หนึ่งความรักของฉัน
เขียนโดย เอเจลิส
วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 01.57 น.
แก้ไขเมื่อ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 03.32 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) หนึ่งความรักของฉัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
..มีคนเคยถามฉันว่า คนคนหนึ่งจะสามารถมีความรักได้กี่ครั้งกัน?..
...ฉันตอบไปว่า มันคงนับไม่ถ้วน ตราบที่เรายังมีชีวิตอยู่
ความรักก็จะเกิดขึ้นกับเราเสมอ..
..แล้วถ้าอย่างนั้น ความรักครั้งไหนสำคัญที่สุดล่ะ?..
..สำหรับฉัน นั่นเป็นคำถามที่ฉันคงต้องใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อที่จะตอบมัน..
.............
ฉันชื่อ..เรน..ที่แปลว่าสายฝน ฉันเกิดวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรัก แต่ฉันกลับเป็นคนที่ไม่รู้จักความรัก แม้แต่ความรักของพ่อและแม่ที่เป็นความรักแรกเริ่มของชีวิต นั่นก็เพราะฉันเป็นเด็กที่ถูกนำมาทิ้ง เอาไว้หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังจำความไม่ได้
..ฉันเติบโตอยู่ที่นี่ท่ามกลางความรู้สึกโดดเดี่ยว สายตาของฉันเฝ้ามองเด็กผู้มีชะตากรรมเดียวกันกับฉันที่อยู่ ณ.ที่แห่งนี้ พวกเขาต่างก็โดดเดี่ยวเหมือนกับฉัน แต่ทว่าไม่ได้โดดเดี่ยวไปตลอด..
วันเวลาผ่านไป.. เด็กรุ่นเดียวกับฉันต่างก็มีคนมารับไปอยู่ด้วยกัน คนแล้วคนเล่า จนกระทั่งเหลือเพียงฉันที่เติบโตขึ้นทุกวัน และในที่สุดฉันก็โตเกินที่จะอยู่ที่นี่ได้ ฉันต้องไปจากสถานที่แห่งนี้แต่เพียงลำพัง เพื่อเผชิญโลกกว้างที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น..
ฉันบอกกับตัวเองเสมอว่า.. ถึงแม้ฉันจะเคยเป็นเด็กกำพร้า แต่นั่นมันเป็นเรื่องในอดีต แต่ในตอนนี้.. ฉันมีทั้งสองขา สองมือ สองตา มีชีวิตเหมือนกับคนในโลกกว้างแห่งนี้ สิ่งที่พวกเขาได้ ฉันก็ย่อมต้องได้เหมือนกัน โดยที่ฉันลืมไปเลยว่า.. ผู้คนบนโลกกว้างแห่งนี้ แม้จะมีสิ่งต่างๆที่เหมือนกัน แต่โชคชะตาของแต่ละคนนั้นช่างต่างกันลิบลับ..
..หลังจากออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฉันก็ต้องทำงานเลี้ยงตัวเอง แน่นอนว่ามันไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด.. งานชิ้นแรกที่ฉันได้ทำ คือเป็นพนักงานในห้างร้านแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกไล่ออกจากงาน หลังจากทำงานได้เพียงแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น สถานที่ทำงานแห่งนั้นสอนให้ฉันรู้ว่า.. โลกนี้แม้ว่าความถูกต้องจะยิ่งใหญ่สักเพียงใด แต่สำหรับโลกแห่งการทำงาน เจ้านายมักถูกเสมอ และลูกจ้างมักเป็นฝ่ายผิดอยู่ตลอด ถ้าหากไม่สามารถยอมรับกฏเกณฑ์นี่ได้ คุณก็ต้องอยู่อย่างลำบากเช่นฉัน..
แต่ก็อย่างว่า.. กฏเกณฑ์แบบนั้นก็ใช่ว่ามันจะมีอยู่ทุกที่เสมอไป อย่างเช่น.. สถานที่ทำงานแหล่งที่เจ็ดของฉัน ..แกลลอรี่แสดงผลงานภาพ... ฉันทำงานที่นี่อย่างมีความสุข และที่นี่นั่นเอง ที่ทำให้ฉันได้รู้จักความรักเป็นครั้งแรก และแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นความรักที่ราบรื่น เพราะมันมีทั้งการทะเลาะเบาะแว้ง ทั้งหอมหวาน ทั้งอุ่นใจ แล้วแม้ว่าท้ายสุดความรักนี้จะไม่ได้อยู่กับฉันตลอดไป แต่ฉันก็รู้สึกว่ามันช่างมีค่าเหลือเกินสำหรับฉัน ที่เป็นเด็กกำพร้าไม่เคยรู้จักความรักเลยแม้แต่น้อย
และนั่นเป็นความรู้สึกครั้งแรกที่ฉันได้รู้จักกับความรัก แต่ว่า.. ฉันก็ไม่เคยรู้เลยว่า เมื่อทุกครั้งที่มีความรักใหม่เกิดขึ้นมา.. ความรู้สึกคาดหวังทั้งความสุข และทั้งสิ่งที่ตัวเองคิด มันจะยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นมาโดยที่ตัวเองไม่ทันรู้ตัว..
ใช่.. ตัวฉันก็เริ่มเป็นแบบนั้น เมื่อความรักครั้งใหม่ได้เกิดขึ้น ฉันคิดว่า..พอล.. ผู้จัดการแกลลอรี่แห่งนี้ ซึ่งเป็นคนรักของฉันมาเกือบหนึ่งปีแล้ว จะเป็นคนที่อยู่กับฉันตลอดไป จะรักฉันไม่มีวันเสื่อมคลาย เหมือนกับคู่รักในนิยายหรือละครที่ฉันเคยดู
แต่ทว่า.. ในวันที่ 31 ธันวาคม วันที่ฉันคิดว่า.. พอลเขาจะขอฉันแต่งงาน เพราะเขาขอนัดฉันในวันที่น่าจะรู้ดีว่ามีงานยุ่งมาก แถมยังบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย และนั่นมันทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นเฝ้ารอวันที่31เป็นอย่างมาก และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง.. ฉันรีบเดินทางไปยังสถานที่นัดหมายก่อนเวลานัดถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม..
..ฉันกำลังจะเดินข้ามถนนไปยังร้านที่พอลได้จองเอาไว้เพื่อวันนี้ แต่ชั่ววินาทีนั้น.. ก็กลับมีเด็กสองคนกำลังข้ามถนนมาจากอีกฟากตรงกันข้าม และเพราะว่าถนนฟากนั้น มีรถบรรทุกกำลังขนสินค้าลงแจกจ่ายอยู่ ทำให้เด็กทั้งสองคนนั้นมองไม่เห็นรถบรรทุกหกล้อที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็ว แต่ฉันเห็น.. และพยายามตระโกนบอกเด็กสองคนนั้น แต่ทว่าเสียงการจารจรที่คับคลั่งนั้น กลับกลบเสียงของฉันให้หายไปในอากาศ..
ดังนั้น วิธีสุดท้ายที่ฉันจะช่วยเด็กสองคนนั้นเอาไว้ได้ ก็คือ.. ตัวเองที่วิ่งถลาไปกลางถนน เพื่อคว้าตัวเด็กทั้งสอง แต่มันก็ยังช้ากว่าความเร็วของรถบรรทุก ฉันคว้าตัวเด็กพวกนั้นเอาไว้ได้ แต่ก็พอดีกับรถบรรทุกชนกระแทกร่างของฉัน วินาทีนั้นความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างกายของฉัน หากแต่เสียงร้องไห้อย่างหวาดกลัวในอ้อมแขนของฉัน ก็ทำให้ฉันผลักร่างของเด็กทั้งสองออกไปจากวิถีเส้นทางของรถ ดวงตาของฉันเห็นว่าเด็กทั้งสองคนที่ถูกฉันผลักไปนั้น ร่างของพวกเขาทั้งสองกระเด็นไปกระแทกกับกระถางต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่บนทางเดิน และหลังจากเสี้ยววินาทีนั้น ดวงตาของฉันก็ปิดลงด้วยเลือดสีแดงฉานที่ไหลลงมาปิดตาของฉัน พร้อมกับความรู้สึกของแรงกระแทกสุดท้ายที่คนขับรถบรรทุกพยายามจะหยุดมันเอาไว้..
วันที่ 1 มกราคม ฉันลืมตาขึ้นมา.. หากแต่สิ่งที่มองเห็นกลับมีแต่ความมืดมิด และชั่วขณะหนึ่งก็มีเสียงของใครสักคน ที่บอกฉันว่า.. กระดูกของฉันหักไปทั่วทั้งร่างกาย และมีเลือดออกในสมอง ซึ่งเลือดนั้นไปกดทับเส้นประสาทตา ทำให้ฉันตาบอด
ซ้ำร้าย.. ใครคนนั้นยังบอกกับฉันอีกว่า.. โอกาสที่ฉันจะกลับมาเคลื่อนไหวได้ปกตินั้นอาจเป็นศูนย์ ฉันเหมือนแทบคลั่ง แทบจะเสียสติ ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน แต่ความมืดมิดที่มองเห็น มือที่ไม่อาจยกขึ้นมากอดตัวเองเอาไว้ได้ มันก็ยืนยันคำพูดนั้นได้เป็นอย่างดี..
ในตอนนี้ฉันสูญเสียสิ่งที่มีเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ฉันก็ยังปลอบใจตัวเองว่า.. ต่อให้ต้องสูญเสียอะไรไป ฉันก็ยังเหลือความรักจากพอล ทว่า.. วันแล้ววันเล่าที่ฉันเฝ้ารอพอลมาหาฉันที่นอนอยู่กับที่บนเตียง ฉันไม่เคยได้ยินเสียงของเขาเลยแม้แต่สักครั้งเดียว
จนกระทั่งบ่ายวันที่ 6 มกราคม ที่ฉันต้องนอนอยู่กับที่ ก็มีคนคนหนึ่งเข้ามาหาฉัน เขาชื่อ ..คริส.. เป็นจิตรกรวาดภาพที่ออกเดินทางวาดภาพไปทั่วโลก เพื่อส่งให้กับแกลลอรี่ที่ฉันทำงานอยู่ และเขาก็เป็นเพื่อนคนสนิทหนึ่งเดียวของฉัน เมื่อคริสรู้ข่าวเรื่องของฉัน จึงรีบมาหาฉันในทันที เขาเป็นเพื่อนที่ดี เขายังคงพูดคุยกับฉัน เหมือนกับฉันในตอนที่ยังปกติ เขาไม่ได้แสดงความรู้สึกสงสาร จนทำให้ฉันรู้สึกสังเวชตัวเอง และเขาก็ช่วยทำให้ฉันได้รับรู้ความจริงอันโง่งมของตัวเอง
ก่อนที่เขาจะกลับไป เขาก็ได้บอกกับฉันว่า.. พอล คนรักของฉันเข้าพิธีหมั้นหมาย กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานที่เดียวกับฉัน ในวันที่ 31 ธันวาคม วันที่เขานัดฉันออกมาเพื่อจะบอกเลิก
..คำพูดนั้นของเพื่อนสนิท ทำให้ฉันเริ่มสูญเสียประสาทการรับรู้ไป ฉันเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เพื่อนของฉันพูด ทั้งๆที่คำพูดนั้นดังก้อง และนับตั้งแต่วันนั้น ฉันก็ไม่พูดออกมาอีกเลย..
..จนกระทั่ง วันที่ 10 มกราคม เสียงของเด็กผู้หญิง และเด็กผู้ชาย ที่ดังขึ้นข้างๆ หูของฉัน..
“พี่สาว.. ขอบคุณนะค่ะ”
“พี่สาวต้องหายไวๆนะครับ แล้วไอซ์กับพี่เจนี่จะมาเยี่ยมอีกนะครับ”
“นี่ขนมค่ะ.. อร่อยมากเลยนะค่ะ พี่สาวต้องกินให้หมดนะค่ะ”
“ใช่ๆ..ต้องกินให้หมด พี่สาวจะได้แข็งแรงขึ้นไงครับ”
..เสียงเล็กๆ เจี้ยวจ๊าวนั้น เหมือนปลุกให้ฉันหลุดออกมาจากความน่าสังเวชของตัวเอง ในตอนนี้เสียงนั้น ทำให้ฉันที่โทษตัวเองมาตลอด ว่าถ้าวันนั้นฉันไม่ไปก่อนเวลานัด ฉันคงไม่เป็นแบบนี้ แต่ถ้าฉันไม่ไป.. เสียงเล็กๆ นี้ก็คงไม่มีใครได้ยินอีก และมันก็คงดีกว่าฉันไปนั่งฟังคำบอกเลิกด้วยเหตุผลต่างๆ ที่ฉันรู้ว่า.. ตัวเองไม่มีทางยอมรับมันได้ และก็คงเผลอทำอะไรแย่ๆ ลงไปอย่างแน่นอน..
“สวัสดีครับ.. ผมชื่อเรนนะครับ” เสียงแนะนำตัวที่ฟังดูอ่อนโยน ดังขึ้นหลังจากเสียงเจี๊ยวจ๊าวหายไป พร้อมกับสัมผัสอุ่นๆ ที่ฝ่ามือ ทำให้ฉันนิ่งอึ้งรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา และนั่นก็ทำให้ฉันอยากจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากไม่ได้พูดมาสี่วัน..
“เรน.. ชื่อเหมือนกับฉัน..”
“ใช่ครับ..เราชื่อเหมือนกันจนน่าแปลกใจ”
“......”
“คุณเรนเสียงเพราะจังเลยนะครับ น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้คุณไม่ยอมพูดออกมา..”
“ฉันเสียงเพราะเหรอ..”
“ครับ..”
“แล้วคุณเป็นใครเหรอ”
“ผมเป็นพ่อของเด็กๆ ที่คุณช่วยเอาไว้”
“......”
“และผมก็เป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณด้วยครับ คำขอบคุณคงไม่อาจแทนสิ่งที่คุณทำให้กับพวกผมได้ แต่ผมก็อยากขอบคุณจริงๆ ที่คุณช่วยลูกๆ ของผมเอาไว้”
“ไม่เป็นไรค่ะ..”
“ผมขอโทษ.. ที่คุณต้องมามีสภาพแบบนี้ก็เพราะช่วยลูกๆ ของผม”
“คุณหมอไม่จำเป็นต้องขอโทษฉันหรอกค่ะ.. เพราะแค่ได้ยินเสียงของพวกเขาในตอนนี้ ฉันก็ไม่รู้สึกเสียใจอีกแล้ว ที่ตัวเองต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้”
“คุณเรน..”
“อา.. ตอนนี้เป็นกลางวันหรือกลางคืนหรือค่ะคุณหมอ?”
“กลางวันครับ.. ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามสี่สิบห้านาทีครับ”
“งั้นเหรอค่ะ.. เสียดายจังเลย ที่ฉันต้องมานอนแบบนี้ เวลาแบบนี้ตอนเด็กๆ ฉันชอบออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะตรงข้ามกับบ้านเด็กกำพร้าที่ฉันอยู่ แต่ตอนนี้ฉันคงทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้วสินะ”
“ถ้าคุณเรนอยากไป ผมจะพาไปนะครับ แต่ต้องรอให้บาดแผลบนร่างกายของคุณเรนหายดีก่อนนะครับ”
“คุณหมอ..”
“......”
“ขอบคุณมากค่ะ.. แต่ว่าไม่ต้องมารู้สึกผิดที่ฉันเป็นแบบนี้หรอกนะค่ะ ฉันไม่อยากเป็นตราบาปในชีวิตของใคร ..คนที่เคยเป็นเด็กกำพร้าอย่างฉัน ไม่เคยมีครอบครัว แต่ก็เข้าใจว่าครอบครัวน่าจะเป็นสิ่งที่มีค่า หากขาดใครคนใดไปมันก็คงหยุดนิ่งกับที่ ไม่อาจเคลื่อนไปไหนได้อีก ฉันดีใจนะค่ะที่สามารถช่วยลูกๆของคุณหมอ ให้ได้อยู่กับคุณหมอ และภรรยาของคุณหมออีก”
“คุณเรน..”
“.....”
“ไอซ์ลูกชาย กับเจนี่ลูกสาวของผม ทั้งคู่เป็นเด็กที่ผมรับอุปการะมา เพื่อที่จะอยู่กับผมและคนรักของผม แต่เธอคนนั้นเสียชีวิตเมื่อหนึ่งเดือนก่อนด้วยโรคมะเร็ง และเดือนหน้าผมก็คงเสียลูกๆที่เหมือนเป็นครอบครัวสุดท้ายของผมไป เพราะผมไม่อยู่ในสถานะที่จะดูแลเด็กสองคนได้ เรื่องที่ผมจะพูดต่อจากนี้ อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเห็นแก่ได้ แต่ผมก็อยากให้คุณเรนฟัง ผมไม่อยากสูญเสียเด็กๆไป ดังนั้นผมจำเป็นต้องมีภรรยาก่อนวันขึ้นศาล และคุณเรนก็คือคนที่เหมาะสมที่สุด”
“ฉันเหรอค่ะ..? เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ถึงแม้ฉันจะไม่เคยรู้เรื่องสิทธิการรับเลี้ยงบุตร แต่แม่ที่อยู่ในสภาพเคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้ ตาก็มองไม่เห็น ไม่มีใครที่ไหนยอมรับให้ดูแลเด็กหรอกค่ะ”
“ไม่ครับ.. ศาลจะตัดสินให้คุณเรนเป็นแม่ของเด็กๆ เพราะคุณเรนยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเองปกป้องพวกเด็กๆเอาไว้..”
“อุบัติเหตุนี่สินะค่ะ..”
“ครับ ผมรู้ว่า.. มันฟังดูเห็นแก่ตัวไป การที่ผมมาหาประโยชน์จากคุณเรนที่อุตส่าห์ช่วยลูกๆของผม แต่ว่าการแต่งงานของผมกับคุณ ก็จะทำให้ผมสามารถดูแลคุณได้ตลอดชีวิต โดยที่ไม่มีใครคัดค้าน”
“......”
“ผมอยากให้คุณเรนมาเป็นคนในครอบครัวของผมนะครับ”
“คุณหมอ..”
“.....”
“ค่ะ.. ฉันยินดีแต่งงานกับคุณหมอ”
..ฉันตอบตกลงแต่งงานกับคุณหมอ ที่ไม่รู้จักอะไรมากไปกว่าชื่อของเขา และรู้ว่าเขามีลูกบุญธรรมที่รักยิ่งสองคน กับคนรักที่ตายจากไป..
ฉันไม่รู้หรอกว่า.. เพราะอะไรถึงได้ตอบตกลงไป อาจจะเป็นเพราะฉันสงสารเขา หรืออาจจะเป็นเพราะไม่อยากให้เด็กๆ ที่ฉันช่วยเอาไว้ถูกพรากไปจากคุณพ่อ หรือว่าอาจเป็นเพราะฉันไม่อยากให้เด็กสองคนนั้น กลับไปโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า อย่างที่ฉันเคยรู้สึก แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อาทิตย์ต่อมาหลังจากรับคำขอแต่งงานนั้น ฉันก็ได้เป็นเจ้าสาวทั้งที่ยังนอนอยู่บนเตียง โดยมีเจ้าบ่าวนั่งอยู่ข้างๆ เตียง และมีลูกๆ ของเขา กับคริส เพื่อนสนิทของฉัน ยืนเป็นสักขีพยานในระหว่างที่บาทหลวงทำพิธี
อ่อ.. คงต้องบอกว่ามีพวกนางพยาบาล และหมอคนอื่นๆ มาร่วมเป็นสักขีพยานด้วย ฉันมองไม่เห็น แต่ก็ได้ยินเสียงแซวคุณหม อผู้เป็นเจ้าบ่าวของฉัน และนั่นก็ทำให้ฉันหัวเราะออกมาได้อีกครั้ง ทั้งๆที่รู้ดีว่า.. การแต่งงานนี้ไม่ได้มีความรักอย่างที่ฉันวาดหวังเอาไว้เลย..
แต่ทว่า.. ฉันกลับมีความสุขกับวันเวลาที่ได้ใช้ชีวิตกับพวกเขาทั้งสาม และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันเริ่มรักสามี และลูกๆ ของตัวเอง รักจนอยากที่จะมองเห็นพวกเขาสักครั้ง อยากที่จะเดินจูงมือไปด้วยกัน ฉันรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองคิดเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่แล้ววันวาเลนไทน์ หลังจากหนึ่งปีที่ฉันเป็นคนในครอบครัวของพวกเขา ในวันเกิดของฉัน ปาฏิหาริย์ก็ได้เกิดขึ้นกับฉัน..
ฉันสามารถยืนได้ แม้จะเดินได้แค่สองก้าวเดิน หลังจากที่โหมทำกายภาพบำบัด แต่นั้นก็ทำให้สิ่งที่ฉันคิดเป็นจริง และเพราะเหตุนี้ทำให้ฉันยิ่งหวังว่า ฉันจะสามารถมองเห็นพวกเขาสักครั้ง แม้จะเป็นวินาทีเดียวก็ตาม ทั้งเรน และคริสต่างพากันห้ามฉันเข้ารับการผ่าตัด เพราะการผ่าตัดมีความเสี่ยงมาก แต่ฉันก็ยังยืนยันว่าจะเข้ารับการผ่าตัดนั้น..
“ขอโทษนะค่ะคุณเรน ที่ฉันเอาแต่ใจ แต่ฉันมีความฝัน”
“ความฝัน..?”
“ฉันอยากมองเห็นรอยยิ้มของคุณ กับลูกๆ ของเราค่ะ แม้จะเป็นวินาทีเดียวก็ตาม”
“คุณต้องได้เห็นแน่ๆ.. ผมรอคุณอยู่นะ อย่าทิ้งให้สายฝนอย่างผม ต้องตกลงไปบนพื้นดินเพียงลำพังนะครับคุณเรน”
..นั่นเป็นประโยคคำพูดที่ฉันได้ยินก่อนเข้าห้องผ่าตัด ฉันไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ตอนที่ฉันได้กลิ่นหอมๆ ของดอกไม้ และดวงตาของฉันก็เริ่มเห็นอะไรลางๆ สีขาวที่เป็นรูปเป็นร่าง ไม่ใช่ความมืดมิดที่ฉันเห็นมาเกือบตลอดสองปี เสี้ยววินาทีนั้นฉันรู้สึกดีใจมาก เพราะคิดว่าการผ่าตัดประสบความสำเร็จ ฉันค่อยๆ กระพริบตามองหาใครบางคน และฉันก็ได้เห็น ชายหนุ่มร่างสูงสวมเสื้อกราวน์สีขาว พร้อมกับที่ข้างๆ กายของชายคนนั้นมีเด็กผู้หญิง และเด็กผู้ชายยืนอยู่..
“คุณเรน..เจนี่..ไอซ์..” ฉันเรียกชื่อสามี และลูกๆ อย่างไม่ลังเลเลยว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆเตียงของฉัน จะเป็นคนในครอบครัวของฉันหรือเปล่า..? ฉันยื่นมือไปหาพวกเขา แต่ทว่าก็กลับรู้สึกปวดที่ศีรษะขึ้นมาอย่างฉับพลัน ฉันคิดว่ามันเป็นแค่อาการหลังผ่าตัด จึงพยายามฝืนมันเอาไว้
“คุณเรน.. ผมรักคุณนะ มันสายไปหรือเปล่า ที่ผมเพิ่งจะมาบอกตอนนี้”
“ไม่ค่ะ.. เพราะฉันรู้มานานแล้วค่ะว่าคุณรักฉันเหมือนที่ฉันรักคุณ”
“หนูก็รักคุณแม่เรนนะค่ะ”
“ผมด้วยครับ”
“แม่ก็รักลูกทั้งสองคนนะ”
“หึหึ.. เพราะเป็นวันวาเลนไทน์หรือไงนะ ครอบครัวของเราถึงได้ยอมสารภาพรักกัน”
“นั่นสินะค่ะ.. แต่วันนี้ก็ทำให้ฉันได้รับคำตอบแล้ว”
“คำตอบ..?”
“ความรักครั้งไหนสำคัญที่สุด”
“.....”
“คำตอบก็คือ หนึ่งความรักที่ฉันมอบให้กับคุณ และลูกๆ หนึ่งความรัก.. ที่เอาไปหมดทั้งหัวใจ..ของ..ฉัน..”
“คุณเรน.. คุณเรน..! คุณเรน!!!!”
..ฉันได้ยินเสียงเรียกจากสามีของฉัน พร้อมกับภาพของสามีที่ค่อยๆ เลือนหายไปจากฉันทีละน้อย อยากจะพูดว่ารักเขาอีกสักครั้ง แต่ฉันก็กลับทำได้เพียงแค่ยิ้มให้กับเขา พร้อมกับยกมือแตะที่หลังมือของเขาเบาๆ เพื่อปลอบโยนสีหน้าอันร้อนลนของเขา..
.....................................................
1 ปีต่อมา วันวาเลนไทน์..
“มาเยี่ยมยัยเรนหรือครับ? คุณหมอเรน”
“ครับ..”
“ยังโทษตัวเองอยู่อีกหรือครับ คุณหมอ”
“ถ้าผมห้ามคุณเรนไม่ให้เข้าผ่าตัด เธอก็คงไม่เกิดอาการแทรกซ้อน จนต้องจากไปเร็วขนาดนี้”
“แต่ผมว่า.. ยัยเรนคงไม่นึกเสียใจหรอกนะครับ”
“.....”
“อ่อนี่ครับ.. ผมลืมให้คุณ สมุดบันทึกนี่เป็นของยัยเรน เขาบอกว่าได้เขียนมันตั้งแต่อยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้านะครับ แต่เท่าที่ผมอ่าน.. ในสมุดบันทึกเล่มนี้เกินกว่าครึ่งเล่ม เป็นเรื่องของคุณกับลูกๆ ทั้งที่ยัยเรนได้ใช้ชีวิตกับพวกคุณแค่สองปีเท่านั้น แต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับพวกคุณมันมีมากกว่าเรื่องราวทั้งชีวิตของเจ้าหล่อนสักอีก”
..ชายหนุ่มรับสมุดบันทึกเก่าๆ ที่หนาพอสมควร อันเป็นสมบัติของภรรยาผู้จากไป เขาเปิดอ่านมันทีล่ะหน้า และได้ซึมซับความรู้สึกของภรรยา จนกระทั่งถึงสามบรรทัดสุดท้ายที่ทำให้เขาร้องไห้อย่างเงียบๆ อยู่หน้าสุสานของเธอ..
"..วาเลนไทน์ วันแห่งความรัก ที่ถูกจารึกไว้หนึ่งวันในหนึ่งปี
แต่ของฉันนะ.. หนึ่งวัน หนึ่งอาทิตย์ หนึ่งเดือน หนึ่งปี หรืออีกสิบปี
หนึ่งความรักที่สำคัญที่สุดของฉัน จะจารึกอยู่ชั่วทุกวินาทีแห่งกาลเวลา.."
..จบบริบูรณ์..
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ