7 ลี้ลับ
เขียนโดย AraTemp
วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.32 น.
แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2557 17.26 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
8) สู่จุดเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเวลา 04.33 น.
คามุยรู้สึกตัวตื่นขึ้น เนื่องจากกลิ่นเลือดที่กระจายอยู่ทั่วห้องและเสียงร้องที่น่ากลัวทำให้เขาตื่นจากการหลับใหล เขารู้สึกปวดศีรษะและวิงเวียนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มตั้งสติได้ เขามองหาเพื่อนคนอื่นๆแต่ก็ไม่มีใครอยู่เลยซักคนเดียว เขาเอามือขึ้นมาปิดจมูกเนื่องจากกลิ่นคาวที่ทำให้เขารู้สึกอยากจะอาเจียน เขาลุกขึ้นยืนและพยายามมองหาที่มาของกลิ่นนี้ เขามองไปที่ประตูและก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างอยู่เต็มพื้น มันเป็นน้ำที่มีสีเข้มมาก เขาหยิบไฟฉายและเดินเข้าไปดูใกล้ๆเมื่อส่องไฟฉายไปที่สิ่งนั้นเขาก็รู้ได้ทันทีว่านั้นเป็นเลือดอย่างแน่นอน เขาตกใจมากรีบถอยห่างมาจากตรงนั้น เขามองสำรวจไปรอบๆห้องอีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าเพื่อนของเขาไม่อยู่ในห้องแล้วแน่นอน เขาจึงเดินไปที่ประตูแม้จะกลัวอยู่บ้าง แต่เขาก็จำเป็นต้องเดินเหยียบลงไปบนกองเลือดเหล่านี้ไม่งั้นเขาจะเปิดประตูออกไปจากห้องนี้ไม่ได้ เมื่อตัดสินใจได้แล้วคามุยก็เดินลงไปบนกองเลือดเหล่านั้น มันทำให้เขาขนลุกและรุ้สึกแย่เอามากๆ เขาจึงเริ่มเปิดประตูออกแล้วเดินออกมาให้ห่างที่สุด ไม่เฉพาะแค่ในห้องเท่านั้นแต่ข้างนอกห้องก็มีเลือดนองอยู่เต็มไปหมด
“เกิดอะไรขึ้น เลือดพวกนี้มาจากไหน ทำไมถึงได้เยอะอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นกับทุกคน ฉันหลับไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย ต้องรีบออกตามหาทุกคน”
เมื่อตัดสินใจได้แล้วคามุยจึงเดินตามหาเพื่อนๆ เขาพยายามเปิดดูทุกห้องโดยไล่ไปเรื่อยๆทีละห้องๆ จนมาถึงห้องหนึ่งเมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปเข้าส่องไฟมองไปรอบๆห้องเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จึงปิดประตู แต่แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ เขาจึงเปิดประตูแล้วมองเข้าไปอีกครั้ง ซึ่งโต๊ะเก้าอี้ภายในห้องถูกเคลื่อนย้ายผิดที่ผิดทางไปหมดทุกอย่าง
“อะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าเป็นโพลเทอร์ไกสท์”
โพลเทอร์ไกสท์เป็นปรากฎการณ์ทางวิญญาณอย่างหนึ่งที่จะทำให้สิ่งของเคลื่อนย้ายไปจากเดิม เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของผีหรือวิญญาณที่มาก่อกวน
คามุยรีบดึงประตูปิดแล้วรีบไปต่อ เขาเดินลงมายังชั้น 2 ของอาคาร ระหว่างที่เดินสำรวจตามห้องต่างๆอยู่นั้น เขาก็สังเกตเห็นห้องๆหนึ่งที่ประตูเปิดอยู่นิดหน่อย เขาจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะรีบถอยห่างออกมา เมื่อเขาสังเกตเห็นมือสีขาวซีดโผล่ออกมาจากข้างในห้อง มือนั้นจับอยู่ที่ตรงขอบของประตูก่อนจะค่อยๆเลื่อนประตูเปิดออกมา คามุยไม่อยากจะเชื่อในสายตาของตัวเอง สิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าเป็นผี ผีจริงๆอย่างไม่ต้องสงสัย ผีตนนั้นเดินผ่านเขาไปต่อหน้าต่อตาก่อนจะหายเข้าไปในกำแพงของอีกห้องหนึ่ง คามุยเดินตามไปเปิดประตูของห้องนั้นแล้วส่องไฟฉายเข้าไปแต่เขากลับไม่เห็นอะไรเลย สักพักเขาก็รู้สึกเหมือนพื้นที่ยืนอยู่เกิดสั่นเบาๆ เขานอนลงกับพื้นก่อนจะเอาหูแนบสัมผัสลงกับพื้นเพื่อฟังเสียง ถึงจะได้ยินไม่ชัดเจนนักแต่เขาก็คิดว่าข้างล่างนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ เขาจึงตัดสินใจวิ่งไปยังบันไดเพื่อลงไปยังชั้น 1 ในใจก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งถึงสิ่งที่เจอที่ผ่านๆมา แต่สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือเขาต้องหาเพื่อนของเขาให้เจอก่อน ไม่รู้ว่าตอนนี้แต่ละคนจะเป็นตายร้ายดียังไง ยิ่งคิดเท่าไรก็ยิ่งทำให้เขากังวลมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเดินลงมาถึงชั้น 1 เขาก็มองไปรอบๆทางเดิน ส่องไฟฉายไปจนทั่วก่อนจะเดินตรงไปยังประตูทางเข้าอาคาร แต่แล้วเขาก็เดินชนเข้ากับผนังอย่างจัง เขาถอยออกมาแล้วใช้มือสัมผัสผนังบางๆที่อยู่ตรงหน้า มันใสเหมือนกับกระจกจนสามารถมองเห็นอีกฝั่งได้อย่างชัดเจน เขาสงสัยว่ากระจกนี้มันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ในเมื่อก่อนหน้านี้ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ เขายืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หูของเขาจะได้ยินเสียงดังมาแต่ไกล มันเป็นเสียงเหมือนล้อเกวียน เขาพยายามมองไปทางที่ได้ยินเสียง ซึ่งตอนนี้รถเกวียนได้วิ่งผ่านหน้าของเขาไปซึ่งด้านหลังมีใบหน้าของหญิงสาวอยู่ด้วย คามุยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อเรียกสติกลับมาได้เขาจึงตัดสินใจวิ่งตามไป แต่แล้วภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาเร่งฝีเท้ามากยิ่งขึ้น เมื่อเขาเห็นริรุที่ตอนนี้นอนอยู่กับพื้นและถ้าหากไม่หลบออกมาจากตรงนั้นเธอจะต้องถูกรถเกวียนนั้นทับเอาแน่ๆ เขาพยายามวิ่งไปก็ใช้ไหล่กระแทกกับกระจกไป แต่ไม่มีทีท่าว่าจะมันแตกให้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อวิ่งเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น เขาก็สังเกตเห็นริองยืนอยู่ไม่ห่างจากริรุเท่าไรนัก เขาพยายามตะโกนอย่างสุดเสียงร้องเรียกริองและริรุ แต่เหมือนเสียงของเขาจะไม่สามารถผ่านกระจกนี้ไปถึงพวกเธอได้
“ริอง เธอมั่วทำอะไรอยู่ ช่วยริรุสิ ริองงงงงงงง”
คามุยพยายามเรียกแต่ก็ไม่มีใครได้ยิน เขาปล่อยกำปั้นออกไปต่อยยังกระจกแต่ก็เหมือนจะไม่ได้ผล จนสุดท้ายภาพที่เขาเห็นก็คือริรุที่ถูกรถเกวียนนั้นวิ่งทับร่างของเธอจะเลือดกระเด็นไปทั่ว
“ริรุ ไม่จริงงงงงงงง ไม่จริงใช่ไหม นี้มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
คามุยมองไปยังริอง ที่ตอนนนี้กำลังเดินไปข้างหน้า เขาจึงเดินตามไปเรื่อยๆจนมาหยุด เมื่อเห็นริองกำลังยืนคุยกับตุ๊กตาที่ไม่มีแม้กระทั่งแขนและขา เขาเห็นเธอกำลังนำชิ้นส่วนแขนขาที่ถือมาด้วยใส่ให้กับตุ๊กตาตัวนั้น แต่แล้วเขาก็ต้องร้องออกมาด้วยความตกใจที่เห็นตุ๊กตานั้นกำลักฉีกแขนของริองออกมาอย่างง่ายดาย เลือดของริองไหลออกมาพร้อมกับเสียงร้องที่ดังไปทั่ว
“ริองงงงงง ไม่นะ ปล่อยเธอนะไอ้ตุ๊กตาบ้า ปล่อยเธอเดียวนี้ ริองฉันจะไปช่วยเธอเดียวนี้แหละ รอก่อนนะ”
คามุยพยายามกระแทกกระจกอย่างเอาเป็นเอาตาย เขากระแทกแล้วกระแทกอีก แต่ก็ไม่มีแม้แต่รอยร้าวเลยซักนิดเดียว เขาได้แต่ยินมองริงองที่ตอนนี้ขาของเธอก็ถูกฉีกออกไปด้วยทำให้พื้นเต็มไปด้วยเลือด เขาเห็นเธอนอนจมกองเลือดร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขาได้แต่ยืนมองเพื่อนของเขาตายไปต่อหน้าต่อตา เขาหวังว่านี้คงจะเป็นเพียงแค่ความฝัน เมื่อเขาลืมตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็จะจบลง เมื่อตุ๊กตาตัวนั้นได้แขนและขามาใส่จนครบมันก็หายไปในที่สุด กระจกตรงหน้าของคามุยตอนนี้ก็ไม่มีแล้วเช่นกัน เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาริองทันที แต่สายไปเสียแล้วเธอได้เสียชีวิตลงแล้ว น้ำใสๆในตาของคามุยเอ้อล้นออกมาก่อนที่จะหยดลงบนแก้มของริอง เขาพยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมาแต่เมื่อเห็นเพื่อนตายอยู่ตรงหน้าตัวเองก็ยิ่งทำให้เขาร้องไห้มากยิ่งขึ้น เมื่อเริ่มตั้งสติได้อีกครั้งเขาจึงตัดสินใจออกตามหาเพื่อนคนอื่นๆต่อด้วยความหวังที่ว่าอาจจะยังมีใครรอดชีวิตอยู่ก็เป็นได้ เขาวิ่งกลับไปยังบันไดเพื่อขึ้นไปยังชั้น 2 อีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้เขายังชั้นนี้ได้ไม่ทั่ว เขาเดินหาได้สักพักหนึ่งเขาก็หยุดคิดอะไรถึงเรื่องต่างๆ หากเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการทำกิจกรรมครั้งนี้ งั้นคนที่ทำให้ริองและริรุต้องตายก็คือเขาเองสิ นึกว่ามันจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าซะอีก ตกลงมันเป็นเรื่องจริงงั้นเหรอเราทำให้เพื่อนต้องตายใช่ไหม คามุยที่เอาแต่โทษตัวเองจนไม่รู้สึกตัวว่าตอนนี้มีบางสิ่งบางอย่างอยู่ข้างหลังของเขา จนกระทั่งอะไรมีมือมาสัมผัสที่ไหล่ของเขา คามุยสะดุ้งด้วยความตกใจก่อนจะรีบหันกลับไปมองเจ้าของมือนั้น ซึ่งร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นใส่เครื่องแบบนักเรียนที่มีแต่เลือดเต็มไปหมด
“สวมเสื้อกั๊กแดงไหม”
“ว่าอะไรนะ”
“สวมเสื้อกั๊กแดงไหม”
“ไม่เป็นไร อย่าดีกว่า”
คามุยที่เริ่มรุ้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ ทำให้เขาค่อยๆถอยหลังออกมาจากเด็กคนนั้น แต่เมื่ออีกฝ่ายจะรู้ทันจึงพุ่งเข้ายืนอยู่ตรงหน้าของคามุย ก่อนที่จะเอามือจับไหล่ทั้งสองข้างของเขาแล้วก็ฉีกกระชากร่างของคามุยลงมาเป็นทางยาว เลือดที่ไหลออกมาตามร่างกายทำให้เขาดูเหมือนกับใส่เสื้อกั๊กสีแดงไม่มีผิด คามุยล้มลงไปนอนกับพื้นก่อนจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ้ยยยย เจ็บชะมัด เลือดออกเต็มไปหมดเลย นี้มันอะไรกันเนี่ย”
คามุยได้แต่มองหาร่างของเด็กคนนั้นที่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงบาดแผลบนตัวของเขาที่มีเลือดไหลไม่หยุด ถึงแผลจะไม่ลึกเท่าไรแต่ความเจ็บปวดมันช่างรุนแรงเหลือเกิน เขาค่อยๆลุกขึ้นยืนและใช้มือกดแผลเอาไว้ เขาเดินต่อไปจนเกือบจะสุดทางเดินของชั้น 2 นี้ ซึ่งไม่มีวี่แววของเพื่อนเขาเลย เขาจึงเดินขึ้นบันไดไปยังชั้น 3 โดยหวังว่าเพื่อนๆของเขาที่ยังมีชีวิตอยู่อาจจจะกลับไปที่ห้องวิทยาศาสตร์ก็เป็นได้ เมื่อเดินขึ้นบันไดมาจนถึงชั้น 3 เขาก็เดินตรงไปยังห้องวิทยาศาสตร์ทันที เขาเห็นเงาขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกๆอยู่ตรงหน้าห้อง ซึ่งเขามั่นใจว่านั้นไม่ใช่คนอย่างแน่นอน ขนาดของมันใหญ่เกินไปอีกทั้งรูปร่างที่ดูยาวผิดปกติ เขาหยุดชะงักฝีเท้าเอาไว้ก่อนจะค่อยๆส่องไฟฉายไปยังสิ่งๆนั้น เมื่อแสงจากไฟฉายส่องไปให้เห็นรูปร่างที่ชัดเจนแล้ว เขาก็ล้มลงด้วยความกลัว มือและขาสั่นจนไม่มีแรง เจ้าสิ่งนั้นหันมามองที่คามุยก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ เมื่อทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เมตร คามุยถึงกับพูดอะไรไม่ออกถึงแม้ใบหน้าของมันจะดูไม่น่ากลัวเท่าไรแต่รูปร่างช่างผิดกับหน้าตาเหลือเกิน เขาได้แต่มองด้วยความหวาดกลัว
“แกเป็นตัวอะไรกันแน่ แกต้องการอะไร เจ้าปีศาจ”
“โกหก”
“อะไรใครโกหกอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
“โกหก”
“บ้าจริงแผลนี้มันเจ็บจริงๆ ขยับตัวไม่ได้ดั่งใจเลย”
“โกหก”
เมื่อสิ้นเสียงของเจ้าปีศาจตนนั้น คามุยก็รู้สึกว่าตอนนี้แผลของเขาไม่เจ็บเลยซักนิด และร่างกายของเขาก็ขยับตัวได้ดั่งใจแล้ว เขาจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะถอยห่างออกมา ในใจก็ได้แต่นึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าเจ้านี้จะเป็นผีสามแถวอะ เชื่อกันว่ามีอำนาจของเทพที่เปลี่ยนคำโกหกให้เป็นจริงได้ ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอของจริงแบบนี้
“ที่นี้ละ เราหนีรอดจากเจ้าปีศาจนี้ได้แน่ๆ”
“โกหก”
คามุยที่กำลังจะหันหลังวิ่งหนีก็กลับถูกดึงขาเอาไว้จนล้มลงกับพื้น ขาของเขาถูกมือจำนวนนับไม่ถ้วนดึงเอาไว้ไม่ปล่อย เขาพยายามดิ้นให้ขาของเขาหลุดออกจากมือพวกนั้นแต่ก็เหมือนจะไม่ได้ผล
“นี้มันอะไรกัน จะไม่ปล่อยเลยหรือไงเข้ามือพวกนี้”
“โกหก”
ทันใดนั้นมือทั้งหลายที่จับขาของคามุยอยู่ก็พลันหายไปในพริบตา คามุยหันไปมองหน้าเจ้าปีศาจที่เดียวยิ้มเดียวทำหน้าโกรธสลับไปมา เขายืนมองอยู่สักพัก พยายามใช่ความคิด เรื่องที่เราพูดออกไปจะถูกเจ้าปีศาจนี้ทำให้กลายเป็นเรื่องโกหกได้งั้นสินะ ถ้าเราบอกว่าจริงผลที่เกิดขึ้นก็จะไม่จริง และตรงกันข้ามหากเราบอกว่าไม่จริงมันก็จะเกิดขึ้นจริง ลองดูก่อนละกัน คามุยตอนนี้ยืนหันหน้าเผชิญกับปีศาจตนนั้นอย่างไม่เกรงกลัว
“กระจกบานนี้ไม่แตก”
“โกหก”
ทันใดนั้นกระจกก็ค่อยๆร้าวก่อนที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เศษกระจกแตกกระจายเต็มพื้น ตอนนี้ทุกอย่างทำให้เขามั่นใจแล้ว เขาหวังว่าสิ่งที่เขาคิดมันจะได้ผล
“เจ้าปีศาจ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้ มันคือเรื่องจริงใช่ไหม มันไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้วจริงๆสินะ”
“โกหก…..”
เวลา 06.45 น.
“ตื่นๆ ตื่นได้แล้ว คามุย จะนอนไปถึงเมื่อกันกันเนี่ย”
คามุนสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจก่อนจะหันไปมองคนที่อยู่ตรงหน้า
“เกิดอะไรขึ้น ฉันอยู่ที่ไหน”
“ถามได้ นายก็เอาแต่หลับแล้วก็เอาแต่ละเมอร้องโวยวาย จนพวกเราทุกคนตื่นกันหมดน่ะสิ”
“ฝันไปงั้นเหรอ นี้ฉันแค่ฝันไปใช่ไหม”
“เป็นอะไรเหรอค่ะ คุณคามุย ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าค่ะ”
ริรุเดินเข้ามาถามด้วยความห่วงใย ทำให้คามุยต้องรีบส่ายหน้า
“จริงสิเมื่อคืนฉันฝันแปลกๆด้วย ฉันฝันว่าเจอปีศาจแล้วก็ตกจากฟ้าลงมาตายด้วย”
“จริงเหรอ ฉันก็เหมือนกัน ฉันฝันถึงเรื่องเล่าของบันไดขั้นที่ 13 ด้วย น่ากลัวชะมัดเลย”
“พวกนายก็ด้วยเหรอ ฉันกับมิไร ก็ฝันแปลกๆเหมือนกัน”
“พวกเราก็ด้วยเราสองคนฝันว่าเราทะเลาะกันแล้วก็ทำร้ายกัน เรื่องนี้มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก จริงไหมริรุ”
“นั้นสิค่ะ”
คามุยที่ฟังเรื่องราวจากเพื่อนแต่ละคนก็เริ่มหน้าซีดอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจริงหรือเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น ทุกอย่างในตอนนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น ทั้งคราบเลือด เศษกระจก และอื่นๆ กลับไม่เหลือร่องรอยใดๆเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องจริงก็ตามแต่ตอนนี้ ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิมไม่มีใครตาย ไม่มีผีหรือปีศาจ นั้นแหละคือเรื่องจริง
“กลับบ้านกันเถอะทุกคน กิจกรรมในครั้งนี้ของพวกเรา จบลงแล้ว”
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ