ฝนใหม่
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฝนใหม่
โดย
อิสระ ชีวา
กลุ่มวรรณกรรมอีสานใต้-น้ำยืน
.............................................
ลมกรรโชกพาใบไม้ที่แห้งกรอบปลิวว่อนลอยเคว้งหมุนคว้างไปตามลมพัดแบบไร้ทิศทาง ฝนปรอยๆของเดือนสี่ก็ไล่หลังตามมาอย่างติดๆ ยิ่งเป็นแรงดันให้สายลมในฤดูแล้งโหมกระหน่ำยิ่งขึ้น เสียงฟ้าครึน ๆ บ่งบอกเตือนว่าอีกไม่นานช้า ฝนห่าใหญ่อาจจะตกลงจากฟากฟ้ามาในเวลาอันใกล้
ต้นไม้ที่มีกิ่งไม้ที่แห้งได้โอกาสสลัดกิ่งทลายลงเสมือนว่ารอเวลาแห่งฤดูกาลนี้มานานเพื่อจะละทิ้งบางสิ่งบางอย่างให้หลุดหายไปจากการเป็นพันธะที่ผูกพันซึ่งหาประโยชน์ไม่ได้สักเพียงนิด กิ่งที่มีใบดกหนาก็โอนเอนพัดไหวไปมา ฟ้ามืดครึ้มอย่างรวดเร็ว ยิ่งเสมือนเร่งเวลาให้ค่ำของคืนนี้ย่นระยะเวลาเข้ามาใกล้ทุกนาที
“ฝนจะตกแล้วข้าวของคงจะเปียก”เสียงชายหนุ่มพูดขึ้นท่ามกลางสายลมที่บ้าคลั่ง
“มันก็ไม่แน่หรอก บางทีฝนในฤดูนี้อาจจะไม่ตกก็ได้ เพราะมันเป็นฝนแล้งเอาแน่นอนไม่ได้ ถ้าหากฝนตก ข้าวของก็คงเปียกไม่มากหรอกเพราะเขาได้เก็บไปกองรวมกันไว้ตรงที่หลังคามันไม่ขาดแล้ว ถ้าหากฝนตกจริงเขา จะเอาออกผึ่งแดดเอง เขาก็บอก “ท๊อป” แล้วไงให้รีบมุงหลังคาใหม่ ตอนหน้าฝนที่ผ่านมาผ้ายางสามารถรองรับแรงฝนได้ แต่เมื่อถึงฤดูแล้ง พลาสติกมันจะผุยุ่ย ไม่สามารถรับแรงลมได้ พอลมตีพร้อมกับสายแดดที่ร้อนแรงมันก็ฉีกขาดหมด”
“ก็เรายังไม่มีเงินพอ เมื่อรับเงินค่าแรงสิ้นเดือนผมจะซื้อมามุงหลังคาใหม่ ไพหญ้าไพละสิบสองบาท สักร้อยไพก็คงพอ ต้องมุงให้แล้วเสร็จก่อนหน้าฝนที่จะมาถึงในเดือนหกนี้”
# # #
เถียงหลังน้อยที่พึ่งปลูกสร้างด้วยน้ำมือของเราสองคนตั้งแต่ตั้งตัดต้นไม้มาทำต้นเสา ฝังเสา เลื่อยไม้เล็กๆมาทำเถียงนาให้พอเป็นที่หลับนอนได้ แอ้มฝาข้างด้วยต้นหมากผ่าซีก มุงหลังคาด้วยผ้าพลาสติกใสที่เคยเห็นเขาเอาไปทำบ่อเลี้ยงปลาหรือที่เรียกว่าเลี้ยงปลาในบ่อพลาสติกนั่นแหละ ซึ่งมันก็สามารถบังฟ้ากั้นฝนได้ หลังจากที่แยกตัวออกมาจากตัวหมู่บ้าน มาอยู่ที่ทุ่งนา เพื่อจะได้มีชีวิตที่เป็นอิสระและเป็นส่วนตัว ตั้งแต่ข้าวเขียวปีที่แล้วจนบัดนี้จวนจะถึงเวลาที่จะต้องเตรียมปักดำอีกครั้ง
แม้จะไปอยู่ที่เถียงนา แต่สำหรับฉันคิดว่า “เรา” มีความสุขได้ตามอัตภาพ แม้จะไม่มีไฟฟ้าใช้แต่เราก็ใช้แสงสว่างของเทียนเป็นที่ขจัดความมืดในยามค่ำคืน ฟังเพลงจากวิทยุอาศัยถ่านไฟฉายก้อนละสิบบาทแทนการดูทีวีที่กดรีโมทไปช่องนั้นมาช่องนี้ได้อย่างสะดวกสบาย แม้จะอยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณสองกิโลเมตร ถนนหนทางเข้าสู่เถียงนาและตัวอำเภอเป็นทางลูกรัง ซึ่งแน่นอนมันก็ต้องเป็นหลุมเป็นบ่อมีน้ำท่วมขังในฤดูฝน ส่วนในฤดูแล้งก็จะมีฝุ่นตลบฟุ้งไม่เหมือนถนนลาดยางที่บ้านของฉัน และเมื่อมาอยู่ที่นี่ฉันก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนต่อไหนให้รำคาญใจกับถนนวิบากเส้นนี้ แต่ท๊อปก็ใช้ถนนเส้นนี้แหละขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปและกลับเพื่อมาทำงานรับจ้างที่ร้านขายวัสดุก่อสร้างในตัวอำเภอ และจะเลิกงานก็ห้าโมงเย็นโน่นล่ะ กลับมาถึงเถียงน้อยก็ประมาณห้าโมงครึ่งเป็นอย่างช้า
“อยากทำให้มันหลังใหญ่เหมือนกัน แต่เราก็ไม่มีไม้ อาศัยไม้ปลีกที่เขาเลื่อยทิ้งไว้มาทำก็คงอยู่ได้”
“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเขาก็อยู่ได้”
“แต่ผมก็อยากให้ “ ลี” อยู่อย่างสบายบ้าง ไม่ใช่อยู่อย่างให้มันหมดวันๆ ไป”
“อยู่สบาย...อยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าหากไม่สบายใจ ถึงจะมีบ้านหลังโตใหญ่งามสักปานใด มันก็อยู่ไม่ได้ เขาไม่ได้กลัวความลำบากหรอก ขอเพียงแต่ให้ท๊อปรักเขาเหมือนทุกวันนี้โดยที่ไม่ต้องให้มันเพิ่มมากขึ้นหรอก เขาขอให้ท๊อปรักเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
เท่านั้นก็พอ”
“แต่ลีก็ไม่เคยลำบากมาก่อน แต่ถึงอย่างไงผมก็จะไม่ให้ลีลำบากมากไปกว่านี้แน่นอน ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ลีลำบากยิ่งขึ้น เมื่อ ไม่มีทีวีดู ผมก็เป็นห่วงลีว่าตอนกลางวันที่ผมไม่อยู่ลีอาจเหงา...”
“อย่าพูดเลยท๊อป เขาไม่เป็นไรหรอก แต่ถึงจะลำบากเขาก็จะสู้ทนเคียงบ่าเคียงไหล่ท๊อปไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ สิ่งที่ท๊อปพูดมามันเป็นเพียงปัจจัยภายนอก มันไม่ใช่แก่นแท้ วางใจเถอะ เขาบอกว่าเขาอยู่ได้ก็หมายความว่าเขาต้องอดทนให้ถึงที่สุดและอยู่ได้ทุกสถานการณ์และทุกกรณีที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต”
# # #
แสงสว่างนวลๆจากดวงจันทร์ได้ทอแสงให้เห็นพอรำไรของค่ำคืนของวันข้างขึ้นสี่ค่ำเดือนสี่นี้ เรไรที่อาศัยอยู่ตามต้นประดู่ที่ล้อมรอบเถียงนาก็เริ่มส่งเสียงดังระงม หิ่งห้อย...ลอยบินวนอยู่ตามต้นบอนที่ขึ้นตามริมห้วย ในยามที่ดวงจันทร์แสงยังไม่จ้าเหมือนคืนนี้ก็สามารถมองเห็นแสงสว่างของมันได้อย่างชัดเจน จริงสินะ...มีคนเขาพูดว่า เมื่อใดที่เรามีสิ่งของที่มีคุณค่าสูง เรามักจะไม่เห็นความสำคัญของสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่เมื่อไหร่ที่เราสูญเสียของที่มีค่าราคาแพงนั้นไป เราจึงจะรู้ว่าสิ่งไร้ค่าที่เราไม่เคยมองเห็นแม้แต่เศษเสี้ยวราคาของมัน วันนั้นเราจึงจะรู้ว่าสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ก็มีความสำคัญกับเราเหมือนกัน ก็เหมือนกับหิ่งห้อยและดวงดาวนั่นแหละ เมื่อไหร่ก็ตามที่พระจันทร์ยังให้แสงสว่างจ้าในตอนค่ำคืน น้อยคนนักจะมองเห็นดวงดาวว่ามันสวยงาม ถ้าถึงคืนเดือนมืดมิด เวลานั้นแหละเราจึงจะรู้ว่าแสงพริบๆของดวงเดือนสุกสว่างจ้าจนสดใสในหัวใจของหนุ่มสาวที่ถึงขนาดต้องมานอนนับดาวบนท้องฟ้าด้วยกันอย่างมีความสุขเหมือนกับว่าจะหาความสุขใดมาเทียบไม่มี
“พรุ่งนี้วันอาทิตย์ ผมไม่ได้ไปทำงาน ผมว่าจะถางป่าให้มันกว้างออกไปอีก” ท๊อปพูดหลังจากที่เราดับเทียนเล่มน้อยลงแล้ว
“ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ปลูกผัก ปลูกพริก และเพาะต้นกล้าอื่น ๆ ไว้ปลูก”
“ดีหน่อยที่มีลำห้วยรอบๆบริเวณที่เรามาสร้างเถียงนาพื้นที่รอบๆจึงสามารถปลูกผักได้เป็นอย่างดีและ จะได้ตักน้ำมารดได้สะดวกขึ้น แต่ลีคงต้องเหนื่อยพอดู”
“ท๊อปไปทำงานที่อำเภอสัปดาห์ละหกวันก็เหนื่อยเหมือนกันแหละ เขาอยู่ที่นี่จะได้ช่วยแบ่งเบาท๊อปบ้าง เขาไม่อยากให้เป็นภาระของท๊อปหมดทุกอย่างอยากทำในสิ่งที่เขาทำได้ อย่างน้อยถ้าเราปลูกผักไว้เราก็ไม่ต้องซื้อเขากิน เหนื่อยนะเขาไม่กลัวหรอก เขาคิดว่าเมื่อเขาตัดสินใจที่จะอยู่กับท๊อปแล้ว เขาก็ต้องเคารพและเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตน ไม่มีสิทธิที่จะเสียใจในสิ่งที่ตนเองทำ เพราะว่าเขาได้ไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว ส่วนวันพรุ่งนี้มันไม่มีอะไรแน่นอนว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็เป็นเรื่องของมัน ว่าแต่ท๊อปเถอะอย่าห่วงเขาเลยว่าจะลำบากตรากตรำ อย่างน้อยเขาก็มีหัวใจมีมือและมีสองขาที่จะยืนเคียงข้างท๊อปทุกเวลา”
ผ้าห่มนวมได้แปรหน้าที่ไปเป็นเสื่อสำหรับปูนอน ซึ่งมันก็ทำให้ที่นอนนุ่มขึ้นดีกว่าที่เราต้องนอนเสื่อผืนเดียว อีกผืนยังทำหน้าที่เป็นผ้าห่มเหมือนเดิม มุ้งผืนละร้อยกว่าบาทก็ทำหน้าที่เป็นที่กักกั้นยุงและแมลงต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
ท๊อป หลับไปแล้ว...เขาคงเหนื่อยกับการทำงานเพื่อแลกกับค่าจ้างวันละไม่ถึงสองร้อยบาท ฉันไม่รู้เหมือนกันหรอกว่าฉันเป็นภาระแก่เขามากน้อยเพียงใด แต่เมื่อมาอยู่ด้วยกันเขาก็ต้องรับผิดชอบต่อฉัน และฉันก็ต้องรับผิดชอบต่อเขาอย่างเต็มที่ไม่มีที่ขาดตกบกพร่องและไม่ยิ่งหย่อนน้อยไปกว่ากันสักนิด
ความรับผิดชอบ...ฉันไม่รู้หรอกว่ามันยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่การที่ท๊อปพาฉันมาอยู่ที่นี่ ซึ่งแม้จะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ท๊อปก็รับปากกับน้าแพง ซึ่งเป็นญาติคนเดียวของฉันว่าจะดูแลฉันอย่างดีและจะใช้ชีวิตกับฉันไปจนแก่เฒ่าหรือว่าจนกว่าเราจะตายจากกัน
การที่พ่อและผู้ใหญ่ของท๊อปไปขอฉันกับน้าแพงซึ่งนั่นก็หมายความว่าผู้ใหญ่ของเราทั้งสองได้รับรู้ว่าเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างคู่ผัวตัวเมีย แม้มันจะไม่ฟู่ฟ่าโอ่อ่าเหมือนคู่รักคู่อื่น ๆ ที่จัดงานแต่งกันอย่างใหญ่โตด้วยอำนาจของเงินตราก็ตาม
พรุ่งนี้...จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ... แต่บางครั้งความรู้สึกกลับคิดว่า ความเหน็ดเหนื่อย ความพะว้าพะวัง ความวุ่นวาย ความทุกข์ยากให้มันอยู่ของมันเฉพาะวันนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องไปเอาเรื่องของวันพรุ่งนี้มาคิดรวมกับวันนี้ เรื่องวันนี้ก็ให้เป็นเฉพาะของวันนี้เถอะ อย่ากังวลไปถึงวันพรุ่งนี้ที่ยังมาไม่ถึงให้มันทุกข์ใจเลย
ฉันนอนนิ่งคิดถึงเรื่องต่างๆ ที่เป็นภาระผูกพันที่จะให้ฉันกับท๊อปผลักดันให้เป็นผลแห่งความจริงของชีวิตคู่ของเราสองคน นี่ก็จวนจะถึงหน้าฝน ฤดูที่จะต้องเพาะปลูกเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่าจะเป็นการทำนา การปลูกผัก ต้องเตรียมเมล็ดเพื่อเพาะพันธุ์ ต้องซื้อเขา ต้องหาเงินมา ผืนนาผืนน้อยคงไม่เพียงพอแก่การที่ฉันกับท๊อปจะไปแย่งพี่ชายกับน้องสาวของท๊อปทำเพื่อเลี้ยงชีพเราสองคน บางทีเราต้องหาเช่าที่นาอีกผืนสักสี่หรือห้าไร่เพื่อปักดำให้เป็นผลผลิตของเราเองก็เป็นได้ เพราะอย่างน้อยเราก็เป็นอีกครอบครัวหนึ่ง ถึงแม้มันจะเป็นเพียงครอบครัวเล็กๆ ก็ตาม
น้องสาวของท๊อปแต่งงานและมีลูกแล้วคนหนึ่ง และแยกตัวออกไปอยู่กับสามีแต่เมื่อถึงกาลทำนาก็มาช่วยพ่อและพี่ชายทำนาผืนนี้เหมือนเดิม ผลผลิตจากหยาดเหงื่อแรงกายที่ได้ก็แบ่งกันกินกันใช้ตามสัดส่วน แต่ส่วนมากก็จะเก็บไว้ในยุ้งฉางของพ่อ ซึ่งเป็นเสมือนสมบัติส่วนกลางที่ท๊อปกับพี่ชายจะได้ใช้ประโยชน์ในแรงงานของตนที่ทำไว้ตลอดทั้งปีเช่นกัน พี่ชายของท๊อปยังเป็นโสด เคยมีสาว ๆ มาติดพันหลากหลายคนเพราะเป็นคนที่รูปหล่อ แต่เนื่องจากเป็นคนไม่ค่อยพูด ความรักในบางครั้งมันก็หลุดลุ่ยลอยไปเหมือนใบไม้ที่ต้องลมยามสายลมและสายฝนซัดสาด จึงครองความเป็นโสดมาจนอายุสามสิบต้น ๆ เข้าไปสามถึงสี่ปีแล้ว
เสียงวิทยุดังค่อย ๆ จางหายไป ยิ่งดึกฉันก็ยิ่งได้ยินพอ
แว่วๆจนประสาทหูไม่สามารถแยกแยะสำเนียงและเนื้อหาของเพลงได้ ดวงตาที่เบิกโพลงก็พลอยที่จะหนักอึ้งขึ้นทุกขณะ ช่างเหมือนกับความคิดของฉันและชีวิตคู่ของเราสองคนที่จะดำเนินต่อไปในวันข้างหน้ายิ่งนัก
# # #
เกือบเพลของวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดของท๊อป หลังจากตื่นตั้งแต่เช้า การถากถางไร่บริเวณรอบๆ เถียงน้อยก็ขยายวงกว้างออกไปกินรัศมีกว้างกว่ายี่สิบเมตร ส่วนฉันก็หุงข้าวด้วยหม้อแกงซึ่งเมื่อเวลาผ่านวันคืนจนบัดนี้ไม่มีวันไหนเลยที่ฉันหุงข้าวแฉะ จากนั้นก็ต้มปลาที่ท๊อปดักมองไว้ตั้งแต่เช้า ปลาที่ได้ก็เป็นปลาดุก ปลาตะเพียน ปลาขาวหางแดง ซึ่งมันก็เพียงพอสำหรับการต้มใส่ใบติ้วซึ่งจะให้ความเปรี้ยวของใบติ้วให้อร่อยลิ้นดับความหิวกระหายในตอนเที่ยง และส่วนที่ยังเหลือก็พอที่จะหมักตากแห้งไว้กินวันหลังได้อีกหลายตัว ถ้าวันไหนที่เราไม่ได้ทำอะไรบางที ท๊อปก็จะทอดแหบริเวณลำห้วยนี้เหมือนกัน เราหาปลากินได้ไม่ลำบากนัก เพราะต้นลำห้วยนี้มีน้ำขังตลอดปี ฉันคิด ถ้าเผื่อมีเงินอยากจะเลี้ยงปลาในกระชังดูบ้าง อย่างน้อยถ้ามันได้ผลเราก็ไม่ต้องห่วงกับการหาปลากิน อีกอย่างถ้าหากเลี้ยงไว้หลายกระชัง ไม่ว่าจะเป็นปลาดุกยักษ์ ปลาดุกอุย ปลาตะเพียน ปลานิล เมื่อมันโตพอการนำไปขายที่ตลาดสดในตัวอำเภอหรือขายย่อยให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านก็จะเป็นการเพิ่มรายได้
ที่ดีอีกทางหนึ่งซึ่งฉันพอที่จะช่วยท๊อปได้เป็นอย่างดี ฉันเคยอ่านในหนังสือเกี่ยวกับเกษตรและดูในทีวีเกี่ยวกับการทำเกษตรผสมผสาน การเลี้ยงหมู การปลูกผัก และแม้แต่การเลี้ยงปลาในกระชัง มันคงไม่ยากเกินไปที่ฉันจะทำได้ ยิ่งที่ลำห้วยนี้โอกาสที่น้ำจะเสียนั้นไม่ต้องพูดถึง การที่จะได้ปลาที่มีคุณภาพและโตทันความต้องการของลูกค้านั้นยิ่งมีความเป็นไปได้สูง
บ่ายคล้อย ต้นไม้ที่ท๊อปตัดไว้ตั้งแต่เช้า ก็แห้งกรอบอานุภาพของแสงแดดในฤดูร้อนนี้ ยิ่งทำให้กิ่งก้านต้นไม้เล็กๆที่ตัดไว้เป็นเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี
“พรุ่งนี้ ผมจะซื้อพันธุ์ผักกาดขาว ผักกวางตุ้ง ผักบุ้งจีน พริก แตงกวา มาให้ลีนะ”
“ท๊อปเหนื่อยมากไหม” ฉันถามอย่างห่วงใย ในขณะที่นั่งอยู่นอกชานเถียง หลังจากเราตากแดดมาเกือบทั้งวัน
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวผมไปอาบน้ำพร้อมกับไปดู “มอง” ที่ดักปลาไว้ ลีจะได้หมักตากแห้งไว้อีก ถ้าหากมันเยอะลีก็เอาปลาแห้ง
มาทำน้ำพริกตาแดงไว้ก็ได้นี่ ยามกินข้าวก็จะสะดวก ผมรู้นะว่าลีทำอะไรก็อร่อย อาบน้ำเสร็จและพักสักหน่อยก็จะหายเหนื่อยไปเอง ว่าแต่ลีเถอะกรำแดดมาทั้งวันคงเหนื่อยพอดู ผมบอกว่าให้พักบ้างก็ดื้อนัก”
“ก็เขาอยากช่วยท๊อปทำทุกอย่างที่ท๊อปทำและที่เขาจะทำได้”
“จ๊า แค่ได้ยินแค่นี้ ท๊อปก็หายเหนื่อยแล้วล่ะ ลี...พรุ่งนี้เช้าก่อนผมไปทำงาน ผมจะยกร่องแปลงผักไว้ให้ ตากแดดสักวัน จากนั้นวันต่อไปก็สามารถเพาะเมล็ดพันธุ์ผักต่างๆ ได้ เพราะว่าเมล็ดผักถ้าหากเราจะให้งอกง่าย ก่อนเพาะลงแปลงเราจะต้องแช่น้ำทิ้งไว้สักคืน ตอนบ่ายอากาศเย็นๆค่อยว่านเมล็ดลงแปลง เมล็ดผักที่แช่น้ำไว้จะได้ไม่ร้อนเกิน เพราะถ้าหากเราเพาะตอนเช้า พอถึงตอนเที่ยงอากาศร้อน อาจทำให้เมล็ดผักไม่งอกเลยก็เป็นได้”
# # #
แปลงผักที่เพาะปลูก ในเวลาไม่นานช้า มันก็จะเขียวขจีทำให้ชื่นในยิ่งนัก...อีกไม่นานแล้วสินะ...สิ่งที่ฉันคิด สิ่งที่ฉันวาดหวังก็อาจจะแปรเป็นเงินได้แม้จะไม่มากนักแต่นั่นก็เป็นรายได้ที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของเราสองคน
ในวันและคืนที่ฝนกระหน่ำ ตอนย่ำค่ำท๊อปก็จะไปจับกบเขียด นั่นหมายความว่าวันพรุ่งนี้เราได้อาหารชั้นเลิศจากธรรมชาติที่อำนวยให้ในช่วงฤดูฝนใหม่ที่เสมือนนำพาทุกสิ่งทุกอย่างให้พรั่งพรูมาเหมือนสายฝน
อีกไม่นานแล้วสินะ ปลาที่เลี้ยงไว้ในกระชังจะเติบใหญ่ ซึ่งนอกจากเราสองคนจะเก็บไว้เป็นเสบียงในวันที่เราไม่ได้ซื้ออะไรมาจากตลาดในตัวอำเภอ ปลาเหล่านั้นยังสามารถขายให้แก่ผู้มาขอซื้อถึงที่คนละกิโลสองกิโลได้อย่างสบาย นี่แหละนะที่เขาเรียกว่าสวรรค์บ้านนา สวรรค์น้อยๆที่ต่างคนต่างค้นหาแต่ยากนักที่จะหาเจอแม้ว่ามันอยู่แค่เอื้อม
ถ้าย่างเข้าเดือนหก ฉันกับท๊อปก็คงจะได้ไถดะเพื่อเตรียม
ทำนา ในปีนี้แม้เราจะเก็บเงินไม่ทันเพื่อจะเช่านาทำเอง แต่การช่วยกันกับพ่อ พี่ และน้องสาวของท๊อปทำนาช่วยกันก็น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเช่นกัน
# # #
รถโดยสารประจำทางจากตัวอำเภอวิ่งไปเรื่อย จุดหมายคือตัวจังหวัด ได้นำตัวฉันร่วมเดินทางกลับไปด้วย ...เพื่อให้ตัวเองได้พบกับประสบการณ์ใหม่ๆในการทำงานในตำแหน่งพนักงานขายของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง... เพื่อให้ลืมเหตุการณ์บางสิ่งบางอย่างออกไปจากใจ การกลับมาครั้งแรกเพื่อมาเยี่ยมน้าแพงที่บ้าน หลังจากที่ฉันหอบหิ้วเอาชีวิตน้อยๆห่างหายไปจากที่นี่ร่วมหกเดือนเต็ม
หน้าต่างบานน้อยข้างตัวรถบัสสามารถมองผ่านทะลุเห็นท้องทุ่งที่เหลืองทองอร่ามไปทั่ว...ป่านนี้น้ำในนาคงจะเกือบแห้งขอด...ป่านนี้ท๊อปคงเกี่ยวข้าวได้ไปบางส่วนแล้วสินะ หวนคำนึงถึงเหตุการณ์ในวันนั้น วันที่สายลมผันพัดผ่านชีวิตของฉันให้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งแต่ไม่มีแม้แต่ความหวังและร่องรอยของอนาคตที่อยากจะให้มันเกิดขึ้น มันชั่งเหมือนกับท๊อปเอามีดกรีดเฉือนหัวใจดวงน้อยๆของฉันยิ่งนัก
“ทำไมท๊อปไม่บอกเขา...ทำไมท๊อปปกปิด ปิดบัง ทำไมโกหกเขามาตลอดเวลา”ฉันถามท๊อปด้วยน้ำตาหยาดแก้มพร้อมกับความรู้สึกสูญเสียที่อัดแน่นจุกอยู่ในหัวใจ
“ผมก็อยากบอกลีเหมือนกัน อยากบอกมาตั้งนานแล้วแต่ผมไม่กล้า ไม่กล้าทำลายความรู้สึกของลีที่มีต่อผม”
“ทำลายความรู้สึกรึ??? น่าจะเรียกว่าทำลายความรักและความหวังของเขามากกว่าจึงจะถูก ท๊อปเหยียบย่ำความฝันของชีวิตทั้งหมดของเขาที่มีต่อท๊อปรู้ไหม?”
“ลี ผมรักลีนะ แต่ผมลืมเขาไม่ได้...ยิ่งตอนหลังเขามาทำงานเป็นพนักงานบัญชีที่ร้านเดียวกัน ผมก็ยิ่งพยายามลบเขาออกไปจากใจแต่มันเหมือนกับยิ่งผูกมัด แม้เขาจะจากผมไปตั้งสองปีแล้วแต่ผมก็ไม่ลืมเขาไปจากใจมันเป็นเรื่องยากเพราะความผูกพันที่มีต่อกันมันยังอยู่ ...”
# # #
ความรัก...แม้ฉันจะเกาะกุมมันไว้ด้วยหัวใจบริสุทธิ์และความรู้สึกที่สดใส ทุ่มเทความคิด ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับผู้ชายที่วาดจะฝากชีวิตทั้งชีวิตไว้ ...แต่มันก็สูญเปล่า...มันช่างเหมือนสายลมที่พัดต้องผิวกายแม้ว่าเราจะรู้สึกได้ว่าลมพัด แต่เราก็ไม่รู้อย่างจริงจังเลยว่ามันมีอยู่จริง ผู้ชายที่ฉันคิดที่จะเดินร่วมทางเคียงข้างไม่ว่ายามสุขหรือทุกข์แต่เมื่อมาถึงทางแพร่งเราสองคนก็ต้องเดินแยกทางอย่างไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือก
สายฝน...มันคงจะชื่นฉ่ำเฉพาะช่วงแรกเริ่มของฤดูเท่านั้นสินะ...เมื่อถึงกึ่งกลางฤดู กลิ่นอวนดินที่เคยหอมตลบมันก็เหือดหาย ที่ซัดสาดจากฟากฟ้าก็เป็นแค่เพียงหยาดสายฝนที่แสนจะธรรมดาที่ไม่มีใครดีอกดีใจเหมือนฝนใหม่ในต้นฤดูกาล
ปลาที่เลี้ยงไว้...ฉันไม่รู้หรอกว่า ท๊อปเขาขายหรือไม่ แต่สิ่งที่ฉันรู้ทุกสิ่งทุกอย่างมันพังทลายด้วยความรับผิดชอบที่ท๊อปมีให้แก่คนรักเก่าของท๊อปคนนั้น อีกไม่นานสินะ...เดือนสิบสองฤดูแห่งเหมันต์จะเวียนมา วันนั้นวันแต่งงานของท๊อปคงจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการอย่างมีหน้ามีตาในสังคมดังเช่นคู่รักหลากหลายคู่ต้องการ...
# # #
อิสระ ชีวา
ฝนใหม่เดือนสี่ ปี2550
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ