รัก...ให้...หวัง...

9.3

เขียนโดย ฮางมะ

วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 07.15 น.

  1 ตอน
  5 วิจารณ์
  4,634 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556 07.39 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เส้นขอบฟ้าสีทองเส้นบางๆอยู่ไกลลิบ เป็นแนวยาวแทบจะเป็นแนวเดียวกับสั้นเขา ที่ทมึนเป็นสีเดียวกับสีของท้องฟ้าที่เทามืดเพราะหมอกหนา หมอกลงจัดราวกับผืนผ้าไอละอองความเย็นคลี่ห่มไปทั่วขุนเขา

 

               เธอรู้ว่าดวงตะวันโพล่พ้นขอบฟ้าที่ไกลๆแล้ว แต่ยังไม่มากพอจะเปล่งแสงมาถึงที่นี่ ลมหนาวหวีดหวิว พัดมาแต่ละครั้งพาร่างสะท้าน มาพรมจูบไปทั่วกาย แล้วจากไป ทิ้งไว้แค่ความชาเย็น ราวกับมาข่มขืนหัวใจคนอกหัก ให้ช้ำจนด้านชา

 

               เธอมาทำอะไรที่นี่ มาในที่ที่อากาศหนาวแตะห้าองศา มายังพื้นที่สูงเกือบสองพันเมตรจากละดับน้ำทะเล มาเพื่อเป็นสักขีพยานแห่งความทุกข์อย่างนั้นหรือ

 

               เธอรู้เธอมาเพื่ออะไร แต่สิ่งที่เธอมาเป็นแค่ข้ออ้าง เพื่อจะมาเจอเขา…

 

               รู้ว่าเขาไม่รัก แต่เธอก็ยังมา เพราะอะไร การรู้ความจริงมันคือสิ่งที่เธอต้องการ แม้ว่าการเดินเข้าใกล้ความจริงก็เหมือนการเดินอยู่บน แผงตะปูที่แหลมคม มันเจ็บทุกครั้งที่เดินเข้าใกล้…เธอรู้….

 

               แต่ถ้าไม่เดินไปถามหาความจริง เธอก็รู้สึกเจ็บทุกครั้งที่หายใจ มันเหมือนมีเข็มนับร้อยมาทิ่มแทงเอาไว้

 

               ลมหนาว พัดดอกงิ้วสีแดงสด ร่วงตกลงมาซบพื้นดังเป็นระยะ จนเกลื่อนกลาดเป็นพรมสีแดง เธอยังยืนเฝ้ารอคอยแสงแรกของวัน ห่อตัวใต้เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ สวมหมวกไหมพรมและคล้องผ้าพันคอสีสดใส แต่แววตาหวาดหวั่นนั้นสะท้อน ความรู้สึกภายในจิตใจที่หวั่นหวิวกับการจะได้พบความจริง

 

               “ตื่นเช้าจัง” ชายหนุ่มทัก ไอควันออกปากด้วยอากาศหนาว เดินมาจากด้านหลัง เธอหันไปมอง เขาก็ยังเป็นคนเดิมของเธอ เป็นพี่ชายที่เธอรัก แต่เป็นได้แค่นั้น

 

               เธอนิ่ง ไม่ตอบ แต่ซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดไว้ในใจ เขาคือผู้ชายคนเดียวในชีวิตที่เธอจริงจังและรักมากที่สุด เขายังเหมือนเดิมร่างสูงโปร่งผิวขาว สวมแว่นสายตา ซึ่งเข้ากับรูปหน้าและจมูกโด่ง ผมที่ยาวปรกหน้าดูยุ่งวุ่นวายอยู่บนศรีษะ พูดจาสุภาพ เป็นชายที่ดูอบอุ่น แค่ได้เข้าใกล้ก็ละลายความเหน็บหนาวออกจากจิตใจของเธอ เหมือนพี่ชายที่แสนดีในอุดมคติของผู้หญิง แต่คนแบบนี้เธออยากเป็นมากกว่าน้องสาว

 

               “ขอบคุณที่มากันนะ พี่ไม่คิดเลยว่าตาวจะพาเพื่อนๆพี่ๆน้องๆมาถึงที่นี่ได้”

 

               “ไม่เป็นไรค่ะ ตาวบอกแล้วว่าต้องมา พอตาวรู้ว่าพี่อยู่ไหนตาวก็ต้องมา ใช้เวลาเตรียมของไม่นานเลยค่ะ” หญิงสาวตอบแล้วนิ่งไปอีก ชายหนุ่มรับรู้ถึงควมรู้สึกของหญิงสาว รู้ว่าเธอคิดยังไง แต่เขาไม่อาจสนองตอบความรู้สึกนั้นได้ หลายปีที่ผ่าน ตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยมา เขารู้ซึ้งกับคำว่ารักที่ผิดหวังมาพอแล้ว เขาไม่อยากให้รุ่นน้องคนนี้ต้องมาแชร์ความเจ็บจากความเฉยชาแสร้งรักของเขา เขาช้ำใจจากบางคนมาก็มากพอแล้ว จะไม่หันไปรักใครเพราะความเหงา หรือเพราะถูกฤดูหนาวผลักไส มันจะเป็นการเชื่อมต่อความเศร้า จะกลายเป็นขบวนรถไฟแห่งความปวดร้าว อีกอย่างคือเขาไม่ได้รักเธอแบบนั้นเลย เขาทำไม่ได้

 

               เธอมาเพื่ออยากรู้ความจริง แต่เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนความคิด

 

               “ตาวมีอะไรจะพูดหรือเปล่า” เขาเปิดโอกาส อย่างน้อยก็ในฐานะพี่ชาย ทุกอย่างมันควรจะจบ หญิงสาวยืนนิ่งเงียบ เงียบนานจนน่าอึดอัด จนเขาคิดว่าเธอคงไม่พูด แต่แล้ว…

 

               “เพราะอะไรคะ เพราะอะไรพี่ถึง…” หญิงสาวกลื่นคำพูดที่ว่า ‘ไม่รักตาว’ เข้าไปในอก ชายหนุ่มแม้จะรู้ความหมายแต่ก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้

 

               “พี่ก็ให้คำตอบกับตาวแล้ว ก่อนที่จะมาที่นี่”

               

               “พี่ไม่ได้รักตาว ?”

 

               “ไม่…พี่รัก แต่เป็นความรักอย่างพี่ชายที่มอบให้กับน้องสาว”

 

               “แต่ตาวไม่ต้องการ พี่ชาย!”

 

               “ตาวว่าตาวรักพี่ ตาวก็ได้ให้ความรักแก่พี่แล้ว แต่พี่รับความรู้สึกแบบนั้นของตาวไม่ได้ มันเป็นความผิดของคนรับอย่างนั้นหรือ ที่เขาปฏิเสธ” คำนั้นอาจดูว่าเหมือนจะแรง แต่มันคือความจริงที่เขาต้องพูดเพื่อตัดความรู้สึกนั้น เขาไม่อยากให้น้องสาวที่เขารักต้องเสียใจนานเพราะการพูดเพื่อถนอมน้ำใจ เพราะเขารู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดจากการที่ไม่กล้าพูดตรงๆของใครคนหนึ่ง

 

               หญิงสาวนิ่งน้ำตารื้น เธอจำนนต่อคำพูดของชายหนุ่มทุกครั้งดั่งจำเลยจำนนต่อหลักฐานและคำพูดของผู้พิพากษา การร้องให้ในฤดูหนาวทำให้น้ำอุ่นๆไหลกลายเป็นเย็นได้อย่างรวดเร็ว คำพูดปฎิเสธความรักของรุ่นพี่ที่แสนจะนุ่มนวล ก็คล้ายน้ำเย็นเฉียบ รดราดลงไปบนหัวใจของหญิงสาว นี่สินะความจริงที่เธอต้องการมาพบ

 

               “การให้สิ่งของหรือความรัก ผลของมันที่ตอบแทนเราไม่ใช่เห็นคนรับยิ้ม และพูดคำขอบคุณหรือสนองตอบ แต่มันคือความสุขขณะที่เราได้ให้ การเอาสิ่งที่เรามีให้คนอื่นมันเป็นสิ่งงดงามเป็นความเสียสละ แล้วทำไมเราต้องคาดหวังกับความเสียสละ อย่าเป็นผู้ให้ที่คาดหวัง สิ”

 

               “หยุดพูดสักที ตาวไม่อยากจะฟัง!” หญิงสาวว่าแล้วโผเข้ากอดชายหนุ่มสะอื้นให้ในอ้อมอกของคนตัวสูง ชายหนุ่มยืนนิ่ง ก่อนจะกอดตอบกอดเหมือนพี่กอดน้องสาว มือขวากอดลำตัวมือซ้ายลูบหัวหญิงสาวช้าๆ

 

               “ไม่มีใครสมหวังในทุกครั้งที่รัก แต่ก็ไม่มีใครอกหักจากเรื่องรักได้นาน พี่เข้าใจความรู้สึกตาวนะ” ชายหนุ่มบอกด้วยเสียงนุ่มนวล ลูบหัว หญิงสาวผละจากอ้อมกอด

 

               “ไม่จริง พี่พัฒน์ไม่มีวันเข้าใจตาว”

 

               “ทำไมพี่จะไม่เข้าใจ พี่เข้าใจดีเลยละ” ชายหนุ่มบอกน้ำเสียแปรเปลี่ยนไปอย่างที่หญิงสาวจับสัมผัสได้ เธอเงยหน้ามองรุ่นพี่อีกครั้ง แสงสีส้มอ่อนๆส่องมาจากที่ไกลๆพอจะเห็นใบหน้าของรุ่นพี่ได้ชัด

 

               เขาขยับแว่นสายตาก่อนจะเดินถอยห่างออกมามองไปที่เส้นขอบฟ้าแสงตะวันเริ่มโผล่พ้นมาทีละน้อยๆ หญิงสาวยืนอยู่ที่เดิมมองแสงที่สะท้อนเงาชายที่เธอรัก

               

               “ทุกครั้งที่พี่พูดกับตาว…ก็เหมือนว่าพี่บอกตัวเอง” เสียงของชายหนุ่มเกือบหายไปในลำคอ เงาสะท้อนของแสงอรุณรุ่งเหมือนขับเน้นให้เห็นว่าชายหนุ่มรู้สึกเช่นไร โดยไม่ต้องพูดอีก

 

               หญิงสาวเดินเขามากอดจากด้านหลัง ซบใบหน้ากับแผ่นหลังนั้น ความรู้สึกเชื่อมต่อถึงกันจากการสัมผัส

 

               “นี่คือเหตุผลที่พี่หนีมาอยู่นี่หรือเปล่า พี่เองก็ถูกความรักทำร้าย” ชายหนุ่มหันกลับมามองฝ่ามือใหญ่ตบหัวหญิงสาวไปเบาๆ อย่างเอ็นดู

 

               ความจริง ตาวก็เป็นผู้หญิงสวยน่ารัก ชนิดที่ใครได้รู้จักก็ต้องหลงรักเธอแน่ๆ แต่สำหรับเขาแล้ว ตั้งแต่แรกที่พบกันใน’มหาลัย’ จนมาถึงวันนี้ เขามองเธอยังไงในวันนั้น ในวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

 

               “พี่ไม่ได้ถูกความรักทำร้ายนะ ก็แค่ให้ความรักกับใครคนหนึ่งไป แต่เขาไม่รับรักตอบ พี่ก็เสียใจ แต่พี่เข้าใจว่า เราให้…เขาไม่รับตอบ…เราก็ไม่ควรจะทุกข์ ความสุขไม่ได้เกิดเฉพาะแต่เรื่องที่เราสมหวังตลอดหรอก ถ้าเราเข้าใจ ก็ไม่มีความทุกข์ สุขก็จะมาเอง แต่ตอนนั้นพี่ยอมรับว่าเสียใจมาก อาจมากกว่าตาวในตอนนี้เสียอีก แต่นั้นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้พี่มาอยู่ที่นี่ พี่มาอยู่ที่นี่อย่างผู้ให้ ไม่ได้หนีตาว ไม่ได้หนีความรัก เข้าใจหรือยัง ยัยน้องบ๊อง” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆลูบหัวหญิงสาวเบาๆ

 

               “แต่มันทำใจยอมรับได้ยาก” เธอพูดแผ่วเบาอย่างที่พยายามจะกลั้นความรู้สึกอะไรบางอย่าง

 

               “พี่ก็แค่อยากให้เราเข้าใจไง เหมือนพี่ เราต้องเข้าใจคำสามคำนี้ ความรัก การให้ ความคาดหวัง สามคำนี้ถ้าเราไม่เข้าใจเราจะทุกข์กับมันมากเหลือเกิน การที่คนอื่นเขารักเราแบบที่เราไปรักเขาไม่ได้ มันใช่ความผิดของใครล่ะ พี่ก็เลยเข้าใจ อย่างตาวรักพี่แบบคนรัก แต่พี่รักอย่างน้องสาวมากกว่า ตาวก็คงเสียใจ แต่ก็คงเสียใจน้อยกว่าการที่พี่รับรักตาวเพราะรู็สึกสงสารหรือรู้สึกเหงามากกว่ารักจริงๆ คือแสร้งว่ารัก แบบนั้นตาวทนได้เหรอ แต่พี่ทนไม่ได้พี่จะทำร้ายคนสองคนไปพร้อมๆกันคือ ทำร้ายตาวและตัวพี่เอง”

 

               ไอละอองความหนาวชำแรกถึงปอด แต่ความจริงที่ปวดร้าวชำแรกไปถึงจิตใจของหญิงสาว

 

               นิ่งเงียบไป ทั้งสองมองท้องฟ้าที่สว่างกระจ่างใสจากแสงของพระอาทิตย์ หญิงสาวมองไปรอบๆที่นี่น่าอยู่ ไม่แปลกใจเลยที่ชายหนุ่มมาอยู่ที่นี่

 

               “พี่พัฒน์”

 

               “หือม์”

 

               “จะเป็นไปได้ไหมที่สักวันหนึ่งพี่จะรู้สึก รักตาวอย่างที่ตาวรักพี่” หญิงสาวฝืนยิ้มให้

 

               “เป็นไปได้สิ เรื่องอนาคตเราไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไง มันอาจจะมีวันนั้น วันที่พี่รักตาว แต่พอถึงวันนั้นแล้ว ตาวอาจจะรักคนอื่นไปแล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะ หญิงสาวหัวเราะตอบ น้ำตาเผลอไหลออกมาอีก เธอเช็ดหน้าอย่างลวกๆ แม้จะรู้มาตั้งแต่ต้นแต่มันก็รับความรู้สึกผิดหวังยากเหลือเกิน เพียงคำพูดของชายหนุ่มก็ทำให้หญิงสาวเข้าใจ ใช่มันอาจไม่จางหายความรู้สึกนี้ได้อย่างรวดเร็ว แต่อย่างน้อยเธอก็ได้เข้าใจมากขึ้น

 

               เธอโผกอดเขาอีกครั้ง

 

               “ตาวหนาว ขอกอดหน่อยนะคะ” หญิงสาวพูดเสียงอู้อี้ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม น้ำตาไหลลงเป็นสาย บอกแก่ใจตัวเองว่าอยากหยุดเวลาเอาไว้อย่างนี้เหลือเกิน

 

               ชายหนุ่มกอดตอบอย่างแนบสนิทและแสงแดดฤดูหนาวก็โอบกอดตอบทั้งสองท่ามกลาง ไอหมอกบางๆ

 

               แสงตะวันสดใส ส่องสะท้อนสนามหญ้าของโรงเรียนบนดอยสูงหยดน้ำค้างต้องกระทบแสงพราวระยิบราวกับเพชรพลอยตกอยู่กลาดเกลื่อน นักเรียนและชาวบ้าน ชาวปกาเกอะญอ ยืนเข้าแถวเต็มสนาม ต่อหน้าเสาธงชาติที่ทำจากไม้ไผ่ ลมหนาวพัดธงชาติพลิ้วไสว

 

               คณะผู้ให้จากพื้นราบข้างล่างอันห่างไกล ดั้นด้นขึ้นมาบนดอยสูงเพื่อมามอบเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้แก่ดินแดนกันดาร ยืนยิ้มรอมอบของที่ขนมาด้วยขบวนรถโฟร์วิลหลายคัน

 

               หญิงสาวยิ้มภูมิใจที่ได้มอบผ้าห่มกันหนาว มอบความอบอุ่นความเอื้อเฟื้อจากแดนไกลมาให้ แค่ได้ให้เธอก็เป็นสุขแล้ว ยิ่งได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา รอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ ซื่อๆบริสุทธิ์น้ำใสใจจริงของคนที่นี่ ทำให้หญิงสาวเป็นสุขยิ่งกว่าเก่า แค่ได้ให้

 

               …ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ…

 

               เธอหันไปมองครูดอยอาสา รุ่นพี่ที่เธอตามมาหาถึงที่นี่ แล้วยิ้ม เขายิ้มตอบ อย่างให้กำลังใจ

               

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา