"memory" ความทรงจำไม่อาจลบเลือน
เขียนโดย candle
วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.57 น.
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2556 14.28 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
แม้เวลาผ่านไปหกเดือนกว่าๆ แล้วที่พ่อจากไป แต่เวลาไม่ช่วยให้ความทรงจำลบเลือนไปเลย มันคอยแต่จะผ่านเข้ามาในห้วงคำนึงค์อยู่บ่อยๆ คอยทำให้น้ำตาซึมอยู่เรื่อยไป
"เวลาช่วยบรรเทาความเจ็บปวด" เคยได้ยินมาอย่างนั้น แต่สำหรับฉันไม่แน่ว่ามันจะลดลงหรือกลับเพิ่มขึ้นมากันแน่ บางคราวความรู้สึกผิดมันเกาะกินใจ
"เราดูแลเขาไม่ดีพอ"
"เราใส่ใจเขาไม่มากพอ"
อย่างนั้นรึเปล่า ล้วนเป็นคำถามซึ่งฉันสลัดมันไม่หลุด
**
**
หมอพยักหน้าให้เข้าไปดูในขณะที่ส่องกล้องอยู่
"ดูนี่นะ" หมอชี้ไปตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วคงเห็นสีหน้าของฉัน
"ไม่ต้องกลัวนะ มันเป็นภาพขยาย"
"ค่ะ" ฉันพยักหน้ารับ ตรงหน้าจอเห็นเป็นสีแดงๆ ไปหมด โดยฉันดูไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร
"มันเริ่มจากฝั่งซ้ายขยายไปฝั่งทางขวาแล้วด้วย เห็นมั๊ยจุดเล็กๆ นี่" ฉันพยักหน้าอีก
"มันอยู่ระยะที่สี่ เข้าใจใช่มั๊ยมันอยู่ในระยะลุกลาม"
เท่านั้นแหละเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอมันเจ็บร้าวไปหมด น้ำตาไหลลงมาเป็นทาง มองดูพ่อซึ่งนอนอ้าปากสะลึมสะลือมีสายสำหรับการส่องกล้องอยู่ในปาก
ทั้งที่ทำใจไปแล้วเตรียมตัวไปแล้ว กับสิ่งที่จะได้ยินจากปากหมอ เพราะก่อนหน้านี้อาการของพ่อที่แสดงให้เห็นก็คือ
- อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลด
- เสียงแหบ
สิ่งเหล่านี้เป็นอาการที่แสดงว่าเป็น "มะเร็ง" และอาการเหล่านี้จะแสดงออกมาก็ต่อเมื่อเป็นในระยะสุดท้ายแล้วเท่านั้น ไม่ใช่ว่ามีความรู้ทางด้านการแพทย์แต่อย่างใดไม่ เพียงแต่ช่วงแรกๆ ที่พ่อเริ่มมีอาการอ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่ว่าจะทานอะไรเป็นพวกยาบำรุงก็แล้ว น้ำเกลือแร่ กลูโคสชนิดผง รังนก หรือแม้แต่น้ำอาร์ซี (ประกอบไปด้วยเมล็ดธัญพืชได้แก่ ข้าวสีนิล ข้าวฟ่าง ลูกเดือย เม็ดบัว ข้าวโอ๊ต จมูกข้าว งาขาว งาดำ
วิธีทำคือ
1. ตั้งน้ำให้เดือด ใส่ข้าวฟ่าง ลูกเดือย เม็ดบัว ลงไปเป็นอันดับแรก
2. ต้มให้เดือดไปได้สักพักใส่ข้าวสีนิลลงไป รอสักพักพอให้น้ำออกเป็นสีแดงๆ ของข้าวออกมาก็เป็นอันเรียบร้อย
3. ใส่ข้าวโอ๊ตลงไป
4. ตั้งไว้ครู่หนึ่งหลังจากนั้น รินเอาเฉพาะแต่น้ำเอามารับประทานได้เลย เติมงาขาวงาดำลงไปด้วย
ทานในช่วงเช้าจะดีมาก) ซึ่งไม่ว่าคนอ่อนเพลียแค่ไหนเมื่อได้ดื่มน้ำอาร์ซีจะรู้สึกดีขึ้น แต่ก็เปล่าประโยชน์สำหรับพ่อ
ในคราวนี้ดูเหมือนเทคโนโลยีจะมีอิทธิพลต่อฉันขึ้นมาทันที คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คถูกใช้งานอย่างหนักในการเสาะหาว่าอาการเหล่านี้อาจจะเป็นสาเหตุของโรคชนิดใดได้บ้าง แล้วก็เจอ แต่ในตอนนั้นฉันคิดว่าพ่อเป็นมะเร็งกล่องเสียง เพราะพ่อเสียงแหบด้วย นั่นคือความคิดก่อนที่จะไปพบหมอ
**
**
"แต่อย่าเพิ่งคิดมาก หมอจะเอาเนื้อไปตรวจดูอีกที" ฉันพยักหน้าให้กับคำปลอบโยนซึ่งดูจะห่างไกลจากความเป็นจริงมาก
ออกมานั่งรอนอกห้อง คนไข้จำนวนหนึ่งนั่งรอคิวกันอยู่ ทุกคนอยู่ในสภาพเดียวกันหมด อย่างไม่สนใจใครทั้งนั้น ไม่มีเสียงสะอื้นแต่น้ำตามันไหลไม่ยอมหยุด
จนพยาบาลเข็นเตียงพ่อออกมาข้างนอกห้อง แม้ยังสลึมสะลือแต่พ่อก็รู้สึกตัว ฉันรีบเข้าไปข้างๆ พ่อ พยามเก็บกลั้นน้ำตาไว้
"พ่อเป็นไงบ้าง หิวไหม" เพราะก่อนส่องกล้องต้องงดน้ำงดอาหารมาตั้งแต่หลังเที่ยงคืนจนป่านนี้เวลาใกล้เที่ยงเต็มที
"น้ำ"
"ค่ะ" พยาบาลส่งขวดน้ำให้ ฉันใส่หลอดส่งให้พ่อ พ่อจิบไปได้นิดหน่อยก็หลับต่อ ฉันมองหน้าพยาบาล
"ไม่เป็นไรหรอก แค่เหนื่อย"
"นั่นสิ ดูลุงสิลูกยังไม่รู้สึกตัวเลย" ป้าอีกคนคงเห็นอาการของฉันแล้วเวทนา
"เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว" แกว่าอย่างนั้นแล้วยิ้มให้ฉัน
"ค่ะ"
"น้องลงไปชั้นล่างนะห้องเอ๊กซเรย์ ให้เขานัดวันทำซีทีก่อนวันหมอนัด ได้วันไหนเร็วที่สุดยิ่งดี" พยาบาลส่งเอกสารให้ฉัน
"แล้วก็นี่ใบรับยา เสร็จแล้วเอาขึ้นมาให้คุณหมอเป็นยาฉีด"
"ค่ะ ฝากพ่อด้วยนะคะ" ฉันบอกพยาบาลก่อนจะลงลิฟมาจากชั้น 11
อยู่ในลิฟเท่านั้นแหละปล่อยโฮออกมาทันที.
*** เขียนบันทึกนี้ขึ้นมาเผื่อว่าบางที ในสิ่งที่ตัวเองรับรู้มาไม่ว่าจะเป็นระยะอาการ หรือการใช้ยาในทางเลือกหนึ่ง อาจจะเป็นประโยชน์กับใครบ้างไม่มากก็น้อย แม้จะรู้ว่าโรคนี้ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ แต่ทำอย่างไรให้คนป่วยอยู่กับมันอย่างเจ็บปวดน้อยที่สุดทรมานน้อยที่สุดแค่นั้นเอง.
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ