พิมพ์ครั้งแรก
เขียนโดย ฮางมะ
วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 08.44 น.
แก้ไขเมื่อ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 08.51 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความพิมพ์ครั้งแรก
รู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ยังเห็นมันนั่งอยู่บนโต๊ะอย่างนั้น ตาที่จ้องบนจอคอพิเตอร์กับนิวมือที่พรมไปที่แป้นพิมพ์ มันทำให้เขาคิดว่า หนึ่งมันช่างดูไร้ประโยชน์เสียจริงกับสิ่งที่น้องของเขาเรียกว่าความฝัน แต่อีกหนึ่งเขาก็เห็นว่าคนๆหนึ่งๆดูเอาจริงเอาจังและตั้งใจกับสิ่งที่เขาทำมากแค่ไหน แต่อย่างไรก็เถอะเขาก็เสียดายอยู่ไม่หายและไม่เข้าใจเลย
เจ้าของมือที่ผอมซีดนั้นนั้น ยังคงเคาะแป้นพิมพ์อย่างขมักเขม้นเสียงดังราวข้าวตอกแตก ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าพี่ชายเดินมาดูอยู่ข้างหลัง เมื่อเขาถอนหายใจดังนั่นแหละร่างผอมนั้นถึงได้รู้สึก เงยหน้าที่สวมแว่นหนาเตอะมามอง
“ว่าไงถึงไหนแล้วละ”
“ก็เรื่อยๆพี่ พี่มาไงไม่ได้ยินเสียงเลย” ถามแต่ตาก็หันกลับไปที่หน้าจออีกครั้ง นิ้วก็เตรียมพิมพ์ความรู้สึกเก่าๆกลับมาอีกครั้งรู้สึกหงุดหงิด
“ขอร้องละ เชื่อกูเหอะ อย่าไปทำอะไรไร้สาระอย่างนี้เลย พี่บอกตรงๆนะเห็นแกเป็นแบบนี้แล้วโคตรทุเรศว่ะ” พี่ชายพูดออกมาตรงๆ
น้องชายถอนหายใจแรงบ้างผละนิ้วออกจากแป้นพิมพ์ “ผมว่าเราคุยกันจบแล้วนะเรื่องนี้ ขอละพี่นี่มันชีวิตของผม ความฝันของผม”
“กูต่างหากที่ต้องขอร้องมึง เลิกซะเถอะว้าไอ้ความฝันบ้าๆบอๆที่จะเป็นนักเขียนของมึงนี่”
“ถ้าพี่จะมาพูดเรื่องเดิมๆ ผมว่าพี่กลับไปเถอะ”
“กูเป็นห่วงมึงนะ มึงก็รู้เรามีกันแค่สองคนเท่านั้น มาทำงานกับพี่ก็ได้อย่ามาทำอะไรแบบนี้เลย”
“แต่ความฝันของผม คือการเป็นนักเขียนนะครับ พี่ไม่มีความฝันมีไม่รู้หรอก”
“แค่พูดถึงความฝันกูก็เหนื่อยแล้ว กูไม่เห็นมันจะเป็นจริงสักที มึงเขียนมาเท่าไหร่แล้ว ไหนละความสำเร็จ? ไหนละนักเขียน? ไหนละหนังสือ?” แววตาสีเหลืองซีดจางของน้องชายสลดลง มือใหญ่ว่างบนไหล่ของน้องชาย พึงสำเหนียกรู้ว่าตัวเองพูดแรงเกินไป ความจริงเขาก็รักน้องของตัวเองมากเพราะตอนนี้ก็เหลือพวกเขาเพียงสองคน และดรีมมันก็ป่วยออดๆแอดๆ เป็นโรคเลือดมาแต่เกิด ต้องเติมเลือดเป็นประจำ เขาเป็นห่วงอนาคตมัน ทั้งที่มันก็ได้เรียนสูงกว่าเขากลับไม่คิดทำมาหากินเหมือนคนอื่นมาจมปลักกับความฝันปลอมๆที่ไม่เป็นจริงสักที
“เชื่อพี่สิ ไปทำงานซะ ชีวิตนะอย่าเถรตรงนักสิ ฝันก็มีได้ แต่เราก็ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองด้วย” เสียงเบาลง
“ผมไม่มีเวลาแล้ว ผมขอสู้ทั้งชีวิตกับความฝันครั้งนี้ของตัวเองผมขอแลกกับมัน” ดรีมพูดด้วยความมุ่งมั่น เท่าที่ร่างผอมบางนั้นจะดูทำให้เชื่อได้
“ฝันมันกินไม่ได้หรอก มึงไม่สามารถหลอกตัวเองอยู่กับความคิดวาดฝันบ้าๆนั้นได้ เพียงท้องมึงร้องด้วยความโหยหิว มึงก็จะตื่นจากฝัน ตื่นมาพบความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!” เสียงเข้มขึ้นอีก อย่างรู้สึกหงุดหงิด
“พี่กลับไปเถอะ ผมรู้ว่าพี่เป็นห่วงผม แต่มันไม่มีประโยชน์หรอกเพราะนี่มันคือความสุขความฝันของผมทั้งชีวิต ผมอยากมีผลงานเป็นของตัวเองให้คนอื่นรู้ ผมอยากได้ตีพิมพ์หนังสือของผมสักเล่ม”
เขาถอนหายใจอีกครั้งครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ไม่ว่าจะพูดยังไง ก็เปลี่ยนความคิดของน้องไม่ได้จริงๆ แต่เขาแค่รู้สึกเป็นห่วง ลูกผู้ชาย ถ้าไม่มีงานมีการทำเป็นหลักแหล่ง ย่อมถูกนินทาว่าให้จากชาวบ้าน
แล้วก็หลุดปากพูดสิ่งที่คิดนั้น
“พี่รู้จัก ลีอังไหม อ้อ อั้งลี่นะ” น้องชายเอ่ยขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น
“ก็ผู้กำกับหนัง รู้สิทำไม”
“นั่นแหละ กว่าเขาจะดังได้ เขาก็ต้องสู้และยอมอดสูอยู่ที่บ้านหกปี ทำงานที่ไม่มีอนาคตกับฝันทียังกินไม่ได้ อย่างพี่ว่า หกปีเขาต้องทำงานบ้านทำกับข้าวเป็นแม่บ้าน และทนเห็นภรรยาออกไปทำงานหาเงินไปเลี้ยงครอบครัวแทนเขา เขาต้องอดทนอย่างหนักกับเสียงนินทา สำหรับผมแล้วยังไม่ได้สักกระผีกของเขา ผมไม่ท้อง่ายๆไม่ว่าใครจะว่ายังไง”
ลมหายใจของพี่ชายพ่นผ่านรูจมูกเสียงดัง พอละสำหรับความพยายาม ดรีมมันก็เป็นคนขี้โรคมาแต่เด็กแต่ใช่ว่ามันจะเป็นคนขี้ท้อ ใจก็แข็งมากกว่าเขา ลองได้ตั้งใจจะทำแล้ว ไม่ว่าใครก็ห้ามไม่ได้ แต่เขาก็อยากพยายาม เพราะเป็นห่วง
“กินข้าวยัง พี่ซื้อกับข้าวมาฝาก ข้าวมันไก่ ขาประจำ” พลางมองน้องของตัวเอง ร่างนั้นดูซูบซีด ผอมลงทุกครั้งที่เจอ “ไปหาหมอบ้างหรือเปล่า ทำไมตัวเหลืองขนาดนี้”
“ไปครับ” เสียงตอบอย่างไม่เต็มคำนัก
“เติมเลือดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
“พี่ไม่ต้องห่วงผมดูแลตัวเองได้ ยังไงผมก็ไม่ยอมตายก่อนที่จะทำฝันให้เป็นจริงหรอก” แม้จะตอบไม่ตรงคำถามแต่น้ำเสียงนั้นก็ทำให้เขาเชื่อใจ
“อื่อ อย่าหักโหมนักละ เดียวจะเป็นอะไรไปเสียก่อน”
“ครับ ถึงแม้จะเป็นอะไร ผมก็ขอทำให้มันสำเร็จให้ได้ ตายขณะที่ได้พยายามยังดีกว่ามีฝันแล้วไม่ลงมือทำ” คำประกาศนั้นมุ่งมั่นนัก แม้จะฟังดูแปร่งหูก็ตาม
“พี่ไปก่อนนะ” ไม่พูดแปล่าหยิบเงินออกจากกระเป๋าวางบนโต๊ะ
“ผมไม่เอานะพี่”
“แต่กูให้มึง” พูดเสร็จแล้วก็เดินออกไปก่อนถึงหน้าประตู ก็ถูกเรียก
“พี่” ร่างพี่ชายไม่ได้หันมามอง “ขอบคุณนะครับ”
สั้นๆง่ายๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาพิมพ์ต่อ พี่ชายหันกลับมาดูอีกครั้ง ภาพน้องชายที่นั่งก้มหน้าพิมพ์อยู่นั้น ยังติดอยู่ในความทรงจำ ของเขาไม่มีวันเลือนจาง
เขาค่อยๆหยิบดอกไม้จันทน์ ก่อนจะนำมาวางที่หน้าเตาเผา ระลึกถึงคำพูดหนึ่งที่น้องชายเคยพูดไว้
‘ผมไม่มีเวลาแล้ว ผมขอสู้ทั้งชีวิตกับความฝันครั้งนี้ของตัวเองผมขอแลกกับมัน’
“ทำไมว่ะ ทำไมมึงไม่บอกพี่สักนิดว่ามึงเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย ทำไมไม่บอกพี่คนนี้” เขาพึมพำน้ำตาไหล นึกย้อนตอนไปหาน้องชายเมื่อวันก่อนหลังจากไม่ได้ไปหาเกือบสองอาทิตย์ ทราบว่าเขาไปโรงพยาบาล นึกว่าคงจะไปด้วยโรคเดิมนั่นคือโรคธาลัสซีเมีย คงไปเติมเลือด แต่พอไปถึงเขาก็พบข่าวร้ายจากหมอ ว่า ดรีมเป็นมะเร็งตับ อันเกิดจากไวรัสตับอักเสบบี ที่ติดมาจากการให้เลือด แล้วก็ลุกลามกลายเป็นมะเร็ง
เดินออกมาดูการประชุมเพลิงเผาศพ มันตายไปแล้ว กับความฝันที่จะเป็นนักเขียนที่ยังค้างคา พลันระลึกถึงคำพูดของน้องชายผู้บ้าฝัน
‘เพราะนี่มันคือความสุขและความฝันของผมทั้งชีวิต ผมอยากมีผลงานเป็นของตัวเองให้คนอื่นรู้ ผมอยากได้ตีพิมพ์หนังสือของผมสักเล่ม’
“เอ็งไม่ต้องห่วงแล้ว ดรีม พี่ทำความฝันของแกสำเร็จแล้ว” พลางหยิบ อนุสรณ์งานศพเล่มนั้นขึ้นมาดูเขารวบรวมเรื่องสั้นที่น้องชายเขาเขียนเอาไว้มาพิมพ์ เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า เพราะอยู่ในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตจึงทำให้ ดรีมมุ่งมั่นขนาดนั้น
น่าแปลกนะ หนังสืองานศพของคนส่วนมากผลิตขึ้นเพื่อประกาศศักดาว่าผู้วายชนย์ มีคุณงามความดีอย่างไรบ้างเรียนจบที่ไหน มีหน้าที่การงานอย่างไร แต่ไม่มีใครเหมือนของน้องเขา แน่
รวมเรื่องสั้นของดรีม นักเขียนที่ไม่ยอมทิ้งฝันจนวินาทีสุดท้าย สิบห้าเรื่องสั้นที่คัดสรรทั้งชีวิต
เมื่อเปิดอ่านดูข้างใน ข้อความตัวหนังสือตัวใหญ่เขียนว่า
ตายขณะที่ได้พยายามยังดีกว่ามีฝันแล้วไม่ลงมือทำ
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ