[เรือคาราวานที่ไปไม่ถึงฝั่ง]

9.0

เขียนโดย larceta

วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.27 น.

  4 ตอน
  3 วิจารณ์
  7,048 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2557 21.18 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

4) ขึ้นบก / ร้านน้ำตาไหลพรากแตกแห่งหมู่บ้านคิวคิว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

--\__4__/--

     ขึ้นบก / ร้านน้ำตาไหลพรากแตกแห่งหมู่บ้านคิวคิว

     เมืองคิวคิว (QQ TOWN) หรือควรจะเรียกว่าหมู่บ้านคิวคิวน่าจะถูกกว่า ไม่มีอาคารสูง  ไม่มีรถม้าเวทมนต์ขวักไขว่ติดสัญญาณไฟจราจรยาวเหยียด  ไม่มีคนมาตั้งแผงขายของบนทางเท้า  ไม่มีม็อปประท้วงขอขึ้นค่าแรง มีสีเขียวของต้นไม้แซมอยู่ทุกจุดของเมือง ให้ความรู้สึกผ่อนคลายจนอาจจะเผลอหลับคาม้านั่งได้

     ซเวซและแคชชี่มาถึงในตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว หลังผูกเรือไว้กับท่าฝากเรือ ทั้งสองพาตัวเองเข้าพักที่โรงแรมซึ่งก็คือโรงเตี้ยมแห่งเดียวของหมู่บ้าน มีห้องพักเล็กจิ๋วแบบรวมสามเตียงอยู่ห้องเดียว  โชคดีที่นอกจากพวกเขาแล้วไม่มีแขกคนอื่น (และก็ไม่น่าจะมีมานานแล้ว) ทั้งคู่จึงเหมือนได้พื้นที่เหยียดแข็งเหยียดขาเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย  

     แล้วอาหารเช้า?  ยังหวังว่าจะมีด้วยเหรอ

     หลังหลับเป็นตายจนถึงเช้า  ทั้งคู่ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพหนังท้องหย่อนยานโหรงเหรง  จากการสอบถามหาร้านอาหารซึ่งจริงๆก็ไม่ต้องถามก็ได้  เพราะจริงๆมันก็อยู่ติดกับโรงเตี้ยมและคนที่เป็นแม่ครัวก็คือภรรยาเจ้าของโรงเตี้ยมนั่นเอง (เพราะแบบนี้แหละจึงไม่มีอาหารเช้ารวมที่พักได้  หัวธุรกิจมากมาย)  ร้านอาหารเพียงร้านเดียวของหมู่บ้านซึ่งชื่อว่า "ร้านน้ำตาไหลพราก" (ไม่รู้ว่าไหลเพราะอร่อยหรือเสียดายเงินกันแน่)

     ร้านน้ำตาไหลพรากเป็นร้านอาหารตามสั่ง  แต่เท่าที่ทั้งคู่ได้เห็น วันนี้รายการอาหารในเมนูที่เขียนอยู่บนกระดานนั้นมีอย่างเดียวคือซุปกับขนมปัง จึงไม่เสียเวลาเท่าไรที่ทั้งคู่จะคิดหาเมนูที่จะสั่ง (และถึงสั่งอย่างอื่นก็ไม่ทำให้  เสียงตะโกนจากแม่ครัวด่าทอพวกที่พยายามจะสั่งนอกเมนูทำให้พวกเขารู้  เผด็จการชัดๆเลยร้านนี้) เพียงสั่งไปไม่นาน  อาหารก็มาเสิร์ฟ ซุปร้อนกับขนมปังแล้วก็นม  ซุปรสชาติไม่เลว   ขนมปังอบใหม่นุ่มฟู  นมสดๆเพิ่งรีดจากแม่วัวหลังร้าน  บวกกับปริมาณที่ให้มาเต็มที่อย่างที่ไม่มีทางหาได้แน่ถ้าเป็นร้านเมือง  ขนาดที่ทั้งหนึ่งคนหนึ่งแมวท้องห้อยโหรงเหรงยังกินได้ไม่ถึงครึ่งก็ต้องขอให้ใส่ห่อ  เพราะหากทานต่ออาจท้องแตกตายได้  

     และนี่เองที่อาจเป็นที่มาของชื่อร้าน ร้าน (อิ่ม) จนน้ำตาไหลพราก

     เมื่อหนังท้องตึงแต่หนังตาไม่หย่อน  สมองที่โลดแล่นฟื้นคืนสติของพวกเขาให้กลับมาและเริ่มคุยต่อเรื่องที่คุยค้างกันไว้เมื่อวานนี้

     "นี่แคช ตกลงพวกเราต้องไปตามหาเรือคาราวานกันที่ไหน เจ้ารู้สถานที่แล้วใช่ไหม"

     "ก็ทั้งรู้  ทั้งรู้แล้วก็ไม่รู้ล่ะนะเมี๊ยว"

     "รู้แล้วก็ไม่รู้?" ซเวซงง "หมายความว่ายังไงอ่ะ  ไหนเจ้าบอกว่าเคยเห็นมันมาก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ"

     เจ้าแมวถึงกับสะอึกสำลักนมสด  มันลืมไปเสียสนิท  คำโกหกคำโตกำลังจะย้อนคืนเสียแล้ว

     "กะ...ก็มันนานมาแล้วน่ะเมี๊ยว นานตั้งแต่สมัยข้าแบเบาะเลยเมี๊ยว จำได้ว่าเคยเห็น  แต่ไม่จำไม่ได้ว่าที่ไหนแล้วล่ะเมี๊ยว"

     เด็กหนุ่มได้ยินก็ทำหน้าเศร้า "งั้นเหรอ  แย่เลยนะ"  

     เจ้าแมวถอนใจโล่งอกที่ยังแถเอาตัวรอดไปได้

     "แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสถานที่นั้นหรอกนะเมี๊ยว อันที่จริงก็มีชื่อสถานที่ที่เรือคาราวานอยู่เขียนไว้เหมือนกัน"

     "อ้าว ถ้ารู้ชื่อสถานที่แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหานี่นา"

     "มีสิเมี๊ยว มีเยอะเลยด้วยเมี๊ยว" เจ้าแมวยกนมสดขึ้นจิบ "เจ้ารู้จักสถานทีที่มีชื่อว่า afafepfkpwvwpvwp ไหมล่ะ"

     "อะไรนะ?"

     "afafepfkpwvwpvwp"

     ซเวซยกนิ้ว "ขออีกรอบ"

     "afafepfkpwvwpvwp"

     เขากอดอกแล้วนิ่วหน้า "ชื่อพิลึก  แถวยาวโคตรป๊ะป๋าแบบนี้  ใครนะช่างตั้งชื่อเมืองได้พิลึกพิลั่นแบบนี้"  

     "ตัวเองมีชื่อพรรค์แบบนั้นอยู่ มีหน้าไปว่าเค้าด้วยเหรอเมี๊ยว!"  

     เจ้าแมวอดไม่ได้ตบมุขไปหนึ่งครั้ง  

     "แต่ก็อย่างที่เจ้าได้ยินนี่แหละ ปัญหาก็คือ  เราไม่รู้ว่าไอ้ afafepfkpwvwpvwp นี่มันหมายถึงที่ไหนเมี๊ยว รวมถึงเนื้อหาที่เขียนต่อจากนี้ด้วย  มันถูกเขียนด้วยภาษาที่ข้าอ่านแล้วไม่เข้าใจเลยสักคำ อาจเป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาของโลกเวทมนต์ก็ได้"

     ซเวซออกอาการตกใจ "ภาษาอื่น? ในโลกนี้ยังมีภาษาอื่นอยู่อีกเหรอ"

     "เมี๊ยว?" เจ้าแมวร้องคำซึ่งหมายถึง หา!? ออกมา "นี่เจ้าไม่รู้เหรอว่าในโลกนี้ยังมีภาษาอื่นด้วยน่ะ"

     เขาส่ายหน้า  เพราะแม้แต่ภาษาแดนเวทมนต์เขายังอ่านไม่ออก จะไปรู้ได้ยังไงกับภาษาอื่น

     "ไม่อยากจะเชื่อเลยเมี๊ยว" เจ้าแมวว่า มันเองก็ตกใจไม่น้อยกับท่าทางของเด็กหนุ่ม "เรี่องนี้น่ะใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้นนะ ที่ผ่านมาเจ้าทำอะไรมางั้นรึถึงไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรเลยแบบนี้ นี่เจ้ามีชีวิตอยู่มาได้ยังไงตั้ง 15 ปีเนี่ย"

     เด็กหนุ่มหน้างอไปเลยเมื่อได้ยิน "ไม่เห็นต้องว่ากันขนาดนั้นเลย ถึงข้าจะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้  แต่ยังไงข้าก็พูดได้ล่ะน่า" เขาว่า "แล้วอีกอย่างนึง   ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย แทนที่จะพูดจะเขียนภาษาเดียวกันให้หมดจะได้เข้าใจกันง่าย ทำไมต้องภาษามากมายหลายให้เกิดความไม่เข้าใจด้วยล่ะ?"

     เหมือนลมกรรโชกที่อยู่ดีๆก็สงบลง  "อะ...เอ่อ  กะ..ก็..."   คำถามที่ถามกลับมาอย่างนิ่มๆของเด็กหนุ่มทำเอาเจ้าแมวถึงกับอ้ำอึงไปเลย เพราะไม่รู้ว่าจะตอบยังไงเหมือนกัน  

--หนูมาลีมีแมวเมี๊ยว--

     เสียงกรีดกริ่งริงโทนของโทรสารเวทมนต์ดังขึ้น  เด็กหนุ่มหยิบโทรสารของตัวเองขึ้นมา  แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าของตัวเองไม่ได้ใช้เสียงเรียกเข้าแบบนี้  จึงหันไปหาเจ้าแมวที่ยกศิลาบันทึกขึ้นมาดูเช่นกัน

     "ของข้าเองเมี๊ยว"

     มันบอกพร้อมกับลุกขึ้นยกมือขอตัว  จากนั้นก็ลุกไปจากโต๊ะ ทิ้งให้เด็กหนุ่มอยู่ตามลำพังกับบิลค่าอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ

     "ที่พูดเมื่อกี้นี้  ฟังดูน่าสนใจดีนะ"

     เสียงหวานใสของหญิงสาวพูดขึ้นจากด้านข้างโต๊ะ  ซเวซหันไปและพบหญิงสาวผมทองในชุดบริกร ผิวขาวและอวบอึ๋มสุดๆ  จากโครงใบหน้าที่งดงามและปลายใบหูที่แหลมยาวทำให้รู้ทันทีว่าเธอเป็นหญิงสาวชาวเอลฟ์  สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่พูดภาษามนุษย์ได้

     "อ่ะ  นี่ของที่สั่งใส่ห่อได้แล้ว"

     เธอบอกพลางยื่นห่อกับข้าวมาให้  นั่นเองที่ทำให้เด็กหนุ่มนึกออกว่าขอสั่งให้ไป

     "ขอบใจมากนะ"

     "ไม่เป็นไร  มันเป็นงานอยู่แล้ว" เธอบอก "แล้วเมื่อกี้ ฉันก็บังเอิญได้ยินนายคุยกับเจ้าแคทซิสนั่นนิดหน่อย เห็นว่าพวกนายกำลังมีปัญหาเรื่องคำใบ้ที่ซ่อนสมบัติอะไรอยู่สินะ"

     ไม่ได้แอบฟังนิดหน่อยแล้วมั้ง  นี่มันฟังแต่ต้นจบจนเลยชัดๆ  แต่พอนึกได้รางๆว่าเผ่าเอลฟ์เป็นหนึ่งในภูติที่หูดีที่สุด (ก็ดูหูสิ  ยาวขนาดนั้น)  พวกกับที่เขาได้ยินว่าผู้หญิงนั้นชอบเรื่องซุบซิบนินทามากที่สุด  ไม่แน่ว่าเธออาจจับออร่าเรื่องที่สมควรจะแอบฟังของพวกเขาได้ตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านแล้วก็เป็นได้

     "กะ..ก็ประมาณนั้นล่ะ"

     "งั้นถ้าไม่รังเกียจ  ให้ฉันดูหน่อยได้มั้ย  ไอ้คำบอกใบ้นั่นน่ะ"

     ขอกันดื้อๆแบบนี้กันเลย  เด็กหนุ่มเองดูจะตกใจไม่น้อย  ทว่าก็ยอมเปิดหนังสือหน้าที่เจ้าแคทซิสคั่นไว้ให้ดูแต่โดยดี  อาจเป็นสำเนียงการพูดหรือท่าทางมีอำนาจจากตัวเธอที่ทำให้เขาไม่อาจขัดขืนคำขอนี้ได้

     เธอรับมันแล้วยกมาที่ระดับสายตา  ไล่เรียงครู่หนึ่งก็ลดหนังสือที่บังหน้าลงแล้วตอบมาว่า

     "นี่มัน  ตัวหนังสือของพวกออร์ค (Orc) นี่นา"

     "ออร์ค?"

     "เผ่ายักษ์ไงล่ะ  เป็นชนเผ่าโบราณที่อาศัยอยู่ในป่าลึก  แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าสูญพันธ์ไปหรือยังนะ" เธอว่าพลางคิด "ไม่สิ  ถ้าจำไม่ผิดละก็  ที่ป่าสม็อกน่าจะยังมีเหลืออยู่คนนึงนี่นา"

     "ป่าสม็อกเหรอ"

     "ป่าหมอกด้านหลังภูเขาที่ห่างจากที่นี่ไปราว 50 กิโลเมตรน่ะ  เป็นป่าที่อันตรายมากๆ  เพราะเป็นป่าดงดิบที่มีสัตว์ดุร้ายอยู่เยอะมาก  ไม่ค่อยจะมีคนย่างกรายเข้าไปใกล้หรอก"  เธอบอก "แล้วที่อันตรายที่สุดก็คือเผ่าออร์คนั่นแหละ  ว่ากันว่า  ที่พวกมันโปรดปรานที่สุดก็คือเนื้อมนุษย์ มีคนเยอะมากเลยที่หลงเข้าไปในนั้นแล้วไม่ได้กลับออกมา"

     "ขะ..ขนาดนั้นเลยเหรอ" ซเวซกลืนน้ำลายด้วยความเสียวใส้ "ตะ..แต่ว่า  เรื่องนั้นมันเกี่ยวกับกับคำใบ้ภาษาอันนี้ด้วยล่ะ  ที่ข้าต้องการคือการคำแปลภาษาของพวกยักษ์  ไม่ได้อยากเจอพวกยักษ์เสียหน่อย"

     "ไม่ใช่เลย  เกี่ยวกันสุดๆเลยล่ะ"  เธอบอก "อย่างที่บอกนะว่าเผ่ายักษ์เป็นเผ่าดุร้ายที่อาศัยอยู่ในป่าลึก ไม่ค่อยมีคนพบเห็นแล้วก็แทบไม่เคยมีใครที่พบพวกนั้นแล้วรอดมาได้  แบบนั้นแล้ว  เจ้าคิดเหรอว่าจะมีใครบ้าพอจะไปขอเรียนภาษาจากพวกมัน  ที่ข้าดูออกว่านี่เป็นภาษาของพวกยักษ์ก็เพราะมีอักษรบางตัวที่จ้าเคยจากบันทึกโบราณของท่านปู่ที่บันทึกไว้ตอนที่เกิดสงคราเอลฟ์-ออร์คเมื่อราว 500 ปีก่อนโน้น  แน่นอนว่าข้าก็แค่รู้เท่านั้นเองว่านี่เป็นตัวอักษรของพวกมัน ไม่ได้รู้เลยว่าที่เขียนนี้หมายถึงอะไร"

     คำอธิบายของหญิงสาวทำเอาเด็กหนุ่มพูดไม่ออก  รู้สึกสับสนไปหมด  ทำไมอาจารย์ของเขาถึงมีหนังสือที่เขียนภาษาออร์ค  ..ทำไมครึ่งหนึ่งของหนังสือถึงเขียนด้วยภาษาออร์ค  แล้วยังเป็นส่วนสำคัญที่บอกถึงที่อยู่ของเรือคาราวาน  การทำแบบนี้ มันเหมือนกับว่าถ้าต้องการค้นหาเรือคาราวานก็ต้องไปหาเผ่าออร์คให้เจอด้วยอย่างนั้นแหละ ไม่ใช่สิ  ไม่ใช่แค่หาให้เจอ  แต่ต้องพูดคุยและต้องให้คนเผ่านั้นเป็นผู้แปลหนังสือให้ด้วย  เผ่ายักษ์ที่อาจเป็นพวกปีศาจร้ายที่จับมนุษย์ไปกิน

     เหมือนกับจะเป็น  บททดสอบไม่มีผิด

     "แล้วป่าสม็อกนั่น  อยู่ไหนเหรอ"

     สาวเอลฟ์เบิกตากว้าง "นี่คิดจะไปเหรอ"

     เขาพยักหน้า 

     หญิงสาวมองเขาด้วยสายตาราวกับกำลังพิจารณาบางอย่างในตัว  เธอเอามือติดฝีปากครุ่นคิด  ก่อนจะตอบไปว่า "งั้นฉันจะเขียนแผนที่ให้ก็ได้ แต่ก่อนอื่น  ขอเก็บเงินก่อนแล้วกันนะ"  

     เธอควักกระดาษจดรายการอาหารขึ้นแล้วนับชิ้นอาหาร  ทวนราคาแบบออกเสียงแล้วรวมเงินบอกเขา

     "ทั้งหมด 61 เหรียญ"

     "61 นะ"

     เขาตอบรับพลางหยิบเหรียญเงินจากกระเป๋ามานับ  แต่การที่เขาค่อยวางทีละเหรียญๆช้าทำให้หญิงสาวทนไม่ได้ "มา  ฉันนับให้เอง" เธอบอกแล้วเข้ามาแทรก นับเหรียญให้เขาอย่างคล่องแคล่ว

     เด็กหนุ่มเห็นก็อดทึ่งไม่ได้ "คิดเลขเก่งจังเลยนะ"

     "ก็มันจำเป็นนี่นา" เธอตอบ "ยุคนี้มันไม่ใช่ยุคที่เราจะแค่เก็บของป่ามาแลกกันแล้วอยู่แล้วนี่นา ทุกวันนี้แม้แต่ภูติอย่างเราเองๆก็ต้องใช้เงินเป็นหน่วยกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า ถ้าคิดเงินไม่เป็นจะอยู่รอดได้ยังไงล่ะ"

     เธอนับเหรียญที่เด็กหนุ่มยื่นให้แล้วคืนมาเหรียญหนึ่ง "ฉันคิดให้ 60 ถ้วนแล้วกันนะ ถ้ารอเงินทอนจะนาน  เดี๋ยวพวกนายจะไปช้าเปล่าๆ  ป่ายักษ์น่ะต้องไปอีกไกลเลย"

     "อะ..อื้อ" เด็กหนุ่มตอบแล้วรับเงินทอนกลับมา

     จากนั้น  หญิงสาวก็ขอกระดาษจากเขาแล้วเขียนแผนที่ป่าสม็อกให้  พร้อมกับบอกจุดสังเกตุทางให้อย่างละเอียดแล้วยื่นกระดาษกลับมาให้

     "ขอให้พวกนายโชคดีแล้วกัน อ้อ แล้วรอดกลับมาที่นี่ได้  อย่าลืมกลับมาอุดหนุนใหม่นะ"

     เธอพูดด้วยรอยยิ้มชวนหลงไหล ก่อนจะยกมือบ๊ายบายกับเขาแล้วแล้ววิ่งไปรับออร์เดอร์ที่โต๊อื่นต่อไป

     เด็กหนุ่มก้มหน้าดูเงินทอนในมือ  ทั้งที่เป็นเหรียญเดิมที่ตัวเองยื่นไป  ทว่าตอนนี้  แม้จะเล็กน้อย เขารู้สึกว่ามันหนักขึ้นกว่าเดิม

     คล้ายกับว่า  เหรียญในมือเขาตอนนี้  นอกจากมูลค่าแล้วมีบางอย่างติดเพิ่มขึ้นมาในตัวมันด้วย

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านเรื่องสั้นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา