Memory Of Tears

6.9

เขียนโดย ไอริ

วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.17 น.

  1 ตอน
  1 วิจารณ์
  3,688 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) [Last Memory]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

[Last Memory]

 

 

เว็บขีดเขียน

 

 

 

                “พี่โรส...จะไม่ลงน้ำจริงๆ เหรอ”

                เสียงนุ่มทุ้มที่ฉันชอบนั้นคลอเคลียใกล้หูเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าที่ฉันนั่งอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องสมุดขนาดใหญ่ภายใต้บรรยากาศที่เย็นยะเยือกจากเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่ เลขบนสวิตซ์นั้นบอกอุณหภูมิเกือบสิบห้าองศา ซึ่งก็มากพอที่ทำให้ฉันหนาวได้

                เด็กหนุ่มที่นั่งกวนใจฉันอยู่นั้นสูงมากกว่าฉันเกือบสิบเซนติเมตร ใบหน้าของเขาดูดีเหมือนชาวเอเชีย แต่ก็คมคายเหมือนชาวตะวันตกไม่น้อย พูดง่ายๆ ก็ลูกครึ่งนั่นแหละ

                อ่า...มันลำบากใจจริงๆ นะหากจะต้องปฏิเสธไปโดยมองข้ามสายตาหวานๆ ที่มองอยู่ตอนนี้

                ฉันชักรู้สึกแล้วว่าหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้วแหละ!

                “เชสก์ก็รู้นี่ว่าพี่ไม่ชอบลงน้ำตอนหน้าหนาว” ฉันเลี่ยงตอบเขา ดันกรอบแว่นหนาๆ ให้เกาะสันจมูกอยู่เหมือนเดิม พลางหยิบหนังสือจากชั้นวางมาเตรียมขนกลับบ้าน

                “แต่นี่เพื่อสีเราเลยนะ”

                อีกฝ่ายพยายามเกลี้ยกล่อม ที่เขาพยายามมาง้อฉันนั่นเป็นเพราะว่ามหาวิทยาลัยของเรามีกีฬาสี และสีของเรานั้นมีเพียงฉันและเขาเท่านั้นที่เป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ถึงแม้สภาพร่างกายฉันจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม

                “คนอื่นที่ไม่ใช่นักกีฬาว่ายน้ำก็ว่ายน้ำเป็นนี่นา ถึงแม้จะไม่เชี่ยวชาญ แต่ก็พอทำให้สีเราชนะได้นะ”

                ฉันตอบอย่างมีเหตุผล ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ถ้าหากเชสก์จะไปขอร้องในนิสิตสาวคนสวยสักคนมาลงว่ายน้ำคู่กับเขา

                รุ่นน้องหลายคนยกมือทำความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียง ฉันทำเพียงส่งยิ้มให้เล็กน้อยเท่านั้นก่อนจะเดินออกไปลงชื่อยืมสมุดกลับ คนส่วนใหญ่มักจะกลัวฉัน เนื่องจากลักษณะนิสัยและบุคลิกประจำตัวที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับสังคม

                “มายืมหนังสืออีกแล้วเหรอโรส”

                อาจารย์เซดดา อาจารย์สาวฝึกหัดที่เพิ่งเข้ามาใหม่เพียงไม่กี่เดือนเอ่ยทักฉันขึ้น

                “อาทิตย์หน้าโรสต้องไปสอบแข่งขันที่มาวีฟ์ค่ะ อาจารย์”

                มาวีฟ์ที่ฉันหมายถึงนั้นคือเมืองหลวงแห่งมิลลารี ประเทศหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่ที่ฉันอาศัยอยู่มาเกือบสิบหกปีในการใช้ชีวิตบนโลกสีน้ำเงินใบนี้

                ฉันอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของมิลลารี เมืองเล็กที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แต่ยังคงเค้าไว้ด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมแห่งชาล์ซีไว้อยู่

                “ได้ไปอีกแล้วเหรอ โรสนี่เก่งจริงๆ เลยนะ ได้ไปเกือบทุกวิชา”

                ทุกๆ สามเดือนของเราจะมีการสอบแข่งขันระดับประเทศเกิดขึ้น แต่ละมหาวิทยาลัยจะคัดนักเรียนที่ได้คะแนนสูงๆ แต่ละวิชามาส่งเข้าแข่งขัน เนื่องจากทางรัฐบาลต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขามาเรียนเฉพาะทางเพื่อพัฒนาประเทศให้เข้าสู่ยุคเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว

                “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะอาจารย์”

                ฉันตอบอย่างถ่อมตัวก่อนทำความเคารพลาตามมารยาท คนตัวสูงทำตามแม้จะดูเก้งก้างไปหน่อย ในแววตาของอาจารย์เซดดามีรอยขบขัน

                “ไหงไปอยู่กับพี่โรสได้ล่ะเชสก์ วันนี้ไม่เล่นบาสเก็ตบอลหรือเรา”

                เชสก์เป็นนักกีฬาเบอร์หนึ่งมหาวิทยาลัย แทบจะทุกชนิดกีฬาที่เล่นได้ แต่การเรียนนั้นกลับไม่เอาอ่าว ฉันเคยได้ยินอาจารย์หลายท่านบ่นกันเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขาเล่นหลับทุกคาบที่เข้าเรียนจนโดนท่านอธิการบดีเรียกไปตักเตือนมาแล้วหลายครั้ง

                “มาขอให้พี่โรสช่วยลงแข่งว่ายน้ำอยู่น่ะสิครับ อาจารย์ช่วยผมหน่อยสิ”

                เขาเริ่มออกอาการออดอ้อนให้เห็น ฉันรีบดึงแขนเขาเดินออกมาจากห้องสมุด หนึ่งคือป้องกันเสียงพูดคุยของเรา และสองคือฉันไม่อาจเห็นสายตาล้อเลียนที่อาจารย์เซดดามองมาได้

                “พี่ไม่อยากลงนี่เชสก์”

                ฉันเอ่ยเสียงอ่อน พยายามพูดคุยกับเขาดีๆ

                “แต่ในบรรดาผู้หญิงทุกคนในสีของเรา ไม่มีใครเก่งว่ายน้ำเท่าพี่อีกแล้วนะ”

                ความเป็นจริงที่ฉันเกลียดที่สุด แม่ไม่น่าจับฉันเรียนว่ายน้ำตั้งแต่ตอนอนุบาลหนึ่งเลยจริงๆ

                “แต่เขาก็พอว่ายได้ ไม่ใช่หรือ?” ฉันย้อนถาม

                “พี่โรสอ่า...”

                “สำคัญที่สุดคือพี่ไม่อยากมีปัญหากับแม่สีพ่อสีของเรา เชสก์ก็รู้นี่ว่าเขาไม่ค่อยชอบพอกับพี่เท่าไหร่” ฉันเอ่ยถึงเวสนาและรูช ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมคณะของฉัน นิสัยที่เห็นแก่ตัวและชอบชิงดีชิงเด่นทำให้ฉันไม่ค่อยอยากข้องเกี่ยวสักเท่าไหร่

                เราเคยทะเลาะกันเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากเพื่อนๆ เลือกฉันให้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำของมหาวิทยาลัย แต่เวสนากลับไม่ยอม โวยวายจนเป็นเรื่องใหญ่โต ท้ายที่สุดคือเธอเกลียดฉันไปโดยปริยาย

                “สรุปคือพี่ไม่อยากลงจริงๆ เหรอ” ใบหน้าคมสันหม่นลงจนฉันใจอ่อนยวบ ถ้าไม่ติดว่ามีเสียงหนึ่งของหัวใจแย้งออกมา

                ลืมไปแล้วเหรอ...ว่าเธอไม่มีสิทธิ์ในชีวิตเขาอีกต่อไป....

                “พี่ขอโทษจริงๆ เชสก์” ฉันเอ่ยได้เพียงเท่านี้

                “ก็ได้” เชสก์ตัดบท “ถ้าอย่างนั้นผมไปซ้อมบาสก่อนนะ เลตมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว”

                ร่างสูงบอกลาแบบง่ายๆ ฉันพยักหน้าน้อยๆ มองเขาที่วิ่งเหยาะๆ ไปยังสนามบาสเก็ตบอลที่มีเพื่อนร่วมสียืนชู้ตอยู่จนสุดสายตา

                “ถ้าเรารู้ว่าพี่คิดยังไงกับเรา...เราก็คงไม่มีวันมายืนคุยกับพี่แบบนี้หรอก”

                ฉันพึมพำแล้วเดินแยกออกไปอีกทางเพื่อเตรียมตัวเก็บของกลับบ้าน

 

 

 

                “กลับมาแล้วเหรอลูก”

                ทันทีที่กลับมาถึงบ้านก็มีเสียงที่แสนอ่อนโยนเอ่ยทักขึ้นอยู่มุมหนึ่งของห้องรับแขก ฉันวางกระเป๋าลงพร้อมกับจรดปลายจมูกลงบนแก้มของท่านทั้งสองข้างด้วยความรัก

                “กลับมาแล้วค่ะแม่”

                ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนรถเข็นทำให้ฉันแทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว ยังแสดงสีหน้าร่าเริงทั้งที่อยากร้องไห้แทบตาย

                แม่ก็ยังเป็นแม่คนเดิมที่คอยเก็บความรู้สึกไว้มิดชิดตลอดเวลา สองมือของท่านลูบแก้มฉันเบาๆ

                “ทำไมวันนี้กลับเร็วนักล่ะ ปกติจะอยู่อ่านหนังสือจนดึกดื่นเลยไม่ใช่หรือ”

                “หนูเอาหนังสือกลับมาอ่านที่บ้านค่ะ แม่จะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว”

                ฐานะทางบ้านของฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก พ่อและแม่เลิกรากันตั้งแต่ฉันอายุสิบขวบ อุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหกปีที่แล้วทำให้เส้นประสาทของแม่ถูกกดทับ...เดินไม่ได้ตลอดชีวิต

                ถึงแม้จะมีทางรักษา แต่นั่นก็ย่อมหมายถึงเม็ดเงินจำนวนมากที่เราต้องสูญเสีย ลำพังเงินเดือนจากราชการบำนาญที่แม่ได้รับก็คงพอแค่เพียงค่าเทอมมหาโหดที่ฉันเรียนมหาวิทยาลัย บวกกับทุนเด็กเรียนดีที่ได้รับก็พอจะถูไถไปได้บ้าง

                “แม่ทำให้หนูต้องลำบากอีกแล้ว...”

                “อย่าพูดแบบนี้สิคะ มันไม่ได้ลำบากอะไรมากมายเลยนะแม่” ฉันพยายามยิ้มออกมา มันคงจะดูฝืดเฝื่อนมากที่สุดจนแม่ต้องกอดฉันไว้ในอ้อมกอดแน่น

                “แม่ขอโทษนะลูก...ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้ลูกต้องลำบากไปด้วย”

                น้ำตาของฉันไหลอาบแก้ม ถึงแม้มีบ้างที่เคยตัดพ้อโชคชะตาของตนเองที่มีเพียงแต่ปัญหาซัดมาครั้งแล้วครั้งเล่า...แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ฉันรู้สึกว่าแม่เป็นคนทำให้ชีวิตฉันเป็นแบบนี้

                “หนูเป็นลูกแม่นะคะ สิ่งไหนที่หนูจะทำให้แม่ได้หนูก็ยินดีที่จะทำ”

                “ฮึก...แม่ขอโทษลูก”

                แม่เอาแต่กอดฉันแล้วพร่ำร้องไห้อยู่อย่างนั้น ความลำบากที่เราสองแม่ลูกได้รับเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันคิดอยู่เสมอว่าชีวิตของฉันต้องยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดให้ได้

                น้ำตาที่ไหลชุ่มเสื้อฉันครั้งแล้วครั้งเล่า...ทำให้ฉันบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าต้องทำยังไงก็ได้ ที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้มีความสุขที่สุด

                “ไม่เป็นไรนะคะแม่ มันผ่านไปแล้ว”

                ฉันปลอบแม่ด้วยประโยคซ้ำๆ ท่านสะอื้นฮักอยู่บนรถเข็นโดยที่ฉันนั่งคุกเข่ากอดท่านอยู่ สองมือผอมบางกอดฉันแน่นราวกับว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่มีให้ยึดเหนี่ยว

                “แม่ขออย่างเดียว...อย่าโกรธพ่อเลยนะลูก”

                นี่เป็นอีกคำขอหนึ่งที่ฉันไม่สามารถทำได้เลยแม้แต่น้อย บิดาผู้ที่ไม่เคยแม้แต่จะมีความผูกพันทางจิตใจ ไม่เคยแม้แต่จะเลี้ยงดูอุ้มชูให้สมกับคำว่าพ่อ แล้วยังไม่เคยให้ฉันโกรธท่านอีกหรือ?

                อาจดูว่าอกตัญญู...แต่ฉันก็น้อมรับมัน

                “หนูไม่เคยโกรธเขาค่ะแม่” มีแต่เกลียด...ถึงแม้รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่สมควรที่จะคิดแบบนี้

                แม่พูดอยู่เสมอ...ว่าการเลิกราครั้งนี้มันมาจากความต้องการของเราทั้งสองฝ่าย ถึงแม้พ่อและแม่จะพยายามประคับประคองชีวิตอยู่มาเกือบสิบปี เพราะเหตุผลเดียว...

                ไม่ต้องการให้ฉันเป็นเด็กกำพร้า...

                ครั้งแรกที่ได้ยินนั้นทำให้ฉันอดเปล่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้เลย...มันไม่ได้มาจากความหรรษาในจิตใจ แต่มันคือความสมเพชในชีวิตตัวเองอย่างช่วยไม่ได้

                พ่อเคยนึกถึงจิตใจฉันด้วยเหรอ...

                หลังจากที่เลิกกับแม่ไม่ถึงสามเดือน พ่อก็แต่งงานใหม่กับหญิงสาวชาวไทยที่พบรักกันเมื่อครั้งที่เจ้าหล่อนยังเป็นนักศึกษาปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเอลลูญ์ หนึ่งปีต่อมาฉันก็ได้ข่าวว่าลูกชายคนใหม่ของพ่อก็ถือกำเนิดขึ้นมา

                “พ่อของลูกรักลูกมาก...ถึงแม้เค้าจะไม่เคยแสดงออกเลยก็ตาม อย่าโกรธพ่อเลยนะลูก...บาปจะติดตัวลูกตลอดไป รู้ไหม?”

................................................................................

 

 

 

                ประโยคที่คุยกับแม่เมื่อยามเย็นนั้นผ่านเข้ามาในความคิด สองมือของฉันกระชับเสื้อโค้ตตัวหนาแน่นเมื่อลมหนาวพัดผ่าน อุณหภูมิเย็นที่ติดลบนั้นแทรกซึมเข้ามาในกระดูก ควันสีขาวโพลนลอยถูกปลดปล่อยออกมาจากปากของฉัน

                เวลานี้พลบค่ำมากแล้ว หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวและจัดการอาหารเย็นให้แม่เรียบร้อย ฉันจึงออกมาเดินเล่นแถวหน้าโบสถ์คริสต์ที่ร้างมานานแสนนาน เนื่องจากไม่มีใครดูแลเอาใจใส่มากเท่าที่ควร มันเป็นสถานที่ที่สงบที่สุด...และฉันก็ชอบมันที่สุด

                บุคคลที่มีชีวิตเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและความเหงาอย่างฉัน มักถูกเรียกว่าโครี หรือในภาษามิลลาเรียนที่แปลว่า ‘ความว่างเปล่าที่ถูกความมืดมิดกลืนกิน’

                ฉันไม่ค่อยสนใจใครสักเท่าไหร่ ชีวิตประจำวันในแต่ละวันนั้นหมุนเวียนซ้ำๆ จนน่าเบื่อหน่าย แต่กลับทิ้งไปไม่ได้...เพราะมันคือ ‘หน้าที่’

                รูปปั้นสีขาวบริสุทธิ์ที่ตระหง่านอยู่กลางโบสถ์เก่าดูท่าเคารพสักการะ ดอกไม้แห้งเหี่ยวที่แช่อยู่ในแจกันใบเก่าทำให้รู้ว่าขาดการดูแลมานับหลายปี สิ่งที่ฉันทำนั่นคือการยืนมองท่านด้วยแววตาไม่เข้าใจ

                การมีชีวิตอยู่ในแต่ละวัน...มันไม่ต่างจากการใช้ชีวิตที่ไร้ลมหายใจและไร้ซึ่งความหวัง

                เหตุใด...ทรงกำหนดให้ชีวิตฉันเต็มไปด้วยความอดสูเช่นนี้

                ฉันจำไม่ได้เลย ว่ารอยยิ้มที่มีความสุขครั้งสุดท้ายนั้นเกิดขึ้นเมื่อได้ ความทรงจำอันเลวร้ายที่ได้รับหล่อหลอมให้เด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในโลกแห่งความฝัน กระทั่งเติบโตเป็นหญิงสาวคนนี้ยังอยู่กับโลกสีเทาหม่นเช่นเดิม.....

                ไม่มีแม้แต่แสงสว่างนำทางเดิน...จนกระทั่งชายคนนั้นเข้ามาในชีวิต

                เชสก์

                จากเด็กหนุ่มที่คอยช่วยเหลือพี่รหัสคนนี้มาตั้งแต่สมัยอยู่ไฮสกูลที่โรงเรียนมัธยมชาล์ซี จนกระทั่งก้าวสู่อีกช่วงวัยหนึ่งของการใช้ชีวิต มันมากพอที่จะเป็นสายใยหนาแน่นที่ทำให้ฉันผูกพันกับเขา

                ทั้งที่รู้...ว่าไม่มีสิทธิ์

                แต่ทำไม...ยังคิดจะรัก

                เสียงลมหายใจแผ่วๆ ดังขึ้นโดยอัติโนมัติ ฉันไม่รู้ว่าตนเองทนกับอากาศหนาวติดลบแบบนี้ได้อย่างไร คำถามของฉันนั้นไม่มีคำตอบจากรูปปั้นที่เคารพตรงหน้า...แต่ฉันกลับรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ

                ท่านกำลังมองฉันอยู่ด้วยแววตาปรานี...

                และมันทำให้ฉันรู้สึกดี...ว่าอย่างน้อยก็มีที่พึ่งทางจิตใจ

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา