ผ้าคลุมของSuperman

10.0

เขียนโดย นิรนามเค

วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 18.49 น.

  2
  3 วิจารณ์
  5,723 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 กันยายน พ.ศ. 2556 20.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               

      สวัดดีครับท่านผู้อ่าน...

 ถ้าท่านได้เห็นข้อความในจดหมายของผมที่ยาวจนถึงพื้นแล้ว คุณมี 2 ทางเลือกเท่านั้นคือ

‘คุณจะอ่านหรือคุณไม่อ่าน’

สำหรับผม คุณควรจะทิ้งมันลงซะ และอย่าอ่านจดหมายฉบับนี้จะดีที่สุด

    ...แต่ถ้าคุณอยากอ่านด้วยใจจริงล่ะก็...เมื่อคุณได้อ่านจดหมายฉบับนี้เสร็จแล้ว ผมขอให้คุณรีบมาที่ ‘โรงเรียนที่คุณเรียน’ อยู่ ณ ตอนนี้ เดินขึ้นไปบนชั้น 4 ห้องเรียนที่ 7 และตามหา ‘สิ่งของบางอย่าง’

     ผมไม่อาจบอกคุณได้ว่า ‘มันคืออะไร’ผมขอให้คุณรีบหา ‘สิ่งสิ่งนั้น’ ภายใน 1 ชม.  

ถ้าคุณคือ ‘คนที่เข้าใจในตัวของผมจริงๆ’คุณจะสามารถหาของ‘สิ่งนั้น’ เจอ และรีบเผ่นออกจากบริเวณนั้น พร้อมตะโกนออกไปดังๆ ว่า ‘เจอมันแล้ว’ และอีก 10 นาที ผมจะมารับของสิ่งนั้นคืน พร้อมตอบแทนคุณด้วยของขวัญอันแสนวิเศษ ที่ไม่มีใครเคยได้ และ ‘คุณจะต้องชอบมันแน่ๆ’

   แต่ถ้าคุณไม่ใช่คนๆนั้น...ผมขอให้คุณเตรียมตัวนับเลขถอ...(ปิด)

 

.......................................................................

 

   ... “นี่ไอ้ ทอง แกไม่คิดจะจีบหญิงซักคนเลยหรือไงว่ะ”

 เพื่อนที่แส่มาสนิทกับผม ยังคงถามผมและวกไปวนมากับคำถามที่มันไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผมแล้ว มันเป็นคำถามที่น่าเบื่อมากๆ เลยทีเดียว แต่มันคงไม่น่าเบื่อมากเท่ากับที่มันเรียกผมว่า ‘ไอ้ทอง’

      “ข้าไม่ได้ชื่อทอง ‘ไอ้ชาติชาย’ หัดหุบปาก หยุดถามข้าเรื่องนี้ซักทีสิว่ะ แกถามมาเป็นครั้งที่ล้านได้แล้วมั้ง ไอ้ชาติ!!”  ผมบ่นใส่เพื่อนของผม และพวกคุณทั้งหลายคงรู้แล้วว่า มันชื่อ ‘ไอ้ชาติชาย’

...ส่วนผมนั้นหรือ ชื่อจริงของผมคือ ‘เทนทามทอง’

      ปู่เล่าว่า...พอผมเกิด เงินทองก็ไหลมาเทมา ธุรกิจของพ่อแม่ดีขึ้นมาก  ร้านขายดอกไม้ของย่าก็ดีขึ้นเป็นกอบเป็นกำ

ทางด้านข่าวดี  มีคนมาคืนหนี้ลุงที่ค้างมาเป็นเวลา 10 ปี

...ส่วนปู่นั้นหรือ...ถูกหวยครั้งแรกในชีวิต

 

 แต่เพื่อนจะเรียกชื่อผมติดปากว่า ‘เทนทาม’ แต่ไม่ได้ชื่อว่า ‘ทอง’ เหมือนที่ไอ้ชาติชายมันพูดหรอกน่ะ

 

     “แกมันเย็นชาเกินไป ไอ้เทนทาม”

     “แล้วจะทำไมล่ะ ไอ้ชาติชาย ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนมาชอบข้านี่นา”

     “ถุย! ไอ้เทนทาม

 ข้าถามจริงเหอะ ถ้าผู้หญิงที่แกไม่เคยคุยมาบอกว่า ‘ชอบแก’ แกจะชอบเค้ามั้ยว่ะ”

 

     “...ข้าไม่ชอบคน ที่ข้าไม่รู้จัก”

 

ไอ้ชาติชายเกือบหงายคว่ำเก้าอี้ทันที มันคงเบื่อเหมือนกันที่ผมเอาแต่พูดประโยคนี้ ก็เอาไงได้ล่ะ...ผมไม่ใช่เพลย์บอยเหมือนมัน ที่สำคัญไอ้ชาติชายได้ทำการอันใหญ่หลวง เพราะคิดจะสอยดาวโรงเรียนอย่าง...ละมุน ขึ้นมา

 

     “เฮ้อ! ข้าเซ็งแกจริงว่ะ ไปหาน้องละมุนดีกว่า”

     “งั้นข้าไปด้วย” ไอ้ชาติชายทำหน้าตาตกใจมาก

     “หรือว่า...แกชอบ...”

     “ข้าจะออกไปข้างนอก ส่วนแกไปหาละมุด มันผิดตรงไหนว่ะ”

     “ละมุน ไม่ใช่ ละมุด!!”

   หึ! แล้วจะทำไม ผมขยับคอเสื้อนักเรียน พร้อมเดินออกไปข้างนอกห้อง ทิ้งให้ไอ้ชาติชายกระท่อนกระแทะใส่ผมตามหลังว่า   ‘ไอ้ขี้เก๊ก’ ถึงไอ้ชาติชายรู้ว่า เวลาผมพูดชนะมัน ผมจะขยับคอเสื้ออย่างผู้มีชัย แต่ก็ผมต้องโดนสวนกลับว่า ‘ขี้เก๊ก’ทุกที  ผมไม่ได้เก๊กซักหน่อย ผมพูดเรื่องจริงน่ะ ท่านผู้อ่านต้องเข้าใจ

 ...ผมกำลังเดินออกจากห้องเรียนที่ในห้องมีแค่ผู้คนเซ็งแซ่เรื่องต่างๆนานา เพื่อสงบจิตสงบใจดูบ้าง

(การออกมาข้างนอกห้องในวินาทีนั้น คุณรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมเพียงแค่เสี้ยววิ...(ปิด) )

 

     โครม!

  ผมเดินออกมาข้างนอกโดยไม่ดูทาง จนทำให้เกิดเสียงนี้ขึ้นมา

... ผมชนเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งอย่างจัง จนของจากมือเธอหล่นกระจัดกระจาย ผมรีบเก็บของๆเธออย่างรีบร้อน และขอโทษเธออย่างรวดเร็ว

แต่ผลที่ได้ มันกลับว่าเจ้าตัวไม่พอใจ หญิงสาวคนนี้จ้องหน้าและด่าผมไฟแลบในบัดดล

 

     “นี่! นายบ้า มองไม่เห็นฉันรึไง

หัดดูซะบ้างว่ามีคนเดิน โอ๊ย! ทำไมต้องมาเจอเรื่องยุ่งๆด้วยว่ะ ”  

   ผมจำได้แม่นเลยว่า เธอด่าผมอย่างนี้จริงๆ ผมยื่นของให้เธอ หญิงสาวตรงหน้าผมรีบแย่งของจากมือผมอย่างรวดเร็ว ผมเอะใจนิดๆ เมื่อสังเกตเห็นว่า เธอไว้ผมที่ตัดสั้นคล้ายผู้ชาย แต่ไม่อาจปกปิดใบหน้าที่มีความเป็นหญิงเต็มร้อยได้ ผมเลยนึกอย่างขันๆ

 

     “เฮ้ย! ไอ้เทนทาม แกชนใครว่ะ”

เสียงของไอ้ชาติชายตามหลังผม มันเอาแขนไขว้คอผม และมองมาข้างหน้าเพื่อดูว่า คนที่ผมเผลอชนคือใคร เมื่อไอ้ชาติชายเห็นตัวการ มันแทบจะนิ่งไปทันที เมื่อสายตาของหญิงสาวจ้องที่หน้ามันอย่างเอาเลือดแทนผม

      “พอดีเลย นายรีบเอาเพื่อนของนายออกไปไกลๆจากฉันเลย

เกะกะขวางทาง”

ไอ้ชาติชายผงะนิดๆ ใช่...คำพูดมันแรง

     “พอเลย ยัยทอม

     “ฉันไม่ใช่...”

     “คิดว่าคนอย่างไอ้ชาติชายจะหาเรื่อง ‘ผู้หญิง...ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิง’ รึไง” ไอ้ชาติชายมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างหยอกล้อแบบไม่รู้เรื่องเท่าทันการสียแล้ว

 

     ป้าบ!

  สมุดสีเขียวเล่มถนัดมือฟาดเข้าหัวของไอ้ชาติชาย เข้าอย่างจัง

ไอ้ชาติชายเหวอทันที พอๆกับหญิงสาวตรงหน้ามีคิ้วที่ผูกโบว์ กับสีหน้าที่แดงกล่ำยิ่งกว่าซอสมะเขือเทศตราภูเขาทอง

 

     “...ฉันเป็น...ผู้หญิง”

หญิงสาวคิ้วผูกโบว์คนนั้น รีบเดินออกจากบริเวณนี้ พร้อมสะบัดหน้าใส่พวกผมอย่างไม่แยแส ผมลอบถอนหายใจนิดๆ

...แต่ใบหน้าที่มีคิ้วขมวดนั้นไม่ได้ทำให้ผมเกรงกลัวเธอเลย มันสมควรไปทางด้านขำมากกว่า ไอ้ชาติชายเพิ่งจะรู้สึกตัว มันลูบใบหน้าที่เกือบซีดเหมือนไก่ต้มข่าอย่างช้าๆ

 

     “...ข้าโดนทอมตบหัวเป็นครั้งแรก”

 

     “ไม่ใช่ทอม...”  ผมตอบกลับ และเดินเข้าห้องแทน ปล่อยให้ไอ้ชาติชายยืนตัวแข็งนิ่งเหมือนหุ่นอย่างไม่รู้อะไร

 

 

..........................................................

 

   ผมขอเร่งเรื่องมาวันที่ 5 เดือน xx มาก่อนน่ะ 

วันนี้จะเป็นวันที่ทำให้ผมเริ่มคิดอะไรแปลกๆ  อ่ะ! อย่าเพิ่งถามว่า ‘ทำไม’ ก่อนน่ะครับ

คุณยังคงไม่รู้ว่าโรงเรียนของผมเป็นอย่างไร มันก็เหมือนโรงเรียนพาณิชย์ทั่วๆไปนั่นแหล่ะครับ

ที่มีนักเรียนเก่ง นักเรียนเขลา นักเรียนเฉิ่ม นักเรียนดัง และนักเรียนอันธพาล

ใช่ครับ...นักเรียนอันธพาล ที่โรงเรียนผมมีอยู่กลุ่มๆหนึ่ง เป็นกลุ่มที่มีชื่อเสียงในด้านที่เลวร้ายที่สุด ผมยังไม่บอกคุณสมบัติก่อนน่ะครับ ว่าเขามีอะไรบ้าง แต่กลุ่มๆนี้มีชื่อว่า กลุ่มเสือ...(ปิด)

 

     “กรี๊ด!! ‘จอร์ช เบสแมน’ มีซิคแพคแล้ว พวกเธออออ”

เสียงกรี๊ดกร๊าดของหมอนทอง นักสะสมนิตยสารผู้ชายสมบูรณ์แบบ เรียกความสนใจจากเหล่าหญิงสาวทั้งหลายในห้อง ผู้คลั่งไคล้ผู้ชายที่มีของหกแพ็กบนหน้าท้องได้อย่างทันที เหล่าสาวกต่างรีบวิ่งกรูเข้ามาไปหาศาสดาที่อยู่ตรงหน้า พร้อมถามนู่นถามนี่ ตามภาษาผู้หญิง

  ซึ่งผู้ชายที่ไม่เคยเข้าฟิตเนสอย่างผม ไม่มีวันเข้าใจหรอก

 

     “พวกเธอนี่มันน่ารำคาญ

หันตามาดูคนหล่ออย่างชาติชายบ้างสิ ข้าก็มีซิคแพคเหมือนไอ้จอร์จมันน่ะเว้ย

   ไอ้ชาติมัชายมันคงรำคาญพอๆกับผม แต่คำพูดของมันดูโอ้อวดไปนิด จนเหล่าหญิงสาวต่างไม่พอใจและขว้างสมุด 20 กว่าเล่มใส่มันเต็มกำลังแขน

 “โอ๊ยๆ มาทำร้ายคนหล่อทำไมครับ คนสวยทั้งหลาย

พอได้แล้วน่ะครับ กระผมเจ็บไปทั้งตัวแล้ว”

   ไอ้ชาติชายยกมือขอขมา และปัดหนังสือออกจากตัวที่เจ็บปวดระบมไปหมด พอเริ่มสงบสติพวกนั้นได้และปล่อยให้เหล่าหญิงสาวกรี้ดกร้าดกันตามภาษาเหมือนเดิม ไอ้ชาติชายมันก็เข้ามานั่งข้างๆผม แล้วเอามืออุดหูเพราะรำคาญเต็มที่ ส่วนผมส่ายหน้าเมื่อเห็นสภาพของมัน

 “เป็นไงไอ้หล่อ”  ผมถามมันอย่างกระแหนะกระแหน

 “ข้ามันหล่ออยู่แล้ว ไอ้เทนทาม”  ขนาดมันเจ็บตัว มันก็ยังกล้าชูนิ้วทำเท่ห์ใส่หน้าผม

“ข้าหล่อมากกว่าเอ็งอีก”  ผมพูดจาสัปยอกใส่ไอ้ชาติชาย แต่มันทำเป็นไม่สนใจคำพูด

     “ข้ารำคาญพวกผู้หญิงจริงว่ะแก เขาดูผู้ชายกันที่ ‘ซิคแพค’แค่นี้ รึไงว่ะ”

     “แล้วมันไม่จริงรึ พวกสาวๆห้องเรากรี้ดกร้าดกันได้ทุกวัน

แต่ข้าว่าแกยังดีที่หล่อกว่าไอ้จอร์จอะไรนั่นอีก...เนอะ”  ผมยอมันดู ทั้งที่ไม่มีอารมณ์ ไอ้ชาติชายมันจ้องไปยังนิตยสารที่มีรูปดาราตาสีน้ำข้าวเผยท่อนบนที่เห็นกล้ามหน้าอกเป็นมัดๆของนายแบบจอร์จ เบสแมน ซึ่งตอนนี้หมอนทองชูขึ้นเหมือนดั่งแสงสว่างที่ทอลงแก่เหล่าสาวกเห็นกันรอบๆ

 

     “เออ จริงว่ะ

ข้ายังหล่อกว่าไอ้จอร์จนั่นอีก” ไอ้บ้ายอเอ้ย ผมว่าแล้ว มันต้องพูดอย่างนี้

 

     “เทนทาม แกคิดว่า น้องละมุนจะชอบคนมีซิคแพ็คมั้ยว่ะ”

ไอ้ชาติชายเปลี่ยนเรื่อง แต่สีหน้ามันดูกังวลนิดๆ เพราะไอ้ชาติชายนั้น พอพูดถึงละมุน บางทีมันก็ดูจริงจังเป็นบางครั้ง

     “แกจะไปเครียดทำไม”

     “แกก็ดูยัยหมองทองสิ ผู้นำคนคลั่งไคล้หน้าท้องผู้ชาย” ไอ้ชาติชายพูดอย่างเซ็งๆ ผมว่ามันก็จริงหรอกน่ะ

     “เปลี่ยนเรื่องเถอะ ไร้สาระ ”

 

     “อืม... เอ้อ

ว่าแต่ ‘ยัยทอมนั่น’ ชอบของพวกนี้กับเขาด้วยรึเปล่าว่ะ”

ผมแทบสำลัก เมื่อจู่ๆไอ้ชาติชายก็พูดถึงเธอคนนั้นอีกแล้ว

    “ไม่ใช่ทอม!”

     “เหมือนทอม ข้าไม่ชอบทอม” ไอ้ชาติชายสวนกลับอย่างยียวน

 

     “เฮ้อ! อย่ามากวน

ข้าว่า เขาคงไม่สนใจเรื่องพวกนี้หร้อก” ผมตอบลากเสียงยาว เพราะ ผมก็ไม่ได้รู้จักนิสัยแม่สาวขี้วีนคนนั้นซักหน่อย

     “ถ้าเขาไม่ใช่ทอมจริงๆ

ก็คงนิสัยเหมือนผู้หญิงทั่วไป” ไอ้ชาติชายเหมือนประมวลความคิดอะไรอีกก็ไม่รู้ ผมเลยแย้ง

     “ไม่เหมือนเว้ย ข้าเห็นจับแต่หนังสือตลอด”  เธอไม่ใช้ผู้หญิงที่วันๆเอาแต่กรี๊ดกร๊าดผู้ชายน่ะ!

     “ไม่ใช่อย่างนั้น

ข้าหมายถึงว่า...เขาก็อยากมีคนที่ปกป้องเขาได้ นั่นแหล่ะ” ไอ้ชาติชายพูดถูกแหะ เพราะคงไม่มีผู้ชายคนไหนหรอก อยากเหยาะแหยะต่อหน้า...ผู้หญิง

 

     “หึ! คิดว่าข้าอ่อนรึไง ไอ้เพื่อนรัก”

 ผมไขว้คอมันและตบหัวเบาๆ ไอ้ชาติชายปัดมือของผมออก

 

     “แค่แกพิสูจน์ว่า แกสามารถเอาชนะ ‘กลุ่มเสือดาวไร้จุด’ ได้

ข้าว่าแกดังบรรลัยโลกเลย”

     ผมชะงักคำพูดของไอ้ชาติชายมาก

อ่ะ...ใช่แล้ว ท่านผู้อ่าน คงจะงงเกี่ยวกับกลุ่มนี้มากๆ ตอนที่ผมบอกข้างต้น

กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่อันธพาลที่สุดในโรงเรียน ประกอบด้วยผู้นำใหญ่สามคนคือ ‘โหด ดิบ เถื่อน’ ผมไม่รู้ชื่อจริงๆของไอ้พวกนี้หรอก แต่มันเป็นคำเรียกนามเฉยๆ

 

 

        โหด เป็นคนที่ผอมและเตี้ยมาก ไอ้ชาติชายเคยอัดมันได้ครั้งหนึ่งเพราะ ไอ้โหดมาจีบละมุน

        ดิบ เป็นคนที่อ้วนและสูงที่สุดในกลุ่ม(ผมว่าประมาณ 185 ซม. ขึ้น) หน้าคล้ายหมาบลูด็อกผสมกับหมูเขียวแองกรี้เบิร์ดและเป็นคนหัวโล้น ถ้าท่านผู้อ่านจินตนาการออกก็คงจะรู้ถึงความอัปลักษณ์

         ส่วน เถื่อน หมอนี่แหละ ตัวดีที่สุดในกลุ่ม เลวยิ่งกว่าเลว เลวไม่เหมือนใคร แถมเป็นนักมวยเก่าอีกด้วย

 พ่อเป็นทหาร แม่ถือสไนเปอร์ ลุงเป็นตำรวจ ป้าเป็นรด. น้าเป็นมาเฟีย อาเป็นมือปืน พี่ชายเป็น นตท.

...ส่วนน้องเป็นทอม

เพอร์เฟ็กต์อย่าบอกใครเลยใช่มั้ยครับ...

 

     “พอเถอะไอ้ชาติชาย ข้าไม่อยากโดนฟ้องแบบแกครั้งก่อน”  ผมส่ายหัว

     “ก็ไอ้เตี้ยนั่นมาจีบละมุน ส้นเท้าข้ามันเลยไปก่อน จะทำไงว่ะ” ไอ้ชาติชายค่อนข้างภูมิอกภูมิใจ เพราะว่ามันเอาชนะไอ้โหดได้ ทำให้วีรกรรมครั้งนั้นหลายคนค่อนข้างสรรเสริญมัน แต่หลังจากนั้นไอ้ชาติชายก็มีเรื่องกับกลุ่มเสือดาวไร้จุดทุกครั้ง และผมนี่แหล่ะเป็นคนห้ามทัพตลอด

      “เออ ไอ้เท่ห์ยิ่งกว่าาเท่ห์”

     “ไม่ต้องชมไอ้เพื่อนรัก ข้ามันเจ๋งอยู่แล้ว” ไอ้ชาติชายเอามือปาดหัว และยกนิ้วทำหล่อ ผมเกือบชกมันแล้วมั้ยล่ะ ...ไอ้โคตรเจ๋ง!

 

     “ผู้หญิงคนนั้นชื่อ ‘นิชา’ ”

อยู่ๆไอ้ชาติชายก็พูดเปลี่ยนเรื่อง คำพูดมันดูเรียบๆ แต่สีหน้าค่อนข้างกังวล จนผมสังเกตได้ และหัวสมองของผมก็นึกไปถึงผู้หญิงคนนั้นพอดี

     “แกรู้ได้ยังไง ว่าผู้หญิงผมสั้นคนนั้นชื่อ ‘นิชา’

     “ไอ้เถื่อน มันพูดในกลุ่มว่า ‘ผู้หญิงคนนี้จะเป็นรายต่อไป’

 ผมตาค้างสนิท ผมก็ว่าทำไมไอ้ชาติชายถึงดูซีเรียส แต่คนที่ซีเรียสกว่า ‘มันคือผมต่างหาก’ ผมทั้งอึ้งและไม่เข้าใจ ว่าทำไมไอ้กลุ่มบ้าๆนั้นต้องเลือกผู้หญิงคนนี้

 

    ท่านผู้อ่านจดหมายก็คงจะสงสัยเรื่องนี้เป็นครั้งที่สองแล้วสิน่ะ ก็ได้...ผู้หญิงทุกคนที่ไอ้โหด ดิบ เถื่อน เล็งไว้นั้น ก็คือ ‘ผู้หญิงที่มันจะกลั่นแกล้งอย่างสาสม’ เพื่อให้คนในโรงเรียนเกรงกลัวพวกมัน แต่ผมบอกได้เลยไม่มีอาจารย์คนไหนรู้ เพราะไม่งั้นไอ้เถื่อนคงเอาไรเฟิลประจำตัวงัดเข้าปาก (ผมเดาเล่นๆ ไอ้เถื่อนมันคงไม่ทำจริงหรอก)

 

     “ทำไม...ทำไมว่ะ ผู้หญิงคนนั้นเขาไปทำอะไรอีก”

ผมตะโกนดังลั่นจนยัยหมอนทองและเหล่าสาวกหันมามองผมอย่างตกใจ สีหน้าผมเดือดดาลมาก และกำหมัดทั้งสองข้าง พร้อมที่จะชกพวกกลุ่มเสือดาวไร้จุดสยบได้เลยตอนนี้

“คงไม่เอาสมุดสีเขียวฟาดหน้าพวกมันหรอก

แต่ยัยทอมนั่นกล้าดูถูกและดูหมิ่นกลุ่มเสือดาวไร้จุดตั้ง 3 ครั้งแล้ว แกคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ” ไอ้ชาติชายบีบไหล่ผม แต่คำพูดมันเหมือนพยายามทำให้ผมใจเย็น ผมเย็นไม่อยู่แล้ววว

 

     “ข้าจะไปเรียนมวย!!”

 ผมตอบแบบเอาจริง ไอ้ชาติชายคงรู้ว่าผมรีบร้อนเกินไป แต่สำหรับผม มันไม่มีเวลาแล้ว กลุ่มเสือดาวไร้จุด สามารถทำร้ายผู้หญิงคนนั้นได้ตลอดเวลา

ทุกท่านคิดว่าผมกลัวกลุ่มเสือดาวไร้จุดหรือ...ผมว่าไม่ ผมไม่กลัวพวกมันซักนิด

 ผมไม่ยอมหรอกที่จะให้มันทำอะไรผู้หญิงคนนั้น

 

     ...ผมไม่ยอมหรอก ที่จะให้พวกมันทำกับ ‘คนที่ผมอยากปกป้องที่สุด’ !

 

 

      “อะไรน่ะ ลูก

จะไปสมัครเรียน ‘ค่ายมวยอาจารย์ปรีชา’!! บ้าไปแล้วมั้ยเนี่ย”

   หลังจากผมกลับถึงบ้านและบอกแม่ว่าจะไปสมัครเรียนมวย แม่ก็บ่นซะหูฉี่

“ครับ ผมมันบ้า” ผมตอบประชดแม่ แม่ส่ายหัวและตบไหล่ผมประมาณว่า...‘ไม่ไหวจริงๆ ลูกคนนี้’

“โธ่เอ้ย! แม่จะเป็นลม” แม่วางหลังมือบนหน้าผากของตัวเอง อย่างกับว่าแม่จะเป็นลมตรงนี้จริงๆ

 

     “นี่ เทนทาม เธอแน่ใจแล้วเหรอ”

 อ่ะ...พี่สาวจอมบ่นของผมได้ยินเข้าแล้ว พี่เดินตรงมาหาผม และประคองแม่

 

     “โธ่!‘พี่ณินัย’

พี่กับแม่ไม่เข้าใจ ‘หัวอกผู้ชาย’ หรอก” ใช่แล้วครับ...พี่สาวของผมชื่อ‘ณินัย’ พี่ณินัยกับแม่ยกคิ้วพร้อมกันเมื่อได้ยินผมพูดประโยคนี้

     “ไอ้น้องชาย ที่เธออยากเรียนมวยเนี่ยก็เพราะสู้หมัดของพี่ไม่ได้รึไงจ๊ะ” พี่ณินัยขยี้หัวผมจนฟู

...มันก็จริงนั่นแหล่ะครับ พี่ณินัยเป็นผู้หญิงที่หมัดหนักมาก ขนาดผู้ชายอย่างผมยังยอมสิโรราบ

     “พอเถอะพี่ ผมเป็นลูกผู้ชายพอ เลยยอมแพ้พี่ทุกครั้ง” ผมแก้ตัวอย่างสุขุม

     “มาหล่อแหะวันนี้ หวังว่าเรียนมวยแล้วคงจะเก่งเหมือนคุณตาน่ะ”

     “หึ แน่นอน ก็คุณตา...เป็นถึง ‘นักเลงแห่งบ้านทุ่ง’ ” ผมขยับคอเสื้อ อย่างรู้คำนิยามตามหลังเวลาพูดถึงคุณตา

คุณตาเป็นคนที่เท่ห์มากในสายตาผม ถึงจะเป็นนักเลง ก็เป็นนักเลงที่ดี

...เป็น ‘นักเลงที่ปกป้องคุณยายของผม’ไว้ได้

 

     “อ่ะแฮ่ม หนุ่มๆสาวๆมีอะไรกันจ๊ะ”

พ่อของผมเดินลงมาจากบันไดด้วยท่าทางสบายๆ พวกเราหันขวับไปหาพ่อทันที

     “ก็ดูลูกของเราสิค่ะจะไปเรียนมวย แล้วยัยพี่สาวตัวดียังสนับสนุน” แม่บ่นอุบอิบ และเขกหัวของผมกับหัวของพี่สาว

     “หืม... ก็ดีน่ะ ลูกเรามันอยากเรียนมวย ก็ให้เรียนมวยสิ เท่ห์จะตายเนอะ” พ่อยักคิ้วใส่ผม ผมก็ยักคิ้วตอบ พ่อรู้ใจผมเสมอ

     “พ่อก็อีกคน ให้ตายเถอะ

...เอ้า เรียนก็เรียนไป แต่ถ้าเกรดตกเมื่อไหร่ ได้เป็นน่วมให้แม่แน่” แม่น่ะแม่ ได้เชื้อคุณตามาจริงๆ

     “ครับ ผมจะรอวันนั้น” ผมตอบอย่างหนักแน่น และสะพายกระเป๋าพร้อมเดินขึ้นบันได ก่อนที่จะเอามือมาแตะกับมือพ่อ อย่างมีชัยต่อกัน จนพี่ณินัยกับแม่ต่างสายหน้าใส่ผมอย่างเอ็นดู

 

“ไอ้น้องชายคนโปรดของฉัน...”

 

     ผู้อ่านทุกท่านขอโทษจริงๆที่ต้องมาหยุดเรื่องไว้ก่อน แต่ผมอยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับพี่สาวซักหน่อย

พี่ณินัยของผม ไม่ได้เรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกับผม พี่เขาเรียนที่ ‘โรงเรียนสิรินทร์วิทยา’ (ไว้วันหลังผมจะบอกรายละเอียด) ถึงแม้พี่สาวจะเป็นคนค่อนข้างขี้บ่น ชกเก่ง และไม่ค่อยชอบผู้ชายที่ทำตัวเด่น (พี่แกค่อนข้างแปลกนิดๆ) ถ้าบอกเรื่องความสูงของพี่นั้นหรือ ยังไม่ถึง 160 ซม.ด้วยซ้ำ หัวของพี่แค่ประมาณคางของผม

  ...ผมกล้านินทาพี่สาวให้ทุกคนทราบ แต่อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่สาวผมล่ะ ไม่งั้นผมคงมีเลือดอาบพื้น...(ปิด)

......................................................

 

 

      “โอ้... ไอ้ทอง แค่สัปดาห์เดียว แกเตะซะน่วมหลุดเลยรึว่ะ”

 ไอ้ชาติชายเดินไปลากน่วมใบโตที่ผมเพิ่งเตะ และทำมันกระเดนไปไกลในวิชาพละของวันนี้ ผมก็เดินเข้าไปหามันและเอาสายของเชือกจากน่วมมาแขวนไว้เหมือนเดิม

     “ข้าแค่กังวลเรื่องของ...นิชา ผมเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวชุบน้ำมาเช็ดหน้าก่อนที่จะนั่งลงบริเวณเสาหินข้างๆน่วม ไอ้ชาติชายก็นั่งตาม

      “ไอ้เพื่อนรัก แกกังวลเรื่องนิชามาก จนข้าคิดว่า ‘แก...ชอบเขา’ ซะแล้วล่ะ ผมหันหน้าขวับ

      “เฮ้อ...ไอ้ชาติชายแกอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิว่ะ ข้าก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าไปชอบเธอตอนไหน ไอ้ชาติชายทำหน้าล้อผม แต่ผมไม่มีอารมณ์ ที่สำคัญผมไม่ใช่ผู้ชายที่เขินอายเวลามีใครพูดถึงผู้หญิงและล้อผมไปมา

      “แกชอบเขา ชอบที่เขาตรงๆกับแกใช่มั้ยล่ะ

ละมุนก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เป็น ‘ผู้หญิงที่...ตรงมากๆ’ เลย ไอ้ชาติชายถอยหายใจนิดๆ ผมก็เข้าใจมันว่าละมุนไม่ยอมเล่นด้วย จริงๆแล้ว ละมุนไม่ใช่คนที่อยากเล่นกับใครเลยด้วยซ้ำ

...ไอ้ชาติชายเลยชอบผู้หญิงคนนี้มากเพราะละมุนเป็นคนที่จริงใจ

     “ข้าเข้าใจแก” ผมบีบไหล่มันทีนึง

     “ขอบใจมากเพื่อน

     ‘แกก็ชอบนิชามากเหมือนกัน’ นั้นแหล่ะ”

 ไอ้ชาติชายตบไหล่ของผมเบาๆ ผมยิ้มมุมปาก และลุกขึ้นยืนพร้อมสะบัดหัว ผมเอามือข้างขวาที่พันผ้าขาวแตะน่วมสีขี้ม้าเบาๆ ก่อนที่จะคิดอะไรออกและสมควรที่จะพูดคำนี้ออกมาจริงๆ

 

     ...“ข้าอยากปกป้องเธอ ข้าอยากเป็นฮีโร่ของเธอ”

 

..............................................................

วันแห่งความสำเร็จของผม

 

    พลั่ก!

  เสียงจากหมัดของผมที่ชกเข้าเต็มหมวกกันชกของอาจารย์ปรีชาซะเต็มแรง ณ ลานเวทีชกมวย จนอาจารย์ถึงกับเซ ผมรีบไปพยุงอาจารย์ด้วยความตกใจ

     “อาจารย์ครับ ผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ” ผมถอดน่วมใส่มือสีแดงลงพื้นพร้อมยกมือไหว้อาจารย์ปรีชา ส่วนอาจารย์นั้นถอดหมวกกันชกสีน้ำเงินออก

     “เทนทามทอง หมัดเธอหนักดีจริง ไว้วันหลังครูจะพาเธอไปแข่งมวยบ้าง”

     “ขอบคุณครับ” ผมไหว้ขอบคุณอาจารย์ปรีชาและพาอาจารย์ลงจากเวทีมวย

 

    แปะแปะ!

เสียงปรบมือของพ่อ แม่ และพี่ณินัยที่ยืนรอผมอยู่ข้างล่างเวทีมวย เรียกความสนใจของผมมาหาพวกเขาเหล่านั้น ดูแม่จะปลื้มเป็นที่สุดขนาดเอาผ้าเช็ดหน้าสีบานเย็นขึ้นมาซับน้ำตา

     “ผมเป็นไงบ้างพี่ณินัย” ขณะที่ผมพาอาจารย์ปรีชามานั่งโต๊ะที่มีแก้วน้ำเย็นอยู่สองแก้วแล้ว ผมก็เดินไปหาพ่อแม่และพี่ณินัย ส่วนอาจารย์ปรีชาก็หยิบหนังสือธรรมะข้างตัวขึ้นมาอ่าน

     “นายสุดยอดมาก ไอ้น้องชาย” พี่ณินัยยกนิ้วชูใส่ผม พร้อมเอาผ้าสีขาวมาเช็ดเหงื่อให้

      “พ่อเห็นว่าลูกตั้งใจและเห็นว่าลูก...ก็เท่ห์ขึ้นอย่างน่าใจหาย

 เอาเป็นว่าพ่อกับแม่ว่าจะมอบ ‘สิ่งนี้’ ให้” ผมสงสัยเล็กน้อย แต่เห็นแม่เอากล่องสีเหลืองใบโตยื่นมาทางผม ผมก็รับกล่องอย่างงงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ตาของผมเบิกกว้างนั้นก็คือ

 

“ผ้าคลุมสีแดงของคุณตา!!”  

     ผมหยิบผ้าคลุมสีแดงยาวประมาณ 1 เมตรที่ค่อนข้างเก่า แต่ถูกซักฟอกจนสะอาดแล้ว ขึ้นมาดูใกล้ตาอย่างปลาบปลื้มที่สุด แม่เอาปลายผ้าคลุมด้านหนึ่งมาผูกคอผม และปล่อยชายให้พลิ้วไปตามแรงของลม

 

     “นี่คือ ‘ผ้าคลุมของลูก’ แล้ว ลูกคือ ‘ฮีโร่’ ของพวกเรา”

ผมซึ้งไปกับคำพูดของแม่มาก ผมโผเข้ากอดแม่ทั้งที่กายของผมยังซกเหงื่อ พี่ณินัยกับพ่อเข้ามาโอบไหล่ของผม

ผมชายตามองผ้าคลุมสีแดง และนึกถึงหนังสมัยเด็กๆที่ผมชอบดู ใช่...ผมชอบ Superman มาก เขาจะปรากฏกลายด้วยผ้าคลุมแดงอย่างนี้ตลอด

 

...ข้าอยากปกป้องเธอ ข้าอยากเป็นฮีโร่ของเธอ

 

คำพูดของผมในวันนั้น ที่ผมพูดต่อหน้าน่วมสีขี้ม้า ตอนนี้ความรู้สึกมันคงไม่ต่างอะไรกันมากแล้ว

 

...ถ้า ‘ผ้าคลุมของSuperman’ ยังอยู่ที่หลังของผม ผมก็ยังคงเป็น...ฮีโร่ อย่างสมบูรณ์

 

...............................................................

 

 

    ในที่สุดวันที่ผมจะประกาศตนว่าเป็นฮีโร่ต่อหน้านิชาก็มาถึง

ใช่...วันนี้แหล่ะที่ผมจะเผชิญหน้ากับ ‘หนึ่งในผู้นำกลุ่มเสือดาวไร้จุด’

ใช่...ผมเตรียมพร้อมกับทุกสิ่ง

ใช่...ผมนำ ‘ผ้าคลุม Superman’ มาด้วย

ใช่...ผมสวมมันและปล่อยชายปลิวไปตามสายลม

ใช่...ผมมั่นใจว่าจะปกป้องนิชาได้...(ปิด)

 

     “แย่แล้ว! ไอ้ทอง แกรีบไปหลังโรงเรียนเดี๋ยวนี้!!”

ไอ้ชาติชายตะโกนโหวกเหวกหลังจากที่วิชาสุดท้ายจบไปนาน 10 นาทีแล้ว

     “เกิดอะไรขึ้น!” ผมชักรู้สึกไม่ดีขึ้นมานิดๆ เพราะคิ้วข้างขวากระตุกขึ้นมาตั้งแต่เช้า

     “นิชา...นิชา”  สีหน้าของชาติชายซีดสนิท ผมเลยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทันที ผมรีบคว้าเอาของบางอย่างออกจากกระเป๋าเป้ซึ่งก็คือ ‘ผ้าคลุมของ Superman’ ผมรีบวิ่งลงบันได จากชั้น 3 ลงชั้น 1 และเดินไปทางด้านหลังโรงเรียน เป็นสถานที่ลับตาคนมากที่สุด

 

...ผมคือ ฮีโร่!

 

 

     “นายต้องการอะไรจากฉัน!!”

 เสียงของนิชาแผ้ดดังขึ้นมา เพราะสนทนาก็ใครบางคนอยู่

ผมแอบหลบอยู่ตรงที่พุ่มไม้ใหญ่ห่างออกจากบริเวณนั้นประมาณ 10 ฟุต ผมเล็งไปทางคู่สนทนาของนิชา จนเห็นว่าบุคคลนั้นคือ ‘ไอ้โหด’

 

     “หึ! วันนี้โชคดีหน่อยน่ะ ที่เพื่อนสองคนของฉันไม่มา

เลยไม่ต้องเจ็บตัวเยอะ”

 ไอ้โหด ยิ้มอย่างมัจจุราชใต้คราบชุดนักเรียน มันเอามือข้างหนึ่งมาดึงผมของนิชา จนเธอร้องดังลั่น

     “ฉันเจ็บน่ะ ไอ้เลววว” นิชาพยายามเอาผมของตัวเองออกจากมือของมัจจุราชคนนั้น แต่ยิ่งเธอยื้อ เขาก็ยิ่งออกแรง

     “แรงน้อยจริงน่ะ ยัยทอม”

     “โอ๊ย!! ฉันเจ็บแล้ว พอๆๆๆ”

 

   พลั่ก!

  ผมทนดูเหตุการณ์ต่อไปไม่ไหว ตอนนั้นเองที่ผมเอาผ้าคลุมของSuperman มาพันคอ แล้ววิ่งเข้าไปชกท้องของ ‘มัจจุราชผอมโซ’ อย่างเต็มแรง จนมันกระเด็นไปไกลจากนิชาพอสมควร พอมันลุกขึ้นได้ มันก็เอามือกุมท้องพร้อมกัดฟันกรอดๆ และวิ่งตรงมาที่ผมพร้อมยื่นหมัดหวังจะชกหน้าผม แต่โชคดีที่ผมหลบทันและชกหน้ามันแทนจนหันไปอีกข้าง และเอาเข่าเตะเข้าตรงตำแหน่งเดิมบริเวณท้อง จนมัจจุราชผอมโซล้มลง ก่อนที่จะพยุงร่างที่แสนสะบักสะบอมของตัวเองขึ้น และกุมท้องของมัน

 

     “ฝะ...ฝากไว้ก่อนเถอะ...แก!!”

ไอ้โหดหรือมัจจุราชผอมโซพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก และรีบพาร่างของตัวเองออกไปให้ไกลที่สุด

 

     “ฟู่...”

ผมถอนหายใจเล็กน้อย ชายผ้าคลุมของ Superman สีแดง พลิ้วไสวตามลมของยามเย็นที่ผมประกาศตนว่าเป็น ‘ฮีโรต่อหน้าของนิชา’

ผมเดินตรงเข้ามาหาหญิงสาวที่บัดนี้เอามือมาสางผมที่ยุ่งให้เหมือนเดิม ก่อนที่เธอจะเอะใจเล็กน้อย

 

     “นาย...นายอีกแล้วเหรอ”

 หญิงสาวตรงหน้ามองผมด้วยสายตาพิลึกพิลัน แววตาของเธอยังคงมองผมเหมือนวันแรกที่ผมเจอกับเธอ

     “ใช่...ฉันเอง ‘ฉันเป็นคนปกป้องเธอ’

นี่ผมเริ่มจะน้ำเน่าแล้วน่ะเนี่ย ผมยิ้มและมองหน้าเธอเมื่อเห็นว่าเธอจำผมได้ ผมยืนตัวตรงพร้อมรับ ‘คำขอบคุณจากเธอ’ อย่างมีชัย

... แต่...ไม่ มันไม่มีคำขอบคุณจากเธอเลยแม้แต่น้อย

 

     “นายเป็นบ้าอะไร! ใส่ผ้าคลุมสีแดงอะไรเนี่ย!”

เธอตำหนิผมพร้อมมองผ้าคลุมของSuperman ของผมอย่างไม่เข้าใจ

     “ก็...ก็ฉันเข้ามาช่วยเธอ ฉันทำผิดตรงไหนที่ฉันติดผ้าคลุมสีแดงมาด้วย” ผมพยายามพูดเป็นนัยว่า‘ผมเป็น Superman เพื่อมาปกป้องเธออะไรประมาณนั้น’

 

     “นายมันบ้าไปแล้ว คิดว่าตัวเองเป็น‘ฮีโร่’ที่สามารถมาปกป้องหญิงสาวเหมือนในหนังได้รึ

หัดดูตัวเองซะมั้งว่า เหมาะกับการเป็น Superman รึเปล่า!!”

 

   เป็นคำพูดที่เจ็บที่สุดที่ผมเคยได้ยิน นอกจากจะไม่ได้คำขอบคุณ ยังได้คำด่าที่แสนเจ็บใจมาอีก หญิงสาวผมสั้นเดินออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ...ปล่อยให้ ‘คนธรรมดาที่มีผ้าคลุมสีแดง’ อย่างผม ก้มหน้าลงอย่างไม่เข้าใจและเจ็บใจเป็นที่สุด

...ผมทำอะไรผิด

...ผมปกป้องเธอ แต่เธอไม่รู้อะไรเลย

...ผมทำตัวเป็น ‘ฮีโร่’ ผมผิดตรงไหน

...ผมยังไม่สามารถพิชิตใจของผู้หญิงคนนั้นได้อีกหรือ

 

ทำไม...ผมมันแค่ ‘คนธรรมดา’ หรือไง!!

 

....................................................

 

   ท่านผู้อ่านที่เคารพ...ขอบคุณท่านมากสำหรับที่อ่านจดหมายมาถึงหน้านี้แล้ว

คุณคงเข้าใจแล้วว่า ผมโดนด่าด้วยคำว่าอะไรบ้าง ใช่...มันเจ็บมาก เจ็บจริงๆ และผมก็เอากลับไปคิด

หลังจากวันนั้น...

...นิชาก็มองผมอย่างคนประหลาด

...ไอ้โหด เริ่มมีอาการดีขึ้น แต่...แผลในใจของมันยังไม่หาย

...กลุ่มเสือดาวไร้จุดจ้องมองผมด้วยสายตาที่แปลกขึ้น

...ไอ้ชาติชายประกาศเรื่องของผมซะเต็มที่

...ผมกลายเป็นที่ยกย่องเหมือนกับไอ้ชาติชายครั้งก่อน

...ผมกลายเป็น ‘ฮีโร่’

 

...คุณคิดหรือว่าผมมีความสุข ใช่... ‘ผมได้เป็นฮีโร่แล้ว’เป็นฮีโร่ที่มี ‘ผ้าคลุมของ Superman’ ติดท้าย

ผมได้เป็นฮีโร่ของทุกคนแล้ว...ยกเว้นผู้หญิงคนนั้น

 

     “นี่หรือ ผ้าคลุมสีแดงของคุณตาของแก

ผ้าคลุมของ ‘นักเลงแห่งบ้านทุ่งงงง’ ”

ไอ้ชาติชายหยิบผ้าคลุมสีแดงจากกระเป๋าของผมขึ้นมา พร้อมตะโกนดังลั่นทั้งห้องเรียน และเบิกตากว้างมองผ้าคลุมด้วยความอัศจรรย์ใจ  ...คุณตาของผมเป็นคนดังสมัยก่อน ที่มีคนเคารพนับถือมากมาย แม้แต่ปัจจุบัน เพื่อนของผมหลายคนก็ชอบคุณตาเหมือนกัน

 

     “เออ...”

ผมตอบเรียบๆ เพราะไม่มีอารมณ์

     “โอ้! ข้าได้จับแล้วเว้ยๆ” ไอ้ชาติชายเห่อกับผ้าคลุมของผมมาก

     “เออ...”

     “โอ้! ผ้าคลุมผืนนี้ใช่มั้ย ที่แกพกไปตอนนั้น” ไอ้ชาติชายยังคงตื่นเต้นสุดๆ

     “เออ...”

 ไอ้ชาติชายหันมามองผม มันเอะใจเมื่อเห็นสีหน้าที่เหม่อลอยของผมก่อน มันก็สงบลง พร้อมเก็บผ้าคลุมสีแดงใส่ในเป้ของผมเหมือนเดิม

     “แกเป็นอะไร เทนทาม?” ไอ้ชาติชายเรียกสติของผมคืน แต่ไม่มาก

     “...”

ผมเงียบ ไอ้ชาติชาย ชายตามองไปข้างนอกห้องเรียน และเห็นหญิงสาวผมสั้นคนหนึ่งเดินผ่านไปดังกับสายลมที่พัดปลิว

 ใช่...นิชา นั่นเอง

 

     “ข้าไม่เข้าใจ ทำไม...ยัยทอมนั่นไม่สนใจแก”

ไอ้ชาติชายส่ายหน้า พร้อมตบไหล่ผม

     “เพราะ...ข้าคือ ‘คนธรรมดา’ ” ผมตอบเพียงเท่านั้น และเอาหน้าฟุบโต๊ะ

 

...หัดดูตัวเองซะมั้งว่า เหมาะกับการเป็น Superman รึเปล่า!!

 

คำพูดของนิชา ดังก้องอยู่ในหัวของผมเป็นพันๆคำ ทั้งสีหน้าและท่าทางที่มองผมเป็นคนประหลาดยิ่งทำให้ผมเจ็บใจ

ผมไม่เข้าใจ ผมทำอะไรผิด

หรือ ‘ผมยังสามารถเป็นฮีโร่...ของเธอ’

 

     “แก้ตัวใหม่ซะ  เทนทาม”

ไอ้ชาติชายพูดขึ้น ผมเงยหน้าพร้อมมองมัน อย่างเซ็งเป็นที่สุด

     “ข้าต้องแก้เกมใหม่ใช่มั้ย” ผมถามเพื่อความแน่ใจ ทั้งที่ตัวผมนั้นเริ่มหมดความมั่นใจแล้ว

 

     “อืม... แกต้องถามเหตุผล และบอกความจริงกับสิ่งที่แกทำลงไป

...แกทำเพื่อปกป้องคนที่แกชอบ

   คำพูดของไอ้ชาติชายปลุกผมออกจากคำพูดที่แสนโหดร้ายของนิชาได้

ใช่...เธอยังไม่รู้ ‘เหตุผลที่แท้จริง’ ของผม ผมต้องบอกเธอ ใช่! ใช่จริงๆด้วย

 

     “ขอบคุณมาก ไอ้ชาติชาย!!”

ผมขอบคุณมันจากใจจริง ก่อนที่จะยกกำปั้นมาชนกับกำปั้นของไอ้ชาติชาย มันยกมุมปากและพยักหน้าตอบ

 

      “แกคือ...ฮีโร่”

 

.................................................................

 

   คำพูดตอนเช้าของไอ้ชาติชายเพียงพอที่จะปลุกผมออกจากคำพูดที่แสนมืดิดมของนิชาได้บ้าง ทั้งบ่าย ผมเลยค่อนข้างคลายกังวลเล็กน้อย และเรียนวิชาภาษาไทยรอดไปบ้าง

 

   กริ๊ง!

เสียงออดดังกังวานไปทั่วห้องเรียน ตอนนี้ก็หมดวิชาสุดท้ายที่สมควรจะเป็นคาบว่างไปแล้ว ผมรีบเก็บของใส่กระเป๋าทันที เพราะไอ้ชาติชายเก็บหนังสือเรียนและพาเป้เน่าๆของมันออกจากนอกห้องเรียนก่อนผมไป 3 นาทีแล้ว

   ขณะที่ผมกำลังจะรูดซิบกระเป๋า จู่ๆยัยสายหม่อนและพรรคพวกกลุ่มคนคลั่งไคล้ของหกแพ็คบนหน้าท้องผู้ชายต่างรีบวิ่งออกจากห้องจนชนทั้งกระเป๋าและตัวของผมเต็มๆ(โต๊ะของผมกับโต๊ะของไอ้ชาติชายอยู่บริเวณหน้าประตูห้องพอดี) ทำให้กระเป๋าเป้ของผมล่วงลงพื้น และของจากกระเป๋าออกมาหมดเลย

     “ว้าย!

ขอโทษทีน่ะ เทนทาม

   หนึ่งในหญิงสาวจากพรรคพวกกลุ่มนั้น รีบยกมือยกโพยไหว้ผม และวิ่งออกไปจากห้องแทบไม่ทันพวกที่เหลือ

ผมเก็บของเข้ากระเป๋าอีกรอบ และตอนนั้นเอง ที่ผมมองสิ่งของบางอย่างที่ออกมาจากกระเป๋า มันก็คือ

‘ผ้าคลุมสีแดงผืนนั้น’ ผมหยิบมันขึ้นมาดู พร้อมขมวดคิ้ว

 

...ผมยังเป็นฮีโร่ได้ใช่มั้ย?

 

คำถามนี้ผมอยากถามนิชามาก ถึงแม้มันจะดูบ้า และคล้ายกับว่าผมมันเพ้อเกินไป

แต่...ผมก็แค่อยากให้เธอรู้ว่าผมจริงใจกับเธอมากเท่าไร

 

ท่านผู้อ่านจดหมาย...คุณคิดว่าผมยังเป็นฮีโร่ของนิชาได้รึเปล่า?

 

...............................

 

หน้าอาคารเรียนมัธยมต้น

 

  ผมลงมาข้างล่างแล้ว แต่วี่แววไอ้ชาติชายนั้นหาไม่  มันคงเดินตามละมุน จนลืมเพื่อนอย่างผมไปแล้วมั้ง

ผมส่ายหัวเพราะเซ็งกับไอ้ชาติชาย ไม่สิ... ไอ้ชาติชั่ว น่าจะเหมาะกับชื่อของมันมากกว่ามั้งครับทุกท่าน!

ผมก้าวออกจากหน้าโรงเรียนทันที...

 

     “เฮ้! จะพาฉันไปไหนนายตั้ม!”

เสียงที่คุ้นหูของหญิงสาวที่ดูถูกผมในวันนั้น ทำให้ผมรีบหันหลังและเห็นว่านายตั้ม(คนที่ผมยังหล่อกว่าเยอะ) กำลังลากแขนของนิชาไปทางหลังโรงเรียนด้วยท่าทีรีบร้อน

 

     “นี่! นายตั้มไม่ต้องลากฉันก็ได้น่ะ”  นิชาแผดเสียงแต่ไม่ได้ดังมาก ส่วนนายตั้มก็เล่นลากแขนของนิชาจนแขนของเธอแทบหลุด ผมรีบตามมา พร้อมเอาผ้าคลุมของSuperman ออกมาด้วย

...นายตั้มก็ไม่ได้มีประวัติเสียๆหายๆ แต่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงไม่อยากให้ใครมายุ่งกับนิชา

 

    

      “นิชา! เงียบหน่อยๆ ถ้าใครได้ยิน

เธอได้โดนตัดผมแน่!!”

     “นี่! นายตั้ม ไม่ต้องมาขู่เลยน่ะ รีบเข้าเรื่อง...” นายตั้มเอามือปิดปากของนิชา เพราะตอนนี้แม่สาวขี้วีนดูท่าจะเริ่มแผดเสียงดังขึ้น ผมเริ่มรู้สึกท่าไม่ดี เมื่อเห็นนายตั้มล้วงเอาของบางอย่างออกจากกระเป๋า

 

กรรไกร!?

ผมตาค้างสนิทพอๆกับนิชาที่เบิกตากว้าง ส่วนนายตั้มนั้นก็เล่นเอากรรไกรสีเงินมาจ่อหน้าของนิชา ที่ตอนนี้ร่างทั้งร่างของนิชาสั่นงันงกไปหมดแล้ว

 

...ไอ้ชั่วช้า นายตั้ม แก...!!

 

   ‘พลั่ก!’

ผมทนไม่ไหวจริงๆ ผมรีบมัดผ้าคลุมของSupermanไว้ที่คอ และพุ่งเข้าไปชกนายตั้มจนมันล้ม ผมเตะกรรไกรสีเงินออกไปให้ไกลมากที่สุด ผมเงื้อมือขึ้นจะชกนายตั้มอีกรอบ แต่อยู่ๆนิชาก็เข้ามาห้าม

 

     “นายบ้า!! ไปชกเขาทำไม”

นิชาดึงแขนของผมออก และมาพยุงร่างที่แสนปวกเปียกของนายตั้ม ยิ่งผมเห็นการกระทำก็ยิ่งสับสนและแค้นเป็นอย่างมาก

 

     “โอย... ไส้ของฉันยังไม่หลุดออกจากพุงใช่มั้ยเนี่ย” นายตั้มร้องโอดโอย พร้อมหลับตาปี๋และสับส่ายไปมา

     “อีกไม่นานได้หลุดแน่!” ผมขู่นายตั้มเล่นๆ แต่ผลที่ได้ นิชากลับหันขวับใส่ผม พร้อมจ้องผมด้วยสายตาที่ตำหนิ

     “โอย...พอแล้ว เทนทาม

ฉันไม่เอาแล้วววว” นายตั้มยกมือขอโทษขอโพย แต่ผมก็ยังไม่ไว้วางใจ

      “แกขู่นิชา ว่าจะตัดผมของเธอ

คิดว่าฉันจะยอมหรือ” ผมยืนกอดอกตัวเอง แต่นายตั้มกลับส่ายหัวประมาณว่า...เข้าใจผิดแล้ว

 

     “นายเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้จะตัดผมของนิชา

แต่แค่จะแอบมาปรึกษาเธอเท่านั้นน”

     “ปรึกษาเรื่องอะไร!! ทำไมถึงขั้นฉุดกระชากลากถู” ผมสะกดพยัญชนะไทยทุกตัวให้นายตั้มได้ยินชัดๆ

     “คะ...คือ ฉันมีเรื่องเข้าใจผิดกับ ‘ไอ้ต๊อด’ คือว่านิชาเขาเป็นญาติกับไอ้ต๊อดมัน”

 

   เพล้ง!

เสียงจานข้าวหมาของโรงเรียนที่อยู่ชั้นสองตกลงมาบนพื้นจนผมแทบสะดุ้ง

นี่ผมมุทะลุเกินไป จนคิดว่านายตั้มทำไม่ร้ายไม่ดีกับนิชา ให้ตายเถอะ! ทำไมต้องใจร้อนแบบนี้ด้วย

ทั้งที่เหตุผลที่แท้จริงของนายตั้มก็คือ ‘ทำให้คู่เกย์ของมันหายงอน!’

ผมอยากเอาจานข้าวหมามาครอบหัวจริงๆ

 

     “นายมันบ้าที่สุด เทนทาม!”

นิชาด่าพร้อมขานชื่อของผมที่ไม่เคยหลุดจากปากดังลั่น เธอเอาตัวออกจากนายตั้มพร้อมเตะเขา 1 ที จนนายตั้มล้มลงไปนอนกลิ้งกับพื้นอย่างน่าอนาจอีกรอบ เธอเดินกระแทกเท้าพร้อมชนเข้าที่ไหล่ของผมเต็มๆ

 

...ไม่ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด!

 

     “นิชา!”

 ผมขานชื่อของเธอและวิ่งตามเธอไป ผ้าคลุมสีแดงปลิวเข้าพัดหน้าผม มันเกะกะการวิ่งของผมเสียจริง เธอหยุดนิ่งและยืนกอดอก ผมยังดีใจนิดๆที่เธอฟังผม แต่มันคงไม่มีอะไรน่าดีใจมากอีกแล้ว...

 

     เพี๊ยะ!

นิชาตบหน้าผมเต็มๆ

ผมหันกลับมามองเธออย่างยากลำบาก ผมจ้องที่ดวงตาอาฆาตของเธออย่างท้อแท้ใจ

ผมอยากบอกขอโทษ แต่...เธอคงไม่ฟัง

 

      “ไอ้บ้าเทนทาม!”

เธอด่าผม ตอนนี้ผมทำได้เพียงแค่ก้มหน้ายอมรับคำด่าจากเธอ

     “ทำไมต้องมาทำตัวบ้าๆ ทำตัวเป็นเด็ก ทำตัว...ทำตัวน่าเกียจอย่างนี้!” เธอเค้นเสียงอย่างเหลืออด

     “นายมันบ้า คิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่!

คิดว่า...นายสามารถทำภารกิจพิชิตใจฉันได้เหรอ” นิชาต่อยผมไปมาอย่างไม่หยุด ถึงมันจะไม่เจ็บ แต่ใจของผมมันปวดร้าวไปหมดแล้ว

     “ทำไมกัน บอกฉันมาสิ!!”

     “....”

     “เงียบทำไม บอกฉันสิ”

     “นิชา...”

     “บอกฉันมาสิว่ะ!!”

 

      “ฉันชอบเธอ นิชา!”

ผมเงยหน้าและกุมมือของเธอเอาไว้

นิชานิ่งและมองผมอย่างไม่เข้าใจ ผมมองเธอด้วยแววตาที่ไม่เข้าใจเช่นกัน

  ...ทำไมต้องรังเกียจผมด้วย ทั้งที่ผมแค่อยากเป็นฮีโร่ของเธอ!!

ผมจ้องมองเธออยู่นาน เธอมองเข้ามาในดวงตาผมเพื่อพยายามค้นหาสิ่งที่อยู่ในตัวของผม แต่สุดท้ายเธอก็หลุบตาลง และเดินถอยห่างจากผม 3 ก้าว เธอนิ่งและเม้มปาก สุดท้ายเธอก็ผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมพูดประโยคอำลาผมในวันนี้...

 

     “นายไม่ใช่ฮีโร่ นายไม่ใช่ Superman”

เธอเดินจากผมไป...ผมมองร่างของเธอที่ตอนนี้ทอดตัวไปไกลแสนไกลแล้ว

ท้องฟ้าเริ่มอมส้มเพราะเวลาที่เลย 5 โมงเย็น ผ้าคลุมของSuperman สะบัดพัดปลิวไปตามแรงลมอย่างอ่อนๆ

 

     “ฉันไม่ใช่ Superman”

ผมเค้นเสียงออกมาอย่างเย็นยะเยือก พร้อมปลดผ้าคลุมออกจากคอ และกระทืบมันเป็นร้อยๆครั้ง จนตอนนี้ผ้าคลุมสีแดงใหม่เอี่ยมอ่องกลายเป็นผ้าเช็ดเท้าสีแดงเน่าๆ ที่ทุกคนต่างรังเกียจ ผมเตะผ้าคลุมออกไปไกลจากเท้าเกือบ 2 เมตร

 

...ผ้าเช็ดเท้าไม่มีใครต้องการหรอก

 

ผมสบถในใจ พร้อมก้าวเท้าออกนอกโรงเรียน แต่แล้ว...ความทรงจำเกี่ยวกับผ้าคลุมของSuperman ก็จูนเข้าสมองของผมอย่างอัตโนมัติทั้งที่ผมไม่ต้องการรับรู้

 

     ...“พ่อเห็นว่าลูกตั้งใจและเห็นว่าลูก...ก็เท่ห์ขึ้นอย่างน่าใจหาย

 เอาเป็นว่าพ่อกับแม่ว่าจะมอบ ‘สิ่งนี้’ ให้”  ผมสงสัยเล็กน้อย แต่เห็นแม่เอากล่องสีเหลืองใบโตยื่นมาทางผม ผมก็รับกล่องอย่างงงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ตาของผมเบิกกว้างนั้นก็คือ

 

“ผ้าคลุมสีแดงของคุณตา!!”  

     ผมหยิบผ้าคลุมสีแดงยาวประมาณ 1 เมตรที่ค่อนข้างเก่า แต่ถูกซักฟอกจนสะอาดแล้ว ขึ้นมาดูใกล้ตาอย่างปลาบปลื้มที่สุด แม่เอาปลายผ้าคลุมด้านหนึ่งมาผูกคอผม และปล่อยชายให้พลิ้วไปตามแรงของลม

 

     “นี่คือ ‘ผ้าคลุมของลูก’ แล้ว ลูกคือ ‘ฮีโร่’ ของพวกเรา”

ผมซึ้งไปกับคำพูดของแม่มาก ผมโผเข้ากอดแม่ทั้งที่กายของผมยังซกเหงื่อ พี่ณินัยกับพ่อเข้ามาโอบไหล่ของผม

ผมชายตามองผ้าคลุมสีแดง และนึกถึงหนังสมัยเด็กๆที่ผมชอบดู

ใช่...ผมชอบ Superman มาก เขาจะปรากฏกลายด้วยผ้าคลุมแดงอย่างนี้ตลอด

 

...ข้าอยากปกป้องเธอ ข้าอยากเป็นฮีโร่ของเธอ

 

คำพูดของผมในวันนั้น ที่ผมพูดต่อหน้าน่วมสีขี้ม้า ตอนนี้ความรู้สึกมันคงไม่ต่างอะไรกันมากแล้ว

 

...ถ้า ‘ผ้าคลุมของSuperman’ ยังอยู่ที่หลังของผม ผมก็ยังคงเป็น...ฮีโร่ อย่างสมบูรณ์

 

 

     “ใช่...ข้าอยากปกป้องคนที่ข้ารัก”

ผมหันหลังกลับมา และรีบวิ่งเข้าไปหยิบผ้าคลุมสีแดงที่กองอยู่บนพื้นขึ้น ผมโล่งอกนิดๆ เมื่อเห็นว่ามันยังไม่ขาดเพราะแรงกระทืบของผม ผมปัดฝุ่นของผ้าคลุม และเดินทางกลับบ้าน...

 

ท่านผู้อ่านจดหมายที่รัก...

ท่านอาจคิดว่าผมยังคงไม่ท้อแท้หรือไม่สิ้นหวังที่โดนผู้หญิงคนนั้นประณามและด่าผมด้วยถ้อยคำที่แสนจับใจ แต่ไม่...ผมยังไม่รู้เลยว่า ผมจะเอาผ้าคลุมสีแดงกลับมาทำไม...(ปิด)

 

.............................................

 

     “ไอ้เทนทามทอง น้องบ้า

แกทำอะไรกับผ้าคลุมคุณตา

นั่นหน้าแก ไปโดนอะไรมาอีก

   พอกลับถึงบ้าน ก็ยังคงไม่รอดพ้นจากสายตาของพี่สาวจอมจุ้น ดูท่าพี่จะสังเกตรายละเอียดทุกอย่างและท่าทางของผมไปหมด

     “ผมโดนหมาที่โรงเรียนกัด” ผมเซ็งที่จะต้องตอบคำถามมากมายของพี่ณินัย

     “ดูท่าหมาที่โรงเรียนจะตบหน้านายเป็นด้วย” ผมจ้องหน้าของพี่ณินัยอย่างเดือดดาล พี่ณินัยชะงักเพราะเห็นท่าของผมจะไม่ดี

พอผมนึกขึ้นได้อีกที ก็เล่นถอนหายใจใส่หน้าพี่ณินัยเต็มๆ และเดินขึ้นบันได

 

     “เทนทาม เธอเป็นอะไรรึเปล่า”

พี่ณินัยถามผมด้วยเสียงนุ่มๆและแผ่วเบาเหมือนระมัดระวังผม ผมหยุดการก้าวเท้าและเดินตรงดิ่งมาหาพี่สาว ผมกอดพี่ณินัย และเอาหน้าซบที่ไหล่ของพี่สาว เหมือนต้องการระบายและปลดปล่อยความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความท้อใจและอัดอั้นตันใจ พี่ณินัยลูบหลังผมเบาๆและกระซิบข้างหูว่า...ไม่เป็นไร

...ผมแค่อยากระบายความรู้สึก

 

.....................................................

 

      “ที่แท้...ก็ ‘อกหัก’ นี่เอง”

พี่ณินัยรินน้ำเย็นใส่แก้วของผม พร้อมส่ายหัวเบาๆ

     “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แค่รู้สึกโหวงๆ หรือมีอะไรตกลงพื้น แล้วความเย็นก็เข้ามาแทนที่” ผมดื่มน้ำเย็นอย่างเหนื่อยอ่อน แต่แค่น้ำเย็นแก้วเดียวคงยังทำให้ผมสบายใจไม่ได้หรอก

 

      “เธออกหักจริงด้วย เทนทาม

เท่าที่เธอเล่าพี่มาทั้งหมด พี่ก็พอเข้าใจแหล่ะว่า ทำไมแกกล้าลงทุนเรียนชกมวย และเล่นเอาผ้าคลุมของคุณตาไปโรงเรียนทุกวัน”   ใช่...พี่ณินัยพูดถูก ผมเล่าความจริงทุกอย่างให้พี่ณินัยจนถึงบางอ้อ แต่ดูพี่ณินัยจะไม่ล้อผมเลยซักนิด แต่ยังพูดจาให้กำลังใจกับผมอีก

     “อืม ก็เหมือนที่พี่พูดนั่นแหล่ะ” พี่ณินัยนิ่งเงียบไปซีกพัก อยู่ๆก็หยิบผ้าคลุมของSuperman ที่แสนสกปรกเอาขึ้นมาดู พร้อมทำหน้าเหยเก

 

     “ระบายความรู้สึกกับผ้าคลุม...ไม่มีวันหรอกที่ผ้าคลุมจะเข้าใจความรู้สึกของเรา”

 

พี่ณินัยพูดกับผมพร้อมยิ้มนิดๆ เพื่อให้ผมเข้าใจความหมายอะไรบ้าง

     “เอามันไปให้ไกลจากตัวของผมได้มั้ยผมถามพี่ณินัย เพราะยิ่งผมเห็นมันมากเท่าไร มันก็ยิ่งตอกย้ำคำพูดของนิชา

 

     “เธอกลัวคำพูดของสาวน้อยคนนั้นที่เฝ้าหลอกหลอนเธอ”

 

     “ใช่...พี่พูดถูก” ผมก้มหน้ายอมรับความจริงที่แสนโหดร้าย พี่ณินัยวางมือบนไหล่ของผม

       “แต่ก็ยังคงมีคำพูดดีๆไว้ให้จดจำอีกไม่ใช่เหรอ”

 

ผมเงยหน้าขึ้น ดังกับว่าได้เจอคำตอบอย่างชัดแจ้ง ใช่...ยังคงมีคำพูดดีๆที่มีไว้ให้จดจำ ยังคงมีหลายคำพูดที่ยังคงให้กำลังใจผม

 

     “นี่คือ ‘ผ้าคลุมของลูก’ แล้ว ลูกคือ ‘ฮีโร่’ ของพวกเรา”

     ...ข้าอยากปกป้องเธอ ข้าอยากเป็นฮีโร่ของเธอ

      “แกคือ...ฮีโร่”

      ...ถ้า ‘ผ้าคลุมของSuperman’ ยังอยู่ที่หลังของผม ผมก็ยังคงเป็น...ฮีโร่ อย่างสมบูรณ์

 

     “ขอบคุณมากพี่ณินัย ขอบคุณมาก”

ผมโผเข้ากอดพี่ณินัย อย่างกับเด็ก ถึงแม้คำพูดของนิชาจะทำให้ผมรู้สึกท้อแท้เพียงใด แต่ก็ยังคงมีกำลังใจที่ถึงแม้จะไม่มาก แต่ผมก็ยังคงไม่ทำให้ผมสิ้นหวัง

 

     “แต่...พี่ณินัย

ผมคงไม่จำเป็นต้องการผ้าคลุมของSuperman แล้วล่ะ”

     “อ่าว...ทำไม” พี่ณินัยถามผมด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ถึงต้องพูดแบบนี้ไป แต่ใจของผมกลับรู้สึกว่า...มันมีอะไรบางอย่างที่ผมต้องทำ

 

     “พี่เอาผ้าคลุมผืนนี้ไปซัก แล้วเอามันไปให้ไกลจากตัวของผมมากที่สุด แต่ผมขอสถานที่ และตำแหน่งที่ซ่อนของมัน แต่...ผมจะทำหลังจากที่ผมสามารถ‘พิสูจน์หัวใจของตัวเองเป็นครั้งที่สาม’ สำเร็จ”

พี่ณินัยพยักหน้าและเอาผ้าคลุมผืนนี้ไปซักทันที เพื่อให้แห้งทันวันใหม่

 

    ท่านผู้อ่าน ท่านคงจะเริ่มรู้คำตอบจากคำถามข้างต้นได้แล้วสิน่ะ

ตอนนี้ท่านมีเวลาเหลืออีกแค่ 25 นาทีแล้ว เพราะผมใบ้คำตอบของสิ่งที่คุณต้องหาไป ทำให้ผมต้องลดเวลาลง

อ่ะๆ ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้ครับท่าน เพราะยังมีเวลาเหลือพอที่ท่านจะอ่านจดหมายของผมจบ...(ปิด)

 

...............................................

 

  สองวันหลังจากวันที่นิชาตบหน้าผม

ผ่านไปอย่างไม่ทราบสาเหตุและความไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย

ชื่อเสียงเรียงนามของผมที่เป็นฮีโร่ผู้ต่อกรกับมัจจุราชผอมโซยังคงโด่งดัง ไม่แพ้ไอ้ชาติชายสมัยก่อน

       คุณอยากรู้มั้ยว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมไม่รู้หรอก...

       มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป จนผมไม่รู้ว่าจะรับมือกับไอ้พวกสามตัวจากกลุ่มของเสือดาวไร้จุดไหวมั้ย

 

     “หวัดดี ได้ยินว่า แกเป็นฮีโร่คนใหม่”

ไอ้เถื่อนเดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทางนักเลง ขณะที่ผมกำลังเดินเข้าไปในห้องเรียน

     “อืม เห็นเขาเล่าลือ” ผมไม่มีท่าทีเกรงกลัวไอเถื่อนเลยซักน้อย เพราะมันเล่นจ้องผมอย่างเอาเลือดเอาเนื้อแทบทุกวันและพยายามกระแอมใส่ผม

      “หึๆ สุขุมดี

ฉันได้ฟังประวัติของนายมาคร่าวๆจากไอ้โหด...” ไอ้เถื่อนเว้นจังหวะ พร้อมเหลือบตามองผมในทำนองที่ว่า...คิดว่าแกมันเก่งนักหรือไง

     “แล้วเป็นไง...” ผมถามไอ้เถื่อนอย่างไม่เกรงกลัว ไอ้เถื่อนเริ่มตากระตุกนิดๆ ก่อนที่มันจะเอามือมาดึงคอเสื้อของผม

 

     “อยากเป็นพรรคพวกกับฉันมั้ยล่ะ ไม่เคยมีใครได้ข้อเสนอนี้มาก่อน” 

ไอ้เถื่อนถามผมด้วยน้ำเสียงที่เย็นเหมือนสัตว์ป่า ผมนิ่งอึ้งไปเลย เพราะไม่เคยมีใครจะได้อยู่ในกลุ่มเสือดาวไร้จุดง่ายๆ ต่อให้ร้องขอชีวิตอย่างไร คนอย่างไอ้โหด ดิบ เถื่อน ก็ไม่มีวันรับหรอก

   ถึงแม้โอกาสที่ผมจะได้เป็นพรรคพวกนั้นสูงมากจนเกิน 100%

แต่ถึงอย่างไร...ผมก็ไม่ใช่คนเลว

 

     “ฉันไม่มีวันอยู่”

ไอ้เถื่อนผลักผม มันทำหน้าเหมือนไม่พอใจ ก่อนที่จะกระตุกยิ้มและหัวเราะหึๆ พร้อมทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ผมแสนเจ็บแค้นอย่างเป็นที่สุด

 

     “นิชา...เป็นผู้หญิงที่ดื้อมากๆเลยล่ะ”

 

................................................................

 

 

     “ว่าไงน่ะ ไอ้ทอง!!

นิชาปฏิเสธแกรึ!”

  ไอ้ชาติชายพูดซะดังลั่นห้องจนผมต้องเขกหัวมันให้สงบ

      “หุบปากแกซะ ยังดีที่ข้ายังมีอารมณ์เล่า ถ้าเป็นเมื่อสองวันก่อน ข้าคงยอมยิงบาซูก้าใส่หัวตัวเองตายยังดีกว่า ยอมทนฟังแกง้อไปง้อมา” ไอ้ชาติชายปิดปากสนิท และมองผมอย่างช่วยไม่ได้

     “แกจะทำยังไงต่อ” ผมเงียบและไม่ยอมตอบ แต่สุดท้ายก็ต้องบอกแต่โดยดี

 

     “เลิกฝันหวาน และเลิกชอบผู้หญิงคนนั้นโดยเร็วที่สุด”

 

     “แกบ้าไปแล้ว!!”

     “จะให้ข้าทำยังไงล่ะ ไอ้ชาติชาย

นิชาไม่ได้ชอบข้า แถมยังบอกกับข้าว่า...”

     “เธอไม่ใช่ฮีโร่ และก็ไม่ใช่Superman กรี๊ด!!” ไอ้ชาติชายดัดเสียงแต๋วใส่ผม และพูดต่อด้วยน้ำเสียงชายชาตรีอย่างอัตโนมัติ

 

     “นิชาไม่ได้บอกแกเลยว่า ไม่ชอบแก”

ไอ้ชาติชายมองหน้าผม ส่วนผมนั้นหรือ ก้มหัวลงอย่างปลงๆและไม่อยากฟังอะไรทั้งสิ้น

     “เธอแค่...ไม่ได้ชอบSuperman” ไอ้ชาติชายพยายามกล่อมผม แต่มุกของมันแป๊กเกินไป แม้แต่คุณปู่ยังขอกลับไปเล่นหวย

     “...”

     “เธอไม่ได้ชอบฮีโร่ที่มีผ้าคลุมสีแดง”

 

     “...” ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อฟังคำตอบจากปากของไอ้ชาติชายต่อ มันเอามือวางบนไหล่ของผมพร้อมยกมุมปาก

 

     “แต่เธอแค่ต้องการ

... คนธรรมดา ที่ยอมปลดผ้าคลุมของSuperman และปกป้องเธออย่างเต็มกำลังต่างหาก ”

ผมยิ้มกับประโยคสุดท้ายของมันแทบทันที ผมไม่รู้ว่ามันแต่งขึ้น หรือค้นหาจากทวิตเตอร์หรือเฟสบุ๊คหรือจากที่ไหนก็ตาม แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ผมกลับมาสู้หน้าของนิชาได้อีกครั้ง

 

     “ขอบใจแกมาก ไอ้ชาติชาย”

 ผมตั้งท่าจะโอบมันเพราะความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจ แต่มันก็ห้ามผมไว้ก่อน

     “หยุดเลยไอ้ทอง

 เดี๋ยวสาววายห้องเรา เขาจะหาว่าข้ากับแก เหมือน ‘ไอ้ตั้มกับไอ้ต๊อด’ ” ผมว่าแล้วมันต้องตำหนิผมด้วยประโยคนี้ ผมยักคิ้วในทำนองที่ว่า...ข้าคือ ผู้ชายที่รักผู้หญิง

     “ไม่ต้องยักคิ้วเลย เอ็งทำไม่หล่อเท่าข้าหรอก” ไอ้ชาติชายยังกล้าชมตัวเองอย่างไม่แค่สื่อ

     “หึ! แต่ข้า ใจหล่อกว่าเอ็ง” ไอ้ชาติชายเกือบสำรอกพอผมพูดประโยคนี้ เพราะมันน้ำเน่าและเลี่ยนแล้ว ผมหัวเราะ พร้อมตั้งหน้าเรียนวิชาแรก อยู่ๆไอ้ชาติชายก็เอาศอกมาสะกิดผมพร้อมพูดประโยคสุดท้ายที่ค้างเอาไว้ก่อนหน้านี้

 

“ขอให้แก เป็นคนธรรมดา...

เป็นคนเข้าใจในตัวของ ฮีโร่ที่แท้จริง

 

....................................................................

 

ท่านผู้อ่านจดหมาย

เชื่อมั้ยครับว่า คำพูดของหลายคนมีผลต่อจิตใจของเรา

ผมมีพ่อที่พูดให้ถึงฝัน ผมมีแม่ที่ส่งรอยยิ้มให้ผม ผมมีพี่ณินัยที่คอยปลอบโยน

ผมมีไอ้ชาติชายที่ให้กำลังใจผมตลอดมา

ผมดีใจมากเลยครับที่มีพวกเขาเหล่านี้ ที่ยืนเคียงข้างและเป็นคนที่นิยามให้ ‘ผมกลายเป็นฮีโร่’

...ถ้าผมสามารถพิสูจน์หัวใจครั้งที่สามสำเร็จ ผมจะเชิดชูพวกเขาให้เป็นฮีโร่เหมือนผมให้ได้ ผมสัญญา...(ปิด)

 

“แกๆ ฉันไม่เห็นนิชาตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว”

“จริงรึหมอนทอง ถ้าเป็นอย่างนั้นซวยแน่ๆเลย...”

“ทำไมเหรอเธอ”

“ก็ฉันไม่เห็นแก๊งเสือดาวไร้จุดตั้งแต่ตอนเที่ยงเหมือนกัน”

เสียงของหมอนทองและพรรคพวกของเธอต่างนินทาใครคนหนึ่งซึ่งผมก็รู้ว่านั่นคือ นิชา

ดูท่าทางพวกเธอต่างสับส่ายและไม่สบายดี แม้แต่ผมเองก็ตามที่พอได้ยินคำว่า แก๊งเสือดาวไร้จุด ผมก็อยู่ไม่เป็นสุข  แล้วผมก็รีบสะพายกระเป๋าเป้พร้อมเดินออกนอกห้อง

 

     “เฮ้! ไอ้เทนทาม แกไม่ต้องรีบร้อนไปด้านหลังโรงเรียนขนาดนั้นก็ได้น่ะเว้ย”

ไอ้ชาติชายเดินตามหลังผมมาติดๆ

     “ฉันเป็นห่วงนิชา แกไม่ได้ยินที่พวกยัยหมอนทองเล่าหรือไง” ผมหัวเสียเล็กน้อยที่ถูกขัดจังหวะ

     “ไม่ใช่เว้ย

ข้าจะบอกว่า ให้แกรีบไปโรงอาหารที่อยู่ตรงข้ามกับด้านหลังโรงเรียน”

     “แกรู้ได้ไง” คราวนี้ผมยอมรับฟังมันทั้งที่เหงื่อไหลชุ่มไปทั้งตัวแล้ว

     “น้องละมุนบอกข้ามา”

ไอ้ชาติชายยักคิ้วใส่ผม ก่อนที่ผมจะส่ายหัวแบบดูแคลนมัน...ไม่ไหวจริงๆเลย ไอ้ชาติชาย

     “ขอบใจเว้ย” ผมเดินออกนอกห้องเรียน ซึ่งตอนนี้เป็นช่วงบ่าย 2 โมงแล้ว ผมไม่มีเวลาพอที่จะอยู่เลิกถึง 4 โมงครึ่ง (วันนี้ทั้งคาบบ่ายว่างหมดเลย)

    “เดี๋ยวก่อน ไอ้เทนทาม” ไอ้ชาติชายเรียกชื่อผม ผมหันหลังไปมองมัน เผื่อมันจะพูดอะไรอีก

 

“ขอให้แก เป็นคนธรรมดา...

เป็นคนเข้าใจในตัวของ ฮีโร่ที่แท้จริง

 

คำพูดเมื่อช่วงเช้ากรอกเข้าหูของผม ผมยกนิ้วโป้งใส่มัน และรีบวิ่งลงจากอาคารโดยทันที...

 

 

ณ โรงอาหาร

 

ผมวิ่งลงมาข้างล่างและตรงมาที่โรงอาหารอย่างเหนื่อยหอบ พร้อมสูดเอาอากาศและพิงเสาเหล็กของโรงอาหาร

     “ไหนล่ะ แก๊งเสือดาวไร้จุด

นิชา อยู่ไหน”

   ผมพูดไปและหอบไปพลาง แต่ก็ต้องหยุดหายใจแทบทันทีเมื่อเห็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเอามือปิดปาดของหญิงสาวคนหนึ่งที่พยายามฉุดกระชากลากถู และตรงเข้ามาทางด้านหลังโรงอาหาร

 

     ไอ้เถื่อนกับนิชา!?

 ไอ้เถื่อนลากร่างของนิชา ตามหลังด้วยไอ้โหดและไอ้ดิบ

 ไอ้เถื่อนเอาสก็อตเทปมาปิดปาดของหญิงสาว ส่วนไอ้โหดกับไอ้ดิบนั้น เอาเชือกมัดแขนมัดขาของนิชากับเก้าอี้ตัวหนึ่ง นิชาพยายามเบี่ยงตัวไปมาพร้อยสับส่ายเพื่อคลายเชือกและพยายามหวีดร้อง แต่เสียงกลับไม่ออกมา

...ไอ้เถื่อนมองผลงานด้วยความภาคภูมิใจ

 

     “แกหนีฉันมาหลายรอบแล้วน่ะ ยัยทอม

คิดว่ายังกล้าพูดจาดูถูกฉันได้อีกหรือ” ไอ้ดิบควานหาอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าที่แสนเทอะทะของมัน แล้วก็เอาสิ่งนั้นยื่นให้ถึงมือแสนสกปรกของไอเถื่อน

 

คัตเตอร์!?

  ผมชะงักเท้าแทบทันที และจ้องไปยังคัตเตอร์ที่ไอ้เถื่อนมันถือ ถึงแม้ระยะห่างระหว่างผมกับพวกมันจะปาไป 10 เมตรก็ตาม

นิชาน้ำตาไหลริน ผมไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงที่ขี้วีนและแสนห้าวอย่างเธอจะมี แต่มันก็กระตุ้นผมให้ฉุกคิดอะไรบางอย่าง ผมรีบเปิดกระเป๋าเป้และหาผ้าคลุมของSuperman ทันที

 

     ...ไม่มี ไม่มีผ้าคลุมของSuperman   มันหายไปไหน มันหายไปไหนนนน

 

ผมเตะกระเป๋าเป้ออกไปไกลๆด้วยความโมโหสุดฤทธิ์

   ...โธ่เว้ย! ข้าลืมผ้าคลุมได้ยังไงว่ะ  ผมเอามือปิดตาอย่างเหนื่อยใจ แต่ยังไม่ทันได้ปิด สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าก็ทำเอาผมช็อกสนิท

   ไอ้เถื่อนแก้เชือกจากแขนขวาของนิชาออก ก่อนที่จะจรดคัตเตอร์ลงบนแขนเป็นทางยาว เลือดข้นสีแดงไหลลงมาตามทางอย่างรวดเร็ว สีหน้าของนิชาบูดเบี้ยวไปมา พร้อมน้ำตาที่ไหลพรากไม่หยุด ไอ้โหด ดิบ เถื่อน หัวเราะด้วยความเมามันเหมือนคนบ้าที่ทำผลงานเกือบเสร็จ

 

...นี่มันชั่วเกินไปแล้ว พวกแกมันยิ่งกว่าสัตว์เกินไปแล้วววว!!

 

   ‘โครม!’

   ผมชกหน้าไอ้เถื่อน จนร่างมันเผลอไปชนกับเก้าอี้ไม้ที่อยู่บนโต๊ะอาหารล้มจนหมด และผมก็เตะคัตเตอร์ออกไปไกลๆ  ไอ้โหด กับไอ้ดิบ มองผมด้วยสายตาที่แดงกล่ำ แม้แต่ไอ้เถื่อนที่กัดฟันกรอดๆใส่ผม ไอ้โหดเงื้อมือชกท้องผม จนผมเซ 

   พอตั้งหลักได้ ผมก็เบี่ยงตัวหลบศอกของไอ้ดิบ อสูรกายร่างยักษ์ ที่เข้ามาแทนที่ และเตะขาไอ้โหดจนมันล้มไปกองกับพื้น ไอ้เถื่อนเงื้อเก้าอี้ขึ้นเพื่อฟาดหลังผม แต่โชคดีที่ผมเล่นชกมันด้วยท่าจระเข้ฟาดหางจนมันหงายหลังและโดนเก้าอี้ทับแทน

 

   ไอ้โหด มัจจุราชผอมโซ มันเอาเก้าอี้ไม้ฟาดหลังผม จนผมล้มลงไปนอนกับพื้น ทั้งไอ้โหด ดิบ เถื่อน เตะผมไปมา จนผมแทบกระอักเลือด แขนขาของผมชาไปหมด พร้อมรอยบาดเจ็บเต็มตัว ผมมองไปทางนิชา เธอจ้องมองผมพร้อมด้วยน้ำตาที่ไหลริน ผมรู้สึกปวดใจอย่างมาก... ผมจะไม่ทำให้เธอร้องไห้เป็นอันขาด

    ผมเตะขาไอ้ดิบ อสุรกายร่างยักษ์จนมันล้มลงใส่ไอ้เถื่อน พอได้โอกาสผมก็ชกหน้าไอ้โหด และเตะมันจนร่างของมันไปชนกับโต๊ะอีกฟาก และสลบไปในที่สุด พอไอ้เถื่อน กับไอ้ดิบลุกขึ้นมาได้ และทำท่าจะรุมผม ผมก็ใช้จระเข้ฟาดหางใส่ไอ้เถื่อนอีกรอบจนหน้ามันหงาย  ส่วนไอ้ดิบ ผมวิ่งเข้าไปหามัน และหักงวงไอยรา จนร่างของมันล้มลงพื้นดังโครมทันที

...พอผมเห็นร่างไอ้สามตัว ที่ดูท่าจะลุกขึ้นไม่รอดแล้ว

  ผมเลยพาร่างสะบักสบอมของผมตรงเข้ามาหานิชา ผมเช็ดเลือดของผมบริเวณใบหน้าก่อน พร้อมแกะเชือกที่มัดขามัดแขนเธออย่างเหนียวแน่น พร้อมแกะสก็อตเทปออกจากปากของเธอ ผมยิ้มเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรมากและเอาพาเช็ดหน้ามาพันแขนที่โดนกรีดของเธอ

 

     “ไอ้เทนทาม ข้ามาแล้วเว้ยย”

เสียงของรองเท้าหลายคู่ที่วิ่งตรงมายังโรงอาหาร พร้อมคำพูดที่ตะโกนเรียกชื่อผม และไม่ต้องบอกเลยว่าเป็นใคร

     “ไอ้ชาติชาย” ผมเรียกมัน มันวิ่งตรงเข้ามาหาผม พร้อมด้วยอาจารย์อีกหลายคน และกลุ่มนักเรียนบางส่วน

     “ให้ตายเถอะ ครั้งนี้พวกมันเล่นแกซะแรงเลย” ไอ้ชาติชายเห็นใบหน้าของผมถึงกับส่ายหัว ก่อนที่อาจารย์บางท่านพาผมและนิชา ไปห้องพยาบาล แต่ผมปฏิเสธ และขอให้อาจารย์พานิชาไปห้องพยาบาลก่อนแล้วผมจะตามไปทีหลัง อาจารย์พยักหน้าตอบผมเมื่อเห็นว่าผมยังคงหนักแน่นในคำพูด อาจารย์ประคองร่างของนิชาออกนอกโรงอาหาร

 

   อาจารย์ผู้ชายและกลุ่มนักเรียนอีก 3-4 คน พาร่างของไอ้พวกสามตัวที่โดนผมเล่นงานออกจากบริเวณโรงอาหารโดยทันที และไม่ต้องถามผมต่อเลยว่า  3 คนนี้จะต้องไปที่ไหน....

ไอ้ชาติชายดูภูมิใจกับผลงานแทนผม มันวางมือบนไหล่ของผม

 

     “แกมันสุดยอดไปเลยว่ะ”

ไอ้ชาติชายยกนิ้วโป้งใส่ผม แต่ผมกลับส่ายหัวและหันหน้ามองไปยังร่างสองร่างที่กำลังไปห้องพยาบาลที่อยู่ทางด้านขวา

     “ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน ไอ้ชาติชาย” ไอ้ชาติชายรู้ว่าผมจะทำอะไร มันเลยปล่อยผม พร้อมเดินแยกไปอีกทาง

 

 

ณ ห้องพยาบาล

 

   ผมยืนพิงกำแพงและมองนิชาที่ตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ พร้อมผ้ากอซที่พันแผลเอาไว้ทั้งแขนขวา ผมรอให้อาจารย์ท่านนั้นออกไปก่อน แล้วจึงกล้าเดินเข้าไปหานิชาด้วยตัวเอง เมื่อนิชาเห็นผมเดินเข้ามา เธอจึงลุกขึ้นและทำท่าจะเดินออกจากห้องพยาบาล

 

     “จะไปไหน นิชา”

ผมถามขึ้น นิชาจึงหยุดเดินและหันมาทางผม

   “ฉันจะขึ้นไปห้องเรียน” เธอทำท่าจะเดินกลับอีกรอบ แต่ผมคงไม่ปล่อยให้เธอลอยนวลไปไหนได้อีกแล้ว

     “ฉันยังเป็น...ฮีโร่ ได้อีกหรือเปล่า”

นิชาเงียบและมองผมด้วยสายตาที่แสนจะคาดเดายาก ดูเหมือนเธอจะเอะใจเมื่อเห็นว่าวันนี้ผมไม่มีผ้าคลุมสีแดงติดท้ายหลัง

 

    “...นายไม่ใช่ฮีโร่ นายไม่ใช่Superman”

ผมคาดไว้แล้วว่า นิชาต้องพูดแบบนี้ ผมแค่อยากลองเชิงเธอดู เพราะจริงๆแล้ว ผมก็ไม่ได้อยากเป็นฮีโร่ หรือ Superman จอมปลอมหรอกน่ะ

 

      ...‘เธอไม่ได้ชอบ ฮีโร่ที่มีผ้าคลุมสีแดง’

 

     “...ฉันไม่ได้นำผ้าคลุมของSuperman มาด้วย”

ผมตอบเหตุผลที่ต่อท้ายประโยคของเธอ นิชามองผม

และตอนนั้นเอง ผมจึงได้เข้าใจในตัวเธอ และเธอ...ก็เข้าใจเหตุผลของผมเหมือนกัน

 

     ‘แต่เธอแค่ต้องการ

     ... คนธรรมดา ที่ยอมปลดผ้าคลุมของSuperman และปกป้องเธออย่างเต็มกำลังต่างหาก’

 

 

     “วันนี้ นายสุดยอดมากเลยน่ะ”

 

 นิชายิ้มกว้าง เธอไม่เคยยิ้มกับผมแบบนี้มาก่อน เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมหายจากอาการบาดเจ็บปวดไปได้หมดสิ้น

เธอหันหลังกลับและเดินจากไปพร้อมผ้าเช็ดหน้าของผมที่เธอเอามามัดข้อมือข้างขวาแทนตำแหน่งผ้ากอซ

   ...ผมยืนอยู่ตรงที่เดิม เพื่อเฝ้ามองร่างของนิชา ที่ขึ้นไปบนอาคารเรียนได้อย่างปกติ

คำพูดของไอ้ชาติชายถูกทุกอย่าง

    นิชาไม่ได้ต้องการคนที่เอานามของฮีโร่หรือSuperman มาแทนตำแหน่งของความเป็นตัวเองของคนคนนั้น แต่เธอแค่ต้องการ ‘คนธรรมดา’ที่เข้าใจในความเป็น ‘ฮีโร่ที่แท้จริง’

 

.........................................................................ง.

 

 

 

ท่านผู้อ่านจดหมายที่รัก

นี่คือ ย่อหน้าสุดท้ายของจดหมายนี้ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจดหมายของผมจนจบ

   หลังจากวันนั้นผ้าคลุมของSuperman ของผมก็หายไป ใช่...ผมให้พี่สาวของผมเอาไปเก็บไว้ในที่โรงเรียนที่คุณกำลังศึกษาอยู่ด้วยเหตุผลที่คุณต้องคิดเอาเอง

 

   ... เวลาใกล้จะหมดแล้วน่ะครับ ท่านผู้อ่าน

ถ้าคุณอ่านจบ ผมขอให้คุณรีบทำวิธีเดิมเหมือนที่ผมบอกคือ ตรงขึ้นไปชั้น 4 ห้องเรียนที่ 7 และหา... “ผ้าคลุมของSuperman” ให้เจอ

และคุณจะได้ของขวัญที่แสนล้ำค่าที่คุณไม่เคยได้

   ...คุณได้อ่านจดหมายเกี่ยวกับ ชีวิตของผมไปแล้ว ถึงแม้ว่าคุณจะหาผ้าคลุมของผมเจอหรือหาไม่เจอก็ตาม แต่ถ้าคุณเข้าใจในตัวของผม คุณเข้าใจความเป็นฮีโร่...

 

...คุณได้เข้าใจในผ้าคลุมของSuperman   

สำหรับผมมัน คือ สัญลักษณ์ที่ทำให้รู้ว่าผมนั้นกลายเป็น ‘ฮีโร่ที่แท้จริง’ได้

ถึงแม้เรื่องราวต่างๆที่ผมต้องการฝ่าฟัน หรือ สิ่งที่ผมต้องการเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งด้วยความยากลำบาก และต้องแลกมากับบาดแผลที่ผมยอมมอบให้...

 

 

เรื่องราวของผม มันไม่สำคัญว่าคุณจะสนใจมากน้อยเพียงใด

มันอยู่ที่ว่าคุณ...พร้อมที่จะเป็น ‘ฮีโร่ที่แท้จริง’ ได้รึเปล่า

 

 

 

เทนทามทอง ไวยรินทร์

 

เป็นผู้บันทึกจดหมาย

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา