนี้ผมสามารถรอดพ้นมาได้แล้ว…ได้แล้วจริง ๆ

“เอ๊ะ !” ผมฉงนใจกับจดหมายอยู่ฉบับหนึ่ง ผมส่งจดหมายหาลิลลี่เพียงแค่ 4 ฉบับเท่านั้น แต่มาจากไหนอีกหนึ่ง ผมค่อย ๆ เปิดซองจดหมายปริศนานั้นและอ่านอย่างตั้งใจ

         “ ถึง คุณลิลลี่ ชาร์ล

           เนื่องด้วยสงครามทางชายแดนของประเทศเรารุนแรงเกินกว่าที่ทางการคาดคิดเอาไว้ ทำให้สงครามยืดเยื้อออกไปอีกอย่างที่ยากจะคาดเดา นายทหารทุกนายได้ทำการต่อสู้อย่างหาญกล้าด้วยเกียรติของทหารผู้ปกป้องชาติ  ในฐานะผู้บังคับบัญชาการการรบครั้งนี้กระผมนายพลอาเธอร์ ชอร์ลต้องขอแสดงความเสียใจต่อการเสียสละของพลทหารฌอง ชาร์ล ที่เสียชีวิตจากระเบิดในสนามรบ ด้วยความเคารพกระผมรู้สึกเสียใจอย่างมากกับการจากไปของทหารภายใต้บังคับบัญชาทุกนาย  กระผมขอให้สัจจะแก่ครอบครัวทหารที่เสียชีวิตทุกนายการตายของพวกเขาจะต้องไม่สูญเปล่า ทางเราจะทำการนำร่างของพวกเขากลับไปยังที่บ้านเกิดเพื่อประกอบพิธีทางศาสนาและเชิดชูเกียรติอย่างสมศักดิ์ศรี

            ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งมา ณ ที่นี้

ด้วยความเคารพ

นายพลอาเธอร์  ชอร์ล”

ผู้บังคับบัญชาการศูนย์การรบชายแดน

……………………………………………………

………………………………….

………………………

…………

……

.

 

นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!!! วินาทีนั้นผมแทบจะสิ้นสติ มีใครกำลังเล่นตลกกับผมอยู่!?  ผมอ่านย้ำซ้ำ ๆ หลายรอบ

    “ ขอแสดงความเสียใจต่อการเสียสละของพลทหารฌอง ชาร์ล ที่เสียชีวิตจากระเบิดในสนามรบ

ไม่จริง! แล้วผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ล่ะ ใครกัน ? ไม่จริง ! นี่ผมกำลังจะเสียสติ มีใครมาเล่นไม่เข้าท่าแบบนี้ !

ตลกน่า ! มือของผมสั่นระรัวผมรีบปล่อยทุกสิ่งอย่างออกจากมือและวิ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว

มีผู้คนเดินผ่านไปมา ผมจึงวิ่งเข้าไปถามเขาว่าเห็นลิลลี่ภรรยาของผมหรือไม่

“พี่ชาย รู้จักผู้หญิงที่อยู่บ้านนี้ไหมครับ พี่รู้ไหมเธออยู่ที่ไหน ?” ชายคนหนึ่งเดินตรงมาที่ผมพอดี ผมจึงรีบถามเขาด้วยความร้อนรนเหมือนคนไม่มีสติแต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ ….เขาเดินผ่านตัวผมไป…ราวกับผมไม่มีตัวตนเป็นอากาศธาตุ นี่ไม่มีใครเห็นตัวเราเลย?! ผมวิ่งไปถามคนที่เดินผ่านไปผ่านมาทุกคนอย่างารีบร้อน แต่เหมือนกับว่าไม่มีใครมองเห็นตัวผมเลยสักคน ผมวิ่งไป ๆ เรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมมาหยุดยืนอยู่ที่โบสถ์ประจำหมู่บ้าน ผมรู้สึกสังหรณ์ใจพิกลจึงเดินไปที่บริเวณหลังโบสถ์อย่างช้า ๆ ได้แต่ภาวนาว่าขอให้สิ่งที่ผมคิดไม่ใช่สิ่งทีผมกำลังจะเผชิญอยู่ในตอนนี้

“ลิลลี่!!” ผมเปรยขึ้นเบา ๆ เมื่อเห็นภรรยาของผมยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนทุกคนต่างสวมชุดสีดำทั้งครอบครัวลุงบ๊อบ ป้าเพนนี ครอบครัวคุณหนูเชอริส ครอบครัวตาเฒ่าแมนเดรก รวมไปถึงเพื่อนของลิลลี่และเพื่อน ๆ ในหมู่บ้านของผม ที่สำคัญที่สุดคือ มีบาทหลวงกำลังทำพิธีกรรมบางอย่างหน้าบริเวณแผ่นหินที่สลักชื่อที่คุ้นตา

“ฌอง ชาร์ล”

…………………………….

…………….

……

.

(เรื่องเล่าของเบร็ก ทิมส์ (เพื่อนทหารของฌอง))

“ฌอง!!!”  ผมตะโกนเรียนชื่อของฌองทันทีที่ได้ยินเสียงระเบิดและเห็นร่างของเขาหายไปในแรงระเบิด ควันโขมงคลุ้งไปทั่วสนามรบ ผมรีบยิงกราดเพื่อป้องกันตัวเองและวิ่งไปยังจุดที่เพื่อนรักของผมล้มลงผมวางปืนลงข้างตัวทันทีและประคองร่างของเขาขึ้นมา

“ฌอง !!!! ฌอง !!! ฌอง ชาร์ล แกตื่นขึ้นมาสิเฟ้ย!!!” ผมจับคางของเขาและเขย่าเบา ๆ สลับกับตบหน้าเบา ๆ เพื่อเรียกสติ “เอ็ดเวิร์ด ! มาทางนี้หน่อย” ผมเรียกเพื่อนทหารที่มาด้วยกันให้มาช่วยผมพาฌองกลับค่ายทันที

    มีหมออยู่สองสามคนที่ยังว่างพอที่จะดูอาการเขาได้ ร่างของฌองชุ่มไปด้วยเลือด คราบดินโคลนและใบไม้ ผมยืนมองเขาอยู่ข้าง ๆ หมอ คอยเรียกชื่อเพื่อนเผื่อเขาจะได้สติ “ฌอง !!!”

“คนไข้เสียเลือดมาก คุณพยาบาลถอดเสื้อผ้าคนไข้ออกเดี๋ยวนี้ ” หมอฮัมมอนด์ตรวจการเต้นหัวใจของเขาพร้อมกับสั่งให้พยาบาลถอดเสื้อผ้าของฌองเพื่อทำการช่วยเหลือ

“อวัยวะภายในของคนไข้ได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรง ปากแผลจากกระสุนที่แขนของเขาเปิด” คุณหมอมองฌองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“โอกาสรอดล่ะครับหมอ?” ผมพูดเบา ๆ กับหมอด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดไม่แพ้กัน ถ้าเทียบกับแผลถลอกที่หน้าผาของผมแล้วมันเล็กน้อยมากถ้าเทียบกับฌอง

   หมอฮัมมอนด์มองหน้าผมนิ่ง ๆ พร้อมกับส่ายหัวเล็กน้อย “คนไข้ไม่มีทีท่าว่าจะได้สติเลย” หมอทิ้งท้ายไว้แค่นี้กับผม และจากนั้นผมก็ถูกเชิญออกมาจากการสนทนาเพื่อที่หมอจะได้ทำการผ่าตัดให้ฌอง

………………………………

………………….

…….…..

…….

….

..

.

“นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอเขาก่อนที่หมอจะช่วยเขาไว้ไม่ทันอีกแล้ว” ผมพูดเบา ๆ กับลิลลี่ด้วยความเสียใจ  ลิลลี่ไม่พูดอะไรกับผมเธอยืนมองไปที่หลุมศพของคู่ชีวิตของเธอ โลงสีดำที่ถูกคลุมด้วยธงชาติโลงนั่นกำลังจะถูกฝังในไม่ช้า มีทหารหลายนายมาร่วมพิธีฝังศพของเขา

“ตอนที่เขาตาย เขากำสิ่งนี้ไว้ในมือครับ” ผมยื่นดอกไม้แห้งที่เปื้อนเลือดมันถูกเจ้าของเดิมกำไว้จนเสียรูปร่าง มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฌองกำไว้ในวาระสุดท้ายของชีวิต

“ดอกแกลดิโอลัส” ลิลลี่มองมาที่ดอกไม้แห้งในมือของผม เธอค่อย ๆ เอื้อมหยิบมันทั้งน้ำตา

“เขารักษาสัญญาเสมอ” เธอกุมดอกไม้แห้งไว้ตรงกับหัวใจ ใบหน้าของเธอเปื้อนน้ำตาและรอยยิ้ม

“นี่เป็นซองจดหมายที่เขาต้องการส่งถึงคุณแต่ด้วยภาวะสงครามทำให้การส่งจดหมายเป็นไปได้ยากลำบากขึ้นเขาเลยเก็บใส่ซองเอกสารอย่างดี เขาจะอยู่กับคุณเสมอคุณนายชาร์ล” ผมยื่นซองเอกสารซองหนึ่งให้กับลิลลี่ มันเปื้อนดินและดูเก่าสกปรก แต่ภายในซองจดหมายถูกรักษาอย่างดี

“เขาได้ทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว เขาทำเพื่อพวกเราทุกคน เขาจะอยู่กับพวกเราในความทรงจำตลอดไป” ลิลลี่ได้ทิ้งท้ายประโยคนี้กับผม

   โลงศพของฌองได้ถูกฝังลงแล้วผู้คนในหมู่บ้านต่างโศกเศร้าเสียใจและแยกย้ายกันกลับบ้านทั้ง ๆ ที่ความหดหู่ยังไม่จางไปจากหัวใจ ลิลลี่เดินกอดซองสีน้ำตาลกลับบ้านด้วยความเงียบเหงาผมส่งเธอที่หน้าประตูบ้านและบอกลาเธอในที่สุด

 

      ลิลลี่ ชาร์ล กลับถึงบ้านด้วยความรู้สึกอ้างว้างแม้ว่าในความคิดเธอจะบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรแต่จริง ๆแล้วภายในใจของเธอโศกเศร้าเกินจะเยียวยา มันคงจะเป็นเรื่องยากที่หญิงสาวที่เพิ่งจะแต่งงานได้ไม่นานจะต้องถูกพรากคู่ชีวิตไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เธอถือซองเอกสารเก่า ๆ ซองหนึ่งเข้ามาในบ้าน เธอวางมันลงที่โต๊ะรับแขก และค่อย ๆ เปิดซองออกมา เธอหยิบจดหมายได้สามฉบับ และค่อย ๆ บรรจงอ่านทีละฉบับ

 

    

 

 “ถึง ลิลลี่ที่รัก

        นี่เป็นอีกวันที่จดหมายคงไม่ได้ถูกส่งไปแต่ผมก็ยังยืนยันที่จะเขียนเพื่อบันทึกเรื่องราวที่ผมต้องเผชิญวันนี้หมวกใบเก่งของขาดผมต้องเย็บมันเองด้วยการฝีมือที่ไม่ได้เรื่องผมเทียบคุณไม่ได้เลยจริง ๆ ถ้าเป็นคุณแค่พริบตาเดียวก็คงเหมือนได้หมวกใบเดิมที่ไม่มีริ้วรอยกลับมาอย่างแน่นอน อากาศในค่ายเริ่มหนาวขึ้นผ้าห่มที่ค่ายหนาไม่พอที่จะทำให้หลับได้อย่างสบาย ๆ เบร็กบ่นกับผมทุก ๆ วันว่าชอบอากาศฤดูใบไม้ผลิมากกว่าฤดูที่มีแต่ความหนาวเหน็บเช่นนี้  อย่างที่คุณเคยพูดไว้ในจดหมายฉบับแรกโกโก้ร้อนของป้าเพนนีคงไม่มีอะไรมาแทนได้จริง ๆ ผมลองจินตนาการว่าตอนนี้ผมกำลังนั่งอังเตาผิงกับคุณมันคงจะมีความสุขไม่ใช่น้อย ถ้าผมไม่โชคร้ายเหมือนอดัมก็คงจะดีได้แต่หวังเช่นนั้น  คงอีกไม่นานเกินกว่าที่ผมจะรอใช่ไหมที่จะได้กลับบ้าน ผมขอยืนยันว่าผมจะรักษาสัญญาของเราไว้ อยากให้คุณรอ..ได้โปรดเถอะ

                                                                                                   คิดถึงเสมอ

                                                                                                          ฌอง”

“ถึง ลิลลี่ที่รัก

  เพื่อนชื่อจอห์นเล่นกีตาร์เพลง “พาเรากลับบ้าน” ให้แก่ทุกคนฟังในช่วงเวลาก่อนที่เราจะเข้านอน พวกเรามักจะนั่งคุยกันรอบกองไฟก่อนที่จะเข้านอนกัน ทุกคนจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของกันและกัน ผมไม่ค่อยจะได้สุงสิงกับพวกที่นั่งรอบกองไฟเสียเท่าไหร่ แต่ว่าครั้งนี้เพื่อนร่วมกองไฟน้อยลงไปทุกทีผมเลยถือโอกาสไปนั่งเปิดใจกับพวกเขาบ้าง จอห์นมีความฝันที่จะเป็นนักดนตรีแต่ด้วยพ่อของเขาเป็นทหารเก่าจึงไม่สนับสนุนในอาชีพที่ไม่มั่นคง มันเป็นเรื่องที่ยากมากในการที่เขาจะเล่นกีตาร์สักเพลงตอนที่อยู่ในบ้าน    

   โจ เป็นหนึ่งในทหารแพทย์ที่สังกัดอยู่ที่ชายแดน เขาเป็นคนอารมณ์ดีเสมอเพราะด้วยความที่เป็นทหารแพทย์หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นหมอทำให้จะเครียดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนเจ็บไม่ได้  เขามักเล่าเรื่องตลกในสนามรบอย่างเช่น ทหารบางคนเจอหมัดอยู่ในกางเกงชั้นในที่ไม่ได้ซักมาหลายสัปดาห์และเขาเผลอโยนมันลงไปในซุปของเพื่อนข้าง ๆ หรือเรื่องตลกที่มีคนไข้คนหนึ่งจีบพยาบาลทั้ง ๆ ที่หมอซึ่งเป็นสามียืนข้าง ๆ กำลังถือมีดผ่าตัด เรื่องสนุกในค่ายมันก็ยังมีอยู่บ้างอย่างคำโบราณว่ามีเรื่องดีก็ต้องมีเรื่องร้าย  ท่านผู้บัญชาการบอกว่าอีกไม่นานทุกอย่างก็น่าจะสงบลง ผมก็เชื่อเช่นนั้น ถึงดอกไม้จะเหี่ยวแห้งไปผมก็ยังรักษาสภาพอย่างดีเสมอ

ผมจะรักษาสัญญา

                                                                                                            ฌอง”

  ลิลลี่อ่านเนื้อความบนกระดาษด้วยความตั้งใจ น้ำตาเธอคลอเบ้าจนเกือบจะหยดลงบนเนื้อกระดาษ และเธอก็เช็ดมันออกก่อนที่จะหยดลงบนจดหมาย เธอวางจดหมายฉบับที่สองลงและควานหาฉบับที่สามที่อยู่ลึกสุดในซอง เธอค่อย ๆ หยิบมันออกมาและจ้องมองกระดาษเปื้อน ๆ แผ่นหนึ่ง เธอแทบจะทำใจไม่ได้ที่จะต้องเปิดอ่านมันแต่ในที่สุดเธอก็ทำ

 

         “ถึง ลิลลี่ที่รัก

        อาจจะดูเหมือนผมคิดไปเองก็เป็นได้ ทำไมการเขียนจดหมายฉบับนี้ผมถึงอยากจะเขียนให้มันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าสามารถบอกเล่าอนาคตได้ผมก็อยากจะทำ มีอะไรอีกมากมายที่ผมอยากจะบอกคุณแต่เหมือนผมรู้สึกว่าผมจะไม่ได้พบคุณอีก อาจเป็นเพราะเพื่อนทหารคนอื่น ๆ ดูสิ้นหวังกันไปหมด ถ้ายังจำเพื่อนของผมที่ชื่อว่า “จอห์น” ได้ เขาช่างเป็นคนที่น่าสงสารเสียเหลือเกินความฝันของเขาต้องมาพังทลายลงเขาเสียมือขวาไปเมื่อวานนี้ เขานั่งร้องไห้และกุมแขนอีกข้างไว้ด้วยความเจ็บปวด ผมเห็นเพื่อนร่วมวงกองไฟหายไปทีละคนแน่นอนว่าคงไม่ใช่การเล่นซ่อนหา ทุกอย่างแย่ลงไปไม่มีใครคิดว่าเราจะชนะแม้กระทั่งใจของเราเอง เราทุกคนคิดว่าความพ่ายแพ้กำลังตามเรามา

ผมจะได้กลับบ้านไหม? ลิลลี่

   ผมอยากดูแลดอกไม้ที่คุณปลูก อยากเป็นแบบรูปวาดให้กับงานของคุณ อยากฟังเสียงของคุณเวลาเรียกกินข้าว อยากเต้นรำกับคุณในงานเลี้ยงหมู่บ้าน อยากคุยกับคุณลุงบ๊อบเรื่องเพลงของบีโทเฟน อยากดื่มโกโก้ร้อนของป้าเพนนี อยากทำทุกอย่างที่สนามรบแห่งนี้ให้ผมไม่ได้ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ผมอยากจะกลับไปเสียจริง ๆ คำพูดร้อยพันของผู้บัญชาการก็คงไม่ช่วยให้ผมฮึดสู้ขึ้นมาได้อีกแล้ว ความสงบต้องแลกมาด้วยการเสียสละเสมอไปเลยหรือ ? ทำไมต้องมีสงครามด้วยที่รัก ? การมารบที่นี่ไม่อาจช่วยให้ผมหาคำตอบได้เลย ผมอยากได้ความสงบในชีวิตที่ผมเคยมีกลับมา อยากเป็นแค่พลเมืองธรรมดา อยากเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจากทำงานในเมืองเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว อยากเป็นพ่อคนที่จะได้เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก ปกป้องผู้ชายที่จะมาจีบลูกสาว หรือสอนลูกชายให้เข้มแข็ง ผมอยากจะรักษาสัญญาลิลลี่

                                         สัญญาที่ว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป

ผมกลัวว่าผมจะรักษามันไว้ไม่ได้ ในสถานการณ์เช่นนี้แม้แต่ตัวผมเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน มากเกินกว่าที่จะบรรยายใส่กระดาษแผ่นนี้ได้หมด ผมคิดถึงคุณเหลือเกินลิลลี่ อยากให้คุณอวยพรให้กับผม ขอให้นี่ไม่ใช่จดหมายฉบับสุดท้าย ขอให้อีกไม่นานเมื่อคุณเปิดประตูบ้านมาคุณจะเจอผมที่มีลมหายใจกลับมา  ผมกลัว….ผมกลัว….

    ถ้าหากว่าผมไม่ได้กลับไปอยากให้รู้ว่าผมเสียใจจริงๆที่รักษาสัญญาของเราไม่ได้

                                                                                                            ฌอง”

  จดหมายฉบับสุดท้ายทิ้งท้ายเรื่องราวไว้เพียงเท่านี้ หญิงสาวหยิบจดหมายทั้งสามฉบับมากอดแน่นไว้ด้วยความโศกเศร้า น้ำตาของเธอไหลริน เธอรู้สึกเหมือนเวลาของเธอหยุดชะงักราวกับถูกความหนาวเหน็บของฤดูกาลแช่ไว้ 

                                                 “ฌอง”

เธอพูดกับตัวเองเบา ๆ และย้ำคำนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอเหลือบไปเห็นดอกไม้ที่เธอได้มาจากเบร็ก สิ่งสุดท้ายที่ฌองกุมไว้ก่อนจะสิ้นใจ เธอจ้องมองดอกไม้ดอกนั้นทั้งน้ำตาเธอมองอยู่ชั่วครู่ก็ทำให้เธอได้สติ เธอวางจดหมายทั้งสามฉบับลงบนโต๊ะและหยิบดอกไม้แห้งที่ไม่เหลือเค้าของสีเดิมขึ้นมา เธอหลับตาชั่วครู่และเดินไปที่หน้าต่างและจ้องมองไปที่สวนดอกไม้ที่เธอปลูกดอกแกลดิโลอัสไว้  และเธอก็ทำเช่นนั้นทุก ๆ วัน จนฤดูหนาวผ่านพ้นไปและดอกไม้ก็ได้เบ่งบานอีกครั้ง

“ลิลลี่! ลิลลี่”

“คะ ! อ้าว ! ป้าเพนนี ” เสียงป้าเพนนีเจ้าของร้านกาแฟดังขึ้นทำให้ลิลลี่ต้องวางเฟรมผ้าที่เธอจะใช้วาดรูปลงและเดินมาเปิดประตูทั้ง ๆ ที่เนื้อตัวยังเปรอะเปื้อนสี

“ป้าเอาผลไม้มาฝาก ลูกชายป้านะส่งผลไม้ที่ไร่มาให้เยอะแยะเลยล่ะ” ว่าแล้วหญิงชราที่กลิ่นคลุ้งไปด้วยกาแฟก็ยื่นกระเช้าให้ลิลลี่ที่สวมผ้ากันเปื้อน

“ขอบคุณมากค่ะ” ลิลลี่รับด้วยรอยยิ้มที่สดใส

“เฮ้อ คิดถึงฌองจริง ๆ ถ้าเขายังอยู่กับเราก็คงจะดี” ป้าเพนนีเปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย

“เขายังอยู่ค่ะป้า” ลิลลี่ซึ่งถือกระเช้าผลไม้อยู่ตอบด้วยน้ำเสียงสดใสพร้อมกับรอยยิ้ม หญิงชรามองหญิงสาวด้วยท่าทางสงสัยและคิดไปว่าหญิงสาวคงจะคิดถึงคู่ชีวิตจนละเมอเพ้อไปเอง ลิลลี่ยกกระเช้ามาวางบนโต๊ะกินข้าวที่มีแจกันดอกไม้ตั้งอยู่ ในแจกันมีดอกแกลดิโอลัสที่เหี่ยวแห้งปะปนอยู่กับดอกที่เพิ่งเก็บมาจากสวนที่เพิ่งจะบานสะพรั่ง ลิลลี่ยิ้มให้กับดอกไม้ในแจกัน เธอมีความสุขที่ได้มองมันทุก ๆ เช้า

“คุณรักษาคำสัญญาของเรา คุณนำมันกลับมา คุณจะอยู่กับฉันตลอดไป”

เหมือนมีสายลมอ่อน ๆ พัดเข้ามาในบ้านทำให้ผ้าม่านที่หน้าต่างที่เปิดอยู่พลิ้วไหวไปมา หน้าต่างบานนั้นสามารถมองเห็นสวนดอกไม้แกลดิโลอัสได้ เสมือนกับว่ามีใครสักคนรับรู้ถึงความรู้สึกของลิลลี่และตอบรับกับเธอว่า

                                       “ผมจะอยู่กับคุณตลอดไป”

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา