Memory Of Tears
เขียนโดย ไอริ
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.17 น.
แก้ไขเมื่อ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) [Last Memory]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[Last Memory]
“พี่โรส...จะไม่ลงน้ำจริงๆ เหรอ”
เสียงนุ่มทุ้มที่ฉันชอบนั้นคลอเคลียใกล้หูเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าที่ฉันนั่งอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องสมุดขนาดใหญ่ภายใต้บรรยากาศที่เย็นยะเยือกจากเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่ เลขบนสวิตซ์นั้นบอกอุณหภูมิเกือบสิบห้าองศา ซึ่งก็มากพอที่ทำให้ฉันหนาวได้
เด็กหนุ่มที่นั่งกวนใจฉันอยู่นั้นสูงมากกว่าฉันเกือบสิบเซนติเมตร ใบหน้าของเขาดูดีเหมือนชาวเอเชีย แต่ก็คมคายเหมือนชาวตะวันตกไม่น้อย พูดง่ายๆ ก็ลูกครึ่งนั่นแหละ
อ่า...มันลำบากใจจริงๆ นะหากจะต้องปฏิเสธไปโดยมองข้ามสายตาหวานๆ ที่มองอยู่ตอนนี้
ฉันชักรู้สึกแล้วว่าหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้วแหละ!
“เชสก์ก็รู้นี่ว่าพี่ไม่ชอบลงน้ำตอนหน้าหนาว” ฉันเลี่ยงตอบเขา ดันกรอบแว่นหนาๆ ให้เกาะสันจมูกอยู่เหมือนเดิม พลางหยิบหนังสือจากชั้นวางมาเตรียมขนกลับบ้าน
“แต่นี่เพื่อสีเราเลยนะ”
อีกฝ่ายพยายามเกลี้ยกล่อม ที่เขาพยายามมาง้อฉันนั่นเป็นเพราะว่ามหาวิทยาลัยของเรามีกีฬาสี และสีของเรานั้นมีเพียงฉันและเขาเท่านั้นที่เป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ถึงแม้สภาพร่างกายฉันจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม
“คนอื่นที่ไม่ใช่นักกีฬาว่ายน้ำก็ว่ายน้ำเป็นนี่นา ถึงแม้จะไม่เชี่ยวชาญ แต่ก็พอทำให้สีเราชนะได้นะ”
ฉันตอบอย่างมีเหตุผล ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ถ้าหากเชสก์จะไปขอร้องในนิสิตสาวคนสวยสักคนมาลงว่ายน้ำคู่กับเขา
รุ่นน้องหลายคนยกมือทำความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียง ฉันทำเพียงส่งยิ้มให้เล็กน้อยเท่านั้นก่อนจะเดินออกไปลงชื่อยืมสมุดกลับ คนส่วนใหญ่มักจะกลัวฉัน เนื่องจากลักษณะนิสัยและบุคลิกประจำตัวที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับสังคม
“มายืมหนังสืออีกแล้วเหรอโรส”
อาจารย์เซดดา อาจารย์สาวฝึกหัดที่เพิ่งเข้ามาใหม่เพียงไม่กี่เดือนเอ่ยทักฉันขึ้น
“อาทิตย์หน้าโรสต้องไปสอบแข่งขันที่มาวีฟ์ค่ะ อาจารย์”
มาวีฟ์ที่ฉันหมายถึงนั้นคือเมืองหลวงแห่งมิลลารี ประเทศหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่ที่ฉันอาศัยอยู่มาเกือบสิบหกปีในการใช้ชีวิตบนโลกสีน้ำเงินใบนี้
ฉันอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของมิลลารี เมืองเล็กที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แต่ยังคงเค้าไว้ด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมแห่งชาล์ซีไว้อยู่
“ได้ไปอีกแล้วเหรอ โรสนี่เก่งจริงๆ เลยนะ ได้ไปเกือบทุกวิชา”
ทุกๆ สามเดือนของเราจะมีการสอบแข่งขันระดับประเทศเกิดขึ้น แต่ละมหาวิทยาลัยจะคัดนักเรียนที่ได้คะแนนสูงๆ แต่ละวิชามาส่งเข้าแข่งขัน เนื่องจากทางรัฐบาลต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขามาเรียนเฉพาะทางเพื่อพัฒนาประเทศให้เข้าสู่ยุคเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะอาจารย์”
ฉันตอบอย่างถ่อมตัวก่อนทำความเคารพลาตามมารยาท คนตัวสูงทำตามแม้จะดูเก้งก้างไปหน่อย ในแววตาของอาจารย์เซดดามีรอยขบขัน
“ไหงไปอยู่กับพี่โรสได้ล่ะเชสก์ วันนี้ไม่เล่นบาสเก็ตบอลหรือเรา”
เชสก์เป็นนักกีฬาเบอร์หนึ่งมหาวิทยาลัย แทบจะทุกชนิดกีฬาที่เล่นได้ แต่การเรียนนั้นกลับไม่เอาอ่าว ฉันเคยได้ยินอาจารย์หลายท่านบ่นกันเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขาเล่นหลับทุกคาบที่เข้าเรียนจนโดนท่านอธิการบดีเรียกไปตักเตือนมาแล้วหลายครั้ง
“มาขอให้พี่โรสช่วยลงแข่งว่ายน้ำอยู่น่ะสิครับ อาจารย์ช่วยผมหน่อยสิ”
เขาเริ่มออกอาการออดอ้อนให้เห็น ฉันรีบดึงแขนเขาเดินออกมาจากห้องสมุด หนึ่งคือป้องกันเสียงพูดคุยของเรา และสองคือฉันไม่อาจเห็นสายตาล้อเลียนที่อาจารย์เซดดามองมาได้
“พี่ไม่อยากลงนี่เชสก์”
ฉันเอ่ยเสียงอ่อน พยายามพูดคุยกับเขาดีๆ
“แต่ในบรรดาผู้หญิงทุกคนในสีของเรา ไม่มีใครเก่งว่ายน้ำเท่าพี่อีกแล้วนะ”
ความเป็นจริงที่ฉันเกลียดที่สุด แม่ไม่น่าจับฉันเรียนว่ายน้ำตั้งแต่ตอนอนุบาลหนึ่งเลยจริงๆ
“แต่เขาก็พอว่ายได้ ไม่ใช่หรือ?” ฉันย้อนถาม
“พี่โรสอ่า...”
“สำคัญที่สุดคือพี่ไม่อยากมีปัญหากับแม่สีพ่อสีของเรา เชสก์ก็รู้นี่ว่าเขาไม่ค่อยชอบพอกับพี่เท่าไหร่” ฉันเอ่ยถึงเวสนาและรูช ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมคณะของฉัน นิสัยที่เห็นแก่ตัวและชอบชิงดีชิงเด่นทำให้ฉันไม่ค่อยอยากข้องเกี่ยวสักเท่าไหร่
เราเคยทะเลาะกันเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากเพื่อนๆ เลือกฉันให้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำของมหาวิทยาลัย แต่เวสนากลับไม่ยอม โวยวายจนเป็นเรื่องใหญ่โต ท้ายที่สุดคือเธอเกลียดฉันไปโดยปริยาย
“สรุปคือพี่ไม่อยากลงจริงๆ เหรอ” ใบหน้าคมสันหม่นลงจนฉันใจอ่อนยวบ ถ้าไม่ติดว่ามีเสียงหนึ่งของหัวใจแย้งออกมา
ลืมไปแล้วเหรอ...ว่าเธอไม่มีสิทธิ์ในชีวิตเขาอีกต่อไป....
“พี่ขอโทษจริงๆ เชสก์” ฉันเอ่ยได้เพียงเท่านี้
“ก็ได้” เชสก์ตัดบท “ถ้าอย่างนั้นผมไปซ้อมบาสก่อนนะ เลตมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว”
ร่างสูงบอกลาแบบง่ายๆ ฉันพยักหน้าน้อยๆ มองเขาที่วิ่งเหยาะๆ ไปยังสนามบาสเก็ตบอลที่มีเพื่อนร่วมสียืนชู้ตอยู่จนสุดสายตา
“ถ้าเรารู้ว่าพี่คิดยังไงกับเรา...เราก็คงไม่มีวันมายืนคุยกับพี่แบบนี้หรอก”
ฉันพึมพำแล้วเดินแยกออกไปอีกทางเพื่อเตรียมตัวเก็บของกลับบ้าน
“กลับมาแล้วเหรอลูก”
ทันทีที่กลับมาถึงบ้านก็มีเสียงที่แสนอ่อนโยนเอ่ยทักขึ้นอยู่มุมหนึ่งของห้องรับแขก ฉันวางกระเป๋าลงพร้อมกับจรดปลายจมูกลงบนแก้มของท่านทั้งสองข้างด้วยความรัก
“กลับมาแล้วค่ะแม่”
ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนรถเข็นทำให้ฉันแทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว ยังแสดงสีหน้าร่าเริงทั้งที่อยากร้องไห้แทบตาย
แม่ก็ยังเป็นแม่คนเดิมที่คอยเก็บความรู้สึกไว้มิดชิดตลอดเวลา สองมือของท่านลูบแก้มฉันเบาๆ
“ทำไมวันนี้กลับเร็วนักล่ะ ปกติจะอยู่อ่านหนังสือจนดึกดื่นเลยไม่ใช่หรือ”
“หนูเอาหนังสือกลับมาอ่านที่บ้านค่ะ แม่จะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว”
ฐานะทางบ้านของฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก พ่อและแม่เลิกรากันตั้งแต่ฉันอายุสิบขวบ อุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหกปีที่แล้วทำให้เส้นประสาทของแม่ถูกกดทับ...เดินไม่ได้ตลอดชีวิต
ถึงแม้จะมีทางรักษา แต่นั่นก็ย่อมหมายถึงเม็ดเงินจำนวนมากที่เราต้องสูญเสีย ลำพังเงินเดือนจากราชการบำนาญที่แม่ได้รับก็คงพอแค่เพียงค่าเทอมมหาโหดที่ฉันเรียนมหาวิทยาลัย บวกกับทุนเด็กเรียนดีที่ได้รับก็พอจะถูไถไปได้บ้าง
“แม่ทำให้หนูต้องลำบากอีกแล้ว...”
“อย่าพูดแบบนี้สิคะ มันไม่ได้ลำบากอะไรมากมายเลยนะแม่” ฉันพยายามยิ้มออกมา มันคงจะดูฝืดเฝื่อนมากที่สุดจนแม่ต้องกอดฉันไว้ในอ้อมกอดแน่น
“แม่ขอโทษนะลูก...ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้ลูกต้องลำบากไปด้วย”
น้ำตาของฉันไหลอาบแก้ม ถึงแม้มีบ้างที่เคยตัดพ้อโชคชะตาของตนเองที่มีเพียงแต่ปัญหาซัดมาครั้งแล้วครั้งเล่า...แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ฉันรู้สึกว่าแม่เป็นคนทำให้ชีวิตฉันเป็นแบบนี้
“หนูเป็นลูกแม่นะคะ สิ่งไหนที่หนูจะทำให้แม่ได้หนูก็ยินดีที่จะทำ”
“ฮึก...แม่ขอโทษลูก”
แม่เอาแต่กอดฉันแล้วพร่ำร้องไห้อยู่อย่างนั้น ความลำบากที่เราสองแม่ลูกได้รับเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันคิดอยู่เสมอว่าชีวิตของฉันต้องยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดให้ได้
น้ำตาที่ไหลชุ่มเสื้อฉันครั้งแล้วครั้งเล่า...ทำให้ฉันบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าต้องทำยังไงก็ได้ ที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้มีความสุขที่สุด
“ไม่เป็นไรนะคะแม่ มันผ่านไปแล้ว”
ฉันปลอบแม่ด้วยประโยคซ้ำๆ ท่านสะอื้นฮักอยู่บนรถเข็นโดยที่ฉันนั่งคุกเข่ากอดท่านอยู่ สองมือผอมบางกอดฉันแน่นราวกับว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่มีให้ยึดเหนี่ยว
“แม่ขออย่างเดียว...อย่าโกรธพ่อเลยนะลูก”
นี่เป็นอีกคำขอหนึ่งที่ฉันไม่สามารถทำได้เลยแม้แต่น้อย บิดาผู้ที่ไม่เคยแม้แต่จะมีความผูกพันทางจิตใจ ไม่เคยแม้แต่จะเลี้ยงดูอุ้มชูให้สมกับคำว่าพ่อ แล้วยังไม่เคยให้ฉันโกรธท่านอีกหรือ?
อาจดูว่าอกตัญญู...แต่ฉันก็น้อมรับมัน
“หนูไม่เคยโกรธเขาค่ะแม่” มีแต่เกลียด...ถึงแม้รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่สมควรที่จะคิดแบบนี้
แม่พูดอยู่เสมอ...ว่าการเลิกราครั้งนี้มันมาจากความต้องการของเราทั้งสองฝ่าย ถึงแม้พ่อและแม่จะพยายามประคับประคองชีวิตอยู่มาเกือบสิบปี เพราะเหตุผลเดียว...
ไม่ต้องการให้ฉันเป็นเด็กกำพร้า...
ครั้งแรกที่ได้ยินนั้นทำให้ฉันอดเปล่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้เลย...มันไม่ได้มาจากความหรรษาในจิตใจ แต่มันคือความสมเพชในชีวิตตัวเองอย่างช่วยไม่ได้
พ่อเคยนึกถึงจิตใจฉันด้วยเหรอ...
หลังจากที่เลิกกับแม่ไม่ถึงสามเดือน พ่อก็แต่งงานใหม่กับหญิงสาวชาวไทยที่พบรักกันเมื่อครั้งที่เจ้าหล่อนยังเป็นนักศึกษาปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเอลลูญ์ หนึ่งปีต่อมาฉันก็ได้ข่าวว่าลูกชายคนใหม่ของพ่อก็ถือกำเนิดขึ้นมา
“พ่อของลูกรักลูกมาก...ถึงแม้เค้าจะไม่เคยแสดงออกเลยก็ตาม อย่าโกรธพ่อเลยนะลูก...บาปจะติดตัวลูกตลอดไป รู้ไหม?”
................................................................................
ประโยคที่คุยกับแม่เมื่อยามเย็นนั้นผ่านเข้ามาในความคิด สองมือของฉันกระชับเสื้อโค้ตตัวหนาแน่นเมื่อลมหนาวพัดผ่าน อุณหภูมิเย็นที่ติดลบนั้นแทรกซึมเข้ามาในกระดูก ควันสีขาวโพลนลอยถูกปลดปล่อยออกมาจากปากของฉัน
เวลานี้พลบค่ำมากแล้ว หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวและจัดการอาหารเย็นให้แม่เรียบร้อย ฉันจึงออกมาเดินเล่นแถวหน้าโบสถ์คริสต์ที่ร้างมานานแสนนาน เนื่องจากไม่มีใครดูแลเอาใจใส่มากเท่าที่ควร มันเป็นสถานที่ที่สงบที่สุด...และฉันก็ชอบมันที่สุด
บุคคลที่มีชีวิตเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและความเหงาอย่างฉัน มักถูกเรียกว่าโครี หรือในภาษามิลลาเรียนที่แปลว่า ‘ความว่างเปล่าที่ถูกความมืดมิดกลืนกิน’
ฉันไม่ค่อยสนใจใครสักเท่าไหร่ ชีวิตประจำวันในแต่ละวันนั้นหมุนเวียนซ้ำๆ จนน่าเบื่อหน่าย แต่กลับทิ้งไปไม่ได้...เพราะมันคือ ‘หน้าที่’
รูปปั้นสีขาวบริสุทธิ์ที่ตระหง่านอยู่กลางโบสถ์เก่าดูท่าเคารพสักการะ ดอกไม้แห้งเหี่ยวที่แช่อยู่ในแจกันใบเก่าทำให้รู้ว่าขาดการดูแลมานับหลายปี สิ่งที่ฉันทำนั่นคือการยืนมองท่านด้วยแววตาไม่เข้าใจ
การมีชีวิตอยู่ในแต่ละวัน...มันไม่ต่างจากการใช้ชีวิตที่ไร้ลมหายใจและไร้ซึ่งความหวัง
เหตุใด...ทรงกำหนดให้ชีวิตฉันเต็มไปด้วยความอดสูเช่นนี้
ฉันจำไม่ได้เลย ว่ารอยยิ้มที่มีความสุขครั้งสุดท้ายนั้นเกิดขึ้นเมื่อได้ ความทรงจำอันเลวร้ายที่ได้รับหล่อหลอมให้เด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในโลกแห่งความฝัน กระทั่งเติบโตเป็นหญิงสาวคนนี้ยังอยู่กับโลกสีเทาหม่นเช่นเดิม.....
ไม่มีแม้แต่แสงสว่างนำทางเดิน...จนกระทั่งชายคนนั้นเข้ามาในชีวิต
เชสก์
จากเด็กหนุ่มที่คอยช่วยเหลือพี่รหัสคนนี้มาตั้งแต่สมัยอยู่ไฮสกูลที่โรงเรียนมัธยมชาล์ซี จนกระทั่งก้าวสู่อีกช่วงวัยหนึ่งของการใช้ชีวิต มันมากพอที่จะเป็นสายใยหนาแน่นที่ทำให้ฉันผูกพันกับเขา
ทั้งที่รู้...ว่าไม่มีสิทธิ์
แต่ทำไม...ยังคิดจะรัก
เสียงลมหายใจแผ่วๆ ดังขึ้นโดยอัติโนมัติ ฉันไม่รู้ว่าตนเองทนกับอากาศหนาวติดลบแบบนี้ได้อย่างไร คำถามของฉันนั้นไม่มีคำตอบจากรูปปั้นที่เคารพตรงหน้า...แต่ฉันกลับรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ
ท่านกำลังมองฉันอยู่ด้วยแววตาปรานี...
และมันทำให้ฉันรู้สึกดี...ว่าอย่างน้อยก็มีที่พึ่งทางจิตใจ
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ