ห้วงหนึ่งของความคิด

7.0

เขียนโดย นายน่าเบื่อ

วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.28 น.

  5 ตอน
  26 วิจารณ์
  11.42K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 มกราคม พ.ศ. 2557 15.38 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) ระหว่างคิด เดินทาง ทุกอย่าง ผม(ไม่)ตั่งใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ระหว่างคิด เดินทาง ทุกอย่าง ผม(ไม่)ตั่งใจ

 

  •           

              รถร่วม บขส. จอดเทียบสถานีขนส่ง ผมหุบหนังสือ หลุดออกจากวังวนแห่งจิตนาการมาสู่โลกแห่งความจริงอย่างไม่เต็มสติ  เพียงหันไปมองรถคันที่จอดนิ่ง อย่างฉับไว สายตาจากการจ้องหน้ากระดาษนาน ๆ ก็ทำให้พร่ามัว  ไปบ่าง จนต้องพยายามหลับตาแล้วลืมขึ้นใหม่ช้า ๆ เมื่อปรับสายตาได้แล้ว  ก็มองเห็นชัดขึ้น  สมองสั่งการทันทีว่าเราต้องขึ้นรถสายนี้

  •  

              ผมหันไปหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพาย  กระเป๋าไม่หนักมาก เพราะไม่ได้บรรจงจัด และไม่ได้อยากเดินทางตั่งแต่แรก  เพียงเพราะแววความคิดอยากหนีผุดขึ้นมาทำให้ไขว้เขวเท่านั้น ผมลุกขึ้นเดินอย่างช้า ๆ สายตาเหม่อลอยเป็นเอกลักษณ์ของผม  ในห้วงหัวใจชินชาจนเกือบก่อลมวนหนาวเย็นในอกเสียแล้ว 

  •  

                    ทุกก้าวย่างสับสนสนเท  ลังเลเหมือนกับการตัดสินใจที่ไม่สิ้นสุด  ห้วงจิตทะเลาะกันระหว่างความห่วงใยคนข้างหลัง กับความหน่ายโลกของตัวเอง  ขัดแย้งหาผู้ชนะไม่ได้  ผู้แพ้ไม่มี  ขาซ้ายก้าวหนักอึ่งเหมือนถูกตรึงตรวนสมอใหญ่     เหมือนถูกความห่วงใยครอบครองไปเสีย   ขาขวายกย่างเบาโหวงอย่างน่าประหลาด  ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างยินดี ไม่แยแส  ความเบื่อหน่ายคงครอบครองครอบงำเสียแล้ว   ผมถนัดขวาด้วยสิ  ในขณะที่การตัดสินใจยังก้ำกึ่งผู้คนเริ่มทยอยขึ้นรถกันแล้ว

  •                 ผมมองตามหลังวัยรุ่นชายคนหนึ่งที่เคยสังเกตไว้ว่า เขายืนซื้อตั๋วรถต่อจากผม  ท่าทางมุ่งมันมาดองอาจ  เขาดูสูงเป็นผู้ใหญ่และตัดสินใจแน่วแน่   ผมมองอย่างนึกย้อนถึงตนเอง ความสับสนลังเลของเราช่างโง่เขลา และว่างเปล่า  ทั้ง ๆ ที่หลงตัว กลั้นใจซื้อตั๋วมาแล้วแท้ ๆ เราควรทิ้งข้างหลังไว้ซักพักเป็นดี  เมื่อตัดสินใจได้  ความเบาะแว้งของสองฝั่งเหมือนหายไปหมดสิ้นความสับสนลอยลมเสียแล้ว  ขาซ้าย ขวา ย่างก้าวอย่างเบาสบายกระฉับกระเฉง  มุ่งไปยังรถอย่างแน่วแน่ 

  •  

                   เดินมาถึงหน้าประตูรถ  วัยรุ่นชายคนนั้นขึ้นไปแล้ว   ผมหยุดยืนหน้าประตูก่อนจะมองอย่างคิดพิเคราะห์ หัวใจเย็นชาของตัวเอง ที่เต้นกระสั่นอย่างไม่เคยเป็น เต้นอย่างประหลาด   จะเรียกว่าเต้นตามห่วงแห่งจิตวิญญาณของคนเฉยชาอย่างผมก็ว่าได้  เดินทางด้วยรถร่วม บขส. มาก็หลายครั้ง แต่ครั้งนี้เหมือนจะพิเศษและต่างออกไปอย่างมากโข  ในห้วงจิตรู้สึกโลดแล่นระริกระรี้อย่างแปลกประหลาด  ทำให้จิตนาการได้อย่างชัดเจนในห้วงความคิด ประตูรถช่างเหมือนประตูถ้ำ ที่จะพาไปแห่งหนที่เราต้องการ  ก้าวย่างขึ้นบันไดไปอย่างสุขุมผาสุก แต่ละก้าวเหมือนมีสิ่งลองรับที่ลี้เร้น  ปลายมือข้างขวาเย็นเยียบกระชับเป้ ก่อนผมจะหลุดออกจากห้วงความคิด  เมื่อมีคนบอกให้รีบ ๆ ขึ้นรถได้แล้ว 

  •  

  •                  ทุก ๆ อย่างกลับสู่ปกติสุขอีกครั้ง  ผมเดินขึ้นรถอย่างสงบ  สายตาเหม่อลอยมองหาที่นั่งไปรอบ ๆ แล้วก็เจอที่ว่างข้างวัยรุ่นผู้มุ่งมั่น  ผมเอาเป้ออกจากหลังก่อนจะยัดใส่ช่องเก็บของแล้วนั่งลงข้างเขาอย่างเงียบ ๆ  เขาเหลือกสายตามามองผม ชั่วเสี้ยวหนึ่งก่อนจะกลับหันมองออกไปนอกหน้าต่างรถตามเดิม  ผมขยับนั่งให้สบายที่สุดก่อนที่การเดินทางจะเริ่มขึ้น  นึกทบทวนอย่างถ้วนถี่ แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างลืมตัว  เมื่อความคิดหนึ่งบอกกับผมว่า  ผมกำลัง หนี จากสิ่งเก่า สู่อีกที่หนึ่งอย่างไม่มีกำหนดการ  การเดินทางครั้งนี้ หวังว่าจะทำให้ผม ตัดสินใจและพบปะหัวใจตัวเองมากขึ้น

  •  

                    ยกหูฟังใส่หูทั้งสองข้างขณะนั่งได้ที่แล้ว มองไปทางผู้นั่งข้างๆ ผู้ร่วมเดินทางอย่างจงใจมอง  แต่เขาเหมือนไม่ได้สนใจผมเลย ผมจึงหันมองออกไปนอกหน้าต่างกระจก ก่อนรถจะเลื่อนตัวออกจาก บขส. ผมหลับตาช้า ๆ อย่างพักพิงใจของตัวเอง แล้วคลี่จิตที่ขมุกขมัวอย่างน่าค้นหา  ยังมีเวลาเหลืออีกมากมายในการเดินทางให้ผม ได้คนขวักไขว่สิ่งที่คิดว่าตัวเองมีแต่ไม่มีในตัวเองนะตอนนี้  ที่จริงมันเป็นการค้นหาความจริงอีกแบบที่ไม่มีจุดหมายปลายทางมากกว่า 

  •           ผมไม่ได้ตั่งใจจะเดินทางจากท่าเหนือ  สู่ที่ไกลบ้านซึ่งเป็นจุดหมายแรกของการเดินทาง  แต่เมื่อนึกถึงคำ ของแม่ มันก็อดไม่ได้  ความรู้สึกน้อยใจและสับสนในตัวเองทำให้ผมลังเล  ถ้อยคำเหล่านั้น  ในวันนั้น ของแม่  ยังดังก้องในโสต วนไปมาซ้ำ ๆ จนเกือบกลายเป็นขวากหนามที่อยู่บนถนนชีวิต ที่ต้องต่อเติมอีกมากมายกว่าจะถึง และสำเร็จ 

  •  

                    “แม่ไม่ให้เรียนแล้วนะ  จบ ม.3 ก็ออกมาทำงานช่วยพ่อ”  นั่นเป็นประโยคแรกของแม่ที่ใกล้ถึงวันจบม.3 ของผม มันเหมือนเป็นประโยคที่มีสายฟ้ามากมายแล่นล้อมรอบคำที่เข้ามากระแทกความรู้สึกของผมโดยตรง เกิดคำถามว่าทำไม ? แล้วจะทำอย่างไร ? ชีวิตละ?  และอีกหลายคำถามที่เกิดขึ้น  คำถามเหล่านั้นผมยังคงหาคำตอบไม่ได้

  •  

                   “ทำไมละครับแม่  พี่ก็ได้เรียนต่อแล้วทำไมผมไม่ได้เรียนหละ” ความสงสัยเคลือบแคลงเป็นเหมือนก้อนเมฆเริ่มตั้งเค้าก่อตัวมัวหม่นภายในใจ  คำถามสุดท้ายที่เอาร้อยยิ้มไปจากใบหน้าของผมในช่วงนั้น  และคำตอบของแม่ ไม่สิ คำบ่น ของแม่ ทำให้ผมที่อยากร้องไห้  เสียเดี๋ยวนั้น ถึงกลับหยุดคิดถึงน้ำตา   และจับมันเททิ้ง

  •  

                   “ฉัน พอใจ  แกก็รู้ว่ากฎของบ้าน แม่คือสิ่งเด็จขาด  ฉันก็แค่อยากให้แกเรียนรู้กับโลกภายนอกเอาเอง  แกมีปัญหามากรึไง  ฉันแค่อยากฉีกแนวการเลี้ยงลูกบ้างก็เท่านั้น  ละ  แกอยากเรียนอะไรก็ได้ ฉันจะให้เงิน แต่ต้องไม่ใช่มหาลัย   ไม่เอาเทคนิค ไม่เอาหลักสูตรหลายปีนะ  ดูพี่แกสิ ฉันละเบื่อมันจริง ๆ เฮ้อ  ออ อีกอย่างนะลูก......” 

  •            ผมนิ่งฟังอย่างหมดหวัง  แม่เป็นคนที่แปลกและตามอารมณ์ยาก  แต่สิ่งที่แม่เลือกให้นั้นถูกเสมอ   และผมก็ไม่สามารถจะหาคำตอบได้จริง ๆ ว่าทำไมแม่ถึงออกคำสั่งให้ชีวิตผมก่อนจบม.3  เป็นไม่ให้เรียนต่อม.6 และก้าวเข้ามหาลัยตามพี่เสียอย่างนั้น   จะรั้นก็กลัวว่าจะกลายเป็นการทะเลาะกับแม่เสียเปล่า ๆ ผมจึงจำต้องออกมาทำงานอย่างเสียไม่ได้   หึหึ มันก็ฟังดูแปลกประหลาดเหลือเกินที่เด็กอายุ เพียง 16 ถานะทางบ้าน  มีเงินทองมากมาย  แต่กลับต้องออกมาเย้ยฟ้า ท้าโลกของคนทำงานเสียแล้ว  

  •                 บทเรียนแรกหลังออกจากรั้วของ โรงเรียน  คืองานช่างในอู่ของพ่อ  ซึ่งแน่นอนแม่เป็นคนโยนผมให้กับนายช่างใหญ่เอง  ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ผมทำทุกอย่างด้วยความสับสน และให้แรงเบื่อหน่ายเป็นรากของการทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ซ้ำซาก   จริงอยู่ที่มันไม่ได้เลวร้ายนัก  แต่ก็เหนื่อยเอาการ  ตั้งแต่นั้น  ผมเหมือนได้อิสระและโลกใหม่   แม่ไม่บงการชีวิตผมเลย  แทบไม่ยุ่งเลยด้วยซ้ำ  แต่แม่กลับไปบงการชีวิตของพี่แทน   จนผมนึกอย่างพักบ้าง  จึงได้มาอยู่ตรงนี้  บนรถคันนี้  

  •  

                    เสียงหาวของคนข้าง ๆ ดังขัดจังหวะห้วงความคิดของผม  จนหลุดจากภวังค์  ผมหันไปมองวัยรุ่นมุ่งมั่น แล้วก็หาวออกมาตาม ๆ กัน  เขามองหน้าผมก่อนจะยิ้มขำ ๆ แล้วหลับตาลง  นี่สินะที่เค้าบอกว่าหาวเหมือนโรคติดต่อ ผมกดเปลี่ยนเพลง ก่อนจะ หลับตาลงช้า ๆ อย่างน้อย  ก็มีคนมุ่งมันกว่าผมมาก นั่งไปด้วยกัน    แม้ไม่รู้ว่าจุดหมายจะเหมือนกันรึเปล่าก็ตาม 

  •  

    ....

    ..

    .

  •  

                   ไอร้อนยังคงมีในช่วงเวลาบ่ายแก่ แต่ก็เบาบางในอากาศยามที่สายลมเย็น ๆ พัดผ่าน ยอดมะพร้าวพริ้วไหวลู่ตามสายลม  เวิ้งฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตา มีเมฆลอยเด่นหลา ยามได้ยินเสียงเกลียวคลื่น ทำให้ลืมหลาย ๆ เรื่องที่คิดไปเสียหมด  กลิ่นอายเค็ม ๆ ของทะเลเบื้องหน้าทำให้  ความหวั่นไหวในหัวค่อย ๆ ถูกลบเลือนไปทีละน้อย   เหมือนตกอยู่ในความรุ่มหลงอย่างที่มีคนเคยกล่าวไว้ครั้งใดก็ไม่ทราบ ว่าทะเลมีมนต์สะกดอย่างลึกล้ำ แต่เปล่าเลย สิ่งที่คน ๆ นั้นบอกนั้นผมเห็นว่าผิด  ทะเลก็เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลาย ๆ แห่งที่ผมได้เคยสัมผัสมา  แต่ทวา สถานที่เหล่านั้นมันพิเศษ หากเราคล้อยตามมันไปตามห้วงอารมณ์ของตัวเรา ยามที่ได้สัมผัสมัน 

  •  

                   ผมเดินอย่างช้า ๆ ตรงหาผืนทราย  ว่างเป้ลงบนโขดหิน เหมือนทิ้งความหลังและความหวังทั้งหมดไว้ข้างหลัง อย่างน้อยขอแค่ตอนนี้ ที่ให้ได้รู้สึกว่างเปล่า ยามสายลมต้องกาย  ว่างเปล่า ยามถอดรองเท้า  หูคีบช้างดาว ไว้บนก้อนหิน ซึมซับสัมผัสแรกอย่างช้า ๆ ยามปลายเท้าเปล่าสัมผัส กับเม็ดทรายละเอียด และทิ้งน้ำหนักลงไปทั้งเท้า ผืนทรายไม่ได้เป็นอย่างที่ใครหลายคนบอกมากนัก  ผมพึ่งเข้าใจในยามนั้น  สัมผัสที่เท้าให้ความหยาบ ที่ละเอียดลออ และความคมของเศษเปลือกหอยเล็ก ๆ ที่อาจเคยมีชีวิตชีวาเมื่อครั้งกาลก่อนนานแล้ว   ไม่ได้นุ่มนวลเลย

  •  

                   ก้าวเท้าเดินช้า ๆ ไปบนทราย  ทิ้งลอยเท้าแห่งความว่างเปล่าไว้ข้างหลัง  ผมลืมรอบข้างไปเลยในเวลานี้  ยังไงแถวนี้คงไม่มีคน   ทะเลตรงนี้ไม่ได้สวยมาก แต่มันก็สวย  ความรู้สึกว่าจิตใจวางเปล่าอยู่กับเราได้ไม่นานหลอก  แต่การปล่อยวางอยู่กับเราได้เกือบทั้งชีวิต  ผมหยุดยืนอยู่หน้าเขตเกลียวคลื่นที่กำลังซัดเข้าหาฝั่งและล่าถอยกลับสู่ทะเล ทำให้เกิดเส้นเปียกคดเคียวเป็นลายบนผืนทราย  ผมชอบโชว์นี้ยามมาทะเล  มันเหมือนคลื่นเหล่านั้นกำลังวาดภาพให้ผมดูอย่างลวก ๆ แต่มีความใน 

  •            ผมถอนหายใจอีกครั้งยามที่ในความคิดกำลังบอกว่าอดีตกำลังตามมา  และผมยังคงตามหาอนาคต  ทั้งที่ผมมีความสุขกับปัจจุบันมากพอแล้ว  แสงไฟของดวงตะวันเริ่มโพล้เพล้บอกใกล้เวลาตก  วันนี้คงจะพิเศษ เพราะอะไร ๆ ที่ผมเจอ มันพิเศษในที   ก้าวเท้าเพียงก้าวเดียวก็สัมผัสกับพื้นทรายใต้น้ำ   สัมผัสกับน้ำรสเค็ม  ก่อนคำบางคำที่จำได้ลาง ๆ ในอดีตของแม่ จะผุดขึ้นมา  อย่างแผ่วเบาแข่งกับเสียงลมลู่ใบไม้ และเสียงเกลียวคลื่น  ผมหลับตาลงหวังได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งในโสตประสาทอย่างชัดเจนกว่าเดิม

  •           

                    “ถ้าไม่อยากไปโรงเรียนเพราะน่าเบื่อ ก็เดินไปในโลกที่น่าเบื่อแทน ลูกอาจจะไม่ชอบเรียนรู้ตัวหนังสือ  และเลขคณิต  แต่ลูกอาจจะชอบเรียนรู้เสียงลมและสายใยของทางลูกลัง  ที่มีจุดจบแบบเดียวกัน...” ก่อนเสียงในหัวของมารดาจะถูกกลบด้วยเสียงตะโกนของบางอย่าง ผมรู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อย 

  •                “กูมาถึงทะเลแล้วโว้ย”  ผมมองหาต้นตอของเสียงที่ขัดจังหวะเสียงของอดีต  เห็นได้ชัดว่าเสียงของปัจจุบัน มีพลังเสมอ   เมื่อมองเห็นต้นตอผมก็ต้องแปลกใจ  เมื่อผมเจอกับเขาคนนั้น   สายตามุ่งมั่นเป็นเอกลักษณ์  วัยรุ่นผู้ทรนงในจุดมุ่งหมาย   เพื่อนนั่งรถขามาของผม   เขามองกลับมาที่ผมอย่างช้า ๆ แล้วยิ้มให้ ก่อนจะเดินเข้ามาหา 

  •                 ผมมองทุกก้าวของเขาแล้วหันกลับมามองทะเล  ทะเลยามนี้แสงเริ่มลดแล้ว  เหมือนบอกว่าเวลาที่สวยงามของอาทิตย์ตกใกล้มาถึง เขาเดินมายืนข้าง ๆ ผมคิดว่าเราเป็นสิ่งที่สื่อสารกันได้รู้เรื่องเพียงอย่างเดียวบนหาด   หากไม่นับธรรมชาติรอบ ๆ ตัว ที่กำลังสำแดงความงามนี้  ผมก็คงสนใจเขามากกว่าทะเลตรงหน้า          

  •  

                   “ดี เราชื่อ มะกรูด”  ผมไม่รู้ว่าเค้าทำสีหน้าแบบไหน เพราะผมมองวิวของทะเลและท้องฟ้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนสีอย่างสะกดสายตา เสียงของเขาเหมือนคนที่ทำความฝันได้สำเร็จหนึ่งอย่าง ตามประสาคนมุ่งมันสูง   ซึ่งผมเคยเป็นมาก่อนในยามเด็ก ที่ตัวผมคิดว่านานมากแล้วทั้ง ๆ ที่แค่ ห้า หรือ หก ปี 

  •  

                   “ผม นาย”  ผมบอกชื่อแก่เขา แต่ไม่ได้หันไปมองเขาเลย  ผมเดาว่าเขาก็คงไม่ได้มองผมเช่นกัน  ไม่มีเสียใดอีกออกจากปากผมและเขา เสียงสายน้ำ และสายลม เท่านั่นที่เห่ ร้อง  มันทำให้ผมคิดแปลกใจขึ้นมาอย่างหนึ่ง เราไม่รู้จักกัน หรือเรารู้จักกันแล้วกันแน่  น้อยครั้งที่ผมจะมีคนมาทัก และหลายครั้งที่ผมเป็นที่จับจ่องของสายตาหลายคู่  และแน่นอน ผมเคยถามแม่ ครั้งหนึ่ง ยามที่ทีวีฉายละครเรื่องโปรดของท่าน ไม่รู้ว่าแม่ตอบจริง หรือเล่น แต่มันคลายข้อสงสัยของผมไปได้หมดจด และไม่คิดสนใจสายตาใครอีกเลย  “หน้าแกมันกวนตีนนะ อย่าคิดมาก”

  •  

                   อาทิตย์ตกทะเลภาพที่ใคร ๆ ต่างบอกว่าสวยจับใจ  หากมากับคู่รักคงจะต้องบอกว่าสีของน้ำเป็นสีชมพู แทนสีแดงอ่อน ๆ เป็นแน่   แต่ในสายตาผมกลับคิดว่ามันเป็นสีส้มฟ้า    และท้องฟ้ากำลังถูกโลมเลียด้วยสีม่วงเข้มอย่าง  สวยงาม  ผมกับเพื่อนใหม่ จะเรียกแบบนี้ได้หรือเปล่า ยังไม่แน่ใจ แต่โลกมันกลม คงเรียกได้  แสงลดลงทุกขณะแต่ความงามไม่ลดลงเลย  ผมเริ่มเสมองคนข้าง ๆ และรอบตัวมากขึ้น เมื่อคิดอะไรได้ในหัว  นี่หรือเปล่าที่เคยมีคนบอกว่าโลก มีความรู้อยู่ทุกที  แต่ผมกลับรู้สึกแย้ง ๆ กับคำนี้  ถ้าหากจะบอกว่าโลกมีความรู้สึกอยู่ทุกที่ ผมว่ามันถูกมากกว่า เรื่องความรู้เป็นเรื่องที่ระเอียด  แต่เรื่องความรู้สึกเป็นเรื่องที่ระเอียดอ่อน  และมันสั่นจิตใจได้ดีทีเดียว 

  •  

                   “ไปรึยังเพื่อนใหม่” เสียงเขาดังขัดความคิดอีกแล้ว  แต่ครั้งนี้มันทำให้ผมหลุดจากภาพทะเลได้อย่างหมดจด  แน่หละ ผมไม่รู้ว่ายืนตรงนี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่มันก็นานพอจะทำให้เบื่อ ๆ บ่าง  ผมหันไปมองเพื่อนใหม่ ที่บอกได้แล้วเต็มปากว่า คือเพื่อนกันแล้ว  ทั้ง ๆ ที่คุยกันแค่บอกชื่อเท่านั้น  ผมไม่คิดติดใจอะไรมากตามประสาคนเฉยชาคนหนึ่ง  ก่อนจะหันหลัง ก้าวเท้าไปบนผืนทราย ตรงไปเก็บกระเป๋าเป้  มะกรูดเดินตามผมมาช้า ๆ  อย่างเงียบ ๆ  เหมือนกับว่า เรารู้จักกันมานาน  และเข้าใจเพื่อนดี  

  •  

                   ยกเท้าบอกลาเม็ดทราย ก่อนจะใส่หูคีบช้างดาวคู่ใจ  หันหลังมองทะเลก็เห็นเพื่อนใหม่กำลังมองท้องฟ้าที่มืดลงแล้ว  ก้มหยิบเป้ แล้วหันไปหาเพื่อใหม่ หวังจะเริ่มบทสนทนา 

  •  

                   “ดาวดวงแลกของวัน  นายดูดิ” แต่แล้วเขาก็ชิงพูดก่อน  ผมมองตามที่เขามองดู ดาวดวงแลกของยามค่ำ จริง ๆ ด้วย  หากแต่มันกลับไม่สว่างอย่างที่ควรจะเป็นเพราะฟ้ายังไม่มืดสนิท  ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู สายโทรเข้าสิบสามสาย ที่ไม่ได้รับ  ผมยิ้มอย่างขำ ๆ กับเบอร์ที่โชว์ชื่อว่าแม่  ผมคงต้องบอกแม่หน่อยแล้ว ว่าถึงแม้ผมยังไม่เจอสิ่งที่หัวใจต้องการ แต่ผมตัดสินใจได้แล้ว ไม่สิ ผมรู้แล้ว ว่าทำไมแม่ถึงเบื่อที่จะให้ผมเรียนหนังสือ  ก็คำตอบนั้น มันอยู่กับหัวใจผมมานาน แต่ผมพึ่งสังเกตนี้เอง   เหมือนกับผมที่เคยมาทะเลบ่อย แต่กลับมีครั้งนี้ที่คิดว่า มันสวยและดีที่สุด เป็นครั้งแรก

  •                

                   “ไปเถอะนาย  เสียงทองนายร้องแนะ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า เพื่อนใหม่”  แล้วก็เป็นเสียงเดิมที่ปลุกผมจากความคิด  ให้มาฟังเสียงท้องตัวเองอย่างรู้สึกอายนิด ๆ  มันไม่ได้ดังจริงอย่างที่เพื่อนใหม่พูดหลอก เขาล้อเล่นเท่านั้น ผมไม่ได้หิว

  •               

  •                “อืม หาร้านนั่งคุยกันสบาย ๆ เถอะ” ผมบอกเขาก่อนจะ เดินตามเขาไปช้า ๆ พร่างแหงนมองฟ้าที่มีดาวสว่างเพิ่มขึ้นหลายดวง  ดาวดวงแรกไม่โดดเดียวแล้ว  ชีวิตผมก็แปลกดี  ในตอนแรกกับตอนนี้  ตางกันอยู่หนึ่งก้าว  ผมลองคิดดูแล้วเรามีเพื่อนง่ายขนาดนี้เลยเหรอ  หึหึ คนเราอยู่บนโลก แม้เมื่อก่อนผมคิดว่าโลกไม่ได้กลม แต่ตอนนี้คงต้องคิดใหม่ เราเดินห่างจากเสียงคลื่นสาดซัดหาฝั่งออกมาทุกก้าวย่างพร้อมกับฟ้ามืดแสงดาว  แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะจากมันไป มันทำให้ผมคิดได้ว่า แม้ผมจะเดินออกห่างจากเส้นทางมหาลัย เริ่มไกลออกทุกขณะ  มันก็ไม่ใช้ว่าผมจะหยุดเรียนรู้เสียหน่อย  ผมคงต้องศึกษาใหม่ ในตัวเองเสียแล้ว

  •  

                   ออกจากบ้านหลบมุมมาคราวนี้  ผมไม่รู้จะบอกว่าได้อะไรบ้าง แต่ผมก็คงบอกไม่ได้ว่าเจออะไรสำคัญ ชีวิตคงเหมือนสายลมที่พัดผ่านอย่างคาดไม่ได้

 

 

------------------------------------------------------

 

ในตอนที่แต่ง เหมือนเขียนออกมามั่วจริง ๆ มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลย

ขอบคุณที่เข่ามาอ่านครับ ขอบคุณที่ติ ชม 

หวังว่ามันคงดีในสายตาคุณบางไม่มากก็น้อย

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา