คิดถึงชีววิทยา ๒ : ว่าด้วยการจัดจำแนกสาหร่าย
เขียนโดย nappy
วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.56 น.
แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 23.08 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสวัสดีครับ สวัสดีครับ และสวัสดีครับ
คุณลองมองไปให้ไกลกว่านี้ดูสิ ไม่ใช่ ไม่ใช่ตรงนั้น ไกลกว่านั้นอีก....นั่นแหละ ตรงที่เส้นขอบฟ้าเลยนะ เห็นไหมท้องฟ้ากับทะเลกำลังโอบกอดกัน ดูสิ พวกเขาหันมาทักทายคุณเมื่อกี้นี้ด้วยนะนั่น น่าแปลกใจนะ พวกเขารักกันมาตั้งแต่โลกเพิ่งกำเนิด จวบจนบัดนี้ โลกเวียนมาถึงวัยกลางคนแล้ว พวกเขาก็ยังรักกัน คู่รักหลายคู่ที่นั่งอยู่ริมหาดมองแลดูพวกเขาพลอดรักกัน เหมือนที่ตัวเองกำลังทำอยู่ ก็ไม่แน่ ว่าเพียงวันพรุ่งนี้อาจจะเบื่อหน้าและร้างรากันไปก็เป็นได้
ฉันก็กำลังยืนอยู่ริมหาด มองดูแผ่นฟ้า และผืนน้ำกระซิบคำรักให้กันและกัน แผ่นฟ้ากับผืนน้ำที่พบรักกันมาเป็นหลายล้านปีคงจะหมดความกระดาก หากจะมีสายตาอีกนับเป็นร้อยคู่จับจ้องไปที่พวกเขา เวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันนั้นงดงามนัก ใจจริงฉันอยากจะยกกล้องถ่ายรูปในมือขึ้น แล้วบันทึกภาพนั้นเอาไว้ แต่ฉันก็ไม่ได้ทำ ภาพของพวกเขาที่ฉันเก็บไว้ในใจเมื่อนานมาแล้วนั้นยังดูงดงามไม่สร่าง เหมือนกับในยามนี้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นหรือ... เพราะครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ฉันกับเขาก็เคยยืนมองภาพเหล่านั้นด้วยกัน
หลังจากจบการแข่งขันชีววิทยาโอลิมปิกระดับประเทศ ตามประเพณีแล้ว ทุกๆปีทางมหาวิทยาลัยศูนย์เจ้าภาพ ก็จะพาผู้เข้าแข่งขันไปเที่ยวตามสถานที่ที่มีอยู่ในจังหวัดของตน เด็กที่มาจากภาคกลาง และภาคเหนือดูจะดีใจเป็นพิเศษ พวกเขาหัวเราะกันเสียงดัง และซาดน้ำใส่กัน เล่นหยอกล้อกับปลายคลื่น และสายลมคละกลิ่นเกลือทะเล แต่ฉันกลับเดินหลบมาเงียบๆ สำหรับฉัน การเล่นทะเลไม่น่าสนใจเท่ากับว่าสาหร่ายที่ขึ้นตามโขดหินนั้น อยู่ในลำดับขั้นอะไรตามหลักอนุกรมวิธานของสิ่งมีชีวิต
วิชาอนุกรมวิธาน หรือ Taxonomy นั้น เป็นวิชาที่ว่าด้วยการจัดจำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ ในระดับมัธยมปลาย วิชานี้เป็นวิชาที่ขึ้นชื่อว่า เป็นวิชาที่เด็กๆนิยมชมชอบน้อยที่สุด เพราะมันมีแต่ จำ จำ จำ และจำเท่านั้น แต่ฉันชอบวิชานี้ มันทำให้โลกของฉันกว้างไกลขึ้นหลายสิบเท่าตัว มันทำให้ฉันรู้ว่า โลกนี้ไม่ได้เป็นโลกของมนุษย์ และไม่ได้มีเพียงสายตาของมนุษย์เท่านั้นที่จับจ้องโลกใบนี้ แต่ยังมีสายตาของสัตว์อื่นอีกมากมาย ที่จับจ้องโลกใบนี้อยู่ ในสายตา และมุมมองที่ต่างจากมนุษย์
ดูเหมือนว่า เขาก็คิดแบบเดียวกันกับฉัน ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ที่เขาก็มานั่งหาสาหร่ายกับฉันด้วย ไปๆมาๆ กลายเป็นว่า เรานั่งแยกชนิดของสาหร่ายอยู่ด้วยกันสองคน งานนี้จัดว่าเป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนพอสมควร การจะดึงสาหร่ายหยึยๆ ออกจากโขดหินโดยไม่ให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของมันบอบช้ำ หรือขาด ต้องใช้สมาธิ และความใจเย็นพอสมควร พอมานึกย้อนดูอีกที เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ ฉันนึกขึ้นมาถึงตอนที่ฉันฝึกเซ็กชั่นพืชเป็นครั้งแรก
หลังจากที่สาหร่ายแทบจะถูกดึงไปจนหมดจากก้อนหินบริเวณนั้นแล้ว ฉันกับเขาเลื่อนตัวลงมาจากก้อนหิน เราเดินเลาะชายฝั่งด้วยกันช้าๆ ปล่อยให้คลื่นลูบไล้เปลือยขาของเรา เขาก้มลงไปกอบเปลือกหอยขึ้นมากำมือใหญ่ มีหอยเล็กหอยน้อย และหอยไม่น้อยไม่เล็กมากมาย อยู่เต็มกำมือของเขา
“สนใจจะแยกประเภทมันไหมครับ” เขาถามล้อๆ ฉันส่ายหัว ฉันขำเขามากกว่า เขาจึงวางเปลือกหอยลง ปล่อยให้มันถูกคลื่นกวาดลงไปนอนที่ก้นทะเลดังเดิม
ตรงปลายสุดของชายหาดมีลักษณะซัดโค้งออกไป ทำให้เรามองไม่เห็นว่า ตรงปลายสุดนั้นมีอะไร
“ลองเดินไปให้ถึงตรงนั้นกันไหมครับ” เขาชวนเบาๆ
“แล้วพี่เลี้ยงนัดกี่โมงเหรอคะ”
“หกโมงเย็นครับ”
“แล้วตอนนี้กี่โมงแล้วครับ”
“อีกสิบนาทีจะหกโมงครับ”
เราสองคนมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“งั้นก็...สักหกครึ่งนะครับ”
แน่นอนว่า ชายหาดยาวขนาดนั้น ต่อให้เรารีบเดินอย่างไรก็คงเดินไม่ถึงหรอก ถึงแม้ตอนหลังฉันจะรู้แล้วว่า สุดทางของชายหาดมีอะไร จนตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้บอกเขาเสียที ระหว่างเดินทางกลับ เขากวาดมือไปทางทะเล ตรงนั้นเอง สุดสายตาเรา สุดเส้นขอบฟ้า แผ่นน้ำแล้วผืนฟ้ากำลังโอบกอดกันอีกครั้ง เพื่อที่จะได้ไออุ่นของกันและกันในยามราตรี และพร้อมจะผละออกจากกันเมื่อรุ่งอรุณมาเยือน แสงสีสวยที่ฉันไม่เคยหาคำบรรยายได้ผสมผสานกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว
ไม่รู้ฉันคิดอะไรอยู่ในตอนนั้น จึงได้เล่านิทานเรื่องหนึ่งที่เคยได้อ่านเมื่อนานมาแล้วให้เขาฟัง
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อพระเจ้าสร้างโลกขึ้น แผ่นน้ำ กับแผ่นฟ้ามีแต่จะไหลรวมกันเป็นหนึ่ง พระเจ้าจึงนำดินมาปั้นเป็นเส้นยาวๆ แล้วนำมากั้นแผ่นน้ำ และผืนฟ้าให้แยกออกจากกัน นานวันผ่านไป เจ้าดินเส้นยาวๆนั้น ก็เริ่มมีชีวิตขึ้นมา กลายเป็นงูขนาดใหญ่ยักษ์ที่ขดพันรอบโลก และแล้วมีอยู่วันหนึ่ง เจ้างูยักษ์นั้นก็ลืมตาขึ้นมา
เวลานั้นเป็นเวลากลางคืน ท้องฟ้ามืดมิดมีดวงดาวกระพรายพริบระยับจับตา แต่ยังงดงามเทียบไม่ได้กับงูสีขาวน้ำนมที่พาดผ่านท้องฟ้า เจ้างูยักษ์เหลือบตาไปมองมันอยู่เนิ่นนาน และแล้วในเวลาไม่นานนัก มันออกออกไข่มาสี่ฟอง
ด้วยความที่งูยักษ์กลัวว่าไข่ของมันจะเอียงหกหายไปในทะเล มันจึงเริ่มขดม้วนตัวเข้าหากันแน่น ยิ่งเวลาผ่านไป มันก็ยิ่งขดตัวเข้าหากันแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนมนุษย์บนเกาะเริ่มสังเกตเห็น ว่าเส้นขอบฟ้าเขยิบใกล้เข้ามาทุกที...
ด้วยความที่มนุษย์กลัวว่า หากเส้นขอบฟ้ายังคงขดตัวเข้ามาอย่างนี้ ชีวิตของพวกเขา และคนที่เขารักทั้งหลาย คงจะต้องสูญสิ้นไปในไม่ช้า เพราะถูกงูยักษ์รัด เขาจึงส่งวีรบุรุษออกไปหาสาเหตุ
วีรบุรุษจึงออกเดินทางไป เขาพบว่า สาเหตุที่เส้นขอบฟ้าเขยิบเข้ามาใกล้แบบนี้ มีสาเหตุมาจากเจ้างูยักษ์ที่หวงไข่ของมัน เขาจึงรอให้ถึงเวลากลางคืน เมื่องูยักษ์เหลือบตามองงูสีขาวน้ำนมเป็นครั้งสุดท้ายแล้วปิดตาลง เขาก็ค่อยๆแอบย่องไปตอกไข่ของมัน ไข่ที่ถูกตอก พอไหลลงทะเลไปทางทิศเหนือ ก็เกิดเป็นทวีปใหญ่ทางทิศเหนือขึ้นมา เขาทำเช่นนี้ทุกคืน โดยรอให้งูยักษ์หลับตาลง แล้วแอบไปตอกไข่ พอเจ้างูเหลือไข่อยู่เพียงใบสุดท้าย มันก็แกล้งทำเป็นหลับ แต่เปิดเปลือกตาเอาไว้ข้างหนึ่ง
วีรบุรุษหนุ่มยังคงทำเหมือนเช่นทุกคืน คืนนี้เป็นคืนสุดท้าย เมื่อเขาทำภารกิจเสร็จเขาก็จะได้กลับบ้าน ไปเป็นวีรบุรุษของทุกคน... ทว่าเมื่อเจ้างูยักษ์เห็นวีรบุรุษที่ย่องเข้ามาแล้วทำท่าจะตอกไข่ของมัน มันก็สำแดงฤทธิ์เดชออกมา ทำให้แผ่นฟ้าและทะเล บริเวณนั้นปั่นป่วนไปหมด โลกปานจะแหลกสลาย เส้นขอบฟ้าบิดไปมา เมื่องูยักษ์หยุดอาละวาด ปรากฏว่าไข่ที่มันรักยิ่ง ได้ถูกกลืนหายไปกับทะเล พร้อมกับร่างของวีรบุรุษ
มันกรีดร้องอย่างโศกเศร้าเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต และไม่ขยับตัวอีกเลย
ส่วนผู้คนบนเกาะ เมื่อเห็นเส้นขอบฟ้าหยุดเขยิบตัวเข้ามา ก็ต่างพากันเฉลิมฉลองแซ่ซ้อง และก็ต่างรอวีรบุรุษของพวกเขากลับมา แต่ วีรบุรุษของพวกเขาก็ไม่กลับมา’ ”
ฉันเล่าจบพร้อมๆกับที่ท้องฟ้ามืดมิดลง ถ้าเป็นในนิทาน ในตอนนี้เจ้างูยักษ์ก็คงจะเหลือบมองขึ้นไปบนฟ้า แล้วเฝ้าถวิลถึงงูสีขาวน้ำนมสินะ... แต่ฉันมองไปข้างหน้า คิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเวลาสั้นๆช่วงที่ฉันได้อยู่ค่าย
“เป็นอย่างไรบ้างคะนิทานเรื่องนี้ วีรบุรุษคนนั้นชนะไหม”
เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง “ไม่ครับ เพราะ เขาไม่ทำให้เกิดอะไรดีขึ้นเลย”
“นั่นสินะคะ บางที การทำตามความฝันโดยไม่สนว่า เราต้องทิ้งอะไรไปบ้าง ต้องทำร้ายใครไปบ้างบางทีถึงฝันจะเป็นจริง แต่ชีวิตที่เหลืออยู่อาจต้องเฝ้าแต่ภาวนา และคิดอยากให้ความฝันนั้นไม่มีวันเกิดขึ้น”
“แต่พี่ว่านะครับ ตอนเราเข้าไปกินข้าวเย็น ก็เข้าไปเนียนๆนะครับ เพราะ...”
“พี่เลี้ยงน่าจะยุ่งอยู่ คงไม่สังเกตหรอก” ฉันต่อ และเราก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
คืนนั้น ขณะที่ทุกคนต่างสังสรรค์เฮฮากัน ฉันนอนบนผืนทรายสีขาวข้างๆเขาเงียบๆ ฟังเสียงคลื่นกระซิบหากันในความมืด ฉันรักความมืดแห่งรัตติกาล เพราะมันต่างกับความมืดทั่วไป มันไม่ได้เพียงแต่จะทำให้แสงดาวแสงเดือนมีความหมายให้จดจำมากขึ้น แต่นอกจากนั้น มันยังทำให้ความฝันก่อกำเนิดเผยรูปโฉมชัดเจน ฉันรู้สึกว่าในความมืดข้างหน้า แม้เจ้างูยักษ์จะตายไปแล้ว แต่ความรักของแผ่นฟ้าและผืนน้ำ ก็ยังจะคงส่งหากันชั่วนิรันดรกาล เกาะสองเกาะที่ดูไร้ชีวิตลอยนิ่งอยู่กลางทะเลเมื่อแดดส่องต้อง กลับดูมีชีวิตขึ้นมา และไล่จับกันอย่างเริงร่าเมื่อยามแสงจันทราส่องกระทบ
ฉันถอนหายใจ และปิดกล้องถ่ายรูปในมือ มองไปรอบๆชายหาด ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคนมากมายหลายหลายคนเคยมาเยือนที่นี่ และจากไป แม้สายลมจะลบเลือนรอยเท้าของพวกเขาบนผืนทราย แม้เกลียวคลื่นจะไม่เคยเอื้อนเอ่ยชื่อของพวกเขา แต่รู้ไหม....ฉันยืนอยู่ที่นี่ และยังเป็นพยานยืนยันได้ ว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พวกเขาเคยมาที่นี่ พบฉัน เจอฉัน เปิดโลกของฉันให้กว้างใหญ่ขึ้น และจากฉันไป
เขาก็เคยมาที่นี่... ยืนอยู่ข้างๆฉัน ชี้ชวนให้ฉันมองแผ่นฟ้าและผืนน้ำที่กำลังกระซิบคำรักให้แก่กัน เคยนอนดูดาว และฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่งกับฉัน ค่อยๆทำให้ฉันสร้างความฝันครั้งใหม่ขึ้นมา และก็จากฉันไปเช่นกัน พร้อมกับทิ้งความฝันไว้ให้ฉันไล่ตามจนถึงทุกวันนี้
เสียงพี่เลี้ยงเรียกเด็กๆที่ลงไปเดินทะเลเป็นครั้งสุดท้ายให้ขึ้นมารวมตัวกัน ฉันพลิกตัว และหันไปมองหน้าเขาที่นอนอยู่ข้างๆ
เขายิ้ม....
และฉันก็ยิ้ม
หมายเหตุ นิทานที่กล่าวถึงในเรื่อง เป็นนิทานที่แต่งโดย พัณณิดา ภูมิวัฒน์ จากเรื่อง เซรีญา ตอน เจ้าหญิงแห่งอันเซลมา ผู้เขียนชอบนิยายที่แต่งโดนนักเขียนคนนี้ทุกเล่มทุกเรื่อง พอเขียนเรื่องสั้นของตัวเอง ก็เลยอยากยกมาให้ผู้อ่านคนอื่นๆได้อ่านด้วย ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อการพาณิชย์แต่โดยสิ้นเชิง
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ