วิถีคนหนุ่ม
เขียนโดย candle
วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.08 น.
แก้ไขเมื่อ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 16.27 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เขาใช้สายตาเพ่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์มาเกือบชม.ยังไม่ปรากฏตัวหนังสือสักตัวบนหน้าเวิร์ด สักพักจึงละสายตามาละเลียดเบียร์เย็นเฉียบก่อนกวาดมองไปบนเตียงนอน จากตรงนี้พิมนอนหันหลังให้เขา หลับไปตั้งแต่เกือบสองชม.ที่แล้วเห็นจะได้
มาคิดทบทวนดูเขาให้แปลกใจอยู่ครามครัน เราช่างแตกต่างคล้ายคนละขั้ว หากนั่นคือแรงดึงดูดถูกไหม...? บางสิ่งบางอย่างแตกต่างกันกลับดึงดูดกัน คนเราไขว่คว้าบางอย่างซึ่งแปลกเปลี่ยนออกไปจริงหรือ...? มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นน่าค้นหาในระยะแรกเริ่ม รุ่มร้อนเร้าใจครั้นได้สัมผัสแตะต้อง เลือดในกายเดือดพล่านลุกโหม ส่วนเว้าส่วนโค้งของพิมยังไม่แปรเปลี่ยน แล้วอะไรที่เปลี่ยนเป็นเขาอย่างนั้นเหรอ ไม่ๆ เขายังรัก ยังคงรักพิมอยู่ เพียงแต่ความรู้สึกคลับคล้ายเจือจางลงถดถอยลง หรือเพราะเจออะไรใหม่น่าค้นหาก่อความรู้สึกโหยหาเล็กๆ ด้วยยังมิได้พบเจอ ด้วยยังมิได้ครอบครอง...
เกือบสามปีเขาใช้ชีวิตคู่กับพิม เวลามันช่างน้อยนิด ความรักไม่ควรคลายเร็วขนาดนี้ ตามวิถีควรจะเป็นยิ่งนานวันยิ่งเกาะเกี่ยวร้อยรัดแนบแน่นถึงจะถูก เขาสะบัดหัวไล่ขับความคิดเชิงลบ เสียงข้อความบนช่องแชทของหน้าเวปหนึ่งดังขึ้น เขาคลี่ยิ้มใช้นิ้วดันแว่นตาซึ่งตกลงมาปลายจมูก
“คิดถึง...” ข้อความปรากฏขึ้น เธอระบุชื่อตัวละครในนิยายของเขา
‘เธอ’ หญิงสาว เด็กสาว หรืออย่างไรเขาไม่อาจรู้ได้ แต่เธออ่านนิยายของเขา เธอเป็นคนแรกที่อ่านนิยายของเขาแล้ววิฯให้ จากการพูดคุยกันผ่านตัวหนังสือทำให้รู้ได้ว่าเธอเป็นคนชอบอ่านหนังสือ
“คิดถึงมากกว่า” เขาพิมพ์ข้อความกลับไปปิดเสียงเตือนข้อความหันมาจดจ่อกับหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
สักพักเธอส่งอีโมรอยยิ้มกลับมา
“ไม่เจอตั้งนาน งานผมยุ่ง”
“ออ”
“...เป็นไงบ้าง”
“รอ...ตอนต่อไปอยู่เมื่อไหร่จะลง”
“จะรีบปั่น”
“ค่ะจะรอ บายค่ะ”
“ดีใจที่ได้เจอ” เธอต่อประโยค นั่นหมายถึงจบบทสนทนา
“บายครับ”
“เป็นอะไรไปคะ” เสียงพิมร้องถามเล่นเอาเขาสะดุ้ง รีบปิดหน้าเวปทันทีโดยอัตโนมัติ
เธอลุกมาจากเตียงนอนผมยาวเป็นลอนยุ่งเหยิงแลดูเซ็กซี่ เสื้อยืดเก่าซีดคอย้วยกับกางเกงขาสั้น เธอชอบชุดนอนแบบนี้นักหนา เขากลั้นหายใจก่อนระบายออกแผ่วเบาเมื่อพิมอ้อมมาโอบรอบคอ เส้นผมนุ่มส่งกลิ่นรวยรินเคลียต้นคอเขา ใบหน้าของพิมก็ซุกอยู่ตรงคอนั่นแล้ว เขากลืนน้ำลายลงคอยากเย็น
“ผมเขียนไม่ออก” เขาบอก
“ไม่นอนก่อนล่ะคะจะสี่ทุ่มแล้ว” พิมปรายตามองเขาผลุบนั่งลงบนตัก มือยังคงโอบคอเขาไว้ส่งยิ้มยั่วเย้า
“เอ่อ...” เขากรอกตา ถอดแว่นวางไว้บนโต๊ะก่อนจะช้อนร่างพิมลุกขึ้นเดินไปยังเตียงนอน
พิมหัวเราะคิกคักเมื่อเขาพรมจูบไปตามซอกคอของเธอ ส่วนมือก็...? สะเปะสะปะของมันไปเรื่อย
เขาเสียเหงื่อไปไม่น้อยทีเดียวแทบไม่น่าเชื่อว่ากิจกรรมบนเตียงนอนจะทำให้ผู้ชายเสียเหงื่อได้มากขนาดนี้ ทั้งที่เขาเองก็มั่นใจว่าฟิตพอตัว เขาเป็นสมาชิกสปอร์ตคลับออกกำลังกายอย่างน้อยก็อาทิตย์ละสามวัน แต่เรื่องนี้มัน...
พิมหลับไปด้วยรอยยิ้มเธออาจกำลังฝันดี เรือนร่างปราศจากอาภรณ์ขาวโพลน เย้ยหยันรัตติกาลให้หลบเร้นหลีกหายได้ไม่ยากเย็น เขาคลายวงแขนโอบรัดของตัวเองออกจากเธอ บรรจงคลี่ผ้าห่มคลุมประติมากรรมชิ้นเยี่ยมแห่งธรรมชาติ ปฏิมากรรมชื่ออิสตรีแห่งมวลมนุษย์ ปฏิมากรรมซึ่งบุรุษเพศล้วนอยากได้ไว้ครอบครองแม้เพียงสักคนหนึ่ง
เขาคอแห้งผากคว้าผ้าขนหนูปกปิดส่วนล่างของเรือนกาย เบียร์ครึ่งกระป๋องซึ่งเหลืออยู่ขาดรสชาดหากเขาก็กระดกมันจนหมด นั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์อีกครั้งสมองไหลลื่น ความเครียดในอารมณ์หายไปเหมือนต้องมนต์ ร่างกายเบาหวิวลอยคว้าง ความเข้ากันได้คงเป็นเช่นนี้ เขายิ้มกับความคิดของตัวเอง
พิมไม่เคยอ่านเรื่องที่เขาเขียน เธอไม่เคยอ่านหนังสือในแบบที่เขาอ่าน พิมจะอ่านหนังสือประเภทฮาวทูทั้งหลาย นิตยสารเกี่ยวกับความสวยความงามและเรื่องราวการช๊อปปิ้ง เขาคุยกับเธอเรื่องหนังสือไม่ได้ เธอไม่รู้จักนักเขียนคนโปรดของเขาไม่รู้เรื่องราวในหนังสือที่เขาอ่าน บางคราวเขาถึงกับคะยั้นคะยอให้พิมอ่านหนังสือที่เขาอ่านแล้วประทับใจมากๆ หากเธอหาใส่ใจไม่
“เล่าให้ฟังสิ” เธอว่าอย่างนั้นพลางส่งสายตาออดอ้อน
เขาเหนื่อยหน่ายกับพิมในเรื่องนี้นักหนา หนังสือบางเล่มเป็นเรื่องยากที่จะบอกเล่าต้องอ่านเองรู้สึกเอง การตีความของแต่ละคนยิ่งต่างกันออกไปอีกหลากหลาย เขาหวังแค่ว่าเธอจะอ่านแล้วบอกเขาถึงความหมายซึ่งเธอมองเห็นในเรื่องราวเหล่านั้น ความคิดของเธอกับเขาจะเหมือนกันหรือแตกต่าง
จะเป็นอะไรไหมหากเขาจะนัดเจอ...สักครั้ง อยากคุยด้วยให้มากกว่านั้นลึกซึ้งกว่านั้น เขาเองไม่เข้าใจในเหตุผลนั่นเลย ไม่เข้าใจในความรู้สึกซึ่งเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ในโลกออนไลน์หาจีรังยั่งยืนไม่ เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความรู้สึก สัมผัสได้เพียงเจือจางในโลกสมมุติ แต่เขาก็อยากพูดคุยด้วยกับเธอเรื่องหนังสือที่อ่าน ดูว่ารสนิยมการอ่านของเธอกับเขาตรงกัน หนังสือหลายเล่มที่เธออ่านเขาเองก็อ่านด้วยเหมือนกัน อะไรไม่รู้ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าหากเธอเป็นพิมหรือพิมเป็นเธอคงดีไม่น้อย
เขาอาจลองถามดูว่าเจอกันได้ไหม เขาหวังจะเจออะไร...? หญิงสาวในอุดมคติงั้นเหรอ สวยมีเสน่ห์ดึงดูดใจน่าค้นหาทำนองนั้น เขานึกคิดอย่างเพ้อฝันในห้วงอารมณ์หนุ่ม
**
**
ช่วงขาเรียวยาวไข้วกันอยู่ใต้โต๊ะ เขามองตั้งแต่รองเท้าส้นสูงที่เธอสวมนิ้วเท้าเล็กๆ ไล่เรื่อยไปถึงโคนขาเบียดชิดกันภายในกางเกงขาสั้น เนื้อผิวสีน้ำตาลละเอียดชวนให้นึกไปถึงสีของกาแฟยามเช้า ย้อนครุ่นถึงรสและกลิ่นหอมละเมียดละไมพลันรอยยิ้มผุดพราย ตรงหน้าเธอกาแฟถ้วยหนึ่งวางอยู่ ขอบถ้วยเปื้อนคราบลิปติกสีน้ำตาลเคลือบส้ม เขาเพลินมองรอยเส้นขอบปากบนถ้วยกาแฟ ร่องเส้นเล็กๆ ของผิวปากหลายสิบเส้นดั่งภาพเขียนของจิตกรบนผิวกระเบื้อง
เป็นเรื่องชวนพิศวงคนเรามักรู้ตัวเมื่อโดนมองแม้ไม่รู้ถึงที่มา หากสัมผัสได้รู้สึกได้ เหตุเพราะความคมกล้าของสายตาหรือเพราะการเพ่งจิตอย่างแรงกล้าของผู้จ้องมองก็ไม่อาจทราบได้ถ่องแท้แน่ชัด
เธอรู้สึกตัวหญิงสาวลดหนังสือลงจากระดับใบหน้า ใช้นิ้วชี้ของมือด้านซ้ายสอดคั่นหน้าหนังสือไว้ มือข้างขวาถอดแว่นออกวางข้างถ้วยกาแฟก่อนเผยรอยยิ้มทักทาย เขานิ่งค้างรับรู้การเต้นของหัวใจโลดขึ้นมาในอก ตื่นเต้นแปลกๆ และค่อนข้างผิดหวัง
“สวัสดีค่ะ”
“ครับสวัสดี” เขาทักตอบนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างถือวิสาสะ
“คุณ...” เธอส่งคำถามคาดคะเน
“ครับ” เขาเพ่งมองหนังสือที่เธออ่านอยู่เมื่อครู่
เธอยิ้มเคอะเขินเหลือบมองหนังสือในมือ
“เป็นหนังสือไทยเล่มแรกในรอบสิบปี”
เขาจ้องเธอค้างในคำบอกกล่าวนั้น
“ ไปอยู่ไหนมา” คำถามเขาเจือขบขัน
เธอหัวเราะ
“อ่านแต่หนังสือแปล”
“ออ”
“มารอนานแล้วเหรอ” เขาถามเมื่อเห็นว่าเธออ่านหนังสือไปได้เกินครึ่งเล่ม ซึ่งหมายความว่าระยะเวลาคงไม่น้อย
“มาตั้งแต่เช้า ไม่ได้มารอแค่อยากใช้เวลาในร้านหนังสือให้คุ้มค่ากับวันหยุด” เธอยิ้มแล้วก็มองหน้าเขาตรงๆ
เขาถอนหายใจรู้ว่าเป็นอย่างที่เธอพูด ดูท่าว่าเขาหามีแรงกระตุ้นแต่ประการใดแก่เธอไม่
หลังจากนั้นความแปลกหน้าคลี่คลาย ปากเล็กๆ เริ่มขยับขึ้นลงเป็นจังหวะพูดคุยถึงหนังสือที่ชอบ ดวงตาวิบวับทอประกายยามบอกเล่า เปิดยิ้มกว้างขึ้นเมื่อรับรู้ว่าเขาหลงใหลในหนังสือเล่มเดียวกัน มีนักเขียนคนโปรดคนเดียวกัน ถกกันถึงความหมายซ่อนเร้นในงานเขียนของ ‘Kafka’ ที่หยิบมาอ่านแต่ละครั้งก็ปวดหัวได้ทุกคราไป
สายตาเขาเริ่มพร่าเลือน เห็นใบหน้าพิมซ้อนทับหญิงสาวตรงหน้า หนังสือถุงโตสามถุงจากพนักงานในร้านเอามาวางไว้ให้บนโต๊ะ เธอกล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม คงรู้ว่ารอยยิ้มของตัวมีเสน่ห์มัดใจสิท่าถึงได้เปิดยิ้มบ่อยๆ เขาอดนึกคิดค่อนเธอไม่ได้
“มีอะไรคะ” เธอส่งคำถามเหมือนอ่านใจเขาได้
“คิดจะเหมาทั้งร้านเลยรึไง” เขาแสร้งเสมองถุงหนังสือ
“นานๆ ครั้งจะได้ออกมาทอดหุ่ยซะที ต้องกักตุนค่ะ”
เธอเป็นช่างทำโมเดลทำงานที่บ้าน แต่ไม่ได้รับงานมาจากพวก ‘tect’ โดยตรง
“เบื่อจะคุยกับพวก ‘tect’ ท่าเยอะเรื่องมาก” เธอว่าอย่างนั้น
งานที่เธอทำแต่ละชิ้นอย่างน้อยสุดก็หนึ่งเดือน เป็นงานใหญ่สี่ถึงห้าเดือนขึ้น ตั้งแต่ถอดแบบ หาซื้อวัสดุประกอบชิ้นงาน ตัดแปะ พ่นสีเอาทุกอย่างมาประกอบเข้าด้วยกันแต่ละชิ้นตามรายละเอียดในแบบ ทั้งหมดนั่นเธอต้องนั่งทำงานอยู่กับบ้าน ใช้เวลาทุ่มเทกับมันจนกว่าจะเสร็จ
“เป็นงานอิสระดีนะครับ”
“ค่ะ คงงั้นแต่ก็ไม่เชิงซะทีเดียวหรอก บางงานแก้แล้วแก้อีกปรับโน่นปรับนี่ไม่เสร็จซะที แทบว่าจะฆ่ากันตายกับคนที่รับงานมา แต่ก็ไม่บ่อยหรอกส่วนมากฉันจะส่งคืนไป” เธอยิ้มพลางไหวไหล่
“คราวนี้ได้หยุดยาวเหรอถึงได้ซื้อหนังสือเยอะขนาดนี้”
“เกือบเดือน ว่าจะตั้งหน้าตั้งตาอ่าน แต่ก็ไม่แน่หรอกมีงานใหม่มาพอใจกับราคาก็ทำ ปลายปีถึงค่อยให้รางวัลกับชีวิตซะทีนึง คนเราตอนมีงานทำก็ฝันถึงการหยุดยาวๆ แต่ได้หยุดจริงๆ กลับน่าเบื่อเหมือนกัน มันว่างเปล่าไงไม่รู้ ไม่มีความพอดีในมนุษย์เอาซะเลย” ปลายประโยคฟังเหมือนบ่นกับตัวเอง
เขาผิดคาดกับภาพลักษ์ของเธอที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ที่นึกคิดไว้ไม่ใช่แบบนี้ เขาวาดหวังจะเจอหญิงสาวท่าทางชวนฝันเลื่อนลอย ประมาณว่าสวมใส่ชุดกระโปรงยาวๆ สวมหมวกปีกกว้างถือตะกร้าหวาย หรือไม่ก็หอบช่อดอกไม้ไว้ในอ้อมแขน ประหนึ่งหญิงสาวในนิยายรักโรแมนติกแสนหวาน
เธอที่เขาเจอซอยผมสั้นเคลียใบหู ท่าทางมั่นอกมั่นใจหากไม่แข็งกระด้างหน้าตาค่อนไปทางธรรมดา ยามพูดคุยด้วยกลับมีเสน่ห์ดึงดูดใจ เหมือนสายน้ำไหลเอื่อยชื่นเย็น
แววตาซ่อนยิ้มรู้เท่าทันคนทำเอาเขาอดขันตัวเองไม่ได้ บางทีเธอคงมองเขาทะลุปรุโปร่งไปแล้วเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนออกปากนัดเจอ
**
**
“เป็นไงคะ” พิมถาม ตายังคงจับจ้องหน้าจอไอโฟน
“...............”
“ไปเจอเธอมาไม่ใช่เหรอ” พิมว่ายิ้มๆ “หญิงสาวยามค่ำคืน”
“...............” เขาสะอึกในคำท้วงทัก เธอหันมองเขาตรงๆ
“คิดได้ไงว่าพิมจะไม่รู้เนี่ย” พิมแกล้งบิดต้นแขนเขาพลางหัวเราะล้อเลียน
เขายิ้มกับคำเย้าแหย่ไม่จริงจังของเธอ พิมมีลักษณะเด่นอย่างหนึ่งในตัวเองที่ผู้ชายหลายคนปรารถนาในภรรยา เธอมักทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในเรื่องบางเรื่อง เมินเฉยเสียแต่ใช่ว่าจะปล่อยปละ ทั้งหมดล้วนอยู่ในการควบคุมกลายๆ อย่างนิ่มนวลผ่อนปรน ยังไว้ซึ่งความเกรงอกเกรงใจให้อีกฝ่ายพึงระลึกคิด
“เธอดูเป็นไง” พิมนั่งขัดสมาธิบนโซฟาหันมาประจันหน้ากับเขา
“ก็ดี” เขาว่าคล้ายไม่ใส่ใจ ลอบมองปฏิกิริยาของพิม
“แค่เนี๊ยะ” เธอทำตาโตส่อแววขัดเคือง
“คล้ายๆ พิม”
“ยังไง” เธอดูตื่นเต้น
“รู้ทัน” เขาเน้นคำ ใช้นิ้วเขี่ยปลายจมูกเธอ
พิมปล่อยหัวเราะเต็มเสียงหน้าตาระรื่นเกินพอดี
“โอ๋ๆๆ หญิงสาวยามค่ำคืน หาใช่ลูกแกะน้อยให้หมาป่าขย่ำไม่”
เขาหัวเราะให้สำนวนเหน็บแนมของเธอ
“ใช่ หมาป่าเลยกลับมาขย่ำแกะที่เลี้ยงไว้แก้หิวโซ”
พิมหัวเราะร่วนก้มหลบวงแขนแข็งแรง แต่มีหรือหมาป่าเจนไพรอย่างเขาจะปล่อยให้หลุดมือได้ง่ายดาย
วาจารู้เท่าทัน ดวงตารู้เท่าทัน ล้วนมอดไหม้ด้วยเสน่ห์แห่งอารมณ์.
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ