แก้วกล้า
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแก้วกล้า
จันทร์ทอแสงนวลตาอยู่บนฟากฟ้าสีเข้ม สายลมพัดโชยอ่อน ยอดไม้ไหวเอนล้อเล่นกับสายลม เป็นบรรยากาศยามค่ำคืนที่เงียบสงบ หากแต่บ้านน้อยริมสวนหลังหนึ่งกำลังลุกเป็นไฟ
ไม่มีควันดำที่พวยพุ่ง ปราศจากความร้อนที่แผดเผา ไม่มีแม้แต่พระเพลิงที่จะผลาญไม้ให้วอดวาย หากแต่ไฟแห่งโมหะและโทสะกำลังลุกโชติช่วงอยู่ข้างใน เสียงโลหะกระทบไม้ดังสนั่นเป็นชุดราวกับกลองประโคมโหมโรงก่อนการแสดง ตามมาด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกที่ทำลายความเงียบแห่งราตรีกาลไปจนสิ้น บทบรรเลงแห่งความเบาะแว้งได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
พื้นไม้สั่นสะเทือน ภาพที่แขวนอยู่บนผนังเอียงกะเท่เร่ ที่มุมห้องมีโต๊ะไม้ตัวใหญ่นอนตะแคงอยู่ คอยรับจานสังกะสี กระทะ หม้อ และข้าวของอื่นๆที่ลอยออกมาจากเวทีแห่งการวิวาทอยู่อย่างอดทน หลังแนวป้องกันของโต๊ะมีร่างเล็กๆสองร่างซ่อนตัวอยู่ คนหนึ่งสั่นเทาด้วยความกลัวส่วนอีกคนนั่งเฉยอย่างหม่นหมอง ทั้งสองได้แต่ขดตัวอยู่หลังโต๊ะไม้และรอเวลาเท่านั้น เพราะมันเป็นเครื่องกำบังเพียงชิ้นเดียวที่เด็กทั้งสองมี และการวิวาทก็คงไม่จบลงง่ายๆ แต่คงกินเวลานานเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา
“พี่แก้วทำไมพ่อกับแม่ต้องทะเลาะหันด้วยล่ะ?” เด็กชายเอ่ยถามพี่สาว ร่างของเขาสั่นเพราะแรงสะอื้น น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบแก้มทั้งสอง และตาคู่นั้นก็แดงก่ำไปหมด เด็กหญิงหันมองน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ มือเล็กๆเอื้อมไปลูบศีรษะน้องชายอย่างปลอบประโลม ตอบว่า
“มันเป็นธรรมดาของคนเรานั่นแหละกล้า...ไม่ต้องคิดมากนะ” ผู้เป็นพี่สาวตอบน้องชาย
“เรื่องธรรมดา?” กล้าสะอื้นพร้อมกับปาดน้ำตา “ธรรมดาพ่อกับแม่คนอื่นเขาไม่ทะเลาะกันอย่างนี้หรอก!” กล้าโพล่งออกมาด้วยความอัดอั้นใจ แล้วก็ปล่อยโฮออกมาอีก เด็กชายไม่เข้าใจว่าทำไมครอบครัวของเขาจึงได้มีแต่เสียงทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เคยจะยิ้มแย้มมีความสุขเหมือนบ้านอื่นเลย ทุกครั้งที่มองดูครอบครัวอื่นเขาก็จะเจ็บปวดในใจทุกครั้ง เพราะไม่มีวันใดที่พ่อกับแม่ไม่ทะเลาะกันเลย
แก้วมองดูน้องชายที่นั่งสะอึกสะอื้นอยู่ข้างกายด้วยสายตาที่ห่วงใย เธอรู้ได้โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกว่าน้องชายของเธอกำลังน้อยใจที่พ่อกับแม่เป็นเช่นนี้
“กล้า...คนเราแต่ละคนก็มีความคิดเป็นของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ไม่แปลกหรอกที่จะคิดขัดแย้งกันขึ้นมาบ้าง” แก้วอธิบายให้น้องฟังอย่างใจเย็น
“แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันทุกวันนี่นาพี่แก้ว” กล้าพูดไปสะอื้นไป
“ถูกของกล้า...” แก้วเห็นด้วย แล้วพูดต่อไปว่า “แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องเครียดทุกครั้งที่มีคนทะเลาะกันหรอกนะกล้า...”
“ทำไมล่ะพี่แก้ว?” กล้าถามพลางสะอื้น “กล้า...กล้าเองก็” เด็กชายสะอื้นหนักขึ้น “...อยากมีครอบครัว...ที่มีความสุขบ้างเหมือนกันนะ”
แก้วลูบศีรษะน้องชายอย่างเอ็นดูขณะที่เด็กชายร้องไห้ตัวงออยู่ในเงามืด “กล้า...” แก้วเรียกน้องชายเสียงแผ่วแต่ก็ดังพอที่จะได้ยินท่ามกลางเสียงเอะอะที่ดังอยู่ตลอดเวลา “กล้าไม่ชอบเวลาที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันใช่ไหม?”
“อื้อ...” กล้าทำเสียงตอบพลางสูดน้ำมูกและปาดน้ำตายกใหญ่ “กล้าไม่ชอบเลย พ่อกับแม่ไม่ยิ้ม พ่อกับแม่โกรธกัน...ตีกัน” แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอีก
“พี่เองก็ไม่ชอบเหมือนกันกล้า...ทั้งพ่อกับแม่ที่ทะเลาะกัน ทั้งกล้าที่ร้องไห้ก็ด้วย...มันทำให้พี่ไม่สบายใจเลย” แก้วบอก
กล้าเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา สีหน้าของเขาดูตกใจเล็กน้อย เหตุเพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะทำให้พี่ไม่สบายใจ สายตาของพี่ที่มองมายังเขาแลดูหม่นหมองแต่แล้วมันก็หายไป
“อย่างกล้านี่นะ...” แก้วเอามือสองข้างจับแก้มน้อง “เหมาะที่จะยิ้มมากกว่า” เด็กหญิงพูดพร้อมกับดึงแก้มน้องให้ยิ้ม แก้วเองก็หัวเราะเบาๆด้วยเหมือนกัน ได้เห็นพี่หัวเราะบวกกับการกระทำของพี่ ทำให้กล้าหัวเราะออกมาอย่าเสียมิได้ แม้น้ำตาจะยังไหลออกมาก็ตาม
“หัวเราะแล้วรู้สึกดีขึ้นไหมกล้า?” แก้วถามหลังจากที่ทั้งสองหัวเราะกันมาพักหนึ่ง กล้าพยักหน้าตอนนี้น้ำตาที่เคยเอ่อล้นได้เหือดหายไปแล้ว เสียงแห่งการวิวาทก็เริ่มจะแผ่วลง “ดีแล้วล่ะ พี่จะได้สบายใจ” แก้วบอก
เสียงของการวิวาทเงียบลงแล้ว ปิดเวทีที่ร้อนระอุลง และไอเย็นแห่งราตรีก็เข้าปกคลุมทั้งบ้านให้รู้สึกเย็นสบาย พ่อกับแม่แยกย้ายกันไป ทิ้งร่องรอยของความเสียหายและคราบเลือดเอาไว้เบื้องหลัง เด็กทั้งสองค่อยๆออกมาจากที่กำบังและเริ่มเก็บกวาดให้เรียบร้อย
แก้วหยิบไม้กวาดมากวาดเศษของที่แตก กว้าวิ่งวุ่นเก็บจานชามที่กระจัดกระจาย เขามองดูรอบบิ่นที่เพิ่มขึ้นของจานสังกะสีใบโปรดแล้วเบ้ปาก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะไม่เหลือรูปเดิม แก้ว กล้าช่วยกันเก็บกวาดอยู่พักใหญ่ๆบ้านก็กลับมาเป็นบ้านที่พวกเขาชอบ ทั้งสองยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ แก้วมองน้องชายที่กำลังยิ้มหน้าบานแล้วถามว่า “หัวเราะกับร้องไห้อย่างไหนทำให้รู้สึกดีมากกว่ากันล่ะกล้า?”
“ก็ต้องยิ้มสิพี่แก้ว” กล้าหันมาตอบทันควัน สีหน้าฉงนอย่างไม่เข้าใจในคำถามเอาเสียเลย
“ถ้าอย่างนั้น...กล้าก็ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ” ผู้เป็นพี่สาวบอกกล่าวแก่น้องชายพร้อมด้วยรอยยิ้มที่สดใส เด็กชายมองดูรอยยิ้มนั้นและยิ้มตอบ เด็กชายได้รู้แล้วว่ายังมีคนที่ห่วงใยและไมอยากเห็นเขาเป็นทุกข์อยู่คือพี่แก้วของเขานี่เอง และทุกอย่างที่แลดูเลวร้ายสุดท้ายก็จะจากไป เหมือนความมืดที่เข้าปกคลุมในตอนกลางคืน และจากไปเมื่อแสงอรุณโผล่พ้นขอบฟ้า
แสงทองที่พาดผ่านขอบฟ้า ปลุกนกกาให้ออกหากิน เสียงขานขันของไก่แก้วดังกังวานไปทั้งสวน เช้าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณที่สละเวลาเข้ามาอ่านจากใจจริงเลยค่ะ^^
หมายเหตุ:เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เคยเขียนลงบล็อกเมื่อนานมาแล้ว แต่ไม่ชอบของเดิม เลยเอามาเขียนแก้ใหม่
ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ