ปัจจุบัน...สู่กาลครั้งหนึ่ง

8.2

เขียนโดย candle

วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 14.25 น.

  1 ตอน
  5 วิจารณ์
  4,210 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 14.41 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

          เด็กสาวร่างบางก้าวลงจากรถประจำทาง ขลุ่ยสูดหายใจเข้าเต็มปอดอย่างไร้กังวลแล้วปล่อยเสียงหัวเราะ นึกถึงที่ซึ่งจากมาการจะสูดลมหายใจเข้าปอดแต่ละครั้งคล้ายเป็นสิ่งพึงระวัง หรือไม่ก็ค่อยๆ สูดเข้าไปทีละนิดเป็นการชิมลางดูก่อนว่าอากาศที่เข้าไปนั้น รูปรสกลิ่นเสียงเป็นเช่นไร หากเป็นที่พึงพอใจถึงกล้าสูดในสุดปอด แต่ถ้าไม่ก็แค่กั๊กๆ ไว้ หายใจแต่พอให้มีชีวิตรอดไปในวันหนึ่ง มันเป็นเรื่องตลกร้ายของคนเมืองหลวงชัดๆ เลย เด็กสาวยิ้มเรื่อยเปื่อยกับดินฟ้าอากาศอย่างเห็นขันในความคิดของตัวเอง

 

          ท้องฟ้ากระจ่างใสแลดูสูงสล้างอย่างประหลาด เมฆขาวลอยฟ่องพาดผ่านท้องฟ้ากว้าง ขลุ่ยแหงนมองคอตั้งบ่า ฟ้าเป็นสีฟ้าสดอย่างในภาพเขียน เมฆก้อนฟูก็ขาวจับใจ

 

          ขลุ่ยขยับแบ๊คแพ๊คอันใหญ่เบ้อเริ่มข้างหลังให้กระชับ ใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามยิ้มขัน เด็กสาวทำหน้ายู่ หมอนั่นต้องเห็นว่าเธอดูตลกอย่างไม่ต้องสงสัย ก็เจ้ากระเป๋าที่ขลุ่ยแบกอยู่เนี่ยน้ำหนักมันเกินตัวไปสองถึงสามเท่าเห็นจะได้

 

          เชอะ!!!ฉันแบกของฉันไหวก็แล้วกันนา ขลุ่ยเชิดหน้าขึ้นทิ้งสายตายะโสให้หนุ่มนิรนาม ก่อนจะหันมาสำรวจดูตัวเอง รอยยิ้มของเจ้าหมอนั่นทำความมั่นใจลดหายไปอยู่ปลายเท้า ป่านนี้ผมหยิกฟูของเธอจะอยู่สภาพไหนน้อ...?

 

          คงไม่ได้หมายความว่าตอนนี้มันยกระดับความหยิกฟูขึ้นเป็นเท่าตัวหรอกนะ ขลุ่ยลองเอามือลูบๆ ผมหน่อยนึงก็ไม่เท่าไหร่แค่นิดหน่อยเอง เสื้อยืดล่ะยับย่นจากการเดินทางไกลเป็นเรื่องปกติ ใครก็เป็นกันได้ ขลุ่ยสวมเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของพ่อทับมาอีกชั้นหนึ่ง เสื้อเชิ้ตลายสก๊อตกระดุมมุกเสื้อของพ่อในวัยหนุ่ม พ่อมีเสื้อเชิ้ตเท่ห์ๆ หลายตัวเลยทีเดียว และเธอก็ฉกมันมาใส่อยู่บ่อยๆ

 

          ยิ่งเดินทางไกลแบบนี้เสื้อของพ่อให้ความอบอุ่นยิ่งขึ้นไปอีก แขนยาวเกินปลายนิ้วไปไม่มากไม่น้อยเธอจัดการพับแขนเสื้อขึ้นมาถึงข้อศอก กางเกงยีนส์มีรอยเปื้อนคราบกาแฟตรงหน้าขาเล็กน้อยไม่เห็นหน้าเกลียดอะไร เธอไหวไหล่ จุดเด่นของขลุ่ยอยู่ตรงรองเท้าผ้าใบโน่น เพราะมันเป็นสีชมพูสะท้อนแสงเลยทีเดียว เธอหัวเราะคิกเมื่อก้มมองรองเท้าของตัวเอง

 

          “เผื่อเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง เห็นข่าวพ่อจะได้จำได้ไงคะ” เธอบอกกับพ่อก่อนมาเมื่อพ่อทักเรื่องรองเท้าสีแสบของเธอ

          “ปากแบบนี้เดี๋ยวไม่ให้ไปซะเลย” พ่อตบหัวเธอเบาๆ พอให้สำนึก

          “ขลุ่ยพูดเล่นหรอก ห้ามเบรคโปรแกรมนี้นะพ่อสัญญาแล้ว” เธอท้วงกอดเอวซุกหน้ากับอก ช้อนตาออดอ้อนพร้อมรอยยิ้มละลายใจผู้บิดา

 

          เจอกิริยานี้ผู้เป็นพ่อก็พูดอะไรไม่ออก นอกจากก้มลงจูบกระหม่อมเธอก็เท่านั้นเอง

 

          “เดินทางปลอดภัยนะลูก”

          “ค่ะ เดินทางปลอดภัยกลับมาหาพ่อโดยสวัสดิภาพ” เธอรับคำหนักแน่นเสียงดังฟังชัด

          “กลับมาหาพ่อโดยสวัสดิภาพ” พ่อทวนคำลูกสาวแล้วสองคนก็ยิ้มให้กัน

 

          นั่นคือคำสัญญาที่พ่อลูกคู่นี้มีต่อกัน เมื่อพ่ออวยพรเธอจะต้องรับคำห้ามนิ่งเฉย พ่อบอกว่าเมื่อเธอรับคำก็หมายความว่ามันจะเป็นไปอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง

 

          **

          **

 

          ให้เป็นเรื่องบังเอิญเมื่อวันหนึ่งขลุ่ยเข้าไปปัดกวาดทำความสะอาดห้องนอนของพ่อ จะด้วยความซุ่มซ่ามของตัวเองหรือเพราะเจ้าของเผลอเรอวางไว้ตรงขอบโต๊ะข้างเตียง ทำให้กุลสตรีเช่นเธอทำกล่องนั่นตกลงมาบนพื้นห้อง

 

          สิ่งที่กระจัดกระจายออกมาคือโปสการ์ดปึกใหญ่ เธอหยิบขึ้นดู ส่งมาจากผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ‘พลอยรุ้ง’ เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ก่อนเธอจะเกิดซะอีก โปสการ์ดแต่ละฉบับเขียนมาบอกเล่าเรื่องราวเพียงน้อยคำหากแฝงไว้ด้วยความรักในสำนวนที่ส่งถึง ลงท้ายว่า ‘ด้วยมิตรภาพ’ เป็นแบบนี้ทุกใบ

 

          ผู้หญิงชื่อ ‘พลอยรุ้ง’ เป็นใครกันพ่อถึงได้เก็บโปสการ์ดไว้จนถึงทุกวันนี้ หรือจะเป็นรักแรกผู้หญิงในความทรงจำ อา...นั่นไงมีรูปถ่ายใบเก่าสีซีดซ่อนอยู่ระหว่างโปสการ์ด

 

          “เธอคือใคร และใครคือเธอ” รูปถ่ายใบเก่ากวัดแกว่งอยู่ตรงหน้า เขายิ้มในกิริยาของลูกสาว ช่วงวัยของเธอทำให้ใจเขาประหวัดหวนให้ถึงหญิงสาวอีกคนหนึ่ง หญิงสาวในภาพใบนั้นเอง

 

          ยามค่ำคืนอันเงียบเศร้าเขามักคิดถึง ร่างเล็กที่ครั้งหนึ่งเขาเคยโอบกอด กลิ่นหอมเจือจางยังติดอยู่ในห้วงความฝัน ในวันนั้นเธอยืนนิ่งไม่ไหวติงหากไม่ได้ปัดป้องคงปล่อยให้เขาโอบกอด ปล่อยให้คางของเขาวางไว้บนไหล่ ปล่อยให้อ้อมแขนของเขากระชับแน่น ปล่อยให้ความรู้สึกอันท่วมบ่าล้นใจได้พักพิง

 

          หรือเป็นเพราะหยาดน้ำตาของเขาทำเธอนิ่งขึง เพราะน้ำตาของเขาจึงสะกดใจดวงนั้นให้โอนอ่อนเช่นเปลวเทียนลู่ลม เงียบงันไหวโยก เธอคงไม่รู้เขาร้องไห้เพราะเธอ มันยากจะสื่อสาร เขาควรวางเธอไว้เหนือความไคร่ทั้งมวล รักมากว่ารัก ความรักของเธออยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น เขาพึงระวังใจไม่ให้เตลิด

 

          นับครั้งไม่ถ้วนที่เขาเผลอใจหมายไขว่คว้า กระเถิบชิดล้ำเส้น ดั่งมีใยบางเบากางกั้น เขารู้และค้อมยอมรับด้วยขมขื่นความรู้สึกกระพือโหมเผาไหม้รุนแรงจนกลายเป็นหยดน้ำตา เขาไม่เคยคิดฝันว่าความรักจะทำเขาโหยไห้หรือเสียน้ำตา น้ำตาของความรักแฝงเร้นในทุดอณูของความคิดถึง ทุกเส้นสายของห้วงเวลานาที ณ.เข็มนาฬิกาแห่งใจ เขาหลับตาปล่อยตัวเองโอบกอดความทรงจำครั้งเก่า ซึมซับมันเหมือนฟองน้ำแห้งโหยดูดกลืนอดีตอย่างหิวกระหาย

 

          “พ่อคะ” เสียงใสร้องเรียกกระตุกใจลอยคว้างหวนคืน

          “คิดถึงเธอเหรอคะ” เด็กสาววางหัวบนตักพ่อเพ่งมองรูปภาพ เธอคนนั้นมีดวงตาแสนเหงา รอยยิ้มน้อยๆ ทำให้ใบหน้ากระจ่างชวนมอง

          “หนูจะไปหาเธอ” เด็กสาวโพล่งคำพูดขึ้นมา

 

          เขาหัวเราะ เอามือเกลี่ยเส้นผมบนหน้าผากของเด็กสาวเหม่อหม่น

 

          “หนูอยากรู้จักผู้หญิงที่พ่อรัก”

          “คนนี้ไง ผู้หญิงที่พ่อรัก” เขาก้มจูบหน้าผากเด็กสาว

 

          ความเศร้าซึ่งเธอเห็นในแววตาของพ่อยามเผอเรออยู่ที่ผู้หญิงคนนี้เอง ผู้หญิงที่ชื่อ ‘พลอยรุ้ง’ นี่จะใช่สาเหตุที่แม่หายไปจากชีวิตพ่อรึเปล่าหนอ

 

          “พ่อร้องเพลงขอความรักบ้างได้ไหมอีกสิคะ”

 

          เขายิ้มมือประคองใบหน้าเด็กสาว ก่อนจะทอดเสียงลงในบทเพลงท่วงทำนองแห่งความทรงจำฉายชัด

 

          “ฉันรักเธอ ไม่เคยต้องการสิ่งใด

          ฉันรู้ได้ ยามเขาหยุดปรารถนา

          ไม่เคยสูญเสียเดือนฉายความหมายศรัทธา

          แสงเดือนรู้ว่า ฉันรักเธออย่างไร

 

          ฉันรักเธอ ไม่เคยรักใครเทียบเธอ

          ถึงแม้จะเก้อ มีเธอเพียงความฝันใฝ่

          ไม่เคยเรียกร้องขอเป็นเจ้าของหัวใจ

          ฉันรู้ได้ยามเธอมีคนอื่นปอง

 

          เดือนรู้ดีฉันนี้ขาดสิ่งใดบ้าง

          ทุกสิ่งทุกอย่างใครๆ ก็เป็นเจ้าของ

          รู้ตัวดีชีวีนี้เปื้อนละออง

          หนึ่งคำขอร้อง ไม่เคยขอรับตอบแทน

 

          แสงเดือนเอยแสงเดือนนี้แจ้งประจักษ์

          รักบริสุทธิ์ถึงแม้หยุดปรารถนา

          ไม่เคยสูญเสียเดือนฉายความหมายศรัทธา

          แสงเดือนรู้ว่าฉันรักเธออย่างไร”

 

**บทเพลงจากหนังสือเรื่อง ขอความรักบ้างได้ไหม/พิบูลย์ศักดิ์ ละครพล

 

          “เพลงนี้สวยจังเลยค่ะ เศร้าด้วย”

          “ใช่ สวยงามและเศร้า”

          “หนูจะตามหาเธอ หนูจะนำความรักของพ่อไปสู่เธอ หนูสัญญา”

 

          เขามองลูกสาวซาบซึ้งในคำมั่นสัญญา โอบกระชับเธอ ขลุ่ยเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวในชีวิตเป็นสิ่งล้ำค่าซึ่งเติมเต็มความเปลี่ยวเหงาของชีวิตบิดเบี้ยว

 

          ณ.ช่วงเวลานั้นอะไรทำให้เขาคิดถึงชีวิตแต่งงาน ด้วยเหตุผลอะไรถึงเลือกที่จะแต่งงานกับ ‘แพรว’ ต้องการสร้างครอบครัว ทำชีวิตให้สมบูรณ์แบบครบถ้วนตามวิถีทาง เกิดมาเล่าเรียนเขียนอ่าน จากประถม-มัธยม เข้ามหาลัย จบออกมาหางานทำ ทำงานมองหาคู่ชีวิต มีลูก นั่นเป็นจุดจบของชีวิตคู่หรือเปล่านะ...? ก็เปล่าอีกนั่นแหละ รายละเอียดปลีกย่อยแตกแขนงออกไปยากจะรู้ได้

 

          รักแล้วคลายหน่ายเบื่อ ความรับผิดชอบที่มากขึ้นไม่มีอะไรสวยสดอย่างในความฝัน แม้เขาจะไม่ใช่ชายหนุ่มอารมณ์ไหวแต่ทุกคนก็หวังให้ชีวิตคู่ยั่งยืนสวยงามไม่แผกกัน

 

          **

          **

 

          ฟ้ากระจ่างสวยสดได้ไม่นาน เพียงครู่เดียวสายฝนก็เทลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว มันไม่ให้อารมณ์โรแมนติกแม้แต่น้อย ขลุ่ยเปียกมะลอกมะแลกไปทั้งตัวขณะวิ่งตัดถนนไปอีกฝั่ง คนร่วมยี่สิบกระจุกตัวกันตรงป้ายรถเมล์ ฝนสาดซัดเข้ามาอย่างไม่ปราณีปราศรัย รองเท้าสีชมพูสดของขลุ่ยบัดนี้เปียกชื้นเป็นด่างดวงเมื่อหยดน้ำมาเจอกับคราบฝุ่น เด็กสาวเอามือกอดอกย่ำเท้าไปมาให้คลายเหน็บหนาว

 

          “ทำไมเป็นแบบนี่เนี่ย เมื่อกี้แดดใสฟ้าสวยอยู่เลย”

 

          สิ้นเสียงบ่นเล็กๆ กลับตามมาด้วยเสียงหัวเราะในลำคอจากคนข้างๆ ขลุ่ยตวัดหางตาไปตามเสียง เป็นคนที่ยิ้มขันเธอนั่นเอง

 

          “เมืองนี้ฝนชุม” เขาเปรยขึ้นไม่อนาทรร้อนใจกับฝนฟ้าที่เทลงมา จนพื้นฟุตบาธเจิ่งนอง

 

          แต่อย่างน้อยน้ำที่นี่ก็ไม่มีกลิ่นเหม็นสีก็ไม่ดำด้วย จะว่าไปก็ดูสวยดีเหมือนกัน ตึกรามบ้านช่องห่มคลุมความชื้นเย็นแลดูหม่นๆ มัวๆ หยาดน้ำฝนตกกระทบพื้นถนนแตกออกเหมือนดอกไม้เล็กๆ ผลัดกันผลิบานไม่ขาดระยะ เพียงแต่ไร้ซึ่งสีสันเท่านั้นเองหากเป็นหยดน้ำหลากสีจะสวยงามได้ขนาดไหนหนอ

 

          “เข้ามาด้านในสิ” หนุ่มคนนั้นฉุดขลุ่ยให้เข้าไปด้านใน ส่วนตัวเองออกมายืนแทนที่

 

          น้ำใจคนแปลกถิ่นสร้างความเต็มตื้นได้ไม่ยากเย็น

 

          “ขอบคุณค่ะ”

          “จะไปไหน”

 

          ขลุ่ยบอกถึงสถานที่ เขาเลิกคิ้วจ้องมองเธอ

 

          “นั่นมันถึงก่อนจะเข้าเมืองอีกนะ นั่งเลยมาลงในเมืองทำไม”

          “ออ...แค่อยากมาดูเมืองหน่อย”

          “เมืองนี้ไม่มีอะไรให้ดู ไม่มีอะไรเลย” เขาว่าคล้ายประชดประชันหากใบหน้าระบายยิ้มน้อยๆ

          “ไม่มีห้างสรรพสินค้า ไม่มีโรงหนังโรงละคร”

 

          ขลุ่ยประหลาดใจ มีเมืองแบบนี้ด้วยเหรอในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าเธอนอนหลับขณะนั่งรถทัวร์แล้วก้าวพ้นไปในเมืองจินตนาการ เมืองแห่งอุดมคติทำนองนั้นหรอกนะ คงไม่ใช่หรอก ผู้คนยังคงเป็นผู้คนมีเลือดเนื้อ สายฝนยังคงทำเธอเปียกซก และตรงด้านหลังป้ายรถเมล์ห้องสมุดประชาชนยังคงตั้งอยู่ แต่อย่างกับว่านั่นเป็นเครื่องช่วยยืนยันความเป็นจริงได้งั้นแหละ

 

          ห้องสมุดหลังเก่าแลดูเงียบร้าง หากขลุ่ยยังคงมองเห็นผู้คนวูบไหวอยู่ภายใน เสียงพูดคุยกระซิบกระซาบรอบตัวยังคงได้ยินแต่ขลุ่ยจับความหมายมันไม่ได้ ถ้อยสำเนียงรูปแบบภาษาไม่เคยคุ้น ผู้หญิงแต่งตัวแปลกตาคลุมตั้งแต่ศีรษะยันปลายเท้า ร่างกายเร้นหลบภายใต้อาภรณ์มิดชิด ดวงตาสวยคมขนตางอนยาวโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพามาสคราร่า เสน่ห์แห่งหญิงสาวมุสลิมชวนหลงใหลได้เช่นนี้เอง

 

          “มาเที่ยวเหรอ”

          “เปล่าค่ะ มาหาคน”

          “เดี๋ยวก็นั่งรถเมล์หรือไม่ก็รถสองแถวสีส้มกลับไปแล้วกัน” เขาบอกอย่างเอื้ออารี ทำท่าเหมือนจะผละจากไปแต่แล้วกลับยังคงรั้งอยู่

 

          เม็ดฝนกล่าวลาไปอย่างช้าเชือนอ้อยอิ่ง แสดงกิริยาดั่งว่าไม่เต็มใจพรากจากเช่นหนุ่มบอกลาสาวคราแรกรัก ผู้คนเริ่มทยอยกันออกจากที่หลบภัยชั่วขณะ ทิ้งความเดียวดายไว้กับป้ายรถเมล์ ขลุ่ยนั่งลงตรงเก้าอี้เถาว์เก่าคร่ำ รอยถลอกยุ่ยของพลาสติกบ่งบอกวันเวลาการคงอยู่ผู้คนซึ่งผลัดเปลี่ยนกันมารอคอยและลุกจากไปวนเวียนกันไปเช่นนี้ มันคงมีความทรงจำนับร้อยพัน เรื่องราวของผู้คนชาย-หญิง ของเด็กนักเรียน ของคนทุกเชื้อชาติศาสนาให้รับรู้

 

          “ขอบคุณค่ะ” ขลุ่ยกล่าวคำขอบคุณให้คนหนุ่มผู้เอื้อเฟื้อ เมื่อเขาส่งเธอขึ้นรถสองแถวพร้อมเป็นธุระบอกคนขับถึงสถานที่ซึ่งควรส่งเธอ

          “โชคดีครับ”

          “โชคดีเช่นกันค่ะ”

 

          รอยยิ้มของขลุ่ยลอยค้างอยู่เช่นนั้น การพบเจอผู้คนจิตใจดีเหมือนเป็นกำไรของชีวิต และโลกใบนี้ก็น่าอยู่ขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน

 

          รถสองแถวสีส้มไม่เร่งรีบพัดพาเอาสายลมเหงาๆ หยอกล้อเส้นผมหยิกฟูให้กระเจิดกระเจิงแต่พอประมาณ ขลุ่ยควานหาผ้าเช็ดหน้ามัดผมเอาไว้ ข้างทางมีทุ่งนาอยู่เป็นระยะสีเขียวอ่อนบ้างสีเขียวเข้มบ้าง ตามแต่ระยะเวลาการเติบใหญ่ ถัดจากนั้นเป็นภูเขาแลดูเหมือนใกล้แค่เอื้อมถึงเพียงแต่ขลุ่ยยื่นมืออกไปก็แทบจะสัมผัสได้ถึงความเยียบเย็นของหินใหญ่ยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่นั่น

 

          ที่นี่ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็จะเจอภูเขา ภูเขา และก็ภูเขาโอบล้อมไว้ทุกทิศทาง ขลุ่ยไม่เคยเห็นภูเขาล้อมเมืองเช่นนี้มาก่อนเลย

 

          “ดูสิเทวดาหุงข้าว” ใครบางคนภายในรถพูดขึ้น ขลุ่ยยิ้มมองไปบนภูเขาหลังจากฝนซาเม็ด ความเย็นจากฝนตกกระทบความร้อนระอุทำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘เทวดาหุงข้าว’ หมอกควันเยอะขนาดนั้นคงใช้ไม้ไปไม่น้อยล่ะ เห็นทีว่าเทวดาพวกนี้เป็นแน่ที่ทำป่าไม้หายไปหลงเหลือไว้แต่ภูเขาเตียนโล่ง

 

          ราวประมาณครึ่งชั่วโมงรถสองแถวจอดลงตรงริมทางหลวง ได้เวลาที่ขลุ่ยจะลงจากพาหนะคันนี้ ‘พลอยรุ้งรีสอร์ท’ ป้ายไม้ขนาดใหญ่มองเห็นเด่นชัด ขลุ่ยสอดส่ายสายตาเข้าไปด้านในผ่านหมู่แมกไม้ยืนเรียงแถวเป็นรั้วกั้น

 

          จุดหมายปลายทางอยู่นี่เองไม่ได้ยากเย็น พ่อรู้ที่อยู่นี้เป็นอย่างดี และขลุ่ยก็ไม่เข้าใจในเหตุผลที่พ่อไม่กลับมาหาเธอ อะไรทำให้ชายคนหนึ่งทิ้งระยะเวลาให้คล้อยผ่านไป วันแล้ววันเล่าโดยไม่ฉุดดึง

 

          ...ทันที่ที่เด็กสาวย่างเท้าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ล้วนอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของฉัน ห้วงเวลานิ่งค้าง เข็มนาฬิกาวิ่งวนล่าถอยครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นบนเก้าอี้มาโยกตัวเก่า ลูกสาวของเธอเด็กผู้หญิงตัวน้อยนั่นเวลานี้ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน เด็กสาวกล่าวสวัสดีพร้อมแนะนำตัว หน้าตาถอดแบบมาจากเธอไม่ผิดเพี้ยน เครื่องหน้าแบบเดียวกันยามมาอยู่ในเรือนร่างอิสตรีกลับสวยงามไม่ยิ่งหย่อน

 

          เธอที่ขลุ่ยเจอแลดูสวยงามสมวัย เธอมีดวงตาแสนเหงาและอ้างว้างเช่นเดียวกับพ่อ รอยยิ้มอบอุ่นชวนไว้วางใจ บนโต๊ะข้างเก้าอี้ปรากฏหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ ‘ขอความรักบ้างได้ไหม’ หนังสือเล่มเก่ามีรอยยับจากอดีต อดีตของพ่อและอดีตของเธอคนนี้ แววตาของเธอไหวระริกเอ่อคลอด้วยหยดน้ำ เธออ้าแขนออก ขลุ่ยปลดแบ๊คแพ๊คใบโตลงเดินเข้าสู่วงแขนแห่งรักไม่อิดเอื้อน สองแขนตอบสนองอ้อมกอดนั้นเช่นเดียวกัน

 

          “ลูกสาว” ขลุ่ยได้ยินเธอเรียกอย่างนั้น

          “หนูเอาความรักจากพ่อมาสู่คุณ” ขลุ่ยกระซิบบอก

 

          เธอคลับคล้ายแปลกใจคลายวงแขน

 

          “จริงนะคะ พ่อรักคุณรักมาตั้งแต่ต้นและเดี๋ยวนี้ก็ยังคงรักอยู่”

 

          ...ไม่มีคำไหนที่ฉันอยากจะได้ยินมากกว่านี้อีกแล้ว ชั่วระยะเวลายาวนานเหมือนการคืบคลานอย่างเหนื่อยล้าของหอยทาก ทิ้งคราบเมือกแวววาวไว้บนเส้นทาง คราบของความว้าเหว่คละเคล้าลมหายใจที่ขาดห้วงยามระลึกถึง ด้วยหัวใจผูกพันธนาการไว้กับอดีต โซ่แห่งความเจ็บปวดเคยกัดกร่อนจิตใจให้แหว่งวิ่น บัดนี้หายไปไม่ทิ้งร่องรอย

 

          ไม่ต้องถามถึงเหตุผลของอดีต แค่รับรู้ว่าเธอรักฉันนั่นเพียงพอแล้วสำหรับวันเวลาที่รอคอย...

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา