ชายหนุ่มกับเด็กสาวกล่องเพลง

8.0

เขียนโดย Zindy

วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 20.29 น.

  1 ตอน
  1 วิจารณ์
  3,919 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556 20.37 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เมืองที่วุ่นวาย...ทั้งที่อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ควรทำให้พวกนั้นเซื่องซึมและเชื่องช้ามากกว่า แต่เมืองนี้กลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผู้คนต่างเร่งรีบไปทำงานในตอนเช้า และรีบกลับบ้านในตอนเย็น ทุกคนเดินกระทบไหล่กันเป็นเรื่องปกติ อัดแน่น เบียดเสียดกันเพื่อความรวดเร็วทั้งเช้าเย็น จบวันลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ผล็อยหลับไปบนเตียงนุ่มนิ่มในบ้านที่อบอุ่น นี่คือกิจวัตรประจำวันของชาวเมืองส่วนใหญ่

...ทำไมก็ไม่รู้ อาจจะมีผมคนเดียวก็ได้มั้งที่มองดูกิจวัตรพวกนี้แล้วรู้สึกอะไนบางอย่าง

“ขอบคุณครับ”ผมตอบรับคนขายที่ยื่นโกโก้ร้อนมาให้ รับแก้วน้ำมาด้วยมือที่สวมถุงมือหนา ยื่นเงินให้พอดีแล้วเดินออกมา อังใบหน้าตัวเองกับความร้อยที่พวยพุ่งขึ้นเป็นไอจากแก้วน้ำนั่น

นี่ก็ประมาณเดือนตุลาแล้ว ที่นี่เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว  อากาศเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด พนันได้เลยว่าหิมะคงตกในอีกไม่นานนี้แน่ๆ คิดไปแล้วก็นึกถึงเตาผิงในบ้าน ผมอยากรีบกลับไปนอนเป็นซากขึ้นอืดอยู่ที่โซฟาชะมัด แต่วันนี้จำเป็นต้องทำงานล่วงเวลาน่ะสิ รู้ตัวอีกทีก็กลางคืนแล้ว

ผมมองนาฬกา

‘จะห้าทุ่มแล้ว’

อันที่จริผมชอบเวลาตอนกลางคืนนะ เพราะกลางคืนมันไม่มีความวุ่นวายเหมือนตอนกลางวัน นานๆทีจะมคีคนเดิมหรือรถผ่านมาซักคัน ให้ความรู้สึกเงียบสงบและสวยกว่าเป็นไหนๆ ติดรงที่มันหนาวสุดขั้วหัวใจนี่สิ ไม่งั้นผมคงหาเรื่องกลับบ้านเวลานี้ทุกวัน

“เอามานี่!”

ขณะที่กำลังเดินผ่านสวนสาธารณะใจกลางเมือง พลันก้ได้ยินเสียงฮ้าวแตกตะคอกขึ้นมาด้วยความแหบพร่า เมื่องมองไปตามเสียงก็พบชายร่างใหญ่กำลังแย่งขนมปังก้อนจากมือเด็กหญิงตัวเล็กที่ดูไม่เข้ากัน คงจะมีแค่อย่างเดียวที่เหมือนกันคือการแต่งการที่มอซอเพราะเป็นพวกไร้บ้านเช่นเดียวกัน

ชายคนนั้นทำสำเร็จ เขาแย่งขนมปังที่ถูกกัดไปแล้วเล็กน้อยอย่างง่ายดาย ทิ้งให้เด็กสาวผมทองคอตก เธอเดินกลับไปนั่งที่ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางสวน ก่อนจะเปิดกล่องเพลงขึ้น

...กล่องเพลง

ที่เมืองนี้มีอย่างหนึ่งที่ขัดกับบรรยากาศเมืองอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือเด็กหญิงไร้บ้านที่สวนสาธารณะแห่งนี้ เธอเป็นเด็กสาวผมทองที่มักจะนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่พร้อมกล่องเพลงที่ไม่ค่อยได้เปิดเล่นให้คนทั่วไปฟังนัก โอเค...ง่ายๆเลย เธอเป็นขอทานนั่นแหละ ผิดจากขอทานธรรมดาตรงที่เวลามีใครมาให้เงิน จะเป็นธนบัตรมูลค่าสูง หรือเป็นเพียงเศษเหรียญที่ซื้อไม่ได้แม้ลูกอมซักเม็ด ไม่ว่าจะมีค่ามากแค่ไหน เธอก็จะตอบแทนด้วยการร้องเพลงให้ฟัง คนที่นี่จึงมีโอกาสได้ฟังเพลงของเธอทุกวัน เท่าที่ผมเคยได้ยิน เธอไม่เคยร้องเพลงซ้ำกันเลยซักครั้ง ผิดกับกล่องเพลงของเธอที่เล่นได้แค่เพลงเดียวตลอดมา

ผมมองเด็กสาวแล้วกลับมามองที่ของร้อนในมือตัวเองอย่างชั่งใจ

อืม...ตัวผมเองก็ไม่ใช่คนยากจนนี่นะ ถ้วยเดียวคงไม่เป็นไรล่ะ

เร็วเท่าความคิด ขาสองข้างก็เดินตรงไปที่สวนสาธารณะนั่น หยุดตรงหน้าเด็กสาวที่นั่งกอดเข่าก้มหน้าอยู่ เธอเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้ว่ามีคนเดินมา

“อ่ะนี่...”ว่าแล้วก็ยื่นโกโก้ร้อนเข้าไปให้ตรงหน้า เธอเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ

“ให้ฉันหรอคะ”เสียงใสถาม

“อืม เอาไปเถอะ อ้อ ไม่ต้องเอาเพลงมาร้องนะ”ผมพูดขัดเพราะรู้ค่าตอบแทนของเธอแบบติดตลก

เด็กสาวรับโกโก้ร้อนไปพลางกล่าวขอบคุณ ตอนนั้นผมว่าจะเดินจากไปนะ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้นั่งดูเธอค่อยๆละเลียดจิบเครื่องดื่ม เพิ่งสังเกตว่ากล่องเพลงนั้นถูกเผิดอยู่

“เพลงอะไรหรอคะ”ผมหาเรื่องชวนคุย

“ไม่รู้สิคะ”

“แล้วฟังทุกวันไม่เบื่อหรอ”ผมเผลอถามออกไปด้วยความสงสัย ถึงจะเคยได้ยินเพลงนั่นไม่บ่อยเท่าไร แต่ก็พอจำได้นิดๆหน่อยๆ แล้วคนที่ฟังมันมาตลอดจะเบื่อบ้างมั้ย

“เพลงจากกล่องนี้น่ะหรอคะ”

ผมพยักหน้า รอคอยจำตอบจากเด็กสาวที่ยกแก้วขึ้นดื่มอีกอึก จังหวะนั้นลานของกล่องเพลงก็หยุดพอดี เธอจึงหยิบมันขึ้นมาไขลานให้กล่องเพลงเล่นตัวโน้ตต่อไป

“ไม่หรอกค่ะ”เธอตอบเสียงเรียบ “...บทเพลงยังคงเพราะอยู่แม้มันจะไม่ไดแปลกใหม่ อน่างน้อยก็ยังดีกว่ามันที่บรรเลงเพลงไม่ได้อีก”

รอยยยิ้มผุดขึ้นที่ใบหน้าในตอนที่ตอบ ก็จริงอย่างที่ว่าล่ะนะ เพลงเดิมๆก็ดีกว่ากล่องดนตรีที่เสียแล้ว เธอคงสื่อความหมายแบบนี้ แต่ทำไมกันนะ ผมถึงรับรู้ได้ถึงความหมายอื่นที่ซ่อนอยู่ในนั้น

...ผมยังคงดูเด็กคนนั้นจิบน้ำร้อนต่อไป

“ชื่ออะไรหรอ”

“คะ?”

“เธอน่ะ ชื่ออะไรหรอ”

คนถูกถามกระพริบตาสองสามครั้งทำความเข้าใจ ก่อนจะตอบออกมา “ไม่มีหรอกค่ะ”

“อ้าว ทำไมล่ะ กำพร้าตั้งแต่จำความได้เลยรึไง”พูดไปก็อยากตะครุบปากตัวเองที่ถามไม่เข้าท่า น่าแปลกที่เด็กสาวตอบกลับเข้ามาในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ

“ไม่รู้สิคะ ฉันไม่เคยรู้เรื่องในอดีต รู้แค่ตัวฉันก็คือตัวฉัน เพิ่งเคยมีคนมาถามชื่อนี่แหละค่ะ”

ได้ฟังดังนั้น ผมก็ไม่อยากซักไซ้เรื่องนี้ต่อ ถึงจะยังไม่เข้าใจก็เถอะนะ

จะว่าไปทำไมผมต้องมานั่งถามคนเร่ร่อนที่นี่ด้วยนะ เมื่อก่อนหน้านี้ยังคิดถึงเตาถิงอุ่น แต่นี่กลับมาให้ความสนใจดับเด็กตรงหน้า

...คงจะเป็นเพราะผมรู้สึกว่าเธอน่าสนใจล่ะมั้ง อย่างที่ว่าไป ผมรู้สึกว่าเธอคือสิ่งที่ขัดกับเมืองแห่งนี้มากที่สุด เธอนั่งอยู่ที่เดิมได้ในแต่ละวัน ยังคงนิ่งเฉยได้แม้ผู้คนเป็นร้อยจะเดินผ่านตรงหน้าไป ไม่รู้ว่านี่เรียกว่ามีความคิดเป็นของตัวเองหรือขืดจางก็ไม่รู้

ผมทรุดตัวลงตรงหน้า เหลือมองด้วยที่เคยเต็มไปด้วยโกโก้ บัดนี้เหลือเพียงถ้วยที่ว่างเปล่าข้างกายผู้ดื่ม

“ทำไมต้องร้องเพลงด้วยล่ะ”

“ไม่รู้ค่ะ แค่คิดว่าต้องร้องให้กับคนที่ให้เงินก็เท่านั้น”

ผมแทบอยากจะกุมขมับ เธอคนนี้รู้อะไรบ้างมั้ย ตอบว่า ‘ไม่รู้’ ไปซะทุกอย่าง ถ้าถามว่าเธอบ่ารึเปล่าก็คงจะตอบว่าไม่รู้อีกแน่ๆ มีเรื่องอะไรที่พอจะรู้บ้างรึเปล่าน้า... กล่องเพลงนี่ล่ะมั้ง

“กล่องเพลงนี่เป็นของสำคัญใช่มั้ย ถึงได้พกมันติดตัวตลอดเวลา”

เธอจ้องผมตาแป๋ว คงแปลกที่ผมเอาแต่ถามตลอดเวลา

“ใช่ค่ะ ของสำคัญ”

“...ทีแบบนี้ไม่ตอบไม่รู้แล้วสินะ”

“อะไรนะคะ?”

“อ้อ เปล่า ไม่มีอะไร”ผมต้องรีบกลบเกลื่อนพัลวัน เผลอปลากพล่อยหลุดไปนิด คดีที่เธอไม่ทันได้ยินนะ ตอนนี้คงจะต้องรีบเปลี่ยนเรื่องแล้ว

“ว่าแต่ถ้ามันเป็นของสำคัญ ไปได้มาจากไหนล่ะ”

แปลกอีกแล้ว พอถามคำถามนี้ไป ใบหน้านั่นก็สดใสขึ้นมาทันที แถมตอบอย่างกระตือรือร้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “เทวดาค่ะ! เทวดาให้ฉันมา เทวดาผู้สง่างามให้กล่องนี่มาพร้อมกับบอกให้ฉันเก็บรักษาไว้ให้ดีจนกว่าจะเจอคนที่อยากนำสิ่งนี้ไปให้”

ผมอึ้งไป พยายามที่จะไม่หลุดหัวเราะทำลายความฝันของเด็ก เด็กยังไงก็ยังเป็นเด็กล่ะนะ ไร้เดียงสาซะจริง เทวดาอะไรนั่นมีได้ก็ดีสิ เผื่อจะได้เห็นคนบืนว่อนเต็มท้องฟ้า เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็เป็นจินตนาการของเด็กล่ะนะ

“แล้วไง เจอคนนั้นแล้วรึยัง”

“ยังค่ะ ยังเลย ฉันถึงได้มานั่งที่สวยนี่ไงคะ คนผ่านไปผ่านมาตั้งเยอะ ฉันอาจเจอคนที่อยากให้อยู่ในนั้นก็ได้ค่ะ”

‘อ้อ’ ผมร้องในใจเบาๆ ที่แท้นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมานั่งอยู่ที่นี่ทุกวันนั่นเอง จมอยู่ในโลกคงามฝันจริงๆสิน่า แล้วแบบนี้มันจะไปเจอได้ยังไงประมาณว่ามองตาแล้วรู้ใจหรือไง

“แล้วทำไมต้องตอบแทนคนอื่นด้วยเพลงล่ะ”

“เพราะนั่นคือสิ่งที่ฉันคิดว่าทำได้ดีที่สุด”

เป็นเด็กที่สดใสจริงๆ ไม่ว่าถามอะไรก็ยิ้มตอบได้หมด

ผมมองนาฬิการอบที่สอง

‘ห้าทุ่มครึ่ง’

“เอาล่ะ ฉันคงต้องไปแล้วล่ะนะ”

ผมคงต้องกลับบ้านแบบคนอื่นๆแล้ว ใครมันอยากจะนอนพักที่นี่กันล่ะถ้าไม่จำเป็น นั่งทนกับอากาศหนาวๆแบบนี้มันไม่ได้สบายเอาซะเลย

ว่าแล้วผมก็ยืดตัวขึ้น

“น่าเสียดายจัง ไว้ถ้ามีโอกาสแวะมาคุยกันอีกนะคะ แล้วก็ขอบคุณสำหรับโกโก้ร้อนมากค่ะ”

ผมยักยิ้มเชิงว่าไม่ใชเรื่องใหญ่อะไร โบกมือลาเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินกลับออกมาจากตรงนั้น ตรงรี่ไปยังบ้านตัวเงอให้เร็วที่สุด

‘…แล้วจะมาอีกยังงั้นหรอ’

ก็ไม่รู้เหทือนกันได้ว่าได้กลับมาอีกมั้ย แต่รู้ว่าเธอทำให้ผมสนมาก หวังว่าผมคงได้เข้าใจคำตอบของเธอเร็วๆนี้

 

‘อะไรกันเนี่ย!?’

                นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่นะ ไม่เข้าใขเลยจริงๆว่าจะยอมตื่นเช้า...ไม่สิ ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นผมก็ออกจากบ้านแล้ว อากาศก็หนาวดีแท้ ว่าแต่ ผมออกจากบ้านเช้าขนาดนี้ทำไมกันนะ

                ...นี่ไง

                เพราะผ้านวมเก่าที่แบกพาดแขนไว้นี่ไง เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อคืนพแผมกลับมาบ้านแล้วล้มตัวลงนอน เตาผิงยังคงทำหน้าที่ของมันได้ดีเช่นเคย ผมคงจะหลับไปแล้วหากไม่คิดถึงใบหน้าของเด็กสาวกล่องเพลงซะก่อน

                ..ค่ำคืนเดียวกันนี่ ผมและเธออยู่คนละที่ ผมโอเคกับบ้านตัวเอง แต่ว่าเธอจะนอนหนาวอยู่ข้างนอกรึเปล่า

                ความคิดนั่นทำให้ผมลุกขึ้นตาสว่าง รีบค้นตู้ลวกๆหยิบผ้านวมหนาที่ไม่ใช้แล้วขึ้นมาวาวงเตรียมไว้ ตอนเช้าจะได้ออกจากบ้านได้โดยไม่ต้องมานั่งหาอีก งงตัวเองเหมือนกัน แค่นั้นยังไม่พอ ผมยังซื้อชดอาหารเช้าไปสองชุดอีกด้วย

                เป็นไปตามคาดไว้ เด็กหญิงยังอยู่ใต้ต้นไม้เดิม ผมเดินเข้าไปหาเธอที่หลับอยู่ ไม่ต้องเสียเวลาปลุกเธอก็รู้สึกตัวแล้ว

                “เอานี่มาให้น่ะ”พูดพลางชูของในมือ

                เธอทำประกายตาตื่นเต้น คงจะหมายความว่ารับล่ะนะ

                “...แต่คราวนี้ขอค่าตอบแทนซักเพลงนะ”

                “ค่ะ”

                ผมยื่นผ้านวมให้เธอบรรจงห่มตัวเอง จากนั้นค่อยยื่นกล่องอาหารตามใจ ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ

                “เริ่มเลยนะคะ”

                “อือ”

                เด็กสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเปล่งเสียงใสของเธอออกมาเป็นบทเพลงที่ไม่ศ้ำกับวันที่ผ่านมาเช่นเคย

                ...ฉันได้ถักทอบทเพลงขึ้นมาจากเวลาที่พ้นผ่าน…

                ...ถักทอขึ้นจาดอดีต มิใช่อนาคต…

                ...แล้วฉันก็ได้เอ่ยถามกับสายลม...

                ...หากไม่อาจคาดเดาสิ่งใดได้ แล้วฉันจะร้องเพลงเพื่ออะไรกัน...

                ...ฉันได้ยินคำตอบอันอบอุ่นของเธอผ่านทางแสงแดดอันอบอุ่น...

                ...เรานั้นขับขานบทเพลง ไม่ใช่เพื่ออดีตหรือนาคต...

                ...ถ้าเช่นนั้นแล้วอะไรคือเหตุผลที่ฉันยังต้องร่ำร้องเป็นเพลง...

                ...เธอนั้นได้ร้องเพลง เพื่อบอกกล่าวถึงชีวิตที่ยังคงดำเนินอยู่...

                จบเพลงแล้ว เนื้อร้องยังคงกังวานอยู่ในใจไม่หายไปไหน เรียกได้ว่ามันจี้จุดอะไรบางอย่างในตัวผมให้นิ่งเงียบไปจนเธอสังเกตหันมามอง

                “เป็นอะไรไปคะ เพลงไม่เพราะหรือเปล่า”

                “ไม่ใช่หรอก”ผมรีบปฏิเสธก่อนที่เธอจะเข้าใจผิด “เพลงแค่ทำให้ฉันคิดอะไรบางอย่างน่ะ”

                “คิดบางอย่าง?”

                “ถ้าไม่รังเกียจจะฟังมั้ย”

                เด็กสาวหยักหน้ารัวๆ ผมจึงเริ่มพูด “ฉันกำลังคิดว่าชีวิตของตัวเองมันว่างเปล่า ตื่นขึ้นมา ทำงานแล้วก็กลับบ้านนอน เท่านั้นเอง.... เพลงนั่นทำให้ฉันเกิดคำถาม ถ้าเรากำลังร้องเพลงเพื่อชีวิตที่คงอยู่ แล้วชีวิตของฉนตอนนี้มันมีความหมายอะไร ชีวิตมันอาจน่าเบื่อกว่าที่คิดนะ”

                “กล่องเพลงก็ยังเล่นเพลงเดิมทุกวัน แต่มันก็ยังคงเป็นเพลง ชีวิตคุณก็อาจจะเป็นแบบนี้นะคะ แม้ว่าจะไม่มีความหมาย แต่ก็ยังคงเป็นชีวิตที่คุณได้อยู่กับมันมา”

                ผมชะงักไป ถ้าตีความไม่ผิดเธอพูดอะไรที่ลึกซึ้งออกมาเกินวัย

                “ขอบใจ แล้วจะเก็บไปคิด”

                เราได้คุยกันอีกเล็กน่อยก่อนที่ผมจะต้องไปทำงาน เชื่อได้เลยว่าหัวหน้าต้องตกใจที่ผมไปทำงานเช้าขนาดนี้แน่ๆ และมันก็อาจจะเป็นเช่นนี้อีกหลายวัน เพราะตอนนี้ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า... ผมจะกลับมา ผมจะกลับมาที่นี่อีก

                ความร้สึกอบอุ่นได้เกิดขึ้นในอกอย่างน่าประหลาด ผมยังคงไม่เจอคำตอบของชีวิต แต่ถ้างั้น ถ้าผมลองเอ่ยถามกับสายลมและแสงแดดดูบ้าง ผมจะได้รู้สึกวิธีลบความว่างเปล่าในใจออกไปรึเปล่านะ

 

                ตั้งแต่วันนั้น เงินเดือนผมก็ถูกหารสองเพราะค่าอาหารที่ต้องเลี้ยงคนสองคน คิดไปแล้วก็พาลน้ำตาจะไหล ราวกับเห็นตัวความลำบากยืนโบกมืออยู่หน้าบ้านแล้วพูดว่า ‘ไง เพื่อนยาก เดือนนี้ก็เจอกันอีกแล้วนะ’ ตกใจตัวเองเหมือนกันที่ตื่นเช้าได้ทุกวัน ผมทำเพราะอยากเลี่ยงผู้คน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผมได้เป็นพนักงานดีเด่นสองเดือนติด เนื่องจากการเข้างานเร็วและทำโอทีทุกวัน

                แต่ถึงจะบ่นแบบนี้ผมก็เต็มใจนะ คิดซะว่าตัวเองกินจุขึ้นมาอีกหน่อยแล้วกัน และอีกอย่าง ผมได้มีโอกาสฟังเพลงเพราะๆด้วย

                “ไง ช่วงนี้อากาศอุ่นขึ้นแล้วนะ”

                “จริงด้วยค่ะ”เด็กสาวรับคำ “อีกเดี๋ยวก็คงใบไม้ผลิแล้วสินะคะ”

                ใช่แล้ว หน้าหนาวใหล้จะหมดไป อีกซักพักคงตามมาด้วยดอกไม้ที่บานสะพรั่งในสวนนี่ ผมแอบมีความหวังเล็กๆว่าผมจะมีโอกาสได้ดูดอกไม้พวกนั้นกับเธอ

                 “นั่นสินะ ถ้างั้นอีกเดี๋ยวผ้านวมกับถุงอุ่นที่ซื้อให้คงหมดความหมายแล้วสินะ”่ ผมแกล้งทำเสียงน้อยใจ เธอรีบเอาใจผมทันที

                “ไม่หรอกค่ะ! ถึงจะไม่ได้ใส่แล้วก็จะดูแลอย่างดีเลย”

                ผมกลั้นหัวเราะ ก็แค่ยากจะแกล้งเล่นเท่านั้น ไม่นึกว่าเธอจะเห็นเป็นจริงเป็นจังไปได้ แล้วผมก็ก้มลงกินอาหารเช้าในมือต่ออย่างสบายใจ

 

                หลายสัปดาห์ต่อมา ต้นไม้เริ่มจะมีดอกตูมให้เห็น หลังจากที่ปล่อยแห้งในฤดูหนาวไปนาน ผมเฝ้าคอยวันที่ดอกไม้พวกนั้นจะบานอย่างใจจดใจจ่อ เพื่อที่จะได้ดูมันกับเด็กสาวใต้ต้นไม้ใหญ่

                ...โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าการรอคอยนั้นมันสูญเปล่า

                ...พอถึงวันที่ดอกไม้บานจริงๆ เธอกลับหายตัวไป

                ทั้งที่เมื่อวานยังนั่งคุยด้วยกันเหมือนเดิม ผมเพิ่งนั่งฟังเธอร้องเพลงไปด้วยซ้ำ แต่พอมาวันนี้ เธอกลับไม่อยู่ ตอนแรกผมคิดว่าเธอคงจะไปเดินเล่นที่ไหนซักแห่งใกล้ๆที่นั้น วันนั้นผมจึงนั่งรออยู่ที่เดิม จำได้ว่ารออยู่นานทีเดียว แต่เธอก็ไม่มาซักที วันนั้นผมนั่งรออยู่จนไปทำงานสาย คนคงมองผมว่าทำไมผมต้องมานั่งอยู่คนเดียวพร้อมกล่องอาหารสองกล่อง

                แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็ไมได้พบเธอที่ไหนอีกเลย

                หลายเดือนผ่านมาแล้ว จะว่าไปตอนนี้เริ่มเข้าสู้หน้าร้อนแล้วมั้ง คนในเมืองคงจะเริ่มลืมเรื่องของเด็กหญิงที่เป็นเสียงเพลงของเมืองกันแล้ว มีผมคนเดียวเท่านั้นที่จำได้ จำได้อย่างแม่นยำ ตอนนี้เวลาผมเดินผ่านที่สวนนั่นทีไร ผมก็จะมองไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ เผื่อว่าขะได้มีโอกาสเห็นเด็กสาวพร้อกล่องเพลงของเธอ

                กิ๊งก่อง

                เสียงกรื่งที่บ้านดังขึ้นในตอนที่ผมกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ สงสัยว่าใครมาหาเอาเวลานี้ อาจจะเป็นไปรษณีย์ก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพื่อนที่ทำงานก็ได้ ผมรีบเช็ดมือแล้วเดินไปเปิดประตู

                ที่หน้าประตูนั้น ผมได้พบคนที่ต้องการตามหามาหลายเดือน

                ...เด็กสาวผมทองยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกล่องเพลงของเธอ เธอยื่นกล่องเพลงนั่นมาตรวหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่สดใสที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ผมรับสิ่งนั้นมาโดยไม่อาจพูดอะไรได้

                ...แล้วเธอก็หันหลังวิ่งออกไป ผมเพิ่งสังเกตว่าที่หน้าประตูรั้ว ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น  ชายที่มีปีกสีขาวบริสุทธิ์ นั่นเป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อ แต่ผมก็เห็นแบบนั้นจริงๆ เด็กน้อยวิ่งเข้าไปสู้อ้อมกอดของเทวดา ก่อนที่ทั้งสองจะหายไปกลางกลุ่มขนนกนับไม่ถ้วน ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกแบบไหน ตกใจรึเปล่านะ...ไม่รู้สิ

                ผมจ้องกล่องเพลงในมือด้วยความรู้สึกทีไม่อาจอธิบายได้

 

                ‘หน้าร้อนเต็มขั้นแล้ว’ ผมนึกกับตัวเอง ฟังพยากรณ์อากาศของวันนี้ไปด้วย

ค่าอุณหภูมิสูงขึ้นมาถ้าเทียบกับหน้าหนาว ตอนนี้ที่สวนสาธารณะคงเต็มไปด้วยใบไม้เขียวขจีเต็มต้น คงมีใครหลายๆคนไปออกกำลังกายที่นั่น แต่ผมนี่สิ... ผมยังคงไม่ได้เปล่ยนกิจวัตรของตัวเองไปเท่าไร ยังดีที่ตอนนี้ผมไม่ต้องตื่นเช้าเหมือนตอนที่เด็กคนนั้นอยู่อีกแล้ว

คงจะน่าขำหากผมจะบอกว่าสิ่งที่ผมเห็น ทั้งเด็กสาวที่ให้กล่องเพลง ทั้งเทวดา นั่นเป็นแค่ความฝัน

ใช่ ผมฝัน แต่อย่างเดียวที่เป็นความจริง เมื่อผมตื่นขึ้นมาเปิดประตูบ้านออกไป ผมก็ได้เห็นกล่องเพลงที่คุ้นเคยวางอยู่ตรงนั้น

เกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวที่หายตัวไป... คงไม่มีใครตอบได้ รู้แค่ว่ากล่องเพลงของเธอมาอยู่กับผม ผมคือคนที่เธอต้องการจะให้กล่องเพลงงั้นหรอ ไม่รู้สิ บางครั้งผมก็ถามตัวเองว่าทำไมกล่องเพลงนี่ถึงมาอยู่กับผมแทนที่จะอยู่กับเจ้าของ ไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปไหน บางทีเธออาจจะแค่ย้ายเมืองไปที่อื่น หรือบางที เทวดาอาจจะมารับตัวเธอไปจริงๆก็ได้ มันไม่อาจคาดเดา

สิ่งที่เธอหลงเหลือไว้ให้ผมมีแต่กล่องเพลงที่คอยเตือนความทรงจำให้นึกถึงบทเพลงแรกที่เธอร้องให้ผม เสียงจากกล่องเพลงที่ดังอยู่ทุกวันเพราะผมได้ไขขลานมันทำให้ผมคิดถึงตำถามของตัวเองที่เคยมีมา

ผมแต่งตัวเสร็จ เดินออกจากบ้านไป บรรยากาศข้างนอกยังคงเหมือนเดิม ยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวายเช่นเคย ผมเองก็ยังคงมีคำถามเช่นเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงหายไปไหน

ชีวิตของคนพวกนี้รวมถึงผมอาจจะไมได้มีความหมายอะไรแบบที่ผมต้องการจะหา แต่กระนั้น เด็กคนหนึ่งก็สอนให้ผมได้รู้ แม้ว่ามันจะไม่ได้มีค่า แต่ชีวิตก็ยังคงเป็นชีวิตที่เราดำเนิน อาจไม่จำเป็นต้องมีค่าก็ได้ อาจะไม่จำเป็นต้องมีคำตอบที่ดีที่สุด

ถ้าดำเนินชีวิตเหล่านี้ไปเรื่อยๆ ในซักวันหนึ่ง ผมอาจได้พบกับคุณค่าของมัน ผมอาจลบความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นที่ได้โดยไม่ต้องโหยหามันจากที่ไหน

...ตอนนี้ ถ้าผมถาม สายลมและแสงแดดจะตอบมั้ยนะว่าผมได้ร้องเพลงที่ชื่อว่าชีวิตนี้ไปเพื่ออะไรกัน

...อาจจะไม่ตอบก็ได้

...แต่ถึงอย่างนั้น

ผมก็ยังคงมีชีวิต

 

By Zintia

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา