แม่เฒ่า
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแม่เฒ่านั่งอยู่ใต้ถุนบ้านมาตลอดสิบปีโดยไม่ได้เดินขึ้นไปชั้นบนของบ้าน เพราะวัยชราที่อายุใกล้เก้าสิบปีอีกไม่นาน ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเดินขึ้นไปบนขึ้นบ้านได้ การนั่ง นอนอยู่ชั้นล่างจึงเป็นภาพที่เห็นเจนตาและรับรู้ทั่วกันของคนในหมู่บ้านและชุมชน มีห้องที่กั้นเป็นห้องจากบริเวณใต้ถุนเดิมที่เคยเป็นลานโล่ง ทางพัดผ่านของลมและเป็นที่นั่งเล่นของลูกหลาน ลูกชายได้ก่อผนังอิฐบล็อกกั้นเพื่อให้เป็นที่นอนของแม่เฒ่าในเวลาต่อมา เมื่อแม่เฒ่าเดินขึ้นบนบ้านไม่ไหว ยามค่ำคืนแม่เฒ่าจึงนอนอยู่ชั้นล่างเพียงเดียวดาย เพราะลูกชายและหลานสาวต่างขึ้นไปนอนอยู่ชั้นบน ยามมืดค่ำหลังกินข้าวเสร็จสรรพ ทุกคนต่างพากันขึ้นไปดูโทรทัศน์อยู่บนบ้าน ยามนี้ในความคิดของแม่เฒ่าน่าจะมีลูกหลานมานั่งพูดคุย ถามสารทุกข์ด้วยกัน แต่สิ่งที่แม่เฒ่าคิดนานๆ ถึงจะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง การอยู่อย่างเดียวดายจึงเป็นเรื่องปกติของทุกวัน แม่เฒ่าคิดว่าลูกชายคงเหนื่อยจากการทำงาน เมื่อกลับมาบ้านถึงอยากพักผ่อนการพูดคุยจึงมีเพียงถามคำสองคำเท่านั้น แม่เฒ่ารู้ว่าสีหน้าของลูกชายเมื่อกลับมาถึงบ้านเหมือนแบกโลกไว้ทั้งโลกเพียงพอเดียว
คำถามทุกวันที่ลูกชายถามถึงเมื่อเจอหน้าแม่เฒ่า เป็นคำถามที่แม่เฒ่ารู้ไว้ล่วงหน้าทุกวัน “แม่กินข้าวแล้วไหม้” คำตอบของแม่เฒ่าก็ไม่ต่างไปจากทุกวันเช่นกัน “เออ กูกินแล้ว”
แม่เฒ่ามองหน้าลูกเพื่ออยากรู้ว่าลูกชายมีคำถาม มีเรื่องที่จะคุยอีกหรือไม่ แต่ลูกชายเงียบแล้วเดินขึ้นบ้านไป แม่เฒ่าถอนหายใจเหมือนมีก้อนอะไรมากั้นขวางลมหายใจทำให้เกิดการติดขัดแต่เป็นเพียงชั่วครู่แล้วหายไป แม่เฒ่าสงสารลูกชายหลังจากมี่เมียหนีหายไปจากบ้านลูกชายเงียบลงไปมาก แม้จะเคยสอบถามถึงเรื่องของลูกสะใภ้ที่หายหน้าไป แม่เฒ่าก็ถามถึงเพียงครั้งเดียวแล้วก็ไม่เคยถามอีกเลย เพราะแม่เฒ่ารู้ดีว่านั้นคือความทุกข์ของลูกชายของนาง
แต่สำหรับเรื่องหลานสาวในใจของแม่เฒ่าอยากจะบอกลูกชายให้รับรู้และคอยสังเกตพฤติกรรมของลูกสาวที่แต่งตัวสวยทุกวัน มีชายหนุ่มมาส่งหลังจากกลับจากโรงเรียนบ่อยครั้งขึ้นอย่างผิดสังเกต แม่เฒ่านึกไปถึงวัยเด็กของแม่เฒ่าที่ผู้ใหญ่ห้ามหวีผมในตอนกลางคืน เพราะถ้าใครหวีผมตอนกลางคืน เป็นการสาปแช่ง ปู่ ย่า ตา ยายที่ล่วงลับไปแล้ว แม่เฒ่าไม่รู้ว่าการหวีผมกลางคืนนั้นเป็นการสาปแช่งอย่างไร แต่ก็ไม่กล้าทำเพราะไม่อยากทำให้ปู่ ย่า ตา ยาย ที่ล่วงลับไปแล้วต้องเดือดร้อน
แม่เฒ่าเคยเตือนหลานในเรื่องนี้ เมื่อเห็นหลานนั่งหวีผมที่ขั้นบันได แต่สิ่งที่หลานสาวตอบกลับนั้นแม่เฒ่ายังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าครูสอนอย่างนั้นจริงหรือ
“แม่เฒ่า อย่ามัวไปเชื่อเรื่องเหลวไหล เรื่องไม่เป็นเรื่อง ครูสอนหนูที่โรงเรียนว่าเรื่องหวีผมกลางคืนในสมัยก่อน หรือสมัยของแม่เฒ่าเป็นการหลอกเด็กของคนโบราณ ที่หาวิธีการไม่ให้เด็กไปเที่ยวตอนกลางคืน เพราะอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องหวีผมก็ได้” หลานสาวตอบแม่เฒ่า ก่อนเดินหันหลังขึ้นไปบนบ้าน แม่เฒ่าไม่รู้ว่าหลานสาวหวีผมต่อหรือไม่ แต่แม่เฒ่าคิดไปถึงคำสอนของแม่ที่สอนแม่เฒ่าหลายต่อหลายเรื่อง แม่เฒ่าเห็นว่าแต่ละเรื่องเป็นเรื่องที่ดีที่สอนให้ลูกหลานได้คิด ไม่เหมือนเด็กปัจจุบันที่คิดไม่ลึกซึ้งเหมือนเมื่อก่อน
แม่เฒ่านึกไปถึงคำสอนของแม่ที่ว่าถ้าใครผลัดผ้ากองไว้ไม่เก็บพับให้เรียบร้อยเมื่อมีจิ้งจกตกลงบนผ้า เจ้าของที่ผลัดผ้ากองไว้เป็นบ้าได้ แม่เฒ่ารู้ว่าถ้านำมาบอกหลานสาวที่ถอดเสื้อผ้าทิ้ง ไม่เก็บเข้าที่ หลานสาวคงเถียงว่าแม่เฒ่าเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาพูด
แต่แม่เฒ่ารู้ดีว่าหลายเรื่องที่หลานสาวต้องรู้ไว้บ้างเป็นต้นว่า “ถ้าใครกินข้าวในหม้อหุงข้าวโดยไม่ตักใส่จาน เกิดชาติหน้าปากจะใหญ่เท่าปากหม้อ” ในเรื่องนี้เคยเตือนหลานสาวและถูกหลานสาวหาว่าแม่เฒ่าเอาแต่เรื่องโบราณมาพูดจนน่าเบื่อ
ระยะหลังแม่เฒ่าไม่ตักเตือนหลานเพราะทุกครั้งหลานสาวจะเถียงและต่อว่าทุกครั้งไป แม่เฒ่าคิดถึงเพลงกล่อมเด็ก ที่แม่เฒ่าเคยร้องกล่อมให้หลานสาวฟังก่อนนอนตอนเป็นเด็กเล็ก แม่เฒ่าไม่รู้ว่าหลานสาวจะจำได้หรือไม่ แต่แม่เฒ่าไม่เคยลืมและจำได้เสมอ
“ลูกสาวเหอ ลูกสาวเรือนออก
หัวนมพึ่งงอก บอกพ่อว่าเป็นฝี
พ่อแม่ไปหาหมอ มารักษา หมอบอกอายนะเต็มที
บอกพ่อว่าเป็นฝี ลูกสาวชาวเรือนออก”
แม่เฒ่ารู้ดีว่าวันนี้หลานสาวกำลังโตเป็นสาว วัยกำลังเปลี่ยนแต่การเปลี่ยนแปลงของหลานสาวแม่เฒ่ากลัวเหลือเกิน
วันนั้นหลานสาวกลับจากโรงเรียนครึ่งวัน มีเพื่อนชายมาที่บ้านเมื่อมาถึงทั้งหลานสาวและชายหนุ่มยกมือไหว้แม่เฒ่าแล้วขึ้นเรือนหายไป แม่เฒ่าจะตามขึ้นไปดูแต่ร่างกายที่เป็นอัมพฤกษ์เดินไม่ค่อยไหว จึงไม่รู้ว่าหลานสาวกับเพื่อนชายคุยเรื่องอะไรอยู่บนบ้าน แม่เฒ่าเรียกถามแต่กลับถูกหลานสาวตวาด แม่เฒ่าจึงเงียบเสียงไม่กล้าร้องถาม เก็บความรู้สึกทุกข์ระทมหม่นหมองในพฤติกรรมที่แม่เฒ่าได้รับคิดอยู่ในใจว่าจะต้องบอกให้ลูกชายได้รับรู้ในพฤติกรรมที่เกิดขึ้นของหลานสาว แม่เฒ่ากลัวว่าการกระทำของหลานสาวจะทำให้ลูกชายและแม่เฒ่าอับอายขายหน้า เพราะหลังจากนั้นหลานสาวนำเพื่อนชายมาบ้านบ่อยครั้ง แม่เฒ่าต้องบอกให้ลูกชายได้ตักเตือนก่อนที่จะสายไป
แม่เฒ่ารอลูกชายกลับบ้านเพื่อย่ำเตือนในเรื่องที่คิดเอาไว้ แต่จนค่ำมืดลูกชายจึงเดินโซซัดโซเซกลับมาด้วยฤทธ็ของเหล้าแม่เฒ่ารู้ดีว่าวันนี้ไม่เหมาะสำหรับแจ้งเรื่องที่อยากบอกให้ลูกชายรู้ แม่เฒ่าต้องรอวันพรุ่งนี้ จะดีกว่า ลูกชายตื่นไปทำงานแม่เฒ่าไม่กล้าพูดกลัวลูกชายไม่สบายใจไปทำงาน แม่เฒ่าคิดว่ารอไว้ตอนเย็นวันนี้คงไม่สายไปที่จะบอกให้ลูกชายฟัง
วันนี้หลานสาวมากลับมากับเพื่อนชายอีกแล้วและแสดงพฤติกรรมเหมือนเช่นวันที่ผ่านมา ที่พาชายหนุ่มเดินขึ้นบ้านเงียบหายไปแม่เฒ่าครุ่นคิด แล้วสรุปกับตนเองว่าวันนี้จะต้องหาหนทางขึ้นบันไดไปดูว่าหลานสาวพาชายหนุ่มมาทำไมและอยู่แต่ละครั้งเริ่มใช้เวลานานจนน่าคิดกังวน แม่เฒ่าประคองตนเองมาถึงบันได เมื่อถึงบันไดจึงค่อยนั่งแล้วขยับตนเองไปตามบันไดทีละขั้นแม้จะใช้เวลาเนิ่นนานในการพยุงตนเองไปตามขั้นบันได แม่เฒ่าคิดว่าแม่เฒ่าจะต้องทำให้ได้อย่างน้อยจะได้รู้ว่าหลานสาวกับชายหนุ่มที่มานั้นมีพฤติกรรมที่ไม่ดีหรือไม่ แม่เฒ่าอยากปกป้องให้หลานสาวรู้สิ่งที่สมควรทำและสิ่งที่ไม่สมควรทำ
แม่เฒ่าพยุงตนเองมาขึ้นบันได ค่อยหย่อนตัวลงนั่งและกระเถิบขึ้นทีละขั้น แล้วพยุงร่างให้ขยับขี้น ขาซ้ายที่เป็นอัมพฤกษ์ทำให้แม่เฒ่ายกขาข้างนั้นขึ้นลำบากเหลือเกิน แม่เฒ่าต้องใช้กำลังแรงกายที่มีเพื่อให้ขาข้างซ้ายขยับพาดขึ้นแล้วพยุงตัวตามแม่เฒ่ารู้ว่าเหนื่อยล้าอ่อนแรงเป็นอย่างมากในการพยุงขาให้ขยับไปบนบันไดแต่ละขั้น ความพยายามของแม่เฒ่าทำให้ค่อยๆ นำตัวเองขึ้นบันไดจนมาถึงบันไดขั้นที่สอง แม่เฒ่านั่งพักเหนื่อยมองบันไดอีกเจ็ดขั้นที่เหลือ แม่เฒ่าจะทำสำเร็จหรือแม่เฒ่าจะต้องพยายามทำให้ได้และจะต้องห้ามปรามพฤติกรรมของหลานถ้าทำสิ่งผิด แม่เฒ่าจะต้องหยุดและชี้นำสิ่งที่ถูกต้องแก่หลานสาวให้ได้
ขณะที่แม่เฒ่าพยุงตัวเองจนมาอยู่ที่ขั้นที่ห้า ผู้ชายอีกหนึ่งก็เข้ามาในบ้านเดินขึ้นบันได แม่เฒ่าร้องถามด้วยความสงสัยเพราะเป็นคนแปลกหน้าที่เข้ามาในบ้าน
“ลูกบาวไปไหน”
“มาหา อีสาว เติ่นหลบไปตะ” ชายหนุ่มบอกแล้วจะเดินขึ้นบันได
“ช่วยยุงแม่เฒ่าขึ้นบนบ้านด้วยนะลูกบาวแม่เฒ่าจะคุยกับหลาน” แม่เฒ่าบอกให้เด็กหนุ่มรู้
“เติ่นอีขึ้นไปทำไหรล่ะ เด็กๆเขาหนุกกัน เติ่นอยู่ข้างล่างดีแล้ว แก่พรรค์นี้แล้วรู้ไปทำไหร” เด็กหนุ่มพูดแล้วจะเดินขึ้นบันไดแม่เฒ่าดึงขาเด็กหนุ่มไว้ เด็กหนุ่มสะบัดหลุดแล้วเดินขึ้นบ้านไป
ในขณะที่ร่างของแม่เฒ่ากลับเสียหลักจากการสะบัดของเด็กหนุ่ม ทำให้ร่างของแม่เฒ่าตกลงจากบันไดที่นั่งโดยที่เด็กหนุ่มไม่ได้หันกลับมามองแต่อย่างใด
ข่าวแม่เฒ่าตกบันไดตายเป็นข่าวที่ชาวบ้านสะเทือนใจและตกใจ หลายต่อหลายคนในหมู่บ้านพากันเดินทางมาแสดงความเสียใจกับหญิงชราอายุมากของหมู่บ้าน
“แกเดินไม่ได้มานานแล้ว จะคลานขึ้นบันไดทำไหร”
“เออ... นั่นแหละ น่าสงสาร อยู่บ้านคนเดียวด้วย”
นั้นคือเสียงของชาวบ้านที่แสดงความเวทนาต่อแม่เฒ่า ผู้สูงอายุแห่งหมู่บ้าน
**************************************
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ