Dandelion(แดนดิไลออน) คืนฝันวันล่าจินตนาการ
เขียนโดย มะมาย
วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 15.58 น.
แก้ไขเมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 19.14 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
10) กลอุบาย ชายเจ้าของม้า?
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฉันเดินตามเดรกไปยังรถม้าที่เขาบอก มีพื้นที่ว่างบางส่วนเหลือเพียงพอสำหรับเราสองคน เดรกบอกว่าเขาใช้ขนมปังเพื่อแลกกับการติดรถไปยังจุดหมายปลายทางของเรา รถม้าขยับเลื่อนเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆตัวเราโอนเอียงไปตามหลุดบ่อที่ล้อเคลื่อนผ่าน เดรกหยิบกระดาษใบหนึ่งที่มีสัญญาลักษณ์แปลกตาอยู่เต็มไปหมดขึ้นมา ใช่มันคือแผนที่ที่แสนจะยุ่งเหยิงเหมือนลายแทงหาขุมสมบัตินั่นเอง ว่าแล้วเขาก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านมัน เขาบอกว่าต้องการใช้สมาธิและห้ามไม่ให้ฉันยุ่ง
“เธอสองคนกำลังจะไปไหนกันล่ะ” ชายเจ้าของม้ากล่าวขึ้น
“ไปตามหาเจ้าหญิงค่ะ” ฉันตอบออกไป
“ตามหาเจ้าหญิงเรอะ” เขาหัวเราะลั่น
“คุณรู้จักเธอไหมคะ?”
“รู้สิ เวลานี้ไม่มีใครไม่รู้จักเจ้าหญิงโจแอนหรอก” เขากล่าวแล้วหันไปบังคับมาต่อ
“เอ๋ เมื่อกี๊คุณพูดว่าเธอชื่อโจแอนหรอคะ”
คำพูดของชายคนนี้ทำให้ฉันนึกถึงโจแอนขึ้นมาทันที
“อะไรกันทำอย่างกับว่าเธอไม่รู้จักเจ้าหญิง”
เขาเหลือบมองด้วยหางตาที่บางครั้งฉันก็แอบคิดว่ามีบางอย่างเคลือบแฝงอยู่
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ว่าแต่คุณมีรูปเธอหรือเปล่า”
“นั่นน่ะอยู่ใต้ลังใบนั้น” เขาชี้
ฉันดึงกระดาษใบหนึ่งออกมาจากใต้ลังใบเก่าที่มีฝุ่นจับหนาเตอะและใช้มือเล็กๆปัดฝุ่นออกจากกระดาษใบนั้นจนฝุ่นคลุ้งกระจายลอยอยู่ในอากาศ ถึงจะเป็นเพียงรูปวาดลายเส้นแต่เป็นโจแอนไม่ผิดแน่ทว่าด้านล่างกลับเป็นข้อความที่มีใจความว่ากำลังตามหาเจ้าหญิง และมันชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีตราราชวังกำกับอยู่
“เดรกดูนี่สิ!” ฉันเขย่าแขนของเขา
“ตอบทีว่านี่ไม่ใช่เจ้าหญิง” ฉันยื่นกระดาษใบนั้นให้เขาดู
“เอลี่นี่เจ้าหญิง”
เขาเงยหน้าขึ้นมาสนใจนิดหน่อยแล้วหันกลับไปดูแผนที่อย่างเก่า
ขณะที่ฉันกำลังนั่งคิดเงียบๆอยู่กับตัวเองตามลำพัง ผีเสื้อตัวหนึ่งซึ่งโบยบินมาตามสายลมเกิดเกาะมับที่ปลายจมูกมนๆของฉัน ฉันนิ่งเท่าที่จะนิ่งได้และเหล่สายตามองผีเสื้อตัวนั้นอย่างไม่อาจละจากสายตาแต่แล้วฉันก็เกิดจามออกมาซะอย่างนั้น มันทำฉันจั้กจี๋และคันในรูจมูก ฉันหัวเราะเบาๆและพยายามจะจับมันมาเชยชมแก้เซงให้ได้ทว่ามันกลับบินหายลับไปในทันทีที่ขยับปีกไปแถวบริเวณที่ชายเจ้าของม้านั่งอยู่
“คุณเห็นผีเสื้อของหนูหรือเปล่า” ฉันเอ่ยถาม
เขาเลียริมฝีปากแล้วจึงตอบ “ไม่นังหนู”
“แต่มันบินมาทางนี้” ฉันยังยืนยัน
“บางทีเธออาจตาฝาด” เขาบอกด้วยสีหน้านิ่งเฉย
ฉันเบ้ปากและครุ่นคิด สิ่งหนึ่งที่ฉันสัมผัสได้จากชายคนนี้ก็คือเขาดูแปลกพิลึก เดรกบอกว่าไม่มีใครกล้าผ่านไปที่ป่าต้องห้ามนั่นแต่ไม่ใช่กับชายคนนี้ เขาดูน่ากลัวจังถามบนรถก็มีปีกของแมลงตกอยู่เกลื่อนกลาดเต็มไปหมดทั้งปีกผีเสื้อ แมงเม่า แมงปอ หรือแม้แต่ขาของไอ้ตัวน่าเกลียดอย่างแมงมุม เขาทำอะไรกับเหล่าแมลงเคราะห์ร้ายพวกนี้ แวบแรกที่ฉันคิด ‘เขากินมันเข้าไปหรือเปล่านะ?’
“เธอจะไปตามหาเจ้าหญิงกันที่ไหนล่ะ” ชายเจ้าของม้าพูดขึ้น
“ที่ป่าต้องห้ามเดรกบอกว่ามีคนลักพาตัวเจ้าหญิงไปไว้ที่ป่านั่น”
“งั้นหรอ…แต่ที่นั่นน่ากลัวนะ”
เขาทำเสียงพิศวงชวนให้ขนหัวลุก ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักที่ที่ฉันกับเดรกกำลังจะไปอย่างดี บางทีฉันควรลองถามจากเขาดู
“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับที่นั่นบ้างหรอ”
ฉันจับจ้องมองไปยังดวงตาที่กลับกลอกไปมาของเขา
“ทางเดียวที่เธอสองคนจะข้ามไปที่ป่าแห่งนั้นได้คือเธอต้องข้ามสะพานไม้สุดระทึกไปให้ได้ซะก่อน”
“ข้ามสะพานไม่ใช่เรื่องยาก ฉันทรงตัวได้ดีทีเดียวนะเพราะว่าฉันเป็นนักกีฬายิมนาสติกประจำโรงเรียนล่ะ”
ฉันพูดอย่างภูมิใจ
“เธอพูดว่าอะไรนะ” เขาขมวดคิ้ว
“ฉันบอกว่าฉันเป็นนักกีฬายิมนาสติกประจำโรงเรียน” ฉันบอกอีกรอบแต่เขาก็ยังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ดี
“เอาเถอะ คุณไม่รู้จักหรอก”
“นั่นสิฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแฮะ” เขาว่า
รถม้ากำลังเคลื่อนไปยังเส้นทางที่ตัดผ่านสันเขาซึ่งสองข้างทางเป็นหุบเหวลึกลาดชันลงไป เราออกมาห่างจากเมืองมากแล้วไกลพอที่จะเห็นทัศนียภาพทั่วหมูบ้าน มันช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
“พวกเธอแน่ใจได้ยังไงว่าเจ้าหญิงถูกลักพาตัวไปไว้ในป่า”
“ไม่เห็นยาก” เดรกพับแผนที่เก็บและเงยหน้าขึ้น
“แล้วฉันก็มั่นใจมากด้วยว่าคนที่ลักพาตัวเจ้าหญิงไปคือโครอี้”
ได้ยินอย่างนั้นชายเจ้าของม้าถึงกลับยิ้มที่มุมปาก
“ ดูเธอมั่นใจซะจริงนะแต่อย่าลืมสิว่ามีเรื่องเล่าของเจ้าหญิงอีกมากมายมันน่าเชื่อว่าโครอี้นี่เยอะเลย”
“ไม่หรอก” เดรกบอก
“คงไม่มีคนธรรมดาที่ไหนสวมเสื้อผ้าซับซ้อนหลายชั้น ไม่มีใครสวมถุงมือหรือรองเท้าที่แน่นหนาแม้ในหน้าร้อน นอกซะจากพวกโครอี้”
เดรกอมยิ้ม“ที่พวกมันใส่เสื้อผ้าหนาๆก็เพราะว่าเวลาที่มันตกใจหัวใจของมันจะเต้นเร็ว บีบตัวแรงแล้วเลือดก็จะสูบฉีดไปทั่วทั้งร่างกายและสุดท้ายพิษร้ายจะถูกขับออกมาทางผิวหนังอย่างควบคุมไม่ได้ อย่างนี้ไง!”
เดรกชักมีดปลายแหลมที่พกติดตัวไว้จ่ออยู่ที่คอของชายเจ้าของม้าที่นั่งหันหลังให้เราและมองออกไปยังเบื้องหน้า
“แกคือโครอี้!”
เดรกกล่าวขึ้น เขาดึงฉันไปหลบอยู่ด้านหลังของเขา
“โธ่เด็กน้อยเจ้าพูดอะไรงี่เง่า เก็บมีดไปซะ”
ชายเจ้าของม้าบอกเสียงเรียบ
“ถ้าแกไม่รีบหยุดม้ารับรองว่าหัวแกได้ขาดแน่!”
หึหึ ชายเจ้าของม้าหัวเราะเหยาะๆแล้วเสื้อที่อยู่บนตัวของเขาก็เริ่มเปียกโชกไปด้วยเมือกสีเขียวข้นที่ค่อยๆซึมซับออกมาอย่างช้าๆ เสื้อส่วนที่เปียกค่อยๆสลายไปราวกลับว่าถูกกัดกร่อนจนในที่สุดก็เผยส่วนที่ปกปิดเอาไว้ ผิวหนังปูดเป็นตะปุ่มตะปั่ม พังผืดที่มือและเท้ากางออก เมือสีเขียวไหลเยิ้มออกมาทั่วร่างกาย ลิ้นสีแดงเหยียดยาวกวัดแกว่างสะบัดไปมา ดวงตากลับกลอกอย่างสัตว์ ในที่สุดเขาก็เผยเลือนร่างอัปลักษณ์ เขาคือคากคกยักษ์โครอี้
เรารีบกระโดดลงมาจากรถม้าทันทีที่มันหยุดแต่โครอี้ตามมาขวางเราเอาไว้ เราต่างเผชิญหน้ากัน
“เจ้าเก่งดีนี่ พ่อของเจ้าคงสอนอะไรเอาไว้เยอะ” โครอี้แสยะยิ้มชั่วร้าย
“แล้วเขาได้บอกเจ้าหรือไม่ว่ามีดกระจอกในมือเจ้านั้นทำอะไรผิวหนังของข้าไม่ได้แม้แต่น้อย”
มันหัวเราะแต่เดรกไม่มีทีท่าว่าจะกลัว เขากลับยิ้มแล้วเอ่ยบางอย่างออกมาบางอย่างที่ทำให้โครอี้ถึงกลับชะงัก
“แล้วมีใครเคยบอกแกหรือเปล่าว่าให้ระวัง เมเดิล ฟลาว ไว้ให้ดี”
“เจ้า! เจ้ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
หน้าโครอี้เปลี่ยนเป็นสีเข้มทันที เขาดูวิตกกว่าเมื่อกี๊มากเลยทีเดียว
“ดูแกกลัวนะโครอี้”
“หึ เมเดิล ฟลาวงั้นเรอะ” โครอี้กางผังผืดที่มือออก
“เจ้าไม่มีทางหานางเจอหรอกเพราะเจ้าคงจะไม่มีชีวิตรอดไว้ถึงวันนั้น”
โครอี้โจมตีเราโดยที่ยังไม่ได้ตั้งตัว มันอ้าปากกว้างแผ่ลิ้นที่ยาวเหยียดรัดขาทั้งสองข้างของฉันเอาไว้แล้วลากไปกับพื้น
“เดรกกกก” ฉันเรียกเขาแล้วกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
“เอลี่!”
เอลิซ่าห้อยคว้างอยู่กลางอากาศโดยที่มีลิ้นของโครอี้พันอยู่รอบข้อเท้า เดรกมองโครอี้อย่างเจ็บใจแม้ว่ามีดในมืออาจไม่ละคายผิวแต่ถ้ากับลิ้นก็ไม่แน่ ว่าแล้วเขาก็ปามีดในมือไปที่ลิ้นของมันทันทีเขาปาได้แม่นมากทีเดียว มีดตัดลิ้นของโครอี้จนขาดสะบั้น เอลิซ่าหลุดพ้นจากพันธนาการนั้นได้ เธอล่วงหล่นลงมาภายใต้อ้อมกอดของเดรกอย่างปลอดภัยในขณะที่โครอี้ร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดแต่มันจะเจ็บไม่นานนักเราต้องใช้เวลานี้หนีให้เร็วที่สุด เดรกกุมมือฉันและพาวิ่งไปหลบอยู่ในโพรงไม้ชื้นแฉะที่มีรูเล็กๆมองทะลุออกไปภายนอกได้ โครอี้ยืนอยู่ใกล้ๆกับโพรงไม้ที่เราใช้ซ่อนตัว มันกวาดตามองหาจนทั่ว
“เจ้าเด็กโง่เจ้าคิดเรอะว่าจะรอดพ้นเนื้อมือข้าไปได้” มันกล่าว
“โถ พวกเจ้าช่างน่าสงสารนักอายุเพียงน้อยแต่ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ในป่าแห่งนี้เพียงเพราะมีความคิดงี่เง่าที่จะตามหาเจ้าหญิงอันเป็นที่รัก น่าสังเวชนัก!”
ฉันนั่งขดตัวสั่นอยู่ในโพรงไม้เหม็นหืนที่อับและแฉะเต็มไปด้วยตะกอนดินที่ทับถมฉันเผลอร้องกรีดออกมาเมื่อเหลือบมองเห็นแมงมุมเกาะอยู่ใกล้ๆอย่างไม่ได้ตั้งใจและนั่นทำให้โครอี้จ้องมาที่โพรงไม้ของเราในทันที
“เดรกฉันกลัว” ฉันกำมือเขาแน่น
“เธอปลอดภัยเอลี่มันจะไม่มทางแตะต้องเรา” เดรกพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ให้ตายเถอะ!”
โครอี้สบถออกมา มันยกแขนบังขึ้นเหนือศีรษะและแหงนหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าที่เวลานี้ดวงอาทิตย์แผ่รังสีร้อนระอุออกมามากที่สุดในรอบวัน มันต้องรีบหลบไปสักที่เพื่อไม่ให้คลื่นความร้อนทำลายผิวหนังของมันได้ โครอี้จำใจต้องปล่อยเราสองคนไปเพราะไม่งั้นเมื่อผิวของมันต้องแสงอาทิตย์เป็นเวลานานเกินไปร่างกายของมันจะถูกแผดเผาและถ้าเป็นอย่างนั้นมันอาจถึงตาย เดรกรู้จุดอ่อนนั้นดีเลยล่ะ
เรากลับออกมาอีกครั้งหลังจากที่เราแน่ใจแล้วว่าโครอี้จากไปแล้วและจะไม่กลับมาอีก
“แน่ใจนะเดรกว่าโครอี้จะไม่เปลี่ยนใจกลับมาทำร้ายเรา”
“รับรองเอลี่ ไม่มีโครอี้หน้าไหนโผล่มาเวลานี้แน่”
ฉันพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบ
“เสียงน้ำ พี่ได้ยินเหมือนฉันไหม” ฉันเอี้ยหูฟัง
“ไม่ไกลจากตรงนี้นัก” เดรกบอก
“มาเถอะ” เขาออกเดินนำ
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ