14 February 14 กุมภาฯนี้ฉันมีเพียงเธอ...
เขียนโดย kurosaki
วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.14 น.
แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2557 19.31 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) 14 February 14 กุมภาฯนี้ฉันมีเพียงเธอ...
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
14 February 14 กุมภาฯนี้ฉันมีเพียงเธอ...
สี่ทุ่มสี่สิบสามนาที...ฉันนั่งอยู่บนโซฟาสีคัสตาร์ด โดยที่มือยังถือกาแฟร้อนในแก้วสีท้องฟ้า...เพื่อรอเขา
สี่ทุ่มสี่สิบเก้านาที...ฉันยังคงนั่งบนโซฟาแสนนุ่มตัวเดิม โดยที่บนตักถูกวางด้วยแก้วสีท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งกาแฟร้อนแล้ว...ฉันยังคงรอ
ห้าทุ่มสิบสองนาที...ฉันยังคงนั่งรอ แต่ถ้วยสีท้องฟ้าถูกนำไปวางไว้บนโต๊ะสีไม้โอ๊คแทน...ฉันยังรอคอยเพียงเขา
ห้าทุ่มห้าสิบห้านาที...ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เพื่อรอเขาคนนั้น
เที่ยงคืนหนึ่งนาที...ฉันลุกขึ้นไปชงกาแฟร้อนใส่ถ้วยสีท้องฟ้าอีกครั้ง แล้วกลับมานั่งบนโซฟาดังเดิม...ฉันได้แต่หวัง...หวังในสิ่งที่จะเป็นไปได้
ตีสองสี่สิบสามนาที...ฉันตัดสินใจโทรหาเขาอีกครั้ง แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม...เขาไม่รับโทรศัพท์ แต่ฉันยังคงเชื่อมั่นตลอดเวลา เพียงสิ่งเล็กๆที่เรียกว่าหัวใจยังคงตอบสนองเมื่อฉันคิดถึงเขา...
ตีสี่ห้าสิบเก้านาที... ท้องฟ้าเริ่มมีแสงจากดวงตะวันสาดส่องลงมาจากเมฆ แต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา... ฉันรอคุณอยู่นะ กลับมาหาฉันได้มั้ย พระผู้เป็นเจ้าหรืออะไรก็ตาม พาเขากลับมาหาฉันที ฉันต้องการเห็นหน้าของเขา ต้องการได้ยินเสียงลมหายใจของเขา ต้องการสัมผัสเส้นผมเขา ต้องการประทับริมฝีปากด้วยกันกับเขาอีกครั้ง ฉันแค่อยาก...เจอเขาเท่านั่นเอง...เพราะฉะนั้นได้โปรด...ให้ฉันได้พบกับเขาอีกครั้งด้วยเถิด เขาซึ่งเป็นคนที่ฉันรักและปารถนาที่อยากจะเจอสุดขั้วหัวใจ
กริ๊ง
เสียงกริ๊งดังกังวานในบ้านหลังน้อยของฉัน
‘ใช่เขารึเปล่านะ’ คำถามเพียงหนึ่งเดียวในสมอง ทุกอย่างเหมือนถูกลบไปหมด เพียงแค่เสียงกริ๊ง... เหลือแค่คำถามที่อยากหาคำตอบโดยการเยี่ยงกายไปหาประตูแล้วเปิดมันออกไปพบผู้มาเยือน...
ร่างสูงผมสีแพลทินัมบอลด์ แชมพูกลิ่นเพลาร์โกเนียม เสื้อยืดลายกะลาสี
‘ไม่ใช่...นี่ไม่ใช่เขา’ทำไมพระเจ้าท่านจึงต้องโหดร้ายกับมนุษย์ผู้หญิงที่ต้องอยู่ในบ้านหลังเล็กอย่างเดียวดาย ฉันแค่อยากเจอตัวตนของเขา...อีกครั้ง...เพียงเท่านั้น...
ร่างกายฉันทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น คนที่ยืนอยู่หน้าประตูที่ฉันไม่รู้จักกระทั้งชื่อ...ลดตัวลงแล้วค่อยๆพยุงฉันขึ้นจากพื้น ทำไม...เขาถึงยังไม่กลับมา...ฉันยังคงเฝ้าถามคำถามเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
น้ำตาที่ไหลรินดังสายน้ำหยดลงสู่พื้น...
“คุณเป็นอะไรมั้ยครับ เจ็บตรงไหนรึเปล่า” ฉันส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ไม่มีแม้กระทั้งเขาในวันนี้...และทุกๆวัน
“เอ่อ...ผมว่าคุณน่าจะไม่ไหวแล้วนะ ไปนั่งพักก่อนดีกว่าครับ” ชายหนุ่มตรงหน้าค่อยๆพยุงฉันออกจากบ้านหลังน้อยอย่างช้าๆ แต่หากกลับไม่มีเสียงอะไรรอดออกจากริมฝีปากฉันเลย อยากขอบคุณ แต่ก็เอื้อนเอ่ยอะไรออกไปไม่ได้ทั้งนั้น เรี่ยวแรงของฉันเหมือนถูกกลืนกินเข้าไปหมด ตั้งแต่คนที่เปิดประตูไม่ใช่เขาคนนั้นแล้ว...
ร่างของฉันถูกวางลงบนโต๊ะม้าหินสีขาวสะอาดตา หัวใจเหมือนถูกซ่อนไว้ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งฉันหามันไม่เจออีกแล้ว หาไม่เจอ ไม่อยากหา เพราะกลัว...กลัวว่ามันจะไม่มีความรู้สึก หรือ...ไม่มีอะไรเลย สมองเหมือนฉายภาพในอดีตในหัว เขาคนนั้น...กำลังเดินมากุมมือฉัน เราทั้งสองวิ่งเล่นกันในทุ่งหญ้าสีเขียวขจี...ไปไหนมาไหนด้วยกัน สองมือที่กุมไว้ไม่เคยคิดที่จะปล่อยออกจากกัน ไออุ่นทำให้เรารู่สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ความหมายที่เรามีให้กันและกันคงหาคำจำกัดความง่ายๆว่า ‘ความรัก’
“คุณ!” เสียงตะโกนของใครบางคนกำลังทำให้ภาพในหัวตรงหน้าแตกร้าว...ไออุ่นที่อยู่ตรงแก้ม ทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะมองผู้ชายตรงหน้าที่กำลังเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเนียนของฉัน
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า มีเรื่องไม่สบายใจอะไรเล่าให้ผมรับฟังได้รึเปล่า?” ไม่รู้ว่าจิตใจที่ไม่อยู่กับล่องกับลอยของฉัน หรือว่าความใจดีที่แสนอบอุ่นของเขาซึ่งแผ่ซานล้อมรอบตัวฉัน ถึงทำให้ฉันเลือกที่จากเปิดปากพูดโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย...
“เขา...เขาไม่กลับมาหาฉัน...ฉันนั่งเฝ้ารอเขาทั้งวันและคืน ฉันรักเขา ทำไมเขาถึงไม่กลับมาหาฉัน ทำไม” น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉันไม่ได้ยินเสียงของหัวใจอีกครั้ง...มันเหมือนล้นหายไป หาไม่เจอ อยากหาให้เจอ แต่ไม่มีแรงที่จะกระทำสิ่งนั้น
“คุณรักและเชื่อใจเขามาก...คุณจะว่าอะไรผมมั้ย ถ้าผมจะบอกกับคุณว่า...เขาคนนั้นจะไม่สามารถกลับมาหาคุณได้อีกตลอดไป...” ทุกอย่างเหมือนถูกหยุดค้างไหว...ไม่มีเสียงได้ถูกเอื้อนเอ่ยออกมา ฉันเบิกตากว้าง น้ำตาหนึ่งหยดถูกไหลผ่านแก้มแล้วพลันต้องสู่กระโปงของฉัน
“ทำไมล่ะ...ทำไมเขาถึงไม่กลับมาล่ะ” ปากที่พยามเอื้อนเอ่ยออกไปกลับมีแรงเพียงกระซิบถามชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
“คือ...เริ่มจากแนะนำตัวกันก่อนดีกว่ามั้ย ผมชื่อ...” ฉันไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นผมถูกขยำด้วยมือของตัวเอง ในหัวมีแต่คำว่า ‘ทำไมล่ะ’ เต็มไปหมด
“ทำไมล่ะ ทำไม” ปากพร่ำบอกคำที่อยู่ในหัวตลอด สมองพยามบังคับหัวใจให้หยุดพร่ำเพื่อ แต่ที่เหลือจากก้นบึ้งหัวใจ กลับเป็นเพียงหยดน้ำตา...
“เอ่อ นี่คุณใจเย็นๆก่อนนะ คุณชื่ออะไรหรอ” ทำไมล่ะ ทำไมล่ะ ทำไมล่ะ
“ไม่นะ กรี๊ดดดดด” ฉันระเบิดเสียงกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง สมองไม่สามารถควบคุมหัวใจได้อีกต่อไป หัวของฉันถูกจิกด้วยเล็บของตัวเอง ชายหนุ่มตรงหน้ากระชากมือฉันออกจากศีรษะอย่างรุนแรง ทำไม ทำไม ทำไม
“หยุดทำร้ายตัวเองได้แล้ว ทำแบบนั้นคุณคิดหรอครับ ว่าคุณสกายเขาจะดีใจ แค่เห็นคนรักเป็นทุกข์ เขาก็ทุกข์กว่าคนรักของเขาร้อยเท่า ไม่สิล้านเท่าเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นโปรดหยุดร้องไห้ แล้วค่อยๆ เอื้อนเอ่ยชื่อของตัวเองออกมา...” คำพูดของชายหนุ่มตรงหน้า ทำให้ฉันทำตามอย่างไม่คิดจะขัดขืน สติของฉันเริ่มอยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้น เมื่อคำว่า ‘สกาย’ ถูกออกมาจากปากของผู้ชายตรงหน้า เขาคนนั้น สกาย...
“ฉันชื่อซิลเวีย...”
“โอเค คุณชื่อ ซิลเวีย ตอนนี่ใจเย็นๆก่อนนะ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ...” ฉันทำตามที่ผู้ชายตรงหน้าบอก สูดลมหายใจเข้า...ลึกๆ
“ค่อยๆพ่นลมหายใจออก” พ่นลมหายใจออก...
“แล้วพูดกับตัวเองในใจว่า ไม่เป็นไร” ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คำเพียงสามพยางค์ทำใจฉันรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด ฉันต้องไม่เป็นไร
“ขอบคุณ” คำพูดที่ไม่ได้ถูกขัดกรองหลุดผ่านริมฝีปากฉันไป
“ฮะ อ้อ ไม่เป็นไรครับ” น้ำตาที่ไหลเป็นธาราหยุดแล้ว สติฉันกลับมาครบเหมือนเดิม
“ทำไมนายถึงได้รู้จักเขาล่ะ...‘สกาย’ คนรักของฉัน” น่าแปลกที่ตอนแรกการเอื้อนเอ่ยเสียงออกไป เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ตอนนี้กลับเป็นสิ่งที่ง่ายดายเสียเหลือเกิน
“คิดว่าผมเป็นเพื่อนของเขาก็ได้มั้ง แต่คุณจำเรื่องราวสิบปีก่อนได้มั้ย?” ฉันกำลังงง อะไรกันสิบปีก่อน
“สิบปีก่อนทำไมหรอ ฉันจำได้ว่าสิบปีก่อนฉันอายุ 7ขวบ ใช่ฉันอายุ 7ขวบ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสกาย” ชายหนุ่มฟังแล้วส่ายหน้า อะไรกัน...ฉันไม่เข้าใจ
“ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่” เขาไม่ยอมตอบคำถาม ฉันเริ่มไม่เข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าต้องการจะสื่อออกมาสักนิด
“อายุของฉันตอนนี้ 17 ฉันอายุ 17” ชายหนุ่มส่ายหน้าอีกครั้ง ฉันเริ่มคิ้วขมวดเป็นปมเล็กๆ อะไรกัน ปีนี้ 2004 ฉันก็อายุ 17 สิ แล้วทำไม...
“ปีนี้ ปี ค.ศ. อะไร” เขาถามแต่สิ่งที่เกี่ยวกับอดีตและปัจจุบัน ฉันเริ่มสับสนกับคำถามแต่ละอย่างที่ชายหนุ่มตรงหน้ายิงใส่ฉัน ฉันไม่เข้าใจ...
“2004” เขาส่ายหน้าเป็นครั้งที่สาม ซึ่งตอนนี้หัวใจฉันเหมือนถูกกระตุกเบาๆ คิ้วที่ขมวดเป็นปมเล็กๆกลายเป็นปมใหญ่ขึ้น
“ไม่ใช่ ที่จริงเมื่อสิบปีก่อน คุณอายุ 17 และตอนนี้คุณอายุ 27 ส่วนปี ค.ศ. นี้ก็ไม่ใช่ 2004 แต่เป็น 2014 ต่างหาก ความจำเมื่อสิบปีก่อนของคุณหายไป” หัวใจเหมือนถูกกระตุกจนหล่นหายไปไหนก็ไม่รู้อีกครั้ง อะไรนะ ฉันความจำเสื่อมงั้นหรอ... ตอนนี้ฉันอายุ 27 ไม่ใช่ 17 ปี ค.ศ. ในตอนนี้ก็ไม่ใช่ 2004 แต่เป็น 2014 ดวงตาฉันเบิกกว้างอีกครั้ง เสียงหายใจของฉันหยุดไปชั่วขณะ
“มะ...หมายความไงที่ฉันความจำฉันหายไป”
“คุณรอคุณสกายมากี่วันแล้วล่ะ” ชายหนุ่มตรงหน้าไม่ตอบคำถามฉันแต่สวนคำถามกลับมาอีกครั้ง
“สะ...สองอาทิตย์” ฉันยังจำได้ ก่อนอาทิตย์ที่ฉันรอสกายหนึ่งวัน ฉันกับเขายังจูงมือกันไปซื้อขนมปัง ที่ร้านเบอร์เกอร์รี่ตรงหัวมุมถนนอยู่เลยนี่นา
“ใช่ คุณรอเขามาสองอาทิตย์ ตั้งแต่คุณออกจากโรงพยาบาล” โรงพยาบาล!?
“ฉะ...ฉันไม่เข้าใจ”
“เป็นเพราะอุบัติเหตุเมื่อสิบปีก่อน คุณกับคุณสกายไปซื้อขนมปังที่ร้านเบอร์เกอร์รี่แห่งหนึ่งตรงหัวมุมถนน แล้วอยู่ๆก็มีรถแหกโค้งมาชนพวกคุณ คุณโชคดีที่ยังไม่ตาย แต่ก็ต้องเป็นเจ้าหญิงนิทราไป ส่วนคุณสกาย เขาปกป้องคุณไว้ ทำให้เสียชีวิตเลยแทบจะทันทีที่รถแหกโค้งคันนั้นชนร่างกายเขาแล้วไปกระแทกกับเสาไฟฟ้า เมื่อสิบปีผ่านมาเธอก็หลุดออกมาจากหวงนิทราโดยที่ความจำสิบปีก่อนสูญหายไปหมด” ฉันพูดอะไรไม่ออก ลมหายใจเข้าออกถี่ขึ้น ฟันกระทบกันไปมา ตัวสั่นเทา น้ำตาที่แห้งเหือดไหลรินอีกครั้ง ถ้าสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าพูดเป็นความจริง สกาย... คนรักของฉัน... ก็ได้ตายจากโลกไปเมื่อสิบปีก่อนแล้วจริงๆ
“สกาย สกาย สกาย คุณอยู่ไหนน่ะ สกาย” ฉันพร่ำรำพันชื่อเขาออกมา มือถูกประวานไว้ด้วยกันที่กลางอก หน้าที่ถูกก้มทำให้น้ำตาไหลหล่นเปรอะเต็มกระโปง เสียงสะอื้นดังขึ้นจนไม่มีอะไรจะหยุดหยั่งมันได้
ราวกับมีโปรเจคเตอร์มาฉายภาพอดีตตรงหน้า ฉันกำลังเห็น...เหตุการณ์ในอดีต...
‘นี่ ซื้อขนมปังไปเยอะแบบนั้น เดี๋ยวก็อ้วนหรอก’
‘แต่ถึงฉันอ้วน คุณก็จะรักฉันอยู่ใช่มั้ยล่ะคะ’
‘ไม่...’
‘อะ...เอ๊ะ!?’
‘ไม่มีทางที่ผมจะไม่รักคุณหรอก’
เอี๊ยดดดดด
‘ซิลเวียระวัง!’
โครม!!
‘…’สกายขยับปากพูดอะไรกับฉันสักอย่าง แต่เสียงการบดขยี้ของล้อรถดังเกินกว่าฉันจะได้ยิน ร่างของฉันถูกเบียดด้วยร่างสูงของสกาย แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลงไป
ฉันลืมตาขึ้นมาแล้วค่อยๆยันตัวลุกขึ้นด้วยแขนทั้งสองข้าง พยาบาลรีบวิ่งมาช่วยฉัน ฉันจำได้ ทุกอย่าง...สกายตายแล้ว เขาตายแล้ว...มือซ้ายฉันกระฉากสายน้ำเกลือออกจากมือขวาอย่างไม่ใยดี ร่างกายรีบลุกขึ้นเดินออกจากโรงพยาบาล แม้ว่าพยาบาลจะฉุดกระฉากฉันยังไง ฉันไม่สน ที่ที่ฉันต้องการจะไปให้เร็วที่สุดคือ...บ้านหลังน้อยของฉันที่สกายชอบมาหาบ่อยๆ...
...
..
.
ฉันนำสิ่งของทุกอย่างที่สกายมอบให้มากองไว้ตรงหน้า กอดพวกมันไว้ในอ้อมอก น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างบ้าคลั่งไม่ยอมหยุดไหลแม้แต่วินาทีเดียว...
‘ฉันรักคุณค่ะ ฉันรักคุณ’ พร่ำบอกรักกับคนที่ไม่อยู่บนโลกแล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร ฉันรู้ดี ฉันเข้าใจว่าเขาไม่มีทางกลับมา แต่ฉันยังคงรักเขาอยู่ รักทุกลมหายใจที่เป็นของเขา...
ฉันกักตัวเองไว้ในบ้านหนึ่งวันเต็มและตัดสินใจที่จะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยที่ตัวเองยังคงคิดว่า ‘สกาย’ คนที่ฉันรักยังมีชีวิตอยู่ และวันที่สองของการออกจากโรงพยาบาล การทำตัวปกติ โดยยิ้มกับตัวเอง เฝ้ามองรูปภาพที่ถ่ายคู่กันกับเขาแล้วบอกกับรูปใบนั้นว่า ‘ฉันรักคุณ’
ตีสองสี่สิบสามนาที...ฉันตัดสินใจโทรหาเขาอีกครั้ง แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม... เขาไม่รับโทรศัพท์ แต่ฉันยังคงเชื่อมั่นตลอดเวลา เพียงสิ่งเล็กๆที่เรียกว่าหัวใจยังคงตอบสนองเมื่อฉันคิดถึงเขา...
ฉันโกหกตัวเอง อาทิตย์แรกฉันก็ยังคงเฝ้ารอ อาทิตย์ที่สองฉันก็ยังคงเฝ้ารอ ทำการกระทำโง่ๆเหมือนเดิม
ตีสี่ห้าสิบเก้านาที...ท้องฟ้าเริ่มมีแสงจากดวงตะวันสาดส่องลงมาจากเมฆ แต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา...
รอเขาจนถึงวันใหม่ที่ดวงตะวันขึ้นมาทักทาย และดวงจันทร์ก็ขึ้นมาทักทายอีกครั้งเมื่อ ดวงตะวันบอกลา
แต่ในวันนี้มันไม่เหมือนเดิม เพราะเสียงกริ๊งที่ดังกังวานอยู่ในบ้านหลังน้อย และได้พบเจอกับผู้ชายที่ไม่รู้แม้กระทั้งชื่อ ผู้ชายคนนั้นได้บอกความจริงกระแทกใส่หัวใจฉันอีกครั้ง เหมือนต้องการบอกให้ฉันยอมรับความจริง...
“ผมรู้ว่าคุณยอมรับความจริงไม่ได้”
“ใช่! ฉันโกหกตัวเอง! โดยทำสิ่งโง่ๆ พร่ำบอกรักสกายทั้งวันทั้งคืน เอาสิ่งของที่เขาให้ฉันมากองตรงหน้าแล้วร้องไห้ออกมา ต้องกัดฟันพูดทุกครั้งเวลาในใจมันบอกให้ฉันพูดกับตัวเองว่า...เขาตายแล้ว!”เสียงฉันแหบพร่าในประโยคสุดท้ายที่ไม่อยากให้มันถูกเอื้อนเอ่ยออกมา ชายหนุ่มตรงหน้าไม่มีเสียงอะไรเอื้อนเอ่ยออกมา ฉันเลยพูดต่อไป
“ฉันจำทุกอย่างได้หมด ฉันได้เพียงแต่หวัง หวังในสิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้! แต่รู้อะไรมั้ยทุกๆครั้งพอถึงช่วงเวลานี้ สมองก็จะบีบบังคับบอกฉันว่า เขา...ฮึก…มาหาฉันไม่ได้ เพราะเขาตายไปแล้ว! ฮึก สมองฉันจำมันได้ทั้งหมด แต่กลับคิดอะไรไม่ออกว่าจะพ้นจากวงจรบ้าๆนี่ไปได้ยังไง ที่ฉันรู้อย่างเดียวในหัวของตัวเองทุกๆวันก็คือ ฉันรักเขา และมันจะไม่แปลเปลี่ยนไปสักวินาทีเดียว” ไม่ว่าจะเจ็บปวดสักเท่าไหร่ จะช้ำใจเพียงใด แต่หัวใจมันกลับดื้อด้านที่จะรักคุณเพียงคนเดียว สกาย...
“ในสิ่งโสมมที่คุณปิดกันความจริงเอาไว้ มันจะเป็นหนามที่แหล่มคมจะทิ่มแทงหัวใจของคุณให้แหลก การปิดกั้นสิ่งที่เรียกว่าความจริงไม่ได้ต่างไปกลับปิดประตูลงกลอน แล้วจุดไฟเผาตัวเองให้ตายในห้องเลยนะ ผมอาจไม่เข้าในสิ่งที่คุณเจ็บปวดทั้งหมด แต่ถ้าหากการที่เราต้องแบกรับความจริงมันหนักหนามากสะจนทำให้คุณต้องโกหกตัวเองขนาดนี้ล่ะก็...คุณลองปล่อยวางกับมันดูสักครั้งสิ...” โกหก ร้องไห้ เจ็บปวด วงจรที่ยึดฉันอยู่กลับที่ มันยึดฉันไว้เหนียวแน่น ฉันอยากปล่อยว่าง...ตามที่ผู้ชายตรงหน้าบอก
“แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะ วงจรบ้าๆนี้ที่มันยึดฉันอยู่แบบนี้ ฉันอยากปล่อยวางมัน ช่วยฉันที... ” เสียงฉันแหบพร่าไปบ้างประโยค แต่ฉันเพียงต้องการความช่วยเหลือ...
“ผมต้องการให้คุณรับจดหมายนี่ไป แล้วเปิดอ่าน บางทีในนี้อาจจะช่วยคุณได้” มือฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่อยู่ในซองจดหมาย ฉันเงยหน้าขึ้นมาสบตาผู้ชายตรงหน้า เขาพยักหน้าให้ฉันหนึ่งทีเป็นเชิงว่า ‘ในนี้ต้องช่วยคุณได้แน่’ ฉันเปิดซองจดหมายออกมาอยากนุ่มนวล ทำไม่ฉันต้องทะนุถนอมขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ แต่ความรู้สึกอบอุ่นที่อัดแน่นภายในซองจดหมายเล็กๆสีนวลนี้บังคับให้ฉันทำแบบนั้น
กระดาษสีน้ำผึ้งซึ่งอยู่ในซอกจดหมายส่งกลิ่นหอมออกมาทักทาย กระดาษหอมงั้นหรอ กลิ่นน้ำหอม Lacoste แบบนี้เหมือนที่สกายใช้เลย หัวใจที่กลับมาสูบฉีดอย่างรวดเร็วโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว
‘Dear honey of mine’
‘แด่ที่รักของผม’
ประโยคเพียงประโยคเดียว ทำไมกัน ความสุขที่เปรมปลิ่ม แต่น้ำตาก็ยังคงไหลรินอยู่ ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานเพียงไรแล้ว...
‘ผมรู้สึกเสียใจ ที่ผมไม่สามารถอยู่เคียงข้างคุณได้นาน ทุกวันจากสวรรค์ที่ผมได้เฝ้ามองคุณ ผมรู้สึกผิดทุกๆครั้งที่คุณร้องไห้ น้ำตามันชั่งไม่เหมาะกับใบหน้าของคุณเลยสักนิด ผมอยากตะโกนบอกคุณว่า ‘ผมจะอยู่เคียงข้างคุณ’ในทุกๆครั้งที่คุณร้องไห้หรือทรุดตัวอย่างไร้เรี่ยวแร้ง แต่กลับทำไม่ได้ ขอโทษที่ไม่สามารถดูแลคุณได้ ขอโทษที่ผมทำให้คุณไม่มีความสุข ผมรู้ว่าเมื่อคุณค้นพบว่าตัวผมนั้นไม่มีลมหายใจในโลกใบนี้แล้ว คุณจะต้องโกหกตัวเองว่าผมยังไม่ตาย แต่อีกสิ่งหนึ่งที่มันจะตอกย้ำคุณเสมอว่าผมได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว แต่ได้โปรด ผมขอร้อง ผมไม่ชอบให้คุณเจ็บปวด ผมไม่ชอบให้คุณทรมาน หยุดโกหกตัวเอง ยอมรับความจริง ผมรู้ว่าคุณทำได้คนเก่งของผม คุณยังคงจำภาพยนตร์เรื่องแรกที่พวกเราไปดูได้มั้ย? เรื่อง The Twilight breaking dawn ผมและคุณชอบฟังเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้มากเลย ผมจำได้ A Thousand Years ถ้าเกิดมีโอกาสผมก็อยากจะขับร้องเพลงนี้ไปกับคนที่ผมรักเฉกเช่นคุณ...’ ฉันหยุดอ่านจดหมายที่แผ่ซ่านไปด้วยความอบอุ่นของสกาย...ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้ฉันต้องขยับริมฝีปาก และเริ่มขับร้องเพลงที่เขาเขียนไว้ในจดหมาย...
“Heartbeats fast
[หัวใจของฉันเต้นเร็วขึ้น]
Colors and promises
[ข้ออ้าง และคำสัญญา]
How to be brave
[ทำเช่นไรถึงทำให้ฉันกล้ามากขึ้นกว่านี้]
How can I love when I’m afraid to fall
[ฉันจะรักได้อย่างไรกัน ในเมื่อฉันกลัวที่จะล้ม]” บางช่วงกระตุกด้วยเสียงสะอื้น บางท่อนขาดห่วงเพราะฉันหายใจไม่ทัน มันชั่งไม่เพราะสักนิดหากร้องเพลงนี้ในช่วงเวลาแบบนี้นี้ แต่ฉันกลับมีความสุข และริมฝีปากก็ยังคงฝืนที่จะร้องมันต่อไป
“But watching you stand alone
[แต่แค่ฉันดูคุณยืนอยู่คนเดียว]
All of my doubt suddenly goes away somehow
[คำถามเหล่านั้นกลับหายไปในชั่วพริบตา]
One step closer
[ขยับเข้ามาอีกหนึ่งก้าว]”
เพียงขยับเข้ามา หนึ่งก้าว...
“I have died everyday waiting for you
[ฉันรอคุณทุกวัน แม้จะเบื่อ ไม่มีความรู้สึกเหมือนคนตาย ฉันก็จะรอ]
Darling don’t be afraid I have loved you
[ที่รักอย่าเพิ่งกลัวไปนะ ฉันยังคงรักคุณ]
For a thousand years
[มาตลอด หนึ่ง พันปี]
I love you for a thousand more
[และฉันจะรักคุณไปอีก หนึ่งพันปี]”
อา...ฉันจะรักคุณตลอดกาล...
ฉันอ่านจดหมายต่อ ข้อความถัดมาทำให้ฉันต้องเบิกตากว้าง น้ำตารินไหลออกมาไม่หยุด ฉันสูดน้ำมูกไปมา และยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว
‘ผมคงกลายเป็นวิญญาณที่บ้าไปแล้วแน่ๆ ทั้งที่ไม่ได้ยินเสียงตัวเองแล้วแท้ๆ แต่กลับร้องเพลงนี้ออกมาเพียงเพราะคิดว่าคุณคงจะทำเหมือนกับผมเช่นกัน...’
Time stands still
[กาลเวลายังหยุดนิ่ง]
เมื่อคุณได้ยื่นความอบอุ่นดังอ้อมกอดของคุณมาให้ฉัน มันอบอุ่นจนฉันไม่อยากจะปล่อยมันออกไป อยากให้มันหยุดนิ่งดังเพลงที่ฉันกำลังขับร้อง
Beauty in all she is
[สวยงาม อย่างที่มันเป็น]
เพราะสิ่งที่พวกเราเรียกมันว่า ‘ความรัก’ สวยงามเสมอในแบบของพวกเรา ไม่เหมือนใคร หากอยากสัมผัส เพียง...หลับตา
I will be brave
[ฉันจะต้องกล้าขึ้น]
นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำตั้งนานแล้ว... หากคุณจากไป ขอบคุณสำหรับคำตอบ...และขอโทษที่ทำให้คุณเป็นห่วง ต่อจากนี้ฉันจะเข้มแข็งขึ้น ให้คุณได้เห็น
I will not let anything take away
[ฉันจะไม่ให้สิ่งใดมาทำให้ฉันเปลี่ยนใจได้]
เพราะฉันจะกุมมือคุณไว้ จะไม่ยอมประทับจูบนี้ให้ใครนอกจากคุณ จะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนใจ เพราะหัวใจฉันมีเพียงดวงเดียว และจะใจเต้นกับคุณเพียงคนเดียว
What’s standing in front of me
[นั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังเผชิญอยู่]
ฉันต้องกับมาเจอกับโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งคุณจะอยู่เคียงข้างฉันเสมอ ฉันสัมผัสได้
Every breath
[ทุกลมหายใจ]
ทุกกายสัมผัส
Every hour has come to this
[ทุกๆชั่วโมงจะกลายมาเป็นสิ่งนี้]
กลายเป็นสิ่งที่ เราจะอยู่ด้วยกันตราบนานเท่านาน และจะไม่มีสิ่งใดที่จะแยกพวกเราออกจากกันได้อีกครั้ง
One step closer
[เข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว]
เพียงหนึ่งก้าว
“ขอบคุณนะ” ฉันหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากให้คุณมีความสุข...ผมลาล่ะนะครับ” เขาพูดก่อนจะเดินออกไปจากฉันสี่ห้าก้าว
“เดี๋ยวก่อน” ชายหนุ่มหันมองมาที่ฉันอีกครั้ง
“ชื่อของนายน่ะ ขอฉัน...ฟังชื่อของนายอีกครั้งได้รึเปล่า”
“ผมชื่อ มิคาเอลครับ และอีกอย่างคุณลืมอ่านข้างหลังซองจดหมายนะ” ฉันพลิกซองจดหมายกลับหลังทันที ในกระดาษสีขาวสะอาดส่วนมุมซองด้านหลัง มีเพียงหกพยางค์ แต่กลับทำให้ฉันมีความสุข ยิ้มจนแก้วปริ ใบหน้าที่กำลังเปรอะเปื้อนลอยยิ้มและน้ำตาค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปเพื่อจะบอกกับชายหนุ่มตรงหน้า นาม ‘มิคาเอล’ แต่คนตรงหน้ากลับหายไป คงจะขึ้นไปยังสวรรค์แล้วล่ะ ก็เขาเป็นคนนำจดหมายของสกายมาให้ฉันนี่นา
“ขอบคุณนะคะ ท่านมิคาเอล...” มือทั้งสองข้างสอดประสานกันโดยที่ยังถือซองจดหมายอยู่ ฉันคิดถึงคำทั้งห้าพยางค์ ก่อนจะหลับตาลงแล้วสูดหายใจลึกๆ แล้วค่อยๆปล่อยออกมาอย่างที่ท่านมิคาเอลเคยบอกไว้...
‘ผมรักคุณซิลเวีย...’
“ผมรักคุณซิลเวีย” เสียงของใครบางคนกำลังเฝ้าบอกรักฉันอยู่ ร่างกายของฉันค่อยๆขยับ เริ่มจากนิ้วชี้ที่กระตุกอยู่นิดหน่อย แล้วความรู้สึกอบอุ่นตรงมือก็แผ่ซ่านอย่างรวดเร็ว ฉันค่อยๆปรือตาขึ้นมา สกาย กุมมือฉันไว้ริมฝีปากเข้าจรดลง
บนนิ้วมือของฉัน ลมหายใจของเขาฉันรู้สึก และสัมผัสได้ มันชั่ง...อบอุ่นเหลือเกิน...
“สกาย...” ฉันพยามเปล่งเสียงที่แหบแห้งเพื่อเรียกชื่อเขา คนที่ฉันรัก
“ซิลเวียคุณ...โอ้พระเจ้า ผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรักคุณ” ฉันถูกอ้อมกอดอันอบอุ่นของสกายครอบครอง มันอบอุ่นจนน้ำตารินไหลออกมาก...จบแล้วสินะความฝันอันโหดร้าย...ตอนนี้ ฉันอยากพูดกับเขากลับไปเหมือนที่เขาพูดกับฉัน...
“ฉันก็รักคุณค่ะ... สกาย” อา...ฉันเข้าใจแล้วล่ะ ในตอนนี้ร่างกายฉันยังอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันเกิดเจออุบัติเหตุรถพุ่งเข้าชนตอนที่ฉันไปซื้อของ ฉันกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราที่ตลอดเวลาสิบปีไม่ยอมตื่นขึ้นมา
“คุณรู้มั้ย คุณหลับไปนานเท่าไหร่” และในเวลานี้...ฉันได้รับรู้ทุกอย่างแล้ว มุกอย่างทั้งหมดทั้งมวล และคงลืมไม่ลง
“ทราบค่ะ ฉันหลับมาสิบปี และตอนนี้ปี ค.ศ. 2014 ฉันรู้ทุกอย่างค่ะ ขอบคุณที่คุณรักฉันเหมือนเดิม” สกายดูอึ้งๆ แต่เพราะทุกอย่างที่ฉันรู้สึก...
“นี่ สกาย คุณช่วยร้องเพลง A Thousand Years กับฉันได้รึเปล่าคะ”ที่ฉันสัมผัสได้มาตลอดสิบปีเป็นเพียง...แค่ความฝัน
“ได้ครับ ในเมื่อคุณต้องการ ซิลเวีย...” มันจะเป็นเพียงแค่ความฝันหรอ...ซิลเวีย
“Heartbeats fast
[หัวใจของฉันเต้นเร็วขึ้น]
Colors and promises
[ข้ออ้าง และคำสัญญา]
How to be brave
[ทำเช่นไรถึงทำให้ฉันกล้ามากขึ้นกว่านี้]” สายตาฉันไปหยุดอยู่ที่บานหน้าต่าง ปีกสีขาว ร่างสูงผมสีแพลทินัมบอลด์ เสื้อยืดลายกะลาสี นี่มัน...คงไม่ใช่ความฝันทั้งหมดสินะ
“ขอบคุณค่ะ...ท่านมิคาเอล” ฉันพูดเสียงแผ่วเบา และร้องเพลงต่อ ริมฝีปากที่ยังคงขยับไปมา ทำให้ฉันรู้สึกถึงความรักที่สิ่งอื่นมิอาจเทียบค่าได้...ฉันกับสกายจรดริมฝีปากกันด้วยความนุ่มนวล อบอุ่นไปกลับอ้อมกอด เสียงลมหายใจของเขารดจมูกเล็กๆของฉัน มือทั้งสองข้างโอบรอบคอของคนที่ฉันรัก กลิ่นLacoste ตลบอบอวลไปทั่ว โดยที่รสจูบแสนหวานกำลังดำเนินต่อไปเรื่อย...
ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุด รู้สึก สัมผัส และปล่อยให้ใจล่องลอยออกมา เหมือนกำลังท่องเที่ยวไปยังโลกหลากสีสันที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ซึ่งคนตรงหน้ากำลังมอบให้ฉัน ตาของฉันปรือขึ้นแล้วมองไปยังแจกันที่ตั้งไว้บนโต๊ะ เขา...เอามาให้ฉันสินะ ฉันรักคุณค่ะ รักที่สุด รักมากกว่าสิ่งใดในโลก ตอนนี้...ฉันไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว ไม่...ไม่มีเลย เพราะว่าเขายังอยู่ข้างๆฉัน ค่อยจับมือ ค่อยกอดให้ความอบอุ่น ขอบคุณ...นะ ที่สอนให้รู้จักคำว่า ‘ความรัก’ ฉันจะรักคุณตลอดไป จนวันที่ชีวิตจะหาไม่เลยค่ะ
ร่างสูงระหงที่นั่งอยู่บนกลิ่นใส่เสื้อกะลาสี มีปีกสีขาวงอกออกมา กำลังมองการกระทำแสนหวานของมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งนาม ‘ซิลเวีย’ และคนรักของเธอ ‘สกาย’ รู้มั้ยอะไรดลใจให้เขาทำแบบนี้ เข้าไปในหวงนิทราของ ซิลเวีย เมลเบิร์นแล้วปลุกเธอขึ้นมาจากฝันร้ายที่กำลังหลอกตัวเธอเองอยู่ ว่าคนรักของเธอได้เสียชีวิตไปแล้ว ทั้งที่สิบปีก่อนผมควรช่วยเธอตั้งนานแล้ว...
แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำ...เพราะผมตกหลุมรักผู้หญิงที่ชื่อ ซิลเวีย เมลเบิร์น ตั้งแต่แรกเห็น แต่...ใช่มันเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์และพระเจ้าจะรักกัน ที่สำคัญ เธอมีความรักแล้ว กับ สกาย ฮีทเบรฟ ทีนี้คุณคงรู้แล้วแล้วใช่มั้ยว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาใครเป็นคนกำหนด ‘มิคาเอล’ ผมคนนี้ เป็นคนกำหนดชีวิตของเธอ ผมอาจเป็นเทพที่สารเลว แต่ว่าความรักมันบังคับให้ผมต้องกระทำแบบนั้น แต่พอผมเห็น สกาย ฮีทเบรฟ ที่ต้องมาเฝ้ารอเธออยู่ทุกวัน และเขาดูสูบผอมทุกๆวันที่มาเยี่ยมเธอ ผมก็รู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้ก็รักซิลเวียไม่ต่างจากผม และอีกอย่างเขามาก่อนผมด้วยซ้ำ...ผมรู้สึกแย่มาก พอมาถึงวันนี้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2014 ซึ่งแต่ล่ะปีผมก็จะเห็นสกายเอาดอกกุหลาบมาให้เธอทุกปีหากถึงวันนี้...
ความทรงจำเก่าๆ เธอจะจำมันได้มั้ยนะ ตอนที่ผมได้พบเจอกับเธอครั้งแรก
‘เอ่อ คุณคะมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ หลงทางรึเปล่า ที่ลอนดอนนี้มีคนหลงทางเยอะจัง เฮ้อ~ ลำบากแย่เลยนะคะ ให้ฉันพาคุณไปส่งมั้ย ว่าแต่คุณจะไปที่ไหนหรอคะ?’ ผมซึ่งนั่งคอต้องแกล้งเป็นผู้หลงทางเพื่อวัดใจมนุษย์ในโลกปัจจุบันของแต่ละปีเงยหน้าขึ้น ผู้หญิงตัวเล็กผมสีทองซึ่งถูกมัดรวดไว้เป็นหางม้า ปลายผมม้วนเหมือนถูกดัดรอน ตาสีทองทะเลลึก ดูท่าเธอคงจะเป็นหญิงสาวที่ใจดีคนหนึ่งเลยล่ะ
‘ครับ ผมมาจากวอชิงตัน ดีซี กำลังไปสถานี K แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนแล้ว ทุกทีเหมือนกันหมดเลย” ผมเอ่ยอย่างเศร้าหวังที่จะตีบทแตก แอบเหลือบมองหน้าเธอที่อยู่ตรงหน้า เธอกำลังยิ้ม เป็นยิ้มที่ดูน่ารักดี แต่การที่เธอมาช่วยผมไว้แบบนี้ก็เข้าขั้นนิสัยน่ารักแล้ว
“ให้ฉันไปส่งดีกว่านะคะ เพราะตอนนี้หิมะก็เริ่มตกแล้ว ถ้าไม่รีบไปคุณอาจจะหนาวและไม่มีที่พักก็ได้” เธอพูดพร้อมยิ้มจนแก้มปริ ดูดีในแบบของตัวเอง
“ก็ดีเหมือนกันครับ ขอบคุณมาก” หลังจากนั้นผมก็เดินตามเธอไป...เธอที่อาสาจะพาผมไปส่งที่สถาณี K ชื่อ ซิลเวีย เมลเบิร์น ซิลเวียเป็นคนพูดเก่ง ชวนผมคุยตลอดทางทำให้การเดินด้วยกันไม่น่าเบื่อ ตอนนี้ที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวของ ซิลเวีย เมลเบิร์น ก็คือ เป็นคนที่ดี มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือ และนิสัยน่ารัก
“ถึงสถานีแล้วล่ะค่ะ ขอให้เดินทางดีๆนะคะ บ๊ายบาย” เธอโบกมือลา ผมเลยโบกมือกลับ นับตั้งแต่ช่วงวินาทีนั้นผมก็พึ่งได้สังเกตว่า...หัวใจผม เต้นแรงขึ้นอย่างผิดปกติ ผมตกหลุมรักเธอเข้าให้แล้วสินะ…
เธอยังจำมันได้มั้ยซิลเวีย ความทรงจำของพวกเราสองคน...ผมคงจะเป็นคนเดียวสินะที่เพ้อไป แต่ก็อยากให้เธอได้รู้ไว้
น้ำตาของสกายกับซิลเวีย หากเอารวมกันคงกลายเป็นทะเลทราบได้เลย ความรู้สึกผิดมหันต์กับสิ่งที่ก่อขึ้นมาเองโดยความรักทำให้ผมต้องเจ็บเอง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเข้าไปในฝันของเธอ ปลุกเธอ เราเรื่องความฝันที่เธอกำลังหลอกทำเองอยู่ในหวงนิทรา และพาเธอกลับขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง...มันเจ็บนะ หากคนที่เรารักเขายิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มมาให้เรา มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าหากเขามอบรอยยิ้มแสนสดใสนั่นไปให้คนที่เขารัก ซึ่งไม่ใช่เรา แค่คนที่ได้รับรู้ว่ารอยยิ้มที่ไม่ส่งให้ถึงเค้า มันส่งให้กับคนอื่น คนที่เธอรัก มันเจ็บนะ เจ็บไปถึงขั้วหัวใจ เพราะการเป็นผู้ขัดขวางความรักของทั้งสองคนจึงมีผลกรรมที่ทำให้ผมเจ็บขนาดนี้ อย่างน้อยก่อนที่ผมจะต้องทรมานไปจนไม่มีวันที่จะสิ้นสุด ผมก็ขอพูดคำบ้างคำกับซิลเวียสักหน่อยแล้วกัน คำบางคำ...ที่อยากพูดมากนาน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน
ผมยืนขึ้นเหยียบกิ่งไม้ที่เคยนั่งก่อนที่จะกุมมือแล้วประสานไว้กลางอก ‘ขอให้พวกคุณรักกันนานๆนะ’ นั่นแหละคำอธิษฐานที่ผมประทานให้พวกเขา ผมกางปีกสีขาวสะอาดทั้งสองข้างขึ้นก่อนจะกระพือเพื่อทรงตัว แต่ก่อนจะจากไปผมไม่ลืมที่จะกล่าวคำๆนั้น ซึ่งอยากจะพูดมันออกมานานแล้ว...ขอโอกาสครั้งนี้ให้ผมได้พูดกับเธอสักครั้งในชีวิตนะซิลเวีย...
“ผมรักคุณ และ ขอโทษที่ต้องทำให้เจ็บปวด”
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ